::+:: Mistake... ฉันขอโทษ ::+:: [Yuri]
9.7
5) ความผิดครั้งที่ 4 :: สัญญา...
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความความผิดครั้งที่ 4 :: สัญญา...
หลังจากจัดการอะไรต่อมิอะไรเรียบร้อยแล้วยูริก็สะพายกระเป๋าพร้อมทั้งชุดยูโดเดินลงบันไดลงยังห้องชมรมตัวเองทันทีด้วยสภาพเนื้อตัวเปียกปอนไม่ต่างจากลูกหมาตกน้ำ และเมื่อนึกถึงต้นเหตุก็ทำเอาอดรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้จนต้องพยายามสลัดเอาเรื่องรกสมองออกก่อนมันจะเข้าไปตีกันให้วุ่นวายหนักหัวเสียเปล่าๆ
ทันทีที่คนตัวยาวก้าวเข้ามาถึงห้องซ้อมที่ค่อนข้างมืดทึบและเต็มไปด้วยคราบฝุ่นจับเกาะกันหนาบนเบาะทำเอาคนที่มีปัญหาโรคภูมิแพ้อย่างยูริต้องนึกคัดจมูกหายใจติดขัดขึ้นมาเสียทุกที ยูริก็สังเกตว่าขณะนี้เพื่อนร่วมชมรมรวมไปถึงรุ่นพี่เปลี่ยนเสื้อผ้าและเริ่มวอร์มร่างกายกันก่อนแล้ว หนึ่งในนั้นหันมาเห็นเธอเข้าพอดีขณะที่กำลังซิทอัพอยู่ก็เอ่ยทักขึ้นมาทันที
“มาเร็วนิวันนี้ แต่ก็ยังช้าอยู่ดีนะยูริ” คนมาใหม่ถึงกับเลิกคิ้วสูงขณะถอดรองเท้าก้าวเข้ามาภายในห้องชมรมแล้วจึงเดินไปวางกระเป๋าสะพายลงกองๆกับสัมภาระของคนอื่นๆพร้อมทั้งดึงสายคาดเอวสีขาวออกเตรียมสวมชุดขึ้นเบาะ
“วันนี้เริ่มซ้อมเร็วจังเลยนะ รุ่นพี่ปีหนึ่งวันนี้ไม่มีเรียนเหรอคะ” ร่างสูงเอ่ยถามทั้งๆที่ผลุบหายเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะได้ยินเสียงรุ่นพี่คนเดิมตอบกลับมาเสียงติดจะหอบเล็กน้อย
“เปล่าหรอก ที่จริงก็มีล่ะนะแต่ครูจองมยอนเค้าเปลี่ยนให้เป็นการทดสอบสมรรถภาพแทนน่ะ เพราะการแข่งขันใกล้ครั้งแรกของปีเข้ามาแล้ว ครูเค้าก็เลยฟิตพวกนักกีฬาอย่างพวกเราให้หนักๆหน่อย จะได้ไม่ไปขายขี้หน้าเค้าอย่างปีก่อนๆ” ประโยคที่ได้รับตอบกลับมาจากรุ่นพี่ทำเอายูริถึงกับชะงักเล็กน้อย
...เดี๋ยวนะ นักกีฬา? พวกเรา?...
“เอ่อ รุ่นพี่คะ พวกเราที่ว่านี่... หมายถึงใครคะ” อดถามด้วยใจหวั่นๆเล็กน้อยไม่ได้ แต่คำตอบที่ได้กลับมาทำเอาคนถามถึงกับเบิกตากว้างอย่างตื่นๆ
“ก็หมายถึงเธอ ฉัน แทคยอน ซีวอน แล้วก็มินจีไง”
“เฮ้ย!” ยูริถึงกับร้องลั่นให้รุ่นพี่คนเดิมเอ็ดเข้าให้
“เบาๆสิยูริ จำมารยาทในห้องยูโดไม่ได้หรือไง ห้ามพูดเสียงดัง ไม่งั้นถูกทำโทษวิดพื้นห้าสิบที”
“ขอโทษค่ะ...” คนอายุน้อยกว่ารีบแต่งตัวผูกสายคาดเอวให้เรียบร้อยก่อนจะออกมาพูดกับรุ่นพี่อีกครั้งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “แต่รุ่นพี่ ฉันเพิ่งจะเข้ามาซ้อมได้ไม่เท่าไหร่เองนะคะ จะให้ไปลงแข่งเลยนี่มันก็ออกจะ...”
“โอ้ย เครียดอะไรให้มากความ คิดอะไรให้ปวดหัวฮึ! ยูริ มันก็แค่การแข่งขันของมือสมัครเล่น ไปแข่งเอาประสบการณ์เท่านั้นเอง ครูจองมยอนแกก็โอเวอร์ไปงั้นเองแหละน่า” คนอายุมากกว่ายันตัวลุกขึ้นยืนและเดินมาใกล้พลางยืดแขนไปคล้องคอรุ่นน้องทันที “อีกอย่าง มีเวลาอีกตั้งสองวันแน่ะ”
“สองวัน!? พี่จะบ้าเหรอ สองวันเนี่ยนะ!?” เป็นใครได้ยินอย่างนี้ก็ต้องโวยเหมือนกันทั้งนั้น ดูคุณรุ่นพี่จอมทะเล้นนี่สิ พูดได้แบบไม่เห็นใจรุ่นน้องอย่างเธอเลยสักนิด
“แน่ะ! ในห้องยูโดห้ามพูดคำหยาบ เธอจะโดนอีกหนึ่งข้อหาแล้วนะยูริ”
“เอ๋! แต่ฉันยังไม่ได้พูดคำหยาบเลยสักคำนะคะ”
“เถียงรุ่นพี่ โดนไปอีกข้อหาแล้ว”
“เอ่อ... ฉันว่าไม่มีกฏข้อนี้นะคะ”
“ไม่เชื่อฟังรุ่นพี่ สี่ข้อหาแล้วนะเธอ ไปวิดพื้นสองร้อยรอบ ปฏิบัติ!”
“หา!” ยูริถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อได้ยินคำสั่งจากรุ่นพี่รองประธานชมรม
“ทำไม เธอจะขัดฉันอีกเหรอ งั้นไปวิ่งรอบสนามฟุตบอลอีกสักสิบรอบดีไหม”
“ไม่ค่ะ!!”
“ดี... งั้นก็ไปวิ่งสักห้ารอบแล้วกลับมาซ้อมได้ ฉันลดโทษให้”
“...”
“ไปสิ!”
คนอายุน้อยกว่าวิ่งออกจากห้องชมรมอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าหงิกงอนึกหมั่นไส้รองประธานชมรมขึ้นมาตงิดๆ เห็นเธอเป็นรุ่นน้องเข้าหน่อยล่ะสั่งเอาๆเชียวนะ...
...ชิ ไอ้รุ่นพี่จอมเผด็จการ...
ลับหลังรุ่นน้องสาวผิวเข้มคนออกคำสั่งยืนกอดอกพลางหัวเราะออกมาเบาๆให้คนที่อยู่ข้างๆอย่างซีวอนอดเดินเข้ามายืนข้างๆมองตามหลังเพื่อนร่วมห้องไปอย่างนึกสงสารไม่ได้
“พี่จองซูไม่เล่นแรงไปหน่อยเหรอครับ นึกยังไงไปแกล้งยูริเค้า” จองซูหันมายกยิ้มกว้างให้กับคนถามก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงดังเด็ดขาด
“ซีวอน... หรือว่านายอยากออกไปวิ่งเป็นเพื่อนยูริล่ะ กลับไปตบเบาะ1 ไป!”
“โอ้ยรุ่นพี่ เบาๆครับ มันเสียมารยาท” รุ่นน้องชายยกมือขึ้นปิดหูพร้อมทั้งย้อนประโยคที่รองประธานใช้กับเพื่อนร่วมห้องของเขาด้วยใบหน้าอมยิ้มขำ “แล้วผมก็ตบเบาะครบทุกท่าแล้วด้วย”
“งั้นก็ไปฝึกท่านางลอยให้มันได้เซ่!”
“โหยพี่จองซู”
“ไม่ต้องมาหงมาโหย ไปเดี๋ยวนี้! จะแข่งวันอาทิตย์นี้อยู่แล้วยังจะมามัวโอ้เอ้อีก ดูอย่างแทคยอนสิ นั่งสมาธิฝึกลมปราณก่อนเริ่มฝึกน่ะเห็นไหม!” ว่าแล้วรุ่นพี่ก็ชี้ไปยังเพื่อนต่างห้องคนหนึ่งที่กำลังนั่งคุกเข่าสงบนิ่งหน้าที่บูชารูปของปรมาจารย์จิโกโร คาโน2 อยู่พักใหญ่แล้ว
เด็กหนุ่มเดินไปนั่งข้างๆเพื่อนต่างห้องพร้อมทั้งชะโงกมองยกมือขึ้นโบกไปมาบริเวณใบหน้าของแทคยอนพลางเอ่ยเรียกเบาๆแต่ก็ไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองจึงหันกลับมาพูดกับจองซูอีกครั้ง
“เอ่อ รุ่นพี่ครับ... แทคยอนหลับอยู่นะครับ”
“อ๊าก!! ไอ้พวกรุ่นน้องเวร ทำไมไม่มีดีเลยสักคนว้า!”
ไม่นานนักยูริก็วิ่งรอบสนามฟุตบอลที่มีความกว้างความยาวราวสองร้อยคูณห้าสิบเมตรครบทั้งห้ารอบจึงวิ่งกลับมายังห้องซ้อมอีกครั้ง โดยระหว่างทางก็พบเจสสิก้าที่กำลังเดินตรงมาทางห้องยูโดเช่นเดียวกันร่างสูงจึงหยุดยืนรอจนกระทั่งอีกคนเดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆ
“แทยอนต้องรีบกลับก่อนเลยมาด้วยไม่ได้ วันนี้ฉันเลยมารอยูลคนเดียวนะ” ร่างบางเอ่ยทันทีราวกับจะรู้ว่าคนตัวสูงกำลังจะถามถึงคนตัวเล็ก ยูริได้ยินดังนั้นก็พยักหน้ารับหงึกๆก่อนจะเดินกลับห้องยูโดพร้อมเจสสิก้าที่เดินขนาบข้างตามกันไป
“อ้าวว่าไงเจสสิก้า นึกว่าวันนี้จะไม่มาซะแล้ว... อ้าว แล้วยัยคนตัวเล็กนั่นไปไหนซะล่ะ” ทันทีที่ทั้งคู่เดินกลับมาถึงห้องชมรมรองประธานก็เอ่ยทักทายทันที ร่างบางโค้งตัวเล็กน้อยพร้อมยกยิ้มกว้างเช่นเคยให้กับรองประธานชมรมของเพื่อนตัวสูง
“พอดีติดธุระที่บ้านเลยกลับไปก่อนน่ะค่ะ วันนี้มารบกวนอีกแล้ว คงไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ”
“โอ้ย รบกงรบกวนอะไรกัน ดีเสียอีกได้มีรุ่นน้องสวยๆแวะเวียนมาที่ห้องยูโดบ้าง บรรยากาศดีขึ้นเยอะเลยล่ะ” จองซูว่าพลางหัวเราะรวนให้เพื่อนของรุ่นน้องคนสวยถึงกับหน้าบึ้งใส่ “โอ๊ะ แล้วนี่เป็นอะไรไปล่ะฮึ ทำหน้ายักษ์ซะน่ากลัวเชียว ทุกทีก็ไม่ได้น่ารักอยู่แล้วนะ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”
“เหอะๆ” ‘คนไม่น่ารัก’ ได้แต่หัวเราะในลำคอด้วยใบหน้าซังกะตาย เพราะเกรงว่าหากไปต่อปากต่อคำกับรุ่นพี่จอมทะเล้นคนนี้ได้มีหวังไปวิ่งรอบสนามอีกยี่สิบรอบให้กลับมาหอบแฮ่กๆกันพอดี จึงเดินขึ้นไปบนเบาะก่อนจะนั่งคุกเข่าทำความเคารพแท่นบูชาแล้วจึงขยับมาอยู่บริเวณกลางๆห้องเพื่อตบเบาะให้ครบทุกท่าก่อนเริ่มการฝึกซ้อม
“ขยันซ้อมกันดีจังเลยนะคะ” เจสสิก้าที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวซึ่งมีเพียงตัวเดียวภายในห้องยูโดเอ่ยกับรุ่นพี่ชายที่ยืนกอดอกมองดูรุ่นน้องฝึกอยู่เงียบๆ
“ก็วันอาทิตย์นี้มีนัดการแข่งขันครั้งแรกของปีน่ะ ก็เลยต้องขยันฝึกกันหน่อย” จองซูตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆขณะที่ดวงตายังคงจับจ้องอยู่ที่รุ่นน้องทั้งสี่คนอยู่ตลอดเวลา นั่นทำเอารอยยิ้มของเจสสิก้าหุบลงเล็กน้อยพร้อมทั้งเลิกคิ้วสูง รองประธานชมรมที่ไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้งอย่างอารมณ์ดี
“จริงสิ เจสสิก้ากับแทยอนจะไปเชียร์ยูริหน่อยไหม ตอนที่ยูริรู้ว่าต้องไปแข่งอาทิตย์นี้นะ หน้างี้ซีดเชียว สงสัยจะกลัว” ว่าแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ คนอายุน้อยกว่าจึงยกยิ้มขึ้นอีกครั้งบางๆก่อนจะถามกลับ
“แล้วแข่งกันกี่โมงเหรอคะ”
“รอบเช้าน่ะ ก็ประมาณแปด-เก้าโมงแหละ กว่าจะแข่งเสร็จก็คงเกือบเย็น” คนอายุมากกว่ากลอกตาขึ้นมองเพดานอย่างครุ่นคิดแล้วจึงตอบกลับมา แต่ก็ไม่วายเอ่ยถามย้ำด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเช่นเคย “ว่าไง ตกลงจะไปไหม”
เจสสิก้าส่ายหน้าช้าๆ
“คงไม่ได้ค่ะ เพราะฉันก็มีประกวดร้องเพลงวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้เหมือนกัน... รอบบ่ายน่ะค่ะ” รุ่นพี่หนุ่มทำตาโตทันทีที่ได้ยินคำตอบเช่นนั้น
“อ้าว! งั้นเหรอ น่าเสียดายจังดันมาเป็นวันเดียวกันซะได้” จองซูบ่นออกมาเบาๆ “งั้นก็พยายามเข้านะ”
เด็กสาวยกยิ้มบางๆพร้อมพยักหน้ารับ
“ค่ะ...”
“โอ้ย!!” เสียงร้องของใครบางคนเรียกความสนใจจากทั้งคู่ที่กำลังพูดคุยกันให้หันกลับไปมองยังต้นเหตุ เช่นเดียวกับมินจีและยูริที่กำลังเข้าคู่กันเพื่อฝึกซ้อมท่าอุคิ โกชิ3 ต้องชะงักท่าคาไว้แล้วหันมามองเพื่อนร่วมชมรมทันที โดยที่ต้นเสียงไม่ใช่ใครนอกจากแทคยอนที่นั่งกุมนิ้วมือข้างซ้ายตัวเองซึ่งมีเลือดไหลออกมาเล็กน้อย จองซูก้าวเข้ามานั่งย่อตัวอยู่ข้างๆโดยมีซีวอนยืนเก้ๆกังๆอยู่ข้างๆเช่นกัน รุ่นพี่ดึงมือแทคยอนเข้าไปพินิจก่อนจะอดดุรุ่นน้องอย่างเสียไม่ได้
“แทคยอน! พี่บอกแล้วไงว่าห้ามไว้เล็บเพราะมันจะฉีก เป็นไงล่ะ ดื้อดีนัก”
“ผมขอโทษ... ก็ผมลืมนี่นา” แทคยอนว่าเสียงอ่อยขณะที่มินจีและยูริขยับเข้ามายืนอยู่ใกล้ๆ จองซูถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เอาล่ะๆ ช่างเถอะ นายก็ไปตัดเล็บออกก่อนแล้วค่อยกลับมาซ้อมใหม่ก็แล้วกัน... มินจี เธอมีกรรไกรตัดเล็บรึเปล่า” เด็กสาวผมสั้นส่ายหน้าดิกเป็นคำตอบ รองประธานจึงหันไปถามเด็กสาวอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกัน “แล้วเธอล่ะ ยูริ?”
“ไม่มีหรอกค่ะ” ยูริว่าก่อนจะยกยิ้มขึ้นบางๆแล้วเอ่ยต่อไป “เอากรรไกรตัดหญ้าไปก่อนได้ไหมคะรุ่นพี่”
“อืม... เป็นความคิดที่ดีนะ ว่าไงแทคยอน เอากรรไกรตัดหญ้าแทนได้ไหม” จองซูรับมุกหันไปแกล้งถามคนเจ็บเสียงซื่อ
“จะบ้าเหรอพี่จองซู! นิ้วผมได้หลุดไปทั้งนิ้วสิ!” คนเจ็บแย้งเสียงหลงทันทีเมื่อเห็นใบหน้านิ่งๆท่าทางเอาจริงของรองประธาน ก่อนจะหันไปโวยคนต้นคิดบ้าง ซึ่งดูเหมือนรายนั้นจะไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย ยังคงยืนลอยหน้าลอยตาได้อย่างน่าหมั่นไส้ “ยูริ เธอก็เหมือนกัน จะฆ่าฉันหรือไงฮะ!”
“แทคยอน จะกลัวอะไรก็แค่นิ้ว” มินจีเสริมด้วยใบหน้ายกยิ้มกว้าง
“เธอก็เข้ากับเค้าเหมือนกันเหรอมินจี”
“เอ่อ... ฉันมีกรรไกรตัดเล็บอยู่นะคะ ใช้ของฉันก็ได้” เด็กสาวนอกชมรมเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งยกวัตถุสีเงินขนาดเล็กขึ้นชูให้คนอื่นๆเห็น คนอายุมากที่สุดจึงพยักหน้ารับให้เจสสิก้าเดินเข้ามายื่นกรรไกรตัดเล็บให้แทคยอน
“ขอบใจนะ” เด็กหนุ่มรับกรรไกรมาจากมือของเด็กสาวอีกคนก่อนจะเริ่มตัดปลายเล็บที่ฉีกออกแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเจสสิก้าคว้ากรรไกรของตัวเองกลับไปอีกครั้ง
“ตัดแบบนั้นไม่ได้นะ เดี๋ยวกลายเป็นแผลขึ้นมาอีกที่หรอก มา เดี๋ยวฉันตัดให้” ว่าแล้วก็ยื่นไปจับมือข้างที่เจ็บของแทคยอนขึ้นมาพร้อมทั้งบรรจงตัดอย่างแผ่วเบา ให้คนเจ็บมองตาปริบๆขณะที่ยูริเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาแปลกๆ
...ดีกับคนอื่นไปทั่วเชียวนะ ทำจนเป็นเรื่องปกติไปเลยล่ะสิ...
เด็กสาวผิวเข้มนึกอย่างหงุดหงิดขมวดคิ้วจนเป็นปม ก่อนจะต้องชะงักกับความคิดของตัวเอง
...แล้วทำไมต้องไม่พอใจด้วยล่ะ ยัยบ๊องนั่นจะไปทำดีกับใครก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเราสักหน่อย...
ยูริสะบัดหัวตัวเองแรงๆไล่ความคิดที่เริ่มจะรกสมองออก แต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรมากนักเมื่อสายตายังคงจ้องไปที่เจสสิก้าและแทคยอนไม่วางตา ดูเหมือนร่างสูงจะหลุดเข้าโลกแห่งความคิดไปเสียแล้วจึงไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของจองซูที่สั่งให้เธอและมินจีรวมไปถึงซีวอนกลับไปฝึกอีกครั้ง โดยที่ตัวเขาเองจะเป็นคู่ให้กับซีวอนชั่วคราวระหว่างรอแทคยอน
“ยูริ!” มินจีที่ทั้งสะกิดทั้งเรียกอยู่นานแต่ดูอีกคนจะไม่ได้ยินไม่สนใจกันเลยแม้แต่น้อยตะโกนเรียกเสียงดังให้ยูริสะดุ้งหันมาถามเสียงหลงทันที
“ฮะ? อะไร ว่าไงมีอะไรมินจี?”
“เป็นอะไร ดูเหม่อๆนะ ไหวรึเปล่า” คนผมสั้นเลิกคิ้วถาม คนผิวเข้มจึงยกยิ้มขึ้นบางๆพลางปฏิเสธกลับไปก่อนจะหลับตาลงผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆพยายามตั้งสมาธิ ซึ่งก็ดูจะไปได้ดี...
ถ้าไม่ได้ยินเสียงของแทคยอนที่เอ่ยกับเจสสิก้าขึ้นเสียก่อน
“เจสสิก้า” เจ้าของชื่อขานรับในลำคอทั้งที่ไม่เงยหน้าขึ้นมองคนเรียกเลยแม้แต่น้อย ขณะที่แทคยอนกลับจ้องอีกคนอย่างไม่วางตา ก่อนจะเอ่ยประโยคถัดมาที่ทำเอาเด็กสาวต้องละสายตาขึ้นมามองคนพูดทันที
“ฉันจีบเธอได้รึเปล่า”
สมาธิที่ใช้เวลาเรียกกลับมาอยู่ตั้งนานต้องถูกพัดปลิวออกไปอีกครั้ง เด็กสาวผิวเข้มหันขวับมามองคู่กรณีทั้งสองตาเขม็ง ขณะที่มินจีซึ่งกำลังเอื้อมมือไปจับที่คอเสื้อคู่ซ้อมของตัวเองถึงกับสะดุ้งเมื่อเห็นท่าทีของอีกคน
“อ... เอ่อ... ยูริ?” มินจีจึงเอ่ยเรียกอีกคนเบาๆ แต่ดูเหมือนอีกคนจะไม่ได้สนใจเลยสักนิด ยังคงมองไปทางเพื่อนร่วมชมรมกับเพื่อนร่วมห้องที่นั่งอยู่อีกทางด้วยใบหน้าที่ค่อยๆแปรเป็นเรียบนิ่งทีละน้อยจนน่ากลัว ทำเอาเด็กสาวไม่กล้าแม้จะเอ่ยเรียกอีกครั้ง
“ว่าไงล่ะเจสสิก้า ฉันจีบเธอได้ไหม” เจสสิก้าเองที่อึ้งไม่แพ้กันก็หัวเราะออกมาเบาๆเมื่ออีกคนถามย้ำ
“แทคยอน... ฉันมีแฟนแล้วนะ” คำถามของแทคยอนว่าชวนน่าหงุดหงิดแล้ว คำตอบของเจสสิก้ายิ่งชวนอารมณ์เสียเข้าไปใหญ่ ทั้งที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไม่พอใจเรื่องอะไรกัน
“ฉันถามว่าจีบเธอได้ไหม... ไม่ได้ถามว่ามีแฟนรึยังนะ เจสสิก้า” ประโยคถัดมาของแทคยอนทำเอาเด็กสาวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นึกสับสนกับเด็กหนุ่มตรงหน้า
...ทั้งที่เธอบอกว่าเธอมีแฟนแล้ว แต่ดูเหมือนแทคยอนจะไม่สนใจเลยสักนิด...
“แล้ว... ถ้าฉันบอกว่าไม่ได้ล่ะ” เจสสิก้าลองถามหยั่งเชิง ซึ่งคำตอบที่ได้รับก็ทำเอาคนที่ว่าปัญญาอ่อนชนิดที่ชีวิตนี้คงจะเครียดไม่เป็นถึงกับกลอกตาไปมาอย่างอ่อนใจ
“ถึงเธอไม่ให้... ฉันก็จะจีบ”
หลังจากเลิกชมรมยูริและเจสสิก้าก็เดินทางกลับบ้านด้วยกันเหมือนทุกๆวัน จะต่างกันก็ตรงที่ครั้งนี้ไม่มีแทยอนอยู่ด้วยก็เท่านั้น... จะมีอีกอย่างที่แปลกไปก็ตรงที่ต่างฝ่ายต่างเดินหันหน้าหนีไปอีกทาง ไม่พูดคุยกันเหมือนเคย ทางด้านคนผิวเข้มนั้นยังคงหงุดหงิดไม่หาย ได้แต่นึกโต้เถียงกับตัวเองในหัวถึงสาเหตุของความไม่พอใจที่เกิดขึ้น ขณะที่เจสสิก้าก็ยังคงเดินปิดปากเงียบเช่นกัน
ยูริยกมือขึ้นเกาหัวตัวเองแรงๆอย่างนึกขัดใจ ไอ้ประโยคของแทคยอนกับเจสสิก้ายังคงตีกันไปมาในหัวให้น่าปวดหัว แล้วยิ่งภาพเพื่อนร่วมชมรมมองเด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างๆเธอตอนนี้อย่างไม่วางตาก็ยิ่งทำให้รู้สึกขัดตาเข้าไปใหญ่
...ตกลงฉันเป็นอะไรเนี่ย!?...
ประโยคคำถามที่ต้องการคำตอบถูกตะโกนก้องถามในใจอยู่เป็นร้อยครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบที่แน่ชัดกลับมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว จะมีก็แต่ความคิดไปต่างๆนานาว่าอาการที่เธอเป็น หรือมันคืออาการ หวงเพื่อน อย่างที่เคยอ่านเจอในหนังสือ นิยาย หรือในละครหลายๆเรื่อง
...แต่ฉันไม่เคยมีอาการแบบนี้!!...
ความคิดอีกด้านก็ขยันแย้งกลับมาเสียจริง แต่ก็เป็นอย่างที่ว่าไป ตั้งแต่เกิดมาเคยมีอาการงี่เง่าอย่างนี้เสียเมื่อไหร่กัน หวงเพื่อนอย่างนั้นเหรอ ไร้สาระชะมัด
...แต่ถ้าไม่ใช่ แล้วมันคืออะไรล่ะ...
ขณะที่ความคิดทั้งสองด้านยังคงตีกันให้วุ่น เจสสิก้าที่เดินเงียบมาตลอดทางก็เอ่ยเปิดบทสนทนาขึ้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่ออกมาจากห้องชมรม
“วันอาทิตย์นี้มีแข่งยูโดเหรอ”
ยูริหันกลับมามองคนถามเล็กน้อย “อื้ม”
“เหรอ...” แล้วก็เงียบไปอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยต่อพร้อมยกยิ้มกว้าง “อืม... งั้นก็... พยายามเข้านะ”
คนตัวสูงกว่าหยุดยืนมองอีกคนนิ่งๆ
“เธอมีอะไรจะพูดกับฉันรึเปล่า”
“หืม อะไรเหรอ ก็นี่ไงฉันให้กำลังใจยูลอยู่นะ เอาเหรียญทองมาฝากให้ได้ล่ะ ฉันกับแทจะเชียร์นะ” คนตัวเล็กกว่าว่าพร้อมรอยยิ้ม... ที่ไม่เหมือนเดิม
ไม่ว่ายูริจะดูยังไงมันก็เป็นรอยยิ้มที่ฝืนขึ้นมาชัดๆ ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจก็เถอะว่าทำไมถึงต้องดูผิดหวังขนาดนั้น แต่ถึงกระนั้นคนตัวสูงกว่าก็เอ่ยอะไรบางอย่างออกไปให้เจสสิก้าเลิกคิ้วสูง
“วันอาทิตย์นี้ ฉันจะไปเชียร์นะ”
“ฮะ?” เจสสิก้าอุทานออกมาเบาๆ “แต่การแข่งล่ะ?”
คนผิวเข้มเม้มปากเล็กน้อยพลางเสตามองไปข้างๆอย่างครุ่นคิดก่อนจะยกยิ้มขึ้นบางๆ
“เอาเป็นว่า ฉันจะชนะแล้วจะมาให้ทันก่อนที่พวกเธอจะขึ้นเวทีก็แล้วกัน ตกลงไหม” คนตัวเล็กกว่าได้ยินเช่นนั้นก็ค่อยๆยกยิ้มขึ้นทีละน้อย... ที่ไม่ใช่การฝืนใจยิ้มเหมือนเมื่อครู่
“จริงเหรอ”
“อืม” ยูริพยักหน้ารับ
“สัญญาแล้วนะ” เจสสิก้าชูนิ้วก้อยขึ้นพร้อมยื่นมาตรงหน้าคนผิวเข้ม ยูริมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกนิ้วเดียวกันออกไปไขว้กันไว้
“อืม... สัญญา”
...เอาเป็นว่า เรื่องที่ฉันหงุดหงิดไปทำไม...
...ไม่พอใจเรื่องอะไร ค่อยไปคิดทีหลังก็แล้วกัน...
--------------------------------------------
ตบเบาะ1 การฝึกยูโดต้องตบเบาะทุกครั้งที่จะซ้อมยูโดนอกจากเป็นการอบอุ่นร่างกายก่อนซ้อมแล้ว ยังเป็นการเตรียมความพร้อมที่จะต่อสู้ เตรียมพร้อมที่จะล้ม เมื่อถูกคู่ต่อสูงทุ่มด้วยความรุนแรง ก็จะล้มได้อย่างปลอดภัยจิโกโร คาโน2 (ชิฮัน คาโน) ผู้ปฏิรูปญูญิตสูมาเป็นยูโดให้คำจำกัดความยูโด เมื่อ พ.ศ. 2425และบัญญัติอุดมคติยูโด เมื่อ พ.ศ. 2465ชาตะ 26 ตุลาคม 2403มรณะ 27 เมษายน 2481 (อายุ 78 ปี)อุคิ โกชิ3 (UKI-GOSHI) หรือท่าทุ่มตะโพกลอยผู้ทุ่มจะก้าวเท้าขวาของตน โดยวางในตำแหน่งหน้าเท้าขวาของคู่ต่อสู้ โดยใช้แตะแต่เพียงปลายเท้า ทั้งนี้เพื่อให้สะดวกในการหมุนตัว จากนั้นใช้มือซ้ายของตนดึงคู่ต่อสู้มาข้างหน้าพร้อมกับหมุนตัวโดยการถอยเท้าซ้ายไปทางด้านขวา ขณะเดียวกันปล่อยมือขวาของตนโอบหลังคู่ต่อสู้ จากนั้นหมุนตัวไปทางด้านซ้ายเป็นลักษณะตนึ่งวงกลม คู่ต่อสู้ก็จะถูกทุ่มลอยในที่สุดหมายเหตุ ท่าทุ่มตะโพกลอยเป็นท่าแม่บทที่มีความสำคัญมากกล่าวได้ว่าเป็นท่าทุ่มท่าแรกที่ผู้รับการอบรมควรฝึกฝน เพราะจะเป็นท่าที่สอนใหใช้การดึงของมือ การหมุนตัว การวางเท้าที่ถูกต้องเพื่อจำไปสู่การฝึกท่าอื่นต่อไป
หลังจากจัดการอะไรต่อมิอะไรเรียบร้อยแล้วยูริก็สะพายกระเป๋าพร้อมทั้งชุดยูโดเดินลงบันไดลงยังห้องชมรมตัวเองทันทีด้วยสภาพเนื้อตัวเปียกปอนไม่ต่างจากลูกหมาตกน้ำ และเมื่อนึกถึงต้นเหตุก็ทำเอาอดรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้จนต้องพยายามสลัดเอาเรื่องรกสมองออกก่อนมันจะเข้าไปตีกันให้วุ่นวายหนักหัวเสียเปล่าๆ
ทันทีที่คนตัวยาวก้าวเข้ามาถึงห้องซ้อมที่ค่อนข้างมืดทึบและเต็มไปด้วยคราบฝุ่นจับเกาะกันหนาบนเบาะทำเอาคนที่มีปัญหาโรคภูมิแพ้อย่างยูริต้องนึกคัดจมูกหายใจติดขัดขึ้นมาเสียทุกที ยูริก็สังเกตว่าขณะนี้เพื่อนร่วมชมรมรวมไปถึงรุ่นพี่เปลี่ยนเสื้อผ้าและเริ่มวอร์มร่างกายกันก่อนแล้ว หนึ่งในนั้นหันมาเห็นเธอเข้าพอดีขณะที่กำลังซิทอัพอยู่ก็เอ่ยทักขึ้นมาทันที
“มาเร็วนิวันนี้ แต่ก็ยังช้าอยู่ดีนะยูริ” คนมาใหม่ถึงกับเลิกคิ้วสูงขณะถอดรองเท้าก้าวเข้ามาภายในห้องชมรมแล้วจึงเดินไปวางกระเป๋าสะพายลงกองๆกับสัมภาระของคนอื่นๆพร้อมทั้งดึงสายคาดเอวสีขาวออกเตรียมสวมชุดขึ้นเบาะ
“วันนี้เริ่มซ้อมเร็วจังเลยนะ รุ่นพี่ปีหนึ่งวันนี้ไม่มีเรียนเหรอคะ” ร่างสูงเอ่ยถามทั้งๆที่ผลุบหายเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะได้ยินเสียงรุ่นพี่คนเดิมตอบกลับมาเสียงติดจะหอบเล็กน้อย
“เปล่าหรอก ที่จริงก็มีล่ะนะแต่ครูจองมยอนเค้าเปลี่ยนให้เป็นการทดสอบสมรรถภาพแทนน่ะ เพราะการแข่งขันใกล้ครั้งแรกของปีเข้ามาแล้ว ครูเค้าก็เลยฟิตพวกนักกีฬาอย่างพวกเราให้หนักๆหน่อย จะได้ไม่ไปขายขี้หน้าเค้าอย่างปีก่อนๆ” ประโยคที่ได้รับตอบกลับมาจากรุ่นพี่ทำเอายูริถึงกับชะงักเล็กน้อย
...เดี๋ยวนะ นักกีฬา? พวกเรา?...
“เอ่อ รุ่นพี่คะ พวกเราที่ว่านี่... หมายถึงใครคะ” อดถามด้วยใจหวั่นๆเล็กน้อยไม่ได้ แต่คำตอบที่ได้กลับมาทำเอาคนถามถึงกับเบิกตากว้างอย่างตื่นๆ
“ก็หมายถึงเธอ ฉัน แทคยอน ซีวอน แล้วก็มินจีไง”
“เฮ้ย!” ยูริถึงกับร้องลั่นให้รุ่นพี่คนเดิมเอ็ดเข้าให้
“เบาๆสิยูริ จำมารยาทในห้องยูโดไม่ได้หรือไง ห้ามพูดเสียงดัง ไม่งั้นถูกทำโทษวิดพื้นห้าสิบที”
“ขอโทษค่ะ...” คนอายุน้อยกว่ารีบแต่งตัวผูกสายคาดเอวให้เรียบร้อยก่อนจะออกมาพูดกับรุ่นพี่อีกครั้งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “แต่รุ่นพี่ ฉันเพิ่งจะเข้ามาซ้อมได้ไม่เท่าไหร่เองนะคะ จะให้ไปลงแข่งเลยนี่มันก็ออกจะ...”
“โอ้ย เครียดอะไรให้มากความ คิดอะไรให้ปวดหัวฮึ! ยูริ มันก็แค่การแข่งขันของมือสมัครเล่น ไปแข่งเอาประสบการณ์เท่านั้นเอง ครูจองมยอนแกก็โอเวอร์ไปงั้นเองแหละน่า” คนอายุมากกว่ายันตัวลุกขึ้นยืนและเดินมาใกล้พลางยืดแขนไปคล้องคอรุ่นน้องทันที “อีกอย่าง มีเวลาอีกตั้งสองวันแน่ะ”
“สองวัน!? พี่จะบ้าเหรอ สองวันเนี่ยนะ!?” เป็นใครได้ยินอย่างนี้ก็ต้องโวยเหมือนกันทั้งนั้น ดูคุณรุ่นพี่จอมทะเล้นนี่สิ พูดได้แบบไม่เห็นใจรุ่นน้องอย่างเธอเลยสักนิด
“แน่ะ! ในห้องยูโดห้ามพูดคำหยาบ เธอจะโดนอีกหนึ่งข้อหาแล้วนะยูริ”
“เอ๋! แต่ฉันยังไม่ได้พูดคำหยาบเลยสักคำนะคะ”
“เถียงรุ่นพี่ โดนไปอีกข้อหาแล้ว”
“เอ่อ... ฉันว่าไม่มีกฏข้อนี้นะคะ”
“ไม่เชื่อฟังรุ่นพี่ สี่ข้อหาแล้วนะเธอ ไปวิดพื้นสองร้อยรอบ ปฏิบัติ!”
“หา!” ยูริถึงกับร้องเสียงหลงเมื่อได้ยินคำสั่งจากรุ่นพี่รองประธานชมรม
“ทำไม เธอจะขัดฉันอีกเหรอ งั้นไปวิ่งรอบสนามฟุตบอลอีกสักสิบรอบดีไหม”
“ไม่ค่ะ!!”
“ดี... งั้นก็ไปวิ่งสักห้ารอบแล้วกลับมาซ้อมได้ ฉันลดโทษให้”
“...”
“ไปสิ!”
คนอายุน้อยกว่าวิ่งออกจากห้องชมรมอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าหงิกงอนึกหมั่นไส้รองประธานชมรมขึ้นมาตงิดๆ เห็นเธอเป็นรุ่นน้องเข้าหน่อยล่ะสั่งเอาๆเชียวนะ...
...ชิ ไอ้รุ่นพี่จอมเผด็จการ...
ลับหลังรุ่นน้องสาวผิวเข้มคนออกคำสั่งยืนกอดอกพลางหัวเราะออกมาเบาๆให้คนที่อยู่ข้างๆอย่างซีวอนอดเดินเข้ามายืนข้างๆมองตามหลังเพื่อนร่วมห้องไปอย่างนึกสงสารไม่ได้
“พี่จองซูไม่เล่นแรงไปหน่อยเหรอครับ นึกยังไงไปแกล้งยูริเค้า” จองซูหันมายกยิ้มกว้างให้กับคนถามก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงดังเด็ดขาด
“ซีวอน... หรือว่านายอยากออกไปวิ่งเป็นเพื่อนยูริล่ะ กลับไปตบเบาะ1 ไป!”
“โอ้ยรุ่นพี่ เบาๆครับ มันเสียมารยาท” รุ่นน้องชายยกมือขึ้นปิดหูพร้อมทั้งย้อนประโยคที่รองประธานใช้กับเพื่อนร่วมห้องของเขาด้วยใบหน้าอมยิ้มขำ “แล้วผมก็ตบเบาะครบทุกท่าแล้วด้วย”
“งั้นก็ไปฝึกท่านางลอยให้มันได้เซ่!”
“โหยพี่จองซู”
“ไม่ต้องมาหงมาโหย ไปเดี๋ยวนี้! จะแข่งวันอาทิตย์นี้อยู่แล้วยังจะมามัวโอ้เอ้อีก ดูอย่างแทคยอนสิ นั่งสมาธิฝึกลมปราณก่อนเริ่มฝึกน่ะเห็นไหม!” ว่าแล้วรุ่นพี่ก็ชี้ไปยังเพื่อนต่างห้องคนหนึ่งที่กำลังนั่งคุกเข่าสงบนิ่งหน้าที่บูชารูปของปรมาจารย์จิโกโร คาโน2 อยู่พักใหญ่แล้ว
เด็กหนุ่มเดินไปนั่งข้างๆเพื่อนต่างห้องพร้อมทั้งชะโงกมองยกมือขึ้นโบกไปมาบริเวณใบหน้าของแทคยอนพลางเอ่ยเรียกเบาๆแต่ก็ไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองจึงหันกลับมาพูดกับจองซูอีกครั้ง
“เอ่อ รุ่นพี่ครับ... แทคยอนหลับอยู่นะครับ”
“อ๊าก!! ไอ้พวกรุ่นน้องเวร ทำไมไม่มีดีเลยสักคนว้า!”
ไม่นานนักยูริก็วิ่งรอบสนามฟุตบอลที่มีความกว้างความยาวราวสองร้อยคูณห้าสิบเมตรครบทั้งห้ารอบจึงวิ่งกลับมายังห้องซ้อมอีกครั้ง โดยระหว่างทางก็พบเจสสิก้าที่กำลังเดินตรงมาทางห้องยูโดเช่นเดียวกันร่างสูงจึงหยุดยืนรอจนกระทั่งอีกคนเดินเข้ามายืนอยู่ข้างๆ
“แทยอนต้องรีบกลับก่อนเลยมาด้วยไม่ได้ วันนี้ฉันเลยมารอยูลคนเดียวนะ” ร่างบางเอ่ยทันทีราวกับจะรู้ว่าคนตัวสูงกำลังจะถามถึงคนตัวเล็ก ยูริได้ยินดังนั้นก็พยักหน้ารับหงึกๆก่อนจะเดินกลับห้องยูโดพร้อมเจสสิก้าที่เดินขนาบข้างตามกันไป
“อ้าวว่าไงเจสสิก้า นึกว่าวันนี้จะไม่มาซะแล้ว... อ้าว แล้วยัยคนตัวเล็กนั่นไปไหนซะล่ะ” ทันทีที่ทั้งคู่เดินกลับมาถึงห้องชมรมรองประธานก็เอ่ยทักทายทันที ร่างบางโค้งตัวเล็กน้อยพร้อมยกยิ้มกว้างเช่นเคยให้กับรองประธานชมรมของเพื่อนตัวสูง
“พอดีติดธุระที่บ้านเลยกลับไปก่อนน่ะค่ะ วันนี้มารบกวนอีกแล้ว คงไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ”
“โอ้ย รบกงรบกวนอะไรกัน ดีเสียอีกได้มีรุ่นน้องสวยๆแวะเวียนมาที่ห้องยูโดบ้าง บรรยากาศดีขึ้นเยอะเลยล่ะ” จองซูว่าพลางหัวเราะรวนให้เพื่อนของรุ่นน้องคนสวยถึงกับหน้าบึ้งใส่ “โอ๊ะ แล้วนี่เป็นอะไรไปล่ะฮึ ทำหน้ายักษ์ซะน่ากลัวเชียว ทุกทีก็ไม่ได้น่ารักอยู่แล้วนะ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”
“เหอะๆ” ‘คนไม่น่ารัก’ ได้แต่หัวเราะในลำคอด้วยใบหน้าซังกะตาย เพราะเกรงว่าหากไปต่อปากต่อคำกับรุ่นพี่จอมทะเล้นคนนี้ได้มีหวังไปวิ่งรอบสนามอีกยี่สิบรอบให้กลับมาหอบแฮ่กๆกันพอดี จึงเดินขึ้นไปบนเบาะก่อนจะนั่งคุกเข่าทำความเคารพแท่นบูชาแล้วจึงขยับมาอยู่บริเวณกลางๆห้องเพื่อตบเบาะให้ครบทุกท่าก่อนเริ่มการฝึกซ้อม
“ขยันซ้อมกันดีจังเลยนะคะ” เจสสิก้าที่นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวซึ่งมีเพียงตัวเดียวภายในห้องยูโดเอ่ยกับรุ่นพี่ชายที่ยืนกอดอกมองดูรุ่นน้องฝึกอยู่เงียบๆ
“ก็วันอาทิตย์นี้มีนัดการแข่งขันครั้งแรกของปีน่ะ ก็เลยต้องขยันฝึกกันหน่อย” จองซูตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆขณะที่ดวงตายังคงจับจ้องอยู่ที่รุ่นน้องทั้งสี่คนอยู่ตลอดเวลา นั่นทำเอารอยยิ้มของเจสสิก้าหุบลงเล็กน้อยพร้อมทั้งเลิกคิ้วสูง รองประธานชมรมที่ไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้งอย่างอารมณ์ดี
“จริงสิ เจสสิก้ากับแทยอนจะไปเชียร์ยูริหน่อยไหม ตอนที่ยูริรู้ว่าต้องไปแข่งอาทิตย์นี้นะ หน้างี้ซีดเชียว สงสัยจะกลัว” ว่าแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ คนอายุน้อยกว่าจึงยกยิ้มขึ้นอีกครั้งบางๆก่อนจะถามกลับ
“แล้วแข่งกันกี่โมงเหรอคะ”
“รอบเช้าน่ะ ก็ประมาณแปด-เก้าโมงแหละ กว่าจะแข่งเสร็จก็คงเกือบเย็น” คนอายุมากกว่ากลอกตาขึ้นมองเพดานอย่างครุ่นคิดแล้วจึงตอบกลับมา แต่ก็ไม่วายเอ่ยถามย้ำด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเช่นเคย “ว่าไง ตกลงจะไปไหม”
เจสสิก้าส่ายหน้าช้าๆ
“คงไม่ได้ค่ะ เพราะฉันก็มีประกวดร้องเพลงวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้เหมือนกัน... รอบบ่ายน่ะค่ะ” รุ่นพี่หนุ่มทำตาโตทันทีที่ได้ยินคำตอบเช่นนั้น
“อ้าว! งั้นเหรอ น่าเสียดายจังดันมาเป็นวันเดียวกันซะได้” จองซูบ่นออกมาเบาๆ “งั้นก็พยายามเข้านะ”
เด็กสาวยกยิ้มบางๆพร้อมพยักหน้ารับ
“ค่ะ...”
“โอ้ย!!” เสียงร้องของใครบางคนเรียกความสนใจจากทั้งคู่ที่กำลังพูดคุยกันให้หันกลับไปมองยังต้นเหตุ เช่นเดียวกับมินจีและยูริที่กำลังเข้าคู่กันเพื่อฝึกซ้อมท่าอุคิ โกชิ3 ต้องชะงักท่าคาไว้แล้วหันมามองเพื่อนร่วมชมรมทันที โดยที่ต้นเสียงไม่ใช่ใครนอกจากแทคยอนที่นั่งกุมนิ้วมือข้างซ้ายตัวเองซึ่งมีเลือดไหลออกมาเล็กน้อย จองซูก้าวเข้ามานั่งย่อตัวอยู่ข้างๆโดยมีซีวอนยืนเก้ๆกังๆอยู่ข้างๆเช่นกัน รุ่นพี่ดึงมือแทคยอนเข้าไปพินิจก่อนจะอดดุรุ่นน้องอย่างเสียไม่ได้
“แทคยอน! พี่บอกแล้วไงว่าห้ามไว้เล็บเพราะมันจะฉีก เป็นไงล่ะ ดื้อดีนัก”
“ผมขอโทษ... ก็ผมลืมนี่นา” แทคยอนว่าเสียงอ่อยขณะที่มินจีและยูริขยับเข้ามายืนอยู่ใกล้ๆ จองซูถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เอาล่ะๆ ช่างเถอะ นายก็ไปตัดเล็บออกก่อนแล้วค่อยกลับมาซ้อมใหม่ก็แล้วกัน... มินจี เธอมีกรรไกรตัดเล็บรึเปล่า” เด็กสาวผมสั้นส่ายหน้าดิกเป็นคำตอบ รองประธานจึงหันไปถามเด็กสาวอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกัน “แล้วเธอล่ะ ยูริ?”
“ไม่มีหรอกค่ะ” ยูริว่าก่อนจะยกยิ้มขึ้นบางๆแล้วเอ่ยต่อไป “เอากรรไกรตัดหญ้าไปก่อนได้ไหมคะรุ่นพี่”
“อืม... เป็นความคิดที่ดีนะ ว่าไงแทคยอน เอากรรไกรตัดหญ้าแทนได้ไหม” จองซูรับมุกหันไปแกล้งถามคนเจ็บเสียงซื่อ
“จะบ้าเหรอพี่จองซู! นิ้วผมได้หลุดไปทั้งนิ้วสิ!” คนเจ็บแย้งเสียงหลงทันทีเมื่อเห็นใบหน้านิ่งๆท่าทางเอาจริงของรองประธาน ก่อนจะหันไปโวยคนต้นคิดบ้าง ซึ่งดูเหมือนรายนั้นจะไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย ยังคงยืนลอยหน้าลอยตาได้อย่างน่าหมั่นไส้ “ยูริ เธอก็เหมือนกัน จะฆ่าฉันหรือไงฮะ!”
“แทคยอน จะกลัวอะไรก็แค่นิ้ว” มินจีเสริมด้วยใบหน้ายกยิ้มกว้าง
“เธอก็เข้ากับเค้าเหมือนกันเหรอมินจี”
“เอ่อ... ฉันมีกรรไกรตัดเล็บอยู่นะคะ ใช้ของฉันก็ได้” เด็กสาวนอกชมรมเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งยกวัตถุสีเงินขนาดเล็กขึ้นชูให้คนอื่นๆเห็น คนอายุมากที่สุดจึงพยักหน้ารับให้เจสสิก้าเดินเข้ามายื่นกรรไกรตัดเล็บให้แทคยอน
“ขอบใจนะ” เด็กหนุ่มรับกรรไกรมาจากมือของเด็กสาวอีกคนก่อนจะเริ่มตัดปลายเล็บที่ฉีกออกแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเจสสิก้าคว้ากรรไกรของตัวเองกลับไปอีกครั้ง
“ตัดแบบนั้นไม่ได้นะ เดี๋ยวกลายเป็นแผลขึ้นมาอีกที่หรอก มา เดี๋ยวฉันตัดให้” ว่าแล้วก็ยื่นไปจับมือข้างที่เจ็บของแทคยอนขึ้นมาพร้อมทั้งบรรจงตัดอย่างแผ่วเบา ให้คนเจ็บมองตาปริบๆขณะที่ยูริเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาแปลกๆ
...ดีกับคนอื่นไปทั่วเชียวนะ ทำจนเป็นเรื่องปกติไปเลยล่ะสิ...
เด็กสาวผิวเข้มนึกอย่างหงุดหงิดขมวดคิ้วจนเป็นปม ก่อนจะต้องชะงักกับความคิดของตัวเอง
...แล้วทำไมต้องไม่พอใจด้วยล่ะ ยัยบ๊องนั่นจะไปทำดีกับใครก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเราสักหน่อย...
ยูริสะบัดหัวตัวเองแรงๆไล่ความคิดที่เริ่มจะรกสมองออก แต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรมากนักเมื่อสายตายังคงจ้องไปที่เจสสิก้าและแทคยอนไม่วางตา ดูเหมือนร่างสูงจะหลุดเข้าโลกแห่งความคิดไปเสียแล้วจึงไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของจองซูที่สั่งให้เธอและมินจีรวมไปถึงซีวอนกลับไปฝึกอีกครั้ง โดยที่ตัวเขาเองจะเป็นคู่ให้กับซีวอนชั่วคราวระหว่างรอแทคยอน
“ยูริ!” มินจีที่ทั้งสะกิดทั้งเรียกอยู่นานแต่ดูอีกคนจะไม่ได้ยินไม่สนใจกันเลยแม้แต่น้อยตะโกนเรียกเสียงดังให้ยูริสะดุ้งหันมาถามเสียงหลงทันที
“ฮะ? อะไร ว่าไงมีอะไรมินจี?”
“เป็นอะไร ดูเหม่อๆนะ ไหวรึเปล่า” คนผมสั้นเลิกคิ้วถาม คนผิวเข้มจึงยกยิ้มขึ้นบางๆพลางปฏิเสธกลับไปก่อนจะหลับตาลงผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆพยายามตั้งสมาธิ ซึ่งก็ดูจะไปได้ดี...
ถ้าไม่ได้ยินเสียงของแทคยอนที่เอ่ยกับเจสสิก้าขึ้นเสียก่อน
“เจสสิก้า” เจ้าของชื่อขานรับในลำคอทั้งที่ไม่เงยหน้าขึ้นมองคนเรียกเลยแม้แต่น้อย ขณะที่แทคยอนกลับจ้องอีกคนอย่างไม่วางตา ก่อนจะเอ่ยประโยคถัดมาที่ทำเอาเด็กสาวต้องละสายตาขึ้นมามองคนพูดทันที
“ฉันจีบเธอได้รึเปล่า”
สมาธิที่ใช้เวลาเรียกกลับมาอยู่ตั้งนานต้องถูกพัดปลิวออกไปอีกครั้ง เด็กสาวผิวเข้มหันขวับมามองคู่กรณีทั้งสองตาเขม็ง ขณะที่มินจีซึ่งกำลังเอื้อมมือไปจับที่คอเสื้อคู่ซ้อมของตัวเองถึงกับสะดุ้งเมื่อเห็นท่าทีของอีกคน
“อ... เอ่อ... ยูริ?” มินจีจึงเอ่ยเรียกอีกคนเบาๆ แต่ดูเหมือนอีกคนจะไม่ได้สนใจเลยสักนิด ยังคงมองไปทางเพื่อนร่วมชมรมกับเพื่อนร่วมห้องที่นั่งอยู่อีกทางด้วยใบหน้าที่ค่อยๆแปรเป็นเรียบนิ่งทีละน้อยจนน่ากลัว ทำเอาเด็กสาวไม่กล้าแม้จะเอ่ยเรียกอีกครั้ง
“ว่าไงล่ะเจสสิก้า ฉันจีบเธอได้ไหม” เจสสิก้าเองที่อึ้งไม่แพ้กันก็หัวเราะออกมาเบาๆเมื่ออีกคนถามย้ำ
“แทคยอน... ฉันมีแฟนแล้วนะ” คำถามของแทคยอนว่าชวนน่าหงุดหงิดแล้ว คำตอบของเจสสิก้ายิ่งชวนอารมณ์เสียเข้าไปใหญ่ ทั้งที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไม่พอใจเรื่องอะไรกัน
“ฉันถามว่าจีบเธอได้ไหม... ไม่ได้ถามว่ามีแฟนรึยังนะ เจสสิก้า” ประโยคถัดมาของแทคยอนทำเอาเด็กสาวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นึกสับสนกับเด็กหนุ่มตรงหน้า
...ทั้งที่เธอบอกว่าเธอมีแฟนแล้ว แต่ดูเหมือนแทคยอนจะไม่สนใจเลยสักนิด...
“แล้ว... ถ้าฉันบอกว่าไม่ได้ล่ะ” เจสสิก้าลองถามหยั่งเชิง ซึ่งคำตอบที่ได้รับก็ทำเอาคนที่ว่าปัญญาอ่อนชนิดที่ชีวิตนี้คงจะเครียดไม่เป็นถึงกับกลอกตาไปมาอย่างอ่อนใจ
“ถึงเธอไม่ให้... ฉันก็จะจีบ”
หลังจากเลิกชมรมยูริและเจสสิก้าก็เดินทางกลับบ้านด้วยกันเหมือนทุกๆวัน จะต่างกันก็ตรงที่ครั้งนี้ไม่มีแทยอนอยู่ด้วยก็เท่านั้น... จะมีอีกอย่างที่แปลกไปก็ตรงที่ต่างฝ่ายต่างเดินหันหน้าหนีไปอีกทาง ไม่พูดคุยกันเหมือนเคย ทางด้านคนผิวเข้มนั้นยังคงหงุดหงิดไม่หาย ได้แต่นึกโต้เถียงกับตัวเองในหัวถึงสาเหตุของความไม่พอใจที่เกิดขึ้น ขณะที่เจสสิก้าก็ยังคงเดินปิดปากเงียบเช่นกัน
ยูริยกมือขึ้นเกาหัวตัวเองแรงๆอย่างนึกขัดใจ ไอ้ประโยคของแทคยอนกับเจสสิก้ายังคงตีกันไปมาในหัวให้น่าปวดหัว แล้วยิ่งภาพเพื่อนร่วมชมรมมองเด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างๆเธอตอนนี้อย่างไม่วางตาก็ยิ่งทำให้รู้สึกขัดตาเข้าไปใหญ่
...ตกลงฉันเป็นอะไรเนี่ย!?...
ประโยคคำถามที่ต้องการคำตอบถูกตะโกนก้องถามในใจอยู่เป็นร้อยครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบที่แน่ชัดกลับมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว จะมีก็แต่ความคิดไปต่างๆนานาว่าอาการที่เธอเป็น หรือมันคืออาการ หวงเพื่อน อย่างที่เคยอ่านเจอในหนังสือ นิยาย หรือในละครหลายๆเรื่อง
...แต่ฉันไม่เคยมีอาการแบบนี้!!...
ความคิดอีกด้านก็ขยันแย้งกลับมาเสียจริง แต่ก็เป็นอย่างที่ว่าไป ตั้งแต่เกิดมาเคยมีอาการงี่เง่าอย่างนี้เสียเมื่อไหร่กัน หวงเพื่อนอย่างนั้นเหรอ ไร้สาระชะมัด
...แต่ถ้าไม่ใช่ แล้วมันคืออะไรล่ะ...
ขณะที่ความคิดทั้งสองด้านยังคงตีกันให้วุ่น เจสสิก้าที่เดินเงียบมาตลอดทางก็เอ่ยเปิดบทสนทนาขึ้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่ออกมาจากห้องชมรม
“วันอาทิตย์นี้มีแข่งยูโดเหรอ”
ยูริหันกลับมามองคนถามเล็กน้อย “อื้ม”
“เหรอ...” แล้วก็เงียบไปอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยต่อพร้อมยกยิ้มกว้าง “อืม... งั้นก็... พยายามเข้านะ”
คนตัวสูงกว่าหยุดยืนมองอีกคนนิ่งๆ
“เธอมีอะไรจะพูดกับฉันรึเปล่า”
“หืม อะไรเหรอ ก็นี่ไงฉันให้กำลังใจยูลอยู่นะ เอาเหรียญทองมาฝากให้ได้ล่ะ ฉันกับแทจะเชียร์นะ” คนตัวเล็กกว่าว่าพร้อมรอยยิ้ม... ที่ไม่เหมือนเดิม
ไม่ว่ายูริจะดูยังไงมันก็เป็นรอยยิ้มที่ฝืนขึ้นมาชัดๆ ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจก็เถอะว่าทำไมถึงต้องดูผิดหวังขนาดนั้น แต่ถึงกระนั้นคนตัวสูงกว่าก็เอ่ยอะไรบางอย่างออกไปให้เจสสิก้าเลิกคิ้วสูง
“วันอาทิตย์นี้ ฉันจะไปเชียร์นะ”
“ฮะ?” เจสสิก้าอุทานออกมาเบาๆ “แต่การแข่งล่ะ?”
คนผิวเข้มเม้มปากเล็กน้อยพลางเสตามองไปข้างๆอย่างครุ่นคิดก่อนจะยกยิ้มขึ้นบางๆ
“เอาเป็นว่า ฉันจะชนะแล้วจะมาให้ทันก่อนที่พวกเธอจะขึ้นเวทีก็แล้วกัน ตกลงไหม” คนตัวเล็กกว่าได้ยินเช่นนั้นก็ค่อยๆยกยิ้มขึ้นทีละน้อย... ที่ไม่ใช่การฝืนใจยิ้มเหมือนเมื่อครู่
“จริงเหรอ”
“อืม” ยูริพยักหน้ารับ
“สัญญาแล้วนะ” เจสสิก้าชูนิ้วก้อยขึ้นพร้อมยื่นมาตรงหน้าคนผิวเข้ม ยูริมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกนิ้วเดียวกันออกไปไขว้กันไว้
“อืม... สัญญา”
...เอาเป็นว่า เรื่องที่ฉันหงุดหงิดไปทำไม...
...ไม่พอใจเรื่องอะไร ค่อยไปคิดทีหลังก็แล้วกัน...
--------------------------------------------
ตบเบาะ1 การฝึกยูโดต้องตบเบาะทุกครั้งที่จะซ้อมยูโดนอกจากเป็นการอบอุ่นร่างกายก่อนซ้อมแล้ว ยังเป็นการเตรียมความพร้อมที่จะต่อสู้ เตรียมพร้อมที่จะล้ม เมื่อถูกคู่ต่อสูงทุ่มด้วยความรุนแรง ก็จะล้มได้อย่างปลอดภัยจิโกโร คาโน2 (ชิฮัน คาโน) ผู้ปฏิรูปญูญิตสูมาเป็นยูโดให้คำจำกัดความยูโด เมื่อ พ.ศ. 2425และบัญญัติอุดมคติยูโด เมื่อ พ.ศ. 2465ชาตะ 26 ตุลาคม 2403มรณะ 27 เมษายน 2481 (อายุ 78 ปี)อุคิ โกชิ3 (UKI-GOSHI) หรือท่าทุ่มตะโพกลอยผู้ทุ่มจะก้าวเท้าขวาของตน โดยวางในตำแหน่งหน้าเท้าขวาของคู่ต่อสู้ โดยใช้แตะแต่เพียงปลายเท้า ทั้งนี้เพื่อให้สะดวกในการหมุนตัว จากนั้นใช้มือซ้ายของตนดึงคู่ต่อสู้มาข้างหน้าพร้อมกับหมุนตัวโดยการถอยเท้าซ้ายไปทางด้านขวา ขณะเดียวกันปล่อยมือขวาของตนโอบหลังคู่ต่อสู้ จากนั้นหมุนตัวไปทางด้านซ้ายเป็นลักษณะตนึ่งวงกลม คู่ต่อสู้ก็จะถูกทุ่มลอยในที่สุดหมายเหตุ ท่าทุ่มตะโพกลอยเป็นท่าแม่บทที่มีความสำคัญมากกล่าวได้ว่าเป็นท่าทุ่มท่าแรกที่ผู้รับการอบรมควรฝึกฝน เพราะจะเป็นท่าที่สอนใหใช้การดึงของมือ การหมุนตัว การวางเท้าที่ถูกต้องเพื่อจำไปสู่การฝึกท่าอื่นต่อไป
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ