::+:: Mistake... ฉันขอโทษ ::+:: [Yuri]
7) ความผิดครั้งที่ 6 :: ไม่อยากแพ้ [KangTeuk]
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความความผิดครั้งที่ 6 :: ไม่อยากแพ้
ช่วงเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอไปเพียงไม่เท่าไหร่ท้องฟ้าสว่างก็พลันพลิกถูกแทนที่ด้วยความมืดสลัว ยูริขยับคอเสื้อยืดด้านในให้คลายร้อนขณะสอดส่องสายตามองออกไปนอกห้อง สนามฟุตบอลที่ยามเช้าจะเห็นพื้นหญ้าเขียวชอุ่ม บัดนี้เห็นเพียงความมืดมิดเท่านั้น จองซูจัดการทุ่มรุ่นน้องชายลงกับเบาะเป็นท่าสุดท้ายก่อนจะเอ่ยยุติการซ้อมของวันนี้พลางเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่ติดอยู่หน้าห้องบอกเวลาสองทุ่มกว่า โดยมีแทยอนและเจสสิก้าที่เลิกซ้อมมากว่าสามชั่วโมงนั่งเอียงคอหลับซบไหล่อีกฝ่ายอยู่หลังห้อง
รุ่นน้องทั้งสี่และรุ่นพี่ชายเพียงคนเดียวจัดแจงทำความเคารพแท่นบูชาก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับบ้าน คนผิวเข้มสะกิดแขนเพื่อนทั้งสองเบาๆเมื่อเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วให้คนทั้งสองค่อยปรือตาขึ้นมองคนตัวสูงกว่าด้วยอาการมึนงงเล็กน้อยพร้อมทั้งเหยียดแขนบิดตัวไปมาไล่ความเมื่อยขบยกมือขึ้นปิดปากหาววอดๆทั้งที่ก็หลับไปได้ชั่วโมงกว่าแล้ว
แทยอนและเจสสิก้าลุกขึ้นยืนแล้วพากันเดินออกจากห้องชมรมไปพร้อมๆกับเพื่อนสาวร่างสูง ทางด้านยูรินั้นรู้สึกปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อหน้าท้อง คอ แล้วก็ต้นแขนไม่น้อย แต่ก็แอบสะใจอยู่นิดๆที่ได้มีโอกาสทุ่มเพื่อนชายขี้หลีอย่างแทคยอนไปทีหนึ่งด้วยท่าโทโมเอะ นาเกะ1 ด้วยความหมั่นไส้แววตาเป็นประกายยามพูดถึงเพื่อนสาวของเธอ ไหนจะยังขอร้องให้เธอช่วยเป็นแม่สื่อให้กับตัวเองอีก ด้วยอารมณ์พาไปเลยเผลอใส่แรงทุ่มไปเสียอีกคนถึงกับร้องโอดโอยชนิดที่เรียกความสนใจจากอีกสามคนที่เหลือได้เป็นอย่างดี
รอยยิ้มที่มุมปากกระตุกยกขึ้นอย่างลืมตัว แต่ดีที่ทิ้งสองคนที่เดินขนาบข้างเธออยู่นั้นไม่ทันสังเกตเห็น คนตัวสูงยกมือขึ้นคลำต้นคอพร้อมออกแรงคลึงเบาๆหวังคลายความปวดเมื่อยให้ลดลงบ้าง พรุ่งนี้มีนัดแข่งรอบเช้าจนถึงบ่ายแท้ๆ แต่จองซูกลับปล่อยเสียมืดค่ำ พรุ่งนี้เธอไม่ตื่นขึ้นมาขยับแขนขาไม่ได้กันพอดีหรือ
แต่อีกปัญหาที่หนักกว่าคือการที่ตัวเองพลั้งปากไปสัญญากับร่างบางที่เดินอยู่ข้างๆว่าจะเอาชนะแล้วตามไปเชียร์ให้ทันนี่สิ มานึกได้ตอนนี้ก็อยากจะตบปากตัวเองให้หายขัดใจกับการปากพล่อยไม่เลือกเวลาของตัวเองจริงๆ การแข่งถูกจัดขึ้นที่วิทยายูโดแห่งประเทศเกาหลี2 ซึ่งมันอยู่ห่างจากงานประกวดร้องเพลงของแทยอนและเจสสิก้าไปกว่าสิบกิโลเมตร ซ้ำคู่ต่อสู้ส่วนใหญ่มาจากโรงเรียนกีฬาโดยเฉพาะ แน่นอนว่าต้องถูกฝึกฝนมาอย่างหนักมากกว่าพวกเธอแน่ๆ
...แล้วมันจะเป็นไปได้เหรอเนี่ย...
นึกแล้วก็ทำได้เพียงลอบถอนหายใจเบาๆ แต่จะมามัวเสียใจกับคำพูดที่พูดออกไปแล้วมันก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา กลับถึงบ้านไปก็คงต้องนอนหลับให้เต็มตื่นเพื่อพรุ่งนี้จะได้มีแรงแข่ง... อ้อ และที่สำคัญต้องไม่ลืมทายาบรรเทาอาการปวดก่อน ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้ได้เดี้ยงคาสนามภายในเวลาไม่กี่วินาทีแน่
แทยอนและยูริเดินมาส่งเจสสิก้าก่อนเป็นอันดับแรกก่อนจะเดินควบคู่กันต่อไป คนตัวเล็กยกมือขึ้นตบไหล่ร่างสูงเบาๆพร้อมยกกำปั้นขึ้นกำแน่นก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
“ถึงพรุ่งนี้พวกฉันจะไปเชียร์ไม่ได้ แต่ก็จะเป็นกำลังใจให้นะ! สิก้าบอกฉันแล้วว่ายูลสัญญาจะชนะแล้วไปเชียร์พวกฉันใช่ไหม พวกฉันจะรอนะ!” ยูริยกยิ้มขึ้นบางๆเป็นการตอบรับ ก็ยอมรับว่าเป็นประโยคที่ให้กำลังใจได้เป็นอย่างดี แต่ในทางกลับกันก็ดูเหมือนเป็นการเพิ่มแรงกดดันให้กับเธอมากกว่า ว่าอย่างไรเสียพรุ่งนี้ก็ต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้ให้ได้
ไม่นานนักก็ถึงบ้านของคนตัวเล็ก แทยอนที่หันกลับเดินเข้าบ้านไปไม่วายหันมาโบกมือลาให้คนผิวเข้มก่อนจะปิดประตูหายเข้าไปในตัวบ้าน ยูริยกมือโบกตอบกลับไปเช่นกันก่อนจะออกเดินต่อไปตามลำพัง
ความเงียบเริ่มเข้าปกคลุมให้คนตัวสูงได้ปล่อยความคิดต่างๆนานาลอยอยู่เต็มหัว อีกทั้งยังความวิตกกังวลมากมายที่ทำเอายูริแทบจะทึ้งหัวตัวเองให้หนังศีรษะหลุดมาเสียบัดนั้น ยิ่งคิดยิ่งเครียด ยิ่งนึกถึงยิ่งปวดหัว ทั้งที่ก็เพิ่งบอกตัวเองไปเมื่อครู่ว่าไม่ต้องคิดมาก แต่มันก็อดไม่ได้อยู่ดี
ยังดีที่คนตัวสูงสามารถเดินทางกลับมาถึงบ้านได้อย่างปลอดภัยไม่พาตัวเองไปโดนรถเฉี่ยวรถชนเสียก่อน (อันที่จริงก็เกือบโดนรถจักรยานเสยท้ายอยู่เหมือนกัน) ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาน้องสาวตัวแสบก็กระโดดโผเข้ากอดขาเธอทันทีจนแทบเซล้มหน้าหงาย พร้อมทั้งเสียงโทรทัศน์ดังกระหึ่มจนยูริแทบจะอุดหูไม่ทัน
“พี่ยูลกลับมาแล้วเหรอ!!” เสียงใสๆจากเด็กน้อยน้องสาวต่างมารดาของคนผิวเข้มดังเจือยแจ้วแข่งกับเสียงซาวด์เอฟเฟคที่ดังมาจากห้องรับแขก
“ไม่กลับมาแล้วจะเห็นพี่ไหมล่ะ” แล้วก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่ผู้เป็นพี่จะตอบคำถามดีๆเป็นแบบอย่างที่น่าเลียนแบบแก่น้องสาว จนพ่อเธอนั้นอดบ่นไม่ได้ว่าจะสอนให้น้องเลี้ยงสุนัขไว้ในปากแบบเธอหรืออย่างไรกัน น้องสาวที่อายุห่างกันถึงสิบเอ็ดปียังคงไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรว่าถูกคนเป็นพี่ตอกกลับแบบกวนอารมณ์ก็ได้แต่ยิ้มหน้าบานเห็นฟันครบ
“ทำไมพี่ยูลกลับมาช้าจังเลย” โซฮยอนยังคงส่งเสียงเจือยแจ้วถามคนตัวสูงไปตลอดทางที่ยูริเดินเข้ามาในห้องรับแขกก็พบผู้เป็นพ่อนั่งดูหนังไปตักไอศกรีมช็อคโกแล็ตเข้าปากไปอย่างสบายอารมณ์ เมื่อเห็นว่าลูกสาวคนโตกลับมาถึงก็ยกยิ้มกว้างพร้อมทั้งเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงขี้เล่นเช่นเคย
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอยูล วันนี้เป็นไงบ้าง เหนื่อยไหมครับ” นัยน์ตาคู่คมที่ได้รับมาจากผู้เป็นพ่อมองคนอายุมากกว่าด้วยแววตาเรียบนิ่ง ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
“เหงื่อออกเยอะขนาดนี้ไม่เหนื่อยเลยมั้ง...” คนผิวเข้มเหลือบมองไปยังโทรทัศน์ “แล้วนี่ดูเรื่องอะไรอยู่ เสียงดังไม่เกรงใจคนข้างบ้านบ้างเลยหรือไง”
“กัปตันอเมริกา... ดูด้วยกันสิ สนุกดีนะ” ซังวูชักชวนทันทีให้ยูริพยักหน้ารับ
“แต่ขอไปอาบน้ำก่อนก็แล้วกัน... อ้อ ยูลอาจดูไม่จบนะ ต้องนอนเอาแรงพรุ่งนี้มีแข่ง” ว่าแล้วก็เตรียมเดินขึ้นห้องไปทันทีโดยมีเสียงของคนอายุมากกว่าตะโกนไล่หลัง
“ให้ไปเชียร์ไหม แข่งที่ไหนล่ะ ไปกี่โมง” เด็กสาวตะโกนตอบกลับไปอย่างไม่คาดหวังอะไรมากก่อนจะหายเข้าไปในห้องนอนพร้อมเสียงปิดประตูดังขึ้นเบาๆ
“ถ้าไปได้ก็ดี”
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยก็เดินกลับลงมายังห้องนั่งเล่นซึ่งซังวู โซฮยอน และนายอง ภรรยาใหม่ของผู้เป็นพ่อ ส่วนแม่แท้ๆของเธอนั้นเสียไปตั้งแต่เธออายุได้ห้าปี ซึ่งเธอก็ไม่เคยคิดเรียกนายองว่าแม่เลยสักครั้ง... จะว่าเธอถือทิฐิก็คงไม่ผิดนัก เพราะสำหรับเธอแล้ว แม่มีได้แค่คนเดียวเท่านั้น
ยูรินั่งดูโทรทัศน์กับครอบครัวได้ไม่นานก็เริ่มรู้สึกหนักที่เปลือกตาจึงต้องขอตัวขึ้นห้องแล้วปิดไฟล้มตัวลงนอนกับเตียงทันที และไม่ต้องปล่อยเวลาให้ยืดเยื้อไปมากกว่านี้ สติที่เลือนรางเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ค่อยๆหายไป จนหลุดเข้าไปในห้วงนิทราในที่สุด...
.
.
กริ๊งงงง~ เสียงแหลมจากนาฬิกาตั้งโต๊ะดังแยงหูให้คนที่กำลังนอนหลับอย่างสบายอยู่บนเตียงนุ่มรู้สึกรำคาญ เอื้อมมือไปหยิบนาฬิกาเจ้าปัญหาขึ้นมาดูเวลาก่อนจะกดปิดเสียงพร้อมทั้งค่อยๆยันกายลุกขึ้นนั่งช้าๆทั้งที่เปลือกตาหนักอึ้งดึงให้ประกบปิดกันสนิท ยกมือขึ้นกุมขมับนั่งตั้งสติด้วยสภาพผมเผ้ารุงรังก่อนจะลุกขึ้นพับผ้าห่มและจัดหมอนให้เข้าที่แล้วจึงเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างซวนเซ
หลังจากที่โดนน้ำเย็นๆรดราดผ่านกายไปได้สักพักก็เริ่มรู้สึกหูตาสว่างขึ้นมาทันที เวลาผ่านไปกว่าสิบนาทียูริจึงเดินออกมาจากห้องน้ำในชุดไปรเวท คว้ากระเป๋าสะพายและชุดยูโดขึ้นสะพายไหล่แล้วเดินลงบันไดไปอย่างเงียบเชียบ เนื่องจากวันนี้เป็นวันอาทิตย์ พ่อและน้องของเธอจึงหยุดอยู่บ้านพักผ่อน ร่างสูงจึงไม่ต้องการส่งเสียงรบกวนให้ต้องตื่นขึ้นมาอย่างหงุดหงิดใจ
แต่ทันทีที่ก้าวเท้าลงมาถึงชั้นล่างก็ต้องแปลกใจไม่น้อยเมื่อพบว่าผู้เป็นพ่อและน้องสาวของเธอนั่งรออยู่ด้านในครัวก่อนแล้ว โดยที่ซังวูตักโจ๊กร้อนๆขึ้นเป่าก่อนจะบรรจงป้อนลูกสาวคนเล็กทีละคำสองคำแล้วจึงเหลือบมาเห็นคนผิวเข้มก็ยกยิ้มขึ้น
“ตื่นแล้วเหรอ มานั่งกินข้าวก่อนสิ เดี๋ยวพ่อไปส่ง” เรียวคิ้วเข้มเลิกสูงอย่างแปลกใจ ก่อนจะทวนคำถามราวกับกลัวว่าเธอจะหูฝาดไป “ไปส่ง?”
“ก็ใช่สิ วันนี้มีแข่งไม่ใช่เหรอ พ่อกับโซก็เลยจะไปส่งแล้วก็ถือโอกาสเชียร์ด้วยเลย” ซังวูตอบพร้อมรอยยิ้มกว้างเช่นเคย น้องสาวของเธอเองก็ยกยิ้มให้เธอพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเจือยแจ้ว “ไปเชียร์พี่ยูลๆ”
“อ้อ...” ยูริได้แต่ตอบรับกลับไปสั้นๆก่อนจะเดินเข้ามานั่งร่วมโต๊ะแล้วตักอาหารในภาชนะเข้าปากอย่างไม่รีบร้อน ก่อนการแข่งขันไม่ควรทานอาหารให้อิ่มจนเกินไปร่างสูงจึงทานไปเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วซังวูก็เดินจูงมือโซฮยอนขึ้นรถโดยมียูริเดินรั้งท้าย ไม่นานนักทั้งสามคนก็มาถึงสถานที่ซึ่งเป็นจุดหมาย จองซูและรุ่นน้องที่เหลืออีกสามคนเมื่อเห็นสมาชิกคนสุดท้ายเดินเข้ามาพอดีก็กวักมือเรียก
“ยูริ มานี่เร็ว! ไปดูรายชื่อคู่แข่งได้แล้ว” รุ่นพี่ตะโกนบอกพลางชี้ไปยังบอร์ดขนาดใหญ่ซึ่งมีกระดาษจำนวนมากมายแปะรายชื่อผู้เข้าแข่งขันเกือบสองร้อยคนเรียงราย นัยน์ตาคู่คมสอดส่องมองไปรอบๆก็พบแต่นักกีฬาท่าทางบึกบึนและเจนสนาม หลายคนที่เริ่มวอร์มร่างกายซิทอัพด้วยใบหน้าจริงจัง ร่างสูงเดินเบียดผู้คนเข้าไปหยุดอยู่แถวหน้าๆเพื่อไล่สายตามองหาชื่อของตัวเอง
หลิว แอมเบอร์ โรงเรียนฮโยควา กับ ควอน ยูริ โรงเรียนมัธยมกงบุ
เรียวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันทันทีเมื่ออ่านจบ แอมเบอร์ งั้นเหรอ? ดูจากชื่อไม่น่าใช่คนเกาหลี... แต่จะตัดสินเพียงแค่นั้นก็คงไม่ได้ ดูจากเจสสิก้าสิ เป็นคนเกาหลีแท้ๆแต่ชื่อฝรั่งจ๋าขนาดนั้น ที่เธอสะดุดอีกครั้งคือนามสกุล หลิว? ยิ่งไม่น่าใช่คนเกาหลีเข้าไปใหญ่...
มือหนาของรุ่นพี่วางลงบนไหล่ยูริเบาๆพลางขยับใบหน้าเข้ามาใกล้บอร์ดพร้อมหรี่ตาเล็ก
“แอมเบอร์งั้นเหรอ ศึกหนักเลยนะยูริ” คนผิวเข้มเงยหน้าขึ้นเลิกคิ้วสูง
“รุ่นพี่รู้จักเหรอคะ?” อีกคนพยักหน้ารับ ก่อนจะเริ่มอธิบาย
“แอมเบอร์เป็นตัวเต็งของโรงเรียนฮโยควา โรงเรียนที่เน้นกีฬายูโดโดยเฉพาะ อายุก็น้อยกว่าเธอสามปีได้ล่ะมั้ง แต่ฝีมือนี่ดูถูกไม่ได้เลยล่ะ ปีที่แล้วก็เล่นงานพวกสายเขียวจนได้รับรางวัลชนะเลิศไปอย่างสวยงาม ลำบากหน่อยนะยูริ ต้องมาเจอแอมเบอร์ในการแข่งครั้งแรกแบบนี้”
เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันจนแทบเป็นปม พลางกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคออย่างยากเย็นเมื่อคนอายุมากกว่าพูดจบ การเต้นของหัวใจเริ่มถี่เร็วราวกับผ่านการวิ่งกรีฑามาหลายร้อยเมตร ต้องมาเจอคนเก่งแบบนี้ตั้งแต่ครั้งแรกเลยงั้นเหรอ แล้วอย่างนี้เธอจะไหวไหมเนี่ย!?
ฝ่ามือของรุ่นพี่ตบไหล่คนอายุน้อยกว่าเบาๆเพื่อเรียกสติกลับคืนมา อีกนัยหนึ่งเป็นเหมือนการให้กำลังใจโดยไม่พูดมันออกมาตรงๆ
“เธอแข่งเป็นคู่ที่ห้าสิบสินะ ไปเปลี่ยนชุดแล้ววอร์มร่างกายซะ อย่าคิดว่ากว่าจะถึงคิวตัวเองคงอีกนาน เพราะถึงนี่จะเป็นการแข่งของพวกมือสมัครเล่น แต่ก็มีพวกเก่งๆแฝงตัวมาอยู่เยอะเหมือนกัน”
“อย่างพี่ใช่ไหมครับ” แทคยอน รุ่นน้องตัวแสบที่แทรกตัวผ่านเข้ามายืนอยู่ระหว่างยูริและจองซูสวนขึ้นทันทีด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น เป็นผลให้โดนกระทุ้งบริเวณลำตัวด้วยข้อศอกไปเบาๆ เนื่องจากแทคยอนนั้นต้องลงแข่งเป็นอันดับที่สิบสอง รองประธานชมรมที่หมายจะกวาดเหรียญทองเข้าคลังโรงเรียนจึงไม่อยากกระทำรุนแรงกับนักกีฬาสังกัดตัวเองเสียเท่าไรนัก
“นายน่ะตัวดี ยังมาทำหน้าระรื่นอยู่อีก ไปเปลี่ยนชุดแล้วออกไปวิ่งเดี๋ยวนี้!” ว่าแล้วก็หันมาแว้ดใส่เสียงลั่นจนรุ่นน้องตัวดียกมือปิดหูแทบไม่ทัน เช่นเดียวกับยูริที่โดนลูกหลงจากพลังเสียงของจองซูเพราะอยู่แนวเดียวกับแทคยอน
“โอ้ย คร้าบ” แทคยอนใช้ปลายนิ้วก้อยแหย่เข้าไปในรูหูพร้อมขยี้เบาๆพลางสะบัดหน้าไปมาแสร้งไล่ความมึนงงจากพลังเสียงอันแสนหนวกหูที่ดังอื้ออึงอยู่ในสมองก่อนจะเดินเข้าเข้าห้องน้ำซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนั้นพร้อมชุดยูโดในมือ “อยู่ใกล้แค่นี้พูดเบาๆก็ได้ ขี้หูแทบจะออกมาเต้นแทงโก้อยู่แล้วเนี่ย”
“แล้วพี่จองซูไม่ไปเปลี่ยนชุดเหรอคะ” ยูริเองก็เริ่มมึนๆหูอื้อเพราะเสียงวิ้งๆแปลกๆที่ดังแว่วชวนหลอนประสาทเช่นกันอดถามไม่ได้เมื่ออีกคนยังคงยืนกอดอกมองไปที่แผ่นกระดาษรายชื่อด้วยสายตาเรียบนิ่ง
“อีกสักพักพี่ค่อยเปลี่ยน เธอไปก่อนเถอะ” คนอายุน้อยกว่าได้แต่พยักหน้ารับก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปเปลี่ยนชุดเช่นเดียวกันโดยไม่ได้โต้แย้งอะไร ทิ้งรุ่นพี่ชายยืนเพ่งพินิจรายชื่อคู่แข่งของตัวเองด้วยแววตาไม่อาจคาดเดาอารมณ์ได้
ปาร์ค จองซู โรงเรียนมัธยมกงบุ กับ คิม ยองอุน โรงเรียนมัธยมปลายนัมจา
...ไม่คิดว่าจะเจอกับนายเร็วขนาดนี้ ยองอุน...
.
.
ยูริออกมาวอร์มร่างกายได้พักใหญ่แล้วหลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นที่เรียบร้อย ซังวูและโซฮยอนเข้าไปนั่งประจำที่ของผู้เข้าชมการแข่งขันซึ่งอยู่สูงกว่าสนามแข่งขึ้นไปเพื่อให้มองเห็นทุกการกระทำของผู้เข้าแข่งขัน ผู้เป็นพ่อชี้มาทางเธอพร้อมพยักพเยิดกับเด็กน้อย ก่อนที่ทั้งคู่จะยกมือขึ้นโบกไปมาให้เธอเห็น ยูริจึงยกยิ้มขึ้นบางๆพลางยกมือรับเล็กน้อยแล้วจึงหันไปวอร์มร่างกายต่อ
ขณะที่เธอกำลังซิทอัพอยู่นั้นเอง ใครบางคนก็ก้าวเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างๆให้คนผิวเข้มชะงักเงยหน้าขึ้นมอง หากอีกคนไม่เอ่ยทัก ให้ยูริมองเพียงผิวเผินคงเข้าใจผิดไปแล้วว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆเธอนั้นเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งที่เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้เช่นกัน เนื่องจากผมซอยสั้นเข้ากับรูปหน้าของอีกคนเป็นอย่างดี อีกทั้งยังอยู่ในชุดยูโดสีขาวสะอาดกับสายโอบิสีเขียว
“คุณคือควอน ยูริใช่ไหมคะ” ยูริพยักหน้ารับอย่างงุนงง ก่อนอีกคนจะแนะนำตัวกลับไขข้อข้องใจของคนผิวเข้มพร้อมรอยยิ้มบางๆ อีกทั้งยื่นมือออกมาข้างหน้าอย่างเป็นมิตร “ฉันชื่อแอมเบอร์ คู่แข่งของคุณวันนี้ค่ะ ขอความกรุณาด้วยนะคะ”
เมื่อเห็นว่าคนอายุน้อยกว่าเดินเข้ามาหาแบบไม่มีพิษมีภัยหรือประสงค์ร้ายประการใด ยูริเองก็ไม่คิดขัดไมตรีที่อีกคนมอบให้ ยันกายลุกขึ้นแล้วยื่นมือออกไปกระชับมืออีกคนเบาๆพร้อมรอยยิ้มบางๆเช่นกัน
ทางด้านจองซูที่กำลังวิ่งอยู่ด้านนอกเองก็ต้องสะดุดกับใครบางคนที่ยืนอยู่ห่างจากตัวเองไปไม่เท่าไรเช่นกัน เรียวคิ้วขมวดมุ่นเมื่อเห็นรอยยิ้มบางๆของอีกคน ก่อนจะค่อยๆหยุดฝีเท้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าคนที่ตัวสูงกว่าเพียงไม่กี่เซน
“ไม่ได้เจอกันนานนะ จองซู” อีกคนเอ่ยทักหลังจากที่ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมอยู่พักใหญ่ “ไม่คิดว่าจะเป็นนายนะ คู่แข่งรอบแรกของฉัน”
“ใช่... ฉันก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะเป็นนาย... โลกมันกลมจนน่าเกลียดจริงๆเลยนะ” สีหน้าของอีกคนยังคงไม่แสดงอารมณ์ใดๆ “ยังเล่นยูโดอยู่อีกเหรอ ฉันนึกว่านายเบื่อมันแล้วซะอีก”
ยองอุนหัวเราะออกมาเบาๆ
“ฉันจะเบื่อมันได้ยังไง ในเมื่อนายเป็นคนสอนให้ฉันเองไม่ใช่หรือไง”
“สำคัญด้วยเหรอ ฉันก็เห็นนายเบื่อมันไปเสียทุกอย่าง...” แม้แต่ตัวฉัน จองซูได้แต่ต่อประโยคท้ายไว้ในใจ แม้สีหน้ายังคงเรียบนิ่งหากแต่แววตากลับเจ็บปวด ซึ่งก็ดูเหมือนว่าคนตัวสูงกว่าจะไม่พลาดที่จะเห็นภาพนั้น
“นายพูดซะฉันดูแย่เลย จองซู” รอยยิ้มกระตุกเล็กน้อย “ท่าทางดูดีกว่าสองปีก่อนเยอะเลยนี่ สบายดีสินะ นายน่ะ”
“ดี... ดีขึ้นเยอะ ไม่เคยรู้เลยว่าการอยู่โดยไม่มีนายมันจะสบายขนาดนี้” คำพูดประชดประชันของจองซูอาจดูเหมือนไม่ทำให้อีกคนสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย เมื่ออีกคนเอาแต่หัวเราะกลั้วเบาๆ แต่อันที่จริงนั้นใครเล่าจะรู้ ว่าคนตัวสูงกว่าก็รู้สึกเจ็บหนึบไม่แพ้คนช่างประชดเลยแม้แต่น้อย
“ปากคอเราะร้ายขึ้นเยอะเลยนะ แสดงว่าหมดเยื่อใยกับฉันแล้วจริงๆน่ะสิ... เสียใจจังเลย” คำพูดที่ขัดกับท่าทางนั้นเริ่มยั่วให้อารมณ์คุกรุ่นของอีกคนตีตื้นขึ้นทั้งที่พยายามเยือกเย็นได้อยู่นาน
“นายต้องการอะไรยองอุน นายทิ้งฉันไปเองไม่ใช่หรือไง แล้วยังจะมาพูดแบบนี้เพื่ออะไร” จองซูเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจขณะที่มือกำหมัดแน่นจนสั่น ก่อนที่สีหน้าของอีกคนจะเปลี่ยนไปเป็นเศร้าลงทั้งแววตาและท่าทาง อีกทั้งคำพูดยังเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ
“ฉันขอโทษจองซู ฉันรู้ว่าวันนั้นฉันทำร้ายนายไว้มาก... ผิดที่ทิ้งนายแล้วหนีมา ฉันแค่กลัวสายตาคนอื่น กลัวพ่อจะว่า กลัวแม่จะรับไม่ได้... แต่ตอนนี้ฉันอยากได้วันวานของเราคืนมา ฉันไม่คิดเลยว่าการไม่มีนายมันจะแย่แบบนี้... เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือเปล่า จองซู”
ประโยคสำนึกผิดที่เอ่ยด้วยสีหน้าแววตาและน้ำเสียงตัดพ้อเช่นนั้นทำเอาอีกคนถึงกับเขวไปไม่น้อย แต่เขาก็พยายามสลัดภาพตรงหน้านี้ออกไปแล้วนึกถึงวันที่โดนอีกคนทำร้ายเหยียบย้ำจิตใจด้วยคำพูดร้ายกาจนั้นขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อเป็นการเตือนสติย้ำคิดให้ไม่หลงงมงายไปกับคำหวานที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อหลอกลวงกันอีก
ไม่... นายโง่มาพอแล้วจองซู และจะไม่มีวันกลับไปเป็นไอ้โง่ถูกหลอกให้เจ็บช้ำอีก
“นายกำลังร้องขอในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นายก็รู้ดียองอุน... แล้วระหว่างนายกับฉัน มันไม่เคยมีคำว่าเรา จำเอาไว้ด้วย” สิ้นเสียงชายหนุ่มหันหลังเตรียมเดินกลับไป หากแต่ต้องชะงักเมื่ออีกคนเอ่ยรั้งเอาไว้ พร้อมทั้งยื่นเงื่อนไขที่ทำให้เขาต้องหันกลับมามองด้วยแววตารังเกียจ
“ไม่ๆ อย่าเพิ่งไป!... เรามาตกลงกันดีๆไม่ได้เหรอ? จริงสิ การแข่งครั้งนี้ถ้าฉันชนะ นายต้องกลับมาคืนดีกับฉัน โอเคไหม”
“รู้ไหมว่านายยิ่งพูดฉันยิ่งขยะแขยง นายต้องการแค่นี้เองเหรอ... สุดท้ายนายก็ไม่เคยมองเห็นมันเป็นความรัก นายเห็นมันเป็นแค่เกมสนุกๆที่รอดูผลแพ้ชนะอย่างเดียวเลยใช่ไหม... ฉันจะไม่ตกลงอะไรกับนายทั้งนั้น” ว่าแล้วก็หันหลังเดินหนีคนตัวสูงกว่าอีกครั้ง แต่ก็ต้องถูกรั้งแขนไว้ด้วยมือคู่หนาของยองอุน
อีกคนคว้าแขนเขาไว้พร้อมย่อตัวแทบจะคุกเข่าอยู่ตรงหน้า พร้อมส่งสายตาวิงวอนให้อย่างหมดคราบ
“ได้โปรด... เราเคยรักกันไม่ใช่เหรอ อย่าเย็นชา พูดตัดรอนกันแบบนี้เลย” หัวใจที่กลับมาเข้มแข็งได้อีกครั้งเริ่มสั่นไหว จองซูเบนหน้าไปอีกทางไม่ต้องการเห็นหน้าคนใจร้ายที่เคยทอดทิ้งกันไป อีกทั้งไม่อยากให้เขาเห็นว่าที่ดวงตาเอ่อคลอด้วยน้ำใสอุ่นที่เจ้าตัวกักมันเอาไว้ไม่ต้องการปล่อยให้มันรินไหล
ไม่มีประโยชน์ที่จะต้องเสียน้ำตาให้กับคนที่ไม่เห็นค่าของตัวเอง
เขาเสียน้ำตามามากพอแล้ว และจะไม่ยอมปล่อยให้มันไหลออกมาเพื่อคนตรงหน้าอีก
จองซูบิดข้อมือพยายามปลดพันธนาการจากคนเคยรัก หัวใจที่ถูกทำร้ายให้บอบช้ำดวงนี้จะไม่มีวันกลับไปยอมเจ็บเพื่อความรักโง่ๆอีกแล้ว ชายหนุ่มกล้ำกลืนเก็บน้ำตาลงไปในส่วนลึก พร้อมดึงเอาหน้ากากแห่งความเย็นชาออกมาจากก้นบึ้งขึ้นมาสวมใส่หันกลับมามองยองอุนด้วยสายตาว่างเปล่า ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสุดแสนจะเย็นชา
“ระหว่างเรา มันเคยมีคำว่ารักด้วยงั้นเหรอ” สิ้นเสียงจองซูสะบัดข้อมือออกอย่างแรง ซึ่งความเป็นจริงแล้วแทบไม่ต้องออกแรงก็สามารถสลัดมืออีกคนออกได้อย่างง่ายดาย เมื่อร่างสูงแทบจะคลายมือทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ชายหนุ่มเดินหนีจากไปอย่างไม่คิดหันกลับมาเหลียวแลยองอุนที่นั่งทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดแรง
.
.
รองประธานยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ใกล้ไหลออกมาเต็มที พร้อมทั้งสูดจมูกฟุดฟิดขณะเดินกลับเข้ามารวมกลุ่มกับรุ่นน้องทั้งสี่คนที่เหลือซึ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าวอร์มร่างกายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยูริซึ่งยืนเหยียดแขนบิดตัวไปมายืดหยุ่นร่างกายอยู่นั้นเมื่อเห็นรุ่นพี่ที่หายไปนานก็เอ่ยทักขึ้น
“รุ่นพี่? หายไปไหนมาคะ รอบของพี่เป็นคู่ที่สิบนะ นี่เขาเริ่มแข่งกับมาห้าคู่แล้วรู้หรือเปล่า” คนที่เพิ่งเดินกลับเข้ามารีบเปลี่ยนหน้าแสร้งตื่นตกใจเมื่อได้ยินคำบอกเล่าจากรุ่นน้องสาว
“อ้าว! จริงเหรอเนี่ย พี่แค่ออกไปวิ่งแป๊บเดียวแข่งกันไปห้าคู่แล้วเหรอ เร็วจังเลยนะ” เรียวคิ้วเข้มจากคนอายุน้อยกว่าเลิกสูง เมื่อเห็นว่าอีกคนพยายามเบนสายตากลอกไปมาอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งท่าทางยังดูลอกแลกพิกล ผิดจากอาการทั่วไปของรองประธานหนุ่มโดยสิ้นเชิง ยูริเอียงคอเล็กน้อยพลางหรี่ตาลงเพ่งพินิจเข้าไปในดวงตาของจองซู ก่อนจะยกนิ้วชี้ขึ้นชี้ไปยังดวงตาที่แดงเรื่อๆ
“นี่พี่ร้องไห้เหรอคะ!?”
“บ้า อย่างพี่เนี่ยนะจะไปร้องไห้ พี่ไม่ได้ขี้แยขนาดนั้นสักหน่อย... นี่! แทนที่จะเอาเวลามาสนใจพี่ เอาเวลาไปทบทวนท่าทุ่มแต่ละท่าที่เรียนมาจะดีกว่าไหม” คนตาแดงยกมือขึ้นคลำขอบตาตัวเองพลางเอ่ยเฉไฉ แต่ก็ไม่วายเสริมท้ายด้วยน้ำเสียงดุๆแบบไม่จริงจังนัก
“อิปป้ง3!!!” เสียงดังจากสนามแข่งเรียกความสนใจจากยูริและจองซูให้หันกลับไปยังการแข่งขันอีกครั้ง เมื่อกรรมการยกมือขึ้นสูงเหนือหัวและภาพนักกีฬาคนหนึ่งนอนหงายอยู่บนเบาะอย่างหมดสภาพ
“ฉันว่าพี่ต่างหากที่ต้องไปเตรียมตัว ฉันได้ยินมาว่าคู่แข่งของพี่เขาฝีมือพอๆกับพวกสายดำขั้นหนึ่งเลยนะคะ” ยูริหันมากล่าวกับอีกคนด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเป็นห่วง ให้อีกคนได้แต่พยักหน้าตอบรับ
เรื่องนั้นเขาย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ ต้องยอมรับว่ายองอุนเป็นคนมีพรสวรรค์ เรียนรู้ได้เร็วเพียงเวลาไม่กี่วันก็มีฝีมือเทียบเท่ากับพวกรุ่นพี่สายเขียวแล้ว
ใช่... ฝีมือร้ายกาจมาก ทั้งยูโด ทั้งหัวใจ
.
.
“ต่อไปเชิญนักกีฬาปาร์ค จองซูจากโรงเรียนมัธยมกงบุสวมชุดสีน้ำเงิน4 และนักกีฬาคิม ยองอุนจากโรงเรียนมัธยมปลายนัมจาเข้าประจำที่ค่ะ” สิ้นเสียงประกาศจองซูสาวเท้าเดินไปประจำตำแหน่งเพื่อชุดยูโดสีน้ำเงินซึ่งเป็นเครื่องหมายบอกฝ่ายขึ้นมาคาดเอวให้เรียบร้อย ก่อนจะก้าวเข้าไปหยุดอยู่หน้าเบาะ เขาก้มตัวลงโค้งเคารพครั้งหนึ่งแล้วจึงเดินขึ้นไปบนเบาะ เช่นเดียวกับยองอุนจนกระทั้งทั่งคู่ยืนหยุดเผชิญหน้ากัน
กรรมการที่อยู่ในชุดสีดำยกมือทั้งสองข้างขึ้นแล้วจึงทำสัญลักษณ์สั่งให้นักกีฬาทั้งสองโค้งทำความเคารพกัน ก่อนจะตะโกนออกคำสั่ง
“ฮาจิเมะ5!!” จองซูยกมือข้างหนึ่งขึ้นหมายจะคว้าเข้าที่คอเสื้อของอีกคน ทางด้านยองอุนเองก็เช่นเดียวกัน ทั้งคู่เดินวนไปรอบๆอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ฝ่ายน้ำเงินจะยื่นมืออกไปยึดคอเสื้อของฝ่ายขาวเอาไว้ได้ ทันทีที่คว้าปกคอเสื้อของยองอุนสำเร็จจองซูก็ออกแรงดึงกระชากคนตัวสูงกว่าให้เขยิบเข้ามาใกล้ ก่อนจะก้าวเท้าขวาของตนไปอยู่ด้านหน้าเท้าขวาของคู่แข่งแล้วหมุนตัวเข้าหา ขณะที่ใช้มือขวาม้วนคอเสื้ออีกฝ่าย เตรียมทุ่มอีกคนด้วยท่าโมราเทะ เซโออิ นาเกะ6 หากแต่ยองอุนนั้นกลับไหวตัวทันย่อเข่าลงและขืนตัวไว้ไม่โน้มตัวไปตามแรงของจองซู
แต่กลับจะซ้อนแผนด้วยท่าทาอิ โอ โทชิ7 แต่จองซูเองก็ไม่คิดจะยอมอ่อนข้อให้ง่ายๆ ทั้งคู่จึงออกแรงดึงกันไปมาอยู่พักใหญ่จนเริ่มเหนื่อยหอบ เหงื่อไหลซึมตามหน้าผาก ไรผมและแผ่นหลังจากเปียกโชก
“นายนี่... ฝีมือไม่เลวเลยนะ” ยองอุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงปนหอบพร้อมยกยิ้มบางๆ ขณะที่จองซูกลับยังตีหน้านิ่งทั้งที่ก็หายใจหอบไม่ต่างกัน
“นายต่างหากที่ไม่เอาจริง... อย่าดูถูกฉันนักสิ ยองอุน” ทั้งสองหยุดนิ่ง มีเพียงเท้าเท่านั้นที่ยังคงก้าวเดินวนไปรอบๆอย่างเหนื่อยล้า จนกระทั่งกรรมการตะโกนสั่งขึ้นอีกครั้ง
“มัตเตะ8!” นักกีฬาทั้งสองแยกออกจากกันทันทีก่อนที่กรรมการจะเดินเข้ามาตักเตือนเมื่อเห็นว่าทั้งคู่ไม่มีปฏิกิริยาที่จะต่อสู้หรือทุ่มอีกฝ่าย แล้วจึงออกคำสั่งเริ่มการแข่งขันอีกครั้ง
“สี่นาทีนี่นานจังเลยนะ9” ยองอุนเอ่ยขึ้นเบาๆให้ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้น
“อย่ายืดเยื้ออยู่เลย รีบๆทำให้มันจบๆไปดีกว่า” จองซูเอ่ยกระซิบเช่นกัน ก่อนจะใช้มือขวาดึงยองอุนอย่างแรงพร้อมถอยเท้าซ้ายไปด้านหลังเพื่อให้อีกคนเสียการทรงตัวมากขึ้น พร้อมทั้งหมุนตะโพกให้เท้าขวาผ่านด้านหน้าคนตัวสูงกว่าโดยให้นิ้วเท้าของตนเหยียด ใช้มือซ้ายดึงด้วยความแรงขณะที่เท้าขวากวาดพร้อมกับหมุนตัวไปทางด้านซ้าย จัดการทุ่มยองอุนด้วยท่าฮาอิราอิ โกชิ10 ทันที
ด้วยไม่ทันระวังตัวร่างสูงจึงตัวลอยไปตามแรงของจองซูก่อนจะล้มลงกระแทกเบาะอย่างแรง
“โกกะ11!” กรรมการยกมือข้างหนึ่งขึ้นเป็นสัญลักษณ์ จองซูไม่ปล่อยให้โอกาสทองนี้พลาด จัดการโน้มตัวลงไปเข้าท่าคามิ ชิโฮ กาทาเมะ12 ทันที
“โอซาเอะโกมิ!” คนที่อยู่ข้างใต้พยายามดิ้นคลุกคลักๆให้หลุดจากพันธนาการของอีกคน ขณะที่คนได้เปรียบนั้นออกแรงกดล็อกไม่ปล่อยยองอุนให้หลุดรอดออกไปได้
“เก่งขึ้นเยอะเลยนะ จองซู” เสียงเหนื่อยหอบจากคนข้างใต้ลอดผ่านให้อีกคนได้ยิน “สู้จะเป็นจะตาย ไม่อยากแพ้ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“...ใช่ ฉันไม่อยากแพ้” คนตัวสูงกว่าหัวเราะออกมาเบาๆทั้งที่แทบจะไม่มีแรงเหลืออยู่แล้ว
“ก็แค่การแข่งของพวกมือสมัครเล่น จะจริงจังไปหน่อยล่ะมั้ง”
“เปล่าเลยยองอุน...” จองซูเอ่ยกระซิบ “ฉันไม่ได้อยากชนะการแข่งครั้งนี้... ฉันแค่ไม่อยากแพ้นายต่างหาก”
เรี่ยวแรงที่ดิ้นรนเมื่อครู่หยุดชะงักลงก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นแน่นิ่งชนิดที่คนได้เปรียบถึงกับงุนงง คนตัวสูงกว่ายกยิ้มขึ้นบางๆก่อนจะตัดสินใจใช้ฝ่ามือตบเบาะสามถึงสี่ครั้ง
“อิปป้ง!” สิ้นเสียงจองซูก็ผละออกจากอีกคนแทบจะทันที เรียวคิ้วขมวดกันมุ่น นึกฉงนไม่เข้าใจท่าทีของอีกคนเลยแม้แต่น้อย
ถ้าเอาจริงเอาจังกว่านี้ คนอย่างยองอุนสามารถพลิกตัวขึ้นมาอยู่เหนือเขาได้แท้ๆ แต่อีกคนกลับไม่ทำ มันเป็นเพราะอะไรกัน?
ผู้ตัดสินยกมือข้างหนึ่งขึ้น ฝ่ามือหันเข้า สูงกว่าระดับหัวไหล่ไปทางจองซู เป็นการสิ้นสุดการแข่งขัน
.
.
หลังจากทั้งคู่เดินลงจากสนามแข่ง ผู้ชนะในรอบนี้ไม่ได้แสดงสีหน้าดีอกดีใจเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับหน้าบึ้งคิ้วขมวดราวกับโกรธใครมาสิบปีสิบชาติชนิดที่รุ่นน้องทั้งสี่ถึงกับไม่กล้าเอ่ยทัก ได้แต่ยืนรอต้อนรับอีกคนด้วยความเงียบปิดปากแน่น จองซูเดินอ้อมไปหาคู่แข่งของตนทันทีด้วยท่าทางปั้นปึง ก่อนจะกระชากคอเสื้ออีกคนอย่างแรง
“นี่มันหมายความว่ายังไง ฉันไม่ได้ต้องการความสงสารให้นายมาอ่อนข้อให้ฉันนะ!” คนบริเวณรอบข้างถึงกับงุนงงยืนเก้ๆกังๆทำอะไรไม่ถูก ร้อนถึงชายวัยกลางคนทั้งสองซึ่งเป็นที่ปรึกษาจากโรงเรียนของคู่กรณีทั้งคู่ต้องเข้ามาไกล่เกลี่ยให้จองซูปล่อยคอเสื้ออีกคน แต่ดูเหมือนชายหนุ่มจะไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยจนยองอุนต้องยกมือขึ้นห้ามที่ปรึกษาทั้งสอง
“ไม่เป็นไรครับ ขอผมคุยกับจองซูสักครู่ได้ไหม ครูจองมยอน ครูดงวอน”
.
.
จองซูผลักไหล่อีกคนเสียจนเซถอยไปด้านหลังโดยที่คนตัวสูงกว่าไม่คิดจะโต้ตอบแต่อย่างใด แววตาขุ่นเคืองของร่างโปร่งยังคงจ้องเขม็งมาที่เขาอย่างไม่ลดละ
“นายต้องการอะไร การแข่งห่วยๆเมื่อกี้มันหมายความว่ายังไง! ยอมแพ้ฉันเนี่ยนะ! เพื่ออะไรวะ!!” ชายหนุ่มยังคงผลักไหล่อีกคนทุกประโยคที่เอ่ยออกมา อารมณ์ที่คุกรุ่นยังคงสร้างความปั่นป่วนในกายเขาอยู่เสมอ ยิ่งการแข่งเมื่อครู่ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิด ยองอุนต้องการอะไรถึงได้ยอมอ่อนข้อให้เขาง่ายๆอย่างนี้
“นายบอกนายไม่อยากแพ้” ร่างสูงตอบเสียงเรียบด้วยใบหน้านิ่งเฉย ทั้งที่แววตากลับฉายแววตัดพ้อ
“แต่ฉันไม่อยากชนะแบบนี้!! รู้ไหมว่ามันไม่ภูมิใจเลยสักนิด ที่ชนะเพราะนายยอมให้กัน!! ถ้านี่คือเหตุผลของนายล่ะก็ รู้ไว้ซะว่ามันทำฉันรังเกียจนายจนแม้แต่หน้าก็ไม่อยากจะมอง!” คำพูดแสนเจ็บแสบเปรียบเหมือนถูกเกลือทาลงบนบาดแผลสด เพราะมันทำให้คนฟังทรมานแทบตายทั้งเป็น ร่างสูงก้มหน้าลงต่ำยืนนิ่งปล่อยให้อีกคนด่าทอสารพัด ด้วยสำนึกในความผิดที่เคยทำร้ายชายหนุ่มไว้เมื่อครั้งก่อน
“พูดอะไรบ้างสิวะ!! พูดสิ!! หาข้ออ้าง ข้อแก้ต่างที่จะทำให้ตัวเองดูดีขึ้นมา!! ของถนัดไม่ใช่หรือไง!!” จองซูกระชากคอเสื้ออีกคนพร้อมเขย่าอย่างแรง ตวาดใส่เสียงลั่นอย่างไม่คิดเกรงใจใคร
“ฉันไม่ได้ต้องการแก้ตัวนะ... ไม่ใช่เลย” ยองอุนช้อนตาที่เอ่อล้นด้วยน้ำใสให้อีกคนหัวใจกระตุก “การแข่งไม่ว่าจะครั้งนี้หรือครั้งไหน ฉันไม่ปฏิเสธเลยว่าต้องการชนะ อย่างที่นายก็รู้ว่าฉันเกลียดความพ่ายแพ้...”
ร่างโปร่งยืนฟังนิ่งพร้อมทั้งมองไปที่ขอบตาเริ่มแดงเรื่อด้วยความรู้สึกหลากหลาย ก่อนที่อีกคนจะเริ่มต้นอธิบายด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ฉันอยากชนะการแข่งครั้งนี้... แต่ฉันก็ไม่อยากให้นายต้องแพ้” น้ำอุ่นไหลอาบแก้มช้าๆ “มีสิ่งหนึ่งที่ฉันอยากจะให้นายรู้เอาไว้นะ จองซู... ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ นายก็สามารถเอาชนะฉันได้เสมอ ไม่ว่าจะยูโด หรือหัวใจก็ตาม”
.
.
ร่างโปร่งเดินกลับเข้ามารวมกลุ่มกับรุ่นน้องทั้งสามคนอีกครั้ง ส่วนแทคยอนนั้นอยู่ในสนามแข่งกำลังดึงกระชากกับชายหนุ่มอายุไล่เลี่ยกันอย่างสูสี ทันทีที่เห็นรุ่นพี่ก้าวเข้ามามินจีก็เอ่ยทักขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“พี่จองซู! เป็นยังไงบ้างคะ ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกัน” คนอายุมากกว่ายกยิ้มอย่างฝืนๆพลางส่ายหน้าช้าๆเป็นคำตอบ
“รุ่นพี่ครับ พวกเราเป็นเหมือนพี่น้องกันไม่ใช่เหรอ มีเรื่องอะไรก็บอกคนในครอบครัวบ้างสิครับ อย่าเก็บมันไว้คนเดียวเลย” ซีวอนเอ่ยขึ้นบ้างด้วยรู้สึกเป็นห่วงรุ่นพี่ชายเช่นกัน
“นั่นสิคะ ทำหน้าอมทุกข์แบบนี้ไม่สมกับเป็นพี่เลย” ยูริเองที่ปกติไม่ค่อยจะสนใจหรือยุ่งเรื่องของใครเองก็เอ่ยขึ้นเช่นกัน คนอายุมากกว่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะละมือที่กำราวเหล็กกั้นเขตสนามแข่งไว้ก้าวถอยออกมายืนห่างจากจุดเดิมโดยมีรุ่นน้องทั้งสามคนทยอยเดินตามมาช้าๆ
“ไม่รู้ว่าพี่ควรจะบอกพวกเธอไหม... มันเป็นเรื่องบ้าๆ เรื่องที่ไม่ปกติของผู้ชายทั่วไป” จองซูเอ่ยด้วยท่าทีเป็นกังวล เขารู้ว่าความรักของเขามันไม่เหมือนความรักของคนทั่วไป เขากลัวรุ่นน้องจะรับไม่ได้... แต่เขาก็ไม่มีอะไรจะต้องเสียแล้ว เขาผ่านสายตารังเกียจจากคนรอบข้างมามากพอจนกลายเป็นภาพชินชาสำหรับร่างโปร่งไปเสียแล้ว “พี่เคยคบกับเขา... ยองอุนน่ะ”
ซีวอนและยูริเลิกคิ้วสูง ขณะที่มินจีเบิกตากว้าง
“หมายถึง... พี่รักเขาเหรอครับ?” ชายหนุ่มพยักหน้าเป็นคำตอบก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องของตนต่อไป
“ใช่... พี่รู้ๆ มันแปลกใช่ไหมล่ะที่พี่รักผู้ชายแทนที่จะเป็นผู้หญิงสักคน แต่ใช่ พี่รักยองอุน รักมาตั้งแต่สมัยม.ต้น...”
.
.
จองซูรู้จักกับยองอุนตั้งแต่สมัยมัธยมต้น ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน ตัวติดกันอย่างกับปาท่องโก๋ ชนิดที่เห็นร่างสูงที่ไหนเป็นต้องเห็นจองซูที่นั่น ตลอดเวลาที่รู้จักกันร่างโปร่งรู้สึกพิเศษกับเพื่อนสนิท เป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยรู้สึกกับใครอื่นมาก่อนนอกจากร่างสูงที่คอยอยู่ข้างกาย
ใช่... มันคือรัก
จองซูแทบไม่เชื่อตัวเองว่าเขารักยองอุน เขารักผู้ชายด้วยกันงั้นเหรอ!? ไม่ๆ นี่มันต้องเป็นเรื่องผิดพลาดอะไรสักอย่างแน่ๆ ร่างโปร่งต่างหยิบยกข้ออ้างต่างๆนานาขึ้นมาเพื่อใช้เปลี่ยนความคิดของตัวเอง เขาอาจจะสนิทกับร่างสูงมากเกินกว่าเพื่อนคนอื่นก็ได้ หรืออาจจะชื่นชม...
ใช่แล้ว เพื่อนสนิทของเขามีอะไรให้น่าปลาบปลื้มเยอะแยะจะตายไป
เป็นคนมีพรสวรรค์ หน้าตาดี กีฬาเก่ง... ใช่แล้ว อาจเป็นเพียงความปลื้มที่มีต่อยองอุนก็ได้ ไม่ใช่ความรักหรอก ไม่มีทาง... แต่ยิ่งจองซูคิดแก้ต่างความรู้สึกของตัวเองมากเท่าไหร่ กลับยิ่งเหมือนการโกหกตัวเองมากขึ้นเท่านั้น เขาไม่พอใจที่เห็นยองอุนอยู่กับผู้หญิงคนอื่น เขาไม่ชอบใจเลยที่ยองอุนแสดงท่าทีสนใจใครสักคน
นี่เขาหึงเพื่อนตัวเองเหรอ!? ตกลงเขารักยองอุนจริงๆใช่ไหม!?
ไม่... พ่อแม่ของเขาต้องไม่ชอบแน่หากรู้เรื่องนี้ แน่นอนยองอุนด้วย ร่างสูงต้องมองเขาด้วยสายตารังเกียจที่รู้สึกกับยองอุนมากกว่าเพื่อน ต้องไม่ชอบใจแน่ๆที่รู้ว่าเพื่อนสนิทของตัวเองเป็นพวกผิดปกติ
แค่นึกถึงใบหน้าและสายตารังเกียจของร่างโปร่งที่มองมายังเขา กับสิ่งที่เรียกตัวเองว่าพวกผิดปกติเท่านั้น หัวใจก็เจ็บช้ำอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เหมือนถูกบีบรัดด้วยมือที่มองไม่เห็น ปวดร้าวจนไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น
ไม่... เขาไม่อยากเป็นอย่างนี้
เขาควรทำอย่างไรดี?
ตลอดเวลาที่คบกันในฐานะเพื่อนทำให้เขารู้สึกได้หลากหลาย ร่างสูงสอนหลายสิ่งให้กับเขา ทั้งความรู้สึกสุข เศร้า เหงา ทุกข์ ร่างโปร่งแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนเพียงคนเดียวสามารถมีอิทธิพลกับเขาได้มากขนาดนี้ เป็นเพียงคนเดียวที่ทำให้เขาร้องไห้ได้แม้ว่าก่อนหน้านี้จะสุขใจมากแค่ไหน เป็นคนเดียวที่ทำให้เขาหัวเราะได้แม้จะทุกข์เพียงใด
เขารักยองอุนอย่างที่สุด จนกล้าที่จะบอกความรู้สึกของตัวเองออกไป
วินาทีแรกที่คำว่ารักหลุดออกจากปากนั้น จองซูเตรียมใจพร้อมรับความผิดหวังและการถูกมองด้วยสายตารังเกียจไว้แล้ว แต่ผลที่ได้กลับผิดคาดเมื่อชายหนุ่มเพื่อนรักกลับตอบรับความรู้สึกของเขาด้วยการตกลงคบกับเขา
เป็นความสุขล้นที่สุดที่ผู้ชายคนหนึ่งจะรู้สึกได้
สถานะของจองซูและยองอุนได้เปลี่ยนไปจากเพื่อนรักกลายเป็นคนรักตั้งแต่วันนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่ดูจะเป็นไปอย่างราบรื่น ชายหนุ่มทั้งสองไม่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันให้ต้องทุกข์ใจ กระทั่งเวลาผ่านไปจวบจนจองซูและยองอุนเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นปีที่สาม
“จองซู ฉันว่าเราเลิกกันดีกว่า” ประโยคที่ทำเอารอยยิ้มกว้างจากงานเลี้ยงส่งเด็กม.ต้นและม.ปลายปีสามถึงกับจางหลายไปอย่างรวดเร็ว ถูกแทนที่ด้วยความงุนงงระคนกับเจ็บหนึบที่หัวใจอย่างประหลาด เขาเค้นถามหาถึงเหตุผลจนคนรักเริ่มทนไม่ไหวระเบิดใส่อย่างอัดอั้น
“ไม่เข้าใจเหรอจองซู! ความรักระหว่างเรามันเป็นเรื่องผิดปกติ! เราไม่เหมาะสมกันหรอก ผู้ชายมันต้องคู่กับผู้หญิง!! นายคิดว่าความรักแบบนี้มันจะยั่งยืนสักแค่ไหนกัน!! เราจบความสัมพันธ์กันแค่นี้เถอะ ก่อนที่เราจะต้องเจ็บไปมากกว่านี้... ฉันจะย้ายไปเรียนต่อที่นัมจา ลาก่อนจะจองซู”
.
.
“หลังจากวันนั้นพี่ก็ไม่ได้พบเขาอีก พี่พยายามติดต่อเขาแต่เขากลับเงียบหายไปเฉยๆ เหมือนจงใจหายไปจากชีวิตพี่ จนกระทั่งการแข่งวันนี้ที่ตัวพี่เองก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องสู้กับเขา” เรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดออกมาให้คนอายุน้อยกว่าทั้งสามคนอดรู้สึกเห็นใจรุ่นพี่ชายของตนไม่ได้
ก็ทั้งที่รักมากขนาดนั้น แต่กลับต้องมาเลิกกันเพราะเหตุผลว่ามันเป็นไปไม่ได้
“หายหน้าหายตาไปไม่คิดจะติดต่อกลับมา จนวันนี้ วันที่หัวใจที่แตกสลายไปประกอบขึ้นใหม่อีกครั้ง เขาก็กลับมาขอให้เรามาคบกันเหมือนก่อน... พี่บอกตรงๆเลย ต่อให้รักเขามากแค่ไหน แต่สุดท้ายพี่ก็รักตัวเองมากกว่าจะกลับไปให้เจ็บช้ำอีก” เสียงทอดถอนหายใจดังขึ้นหลังจากเอ่ยจบประโยค
ใช่... เขาเหนื่อยมาพอแล้ว และก็ล้าเกินกว่าจะหันหลังกลับไป
เขาไม่อยากแพ้ให้กับหัวใจที่อ่อนแอของตัวเอง ไม่อยากเป็นคนโง่งมในรักอีกแล้ว
พอทีกับความเจ็บช้ำ... เขาขอรักตัวเองเสียดีกว่ารักคนใจร้ายแบบนั้น
ทุกอย่าง มันจบแล้ว
--------------------------------------
โทโมเอะ นาเกะ1 (TOMOE-NAGE) หรือท่าทุ่มยันท้อง
วิธีการทุ่ม
1 ถอยเท้าขวาไปด้านหลังพร้อมดึงคู่ต่อสู้เข้ามา ทำให้คู่ต่อสู้เสียการทรงตัวมาด้านหน้า
2 ย่อเข่าซ้ายลงให้ต่ำที่สุดยกเท้าขวายันบริเวณท้องน้องหรือบริเวณขาอ่อน
3 ทิ้งตัวนอนลงใช้มือทั้งสองยกขึ้น และพยายามส่งตัวคู่ต่อสู้ไปทางด้านศีรษะของเรา
4 เหยียดเท้าขวาซึ่งยันอยู่บริเวณหน้าท้องของคู่ต่อสู้ให้สุด และใช้มือทั้งสองส่งคู่ต่อสู้ไปทางศีรษะ
5 จากการเสียการทรงตัวเพราะการดึงของเรา และใช้เท้าขวายันทันทีที่เหยียดเท้าออกไป คู่ต่อสู้จะลอยข้ามศีรษะ
วิทยาลัยยูโดแห่งประเทศเกาหลี2 ตั้งอยู่ในกรุงโซล เริ่มก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1953 ผู้อำนวยการวิทยาลัยคนแรกคือ พลเอกลี บอมซุก ก่อนหน้าที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 27 เมษายน 1956 ได้กำหนดหลักสูตรวิทยาลัยเป็น 4 ปี ต่อมาปี 1958 มร.ลี เจควาน เป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยในปี ค.ศ. 1971 รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการเกาหลีใต้รับรองวิทยาลัยนี้ มีศักดิ์และสิทธิเทียบเท่ามหาวิทยาลัย เป็นสภาบันที่สร้างนักยูโดทีมชาติเกาหลี ขึ้นสู่ระดับชนะเลิศโอลิมปิคเป็นจำนวนมาก
อิปป้ง3 (IPPON) กรรมการจะประกาศอิปป้ง เมื่อเขาคิดว่าเทคนิคที่นำมาใช้สอดคล้องกับกฎดังกล่าว :
ก. เมื่อผู้แข่งขันทุ่มคู่ต่อสู้อย่างมีการควบคุม ให้ผู้แข่งขันลงสู้พื้นเต็มหลังด้วยความแรง และความเร็วที่เหมาะสม
ข. เมื่อผู้เข้าแข่งขันทำการจับเวลากับผู้แข่งขันอีกคน ซึ่งไม่สามารถหนีออกมาเป็นเวลา 25 วินาที หลังจากการประกาศโอซาเอะโกมิ
ค. เมื่อผู้แข่งขันยอมด้วยการตบเบาะสองครั้งหรือมากกว่าด้วยมือหรือเท้า หรือพูดว่า ยอมแพ้ (มาอิตะ) จากผลของการจับเวลา การรัดคอ หรือการหักแขน
ง. เมื่อผู้แข่งขันไม่สามารถแข่งขันได้เพราะผลจากการรัดคอหรือหักแขน
โอซาเอโกมิ (OSAE-KOMI) คือการจับเวลา
อิปป้ง ทั้งหมด 25 วินาที
วาซาอาริ 20 วินาที หรือมากกว่าแต่น้อยกว่า 25 วินาที
ยูโกะ 15 วินาที หรือมากกว่าแต่น้อยกว่า 20 วินาที
โกกะ 10 วินาที หรือมากกว่าแต่น้อยกว่า 15 วินาที
ท่าโอซาเอะโกมิ น้อยกว่า 20 วินาทีจะถูกนับว่าเป็นเหมือนการเข้ากระทำ 1 ครั้ง
ชุดยูโดสีน้ำเงิน4 ผู้แข่งขันจะใส่ชุดยูโดสีน้ำเงินหรือสีขาว (ผู้แข่งขันที่ถูกเรียกก่อนจะใส่ชุดยูโดสีน้ำเงิน ผู้แข่งขันคนที่สองจะใส่ชุดยูโดสีขาว)
ฮาจิเมะ5 (HAJIME) การสั่งเริ่มการแข่งขัน
โมราเทะ เซโออิ นาเกะ6 (MORATE SEOI NEGE) หรือท่าทุ่มหัวไหล่สองแขน
พยายามใช้มือซ้ายดึงคู่ต่อสู้ให้เสียการทรงตัวมาด้าน หน้าขวา ขณะที่ก้าวเท้าขวาของเราให้อยู่หน้าเท้าขวาของคู่ต่อสู้ห่างกันพอประมาณหมุน ตัวเข้าหา ขณะที่ใช้มือขวาม้วนเสื้อของคู่ต่อสู้ ให้ส้นเท้าของเราหันเข้าหากันและห่างกันพอประมาณ หมุนตัวไปทางด้านซ้ายต่อไป พร้อมทั้งสะบัดหน้าไปทางด้านซ้าย ใช้มือทั้งสองของเราดึงคู่ต่อสู้ไปทางไหล่ขวา
ทาอิ โอ โทชิ7 (TAI O TOSHI) หรือท่าทุ่มเหยียดขาขวารั้ง
เมื่อคู่ต่อสู้ก้าวเท้าขวาของเขามาข้างหน้า ใช้มือซ้ายของเราดึงเข้าหาตัวเรา พร้อมถอยเท้าซ้ายไปด้านหลังทางขวาของเรา ทั้งนี้เพื่อให้คู่ต่อสู้เสียการทรงตัวมาด้านหน้าทางขวาของเขา ในขณะเดียวกันเท้าซ้ายของเขาจะถอยจากพื้นเพราะการดึงของเรา เหยียดเท้าขวาออกมาขวางเท้าขวาของคู่ต่อสู้โดยใช้นิ้วเท้าจิกลงกับพื้น มือซ้ายยังคงดึงต่อไป และใช้มือขวาดันบริเวณต้นคอด้านซ้ายของคู่ต่อสู้ จะทำให้คู่ต่อสู้ลอยเท้าเท้าเราไป
มัตเตะ8 คำสั่งหยุด
ระยะเวลาการแข่งขัน9 สำหรับการแข่งขันระดับโลก และการแข่งขันโอลิมปิกของการแข่งขันคือ
ระดับทั่วโลก ชายและหญิง เวลาการแข่งขันจริง 5 นาที
ระดับเยาวชน ชายและหญิง เวลาการแข่งขันจริง 4 นาที
ผู้แข่งขันมีสิทธิ์พัก 10 นาทีระหว่างการแข่งขัน
ฮาอิราอิ โกชิ10 (HAIRAI GOSHI) หรือท่าทุ่มกวาดขาทุ่มตะโพก
เป็นท่าทุ่มในประเภทของท่าทุ่มตะโพกลอย ซึ่งคล้ายคลึงกันมาก ท่าทุ่มตะโพกลอยนั้นเป็นท่าที่ปรมาจารย์ยูโดมีความชำนาญเป็นพิเศษจึงเพิ่ม วิชาการใช้เท้าเข้าขวางและกวาด เพื่อกันคู่ต่อสู้หลบหนีในท่าทุ่มตะโพกลอย
หมายเหตุ เพื่อให้ง่ายแก่การทุ่มคู่ต่อสู้ จุดสำคัญของท่านี้คือต้องดึงคู่ต่อสู้ให้เสียการทรงตัวมาแนบกับตะโพก ในขณะที่กำลังพยายามหมุนตัวทุ่มนั้น ใช้มือซ้ายดึงและใช้มือขวาดันอย่างแรงจะเป็นเหตุที่ทำให้ คู่ต่อสู้เสียการทรงตัวจึงถูกทุ่ม
โกกะ11 ผู้ตัดสินจะประกาศ โกกะ เมื่อในความคิดของเขา เมื่อเทคนิคที่ใช้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ดังกล่าว
ก. ทุ่มคู่ต่อสู้โดยไหล่ น่อง หรือตะโพก ลงพื้นอย่างมีการควบคุม ด้วยความเร็วและแรง
ข. เมื่อผู้เข้าแข่งขันทำการจับเวลาและคู่ต่อสู้ไม่สามารถหนีหลุดเป็นเวลา 10 วินาทีหรือมากกว่า แต่ไม่น้อยกว่า 15 วินาที
เทียบเท่า – ถ้าผู้แข่งขันคนหนึ่งถูกทำโทษหนึ่งชิโดะ (การลงโทษสถานเบา) ผู้แข่งขันอีกคนจะได้รับ โกกะ ทันที
แม้ว่าจะได้รับ โกกะ เท่าไหร่ก็แล้วแต่ ไม่มีจำนวนที่สามารถเทียบเท่า ยูโกะ หรือ วาซาอาริ จำนวนที่ถูกประกาศจะถูกบันทึกไว้
การทุ่มคู่ต่อสู้โดยที่ส่วนข้างหน้าของลำตัว หัวเข่า มือ หรือศอก ลงพื้นจะถูกนับเหมือนกับการบุกแบบอื่นๆ คล้ายๆกับ โอซาเอะโกมิ ถึง 9 วินาที จะนับเป็นการบุก
คามิ ชิโฮ กาทาเมะ12 (KAMI SHIHO GATAME) หรือท่าจับทางศีรษะ (หนึ่งในท่าจับตรึง)
จะกระทำได้สะดวกเมื่อสามาระเคลื่อนตัวไปทางศีรษะของ คู่ต่อสู้ ใช้แขนทั้งสองรวบแขนทั้งสองของคู่ต่อสู้ให้แนบ โดยใช้มือทั้งสองจับที่สายคาดเอวของเขา ใช้หัวเข่าทั้งสองตั้งกับเบาะยูโด โดยให้นิ้วเท้าจิกกับเบาะด้วยเพื่อง่ายแก่การเคลื่อนไหวของเท้า เมื่อคู่ต่อสู้พยายามที่จะดิ้นให้หลุด
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ