valued friend เป็นไปไม่ได้ที่เราจะรักกัน
เขียนโดย Milkcake
วันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 14.25 น.
แก้ไขเมื่อ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556 21.57 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
1) รถเมย์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
“ทราสน์” ฉันเรียกเค้าด้วยเสียงแผ่วเบา ทั้งที่ใบหน้าของเค้ายังซุกอยู่ข้างๆแก้มฉันอยู่ไม่ไหวติงเลย (ไม่ใช่มันตายแล้วหรอ - - ? )
“ครอก . (-_-zZ)”
“ ( - -!! ) ” นี่มันนอนหลับหรอ
“……”
“ทราสน์ ฉันหนักหายใจไม่ออก ” (- _- ;)
“เฮ้ย! ไอ้บ้าทราสน์”
โป๊ก! เสียงกระทะฝาดไปโดนหัวบุคคนที่นอนทับร่างหญิงสาวอยู่
“โอ้ย!! ( - U - ) คร๊าบ บบ ตื่นแล้ว เจ็บนะเนี่ยตีอยู่ได้ ” ทราสน์ยกน่าของเขาขึ้นแต่ก็ไม่วายที่จะยกตัวขึ้นจากฉัน
“ก็แกไม่ไปอาบนํ้าซักทีมันสายแล้วนะ แล้วก็อีกเรื่องที่ฉันอยากจะบอกแก”
“ อะไร ” ตอบได้เสียงเรียบมากก
“แกตัว ‘หนัก’ มาก ” แกคงลืมใช่มั๊ยว่าแกทับฉันอยู่
“ ฮ่า ๆๆ โทษทีพอดีว่ามันนิ่มดีอ่า ” ดูมันพูดสิ่งยิ้มของมันช่างเจ้าเล่ห์นักนี่ต้องไม่ใช่ทราสน์แน่เลยปกติมันไม่เจ้าเล่ห์อย่างนี้น๊าถ้าเป็นเลโอเข้าสิ่งหนิว่าไปอย่าง แต่เดี๋ยวก่อน STOP! Stop! ที่มันว่านิ่มคืออะไร อย่างบอกนะว่า ...
“ไอ้บ้า ไอ้ชีกอ ไอ้ลามก ไอ้ทุกเรศ ไอ้อัฟเฟ .. ” ยังด่าไม่ทันจบปากอันเรียวบางสวยของฉันต้องถูกปิดด้วยมือหนาของคนตรงหน้า
“เฮ้ย! เดี๋ยวก่อนไม่ใช่อย่างที่แกคิดนะ”
“แอ้วอันอังไออะ” ตอนนี้ฉันพูดไม่เป็นภาษาแล้วก็เพราะมือของมันยังปิดอยู่อย่างนี้หนะ
“เฮ้อ .. คุยกับแกไม่รู้เรื่องฉันไปอาบนํ้าดีกว่า” มันควรจะไปตั้งนานแล้ว (- - ;!)
พูดเสร็จมันก็กระเด้งตัวออกจากฉันทันที ดีเหมือนกันรู้มั๊ยว่าหนักและอึดอัดโคตร เฮ้ยแต่ดี๋ยว เรายังเคลียร์ไม่จบ อะไรนิ่ม!!
“แกก็อย่ายิ้มแบบนั้นต่อหน้าผู้ชายที่แกไม่ได้คิดอะไรนะ ถ้าแกไม่อยากโดน ... เพราะพวกนั้นมันไม่เหมือนฉันนะ” ทราสน์พูดด้วยเสียงลอยๆจนแทบไม่ได้ยิน แต่ฉันก็พอจะได้ยินและสามารถเรียงประโยคได้ แต่ถึงเรียงได้ก็ไม่เข้าใจความหมายอยู่ดี
“แล้วไอ้ที่มันนิ่มอะไม่ต้องคิดว่าเป็นหน้าอกแกหรอก เพราะมันคงไม่มี ” ทราสน์พูดพรางใช่มือคว้าผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องนํ้าทันทีด้วยความรวดเร็ว เพราะรู้ว่าจะมีอะไรลอยตามหลังเขาไป
ฟิ้ว พรึบ ปัง! เสียงลอยของวัตถุนุ่มนิ่มไปชนกับประตูที่ถูกปิดพอดี
คำพูดของเค้าที่ฉันจะถามความหมายที่มันพูดตอนแรกถูกกลืนลงคอทันที เมื่อเจอเสียงและคำตอบสุดกวนประสาท อ๊ากไปเพื่อนบ้า
Trasn Talk ~
- 0 – ฮ้าว ~ ง่วงนอนเป็นบ้าเลย เมื่อคืนนอนตอนตีหนึ่งเหตุผลนาฬิกาตาย ยังว่าดูที่ไรเหมือนมันยังอยู่ที่เดิม แล้วก็สันนิษฐานไว้ไม่มีผิดว่ายัยแตมป์มันต้องมาปลุกตั้งแต่ไก่โห่ เลยอุตส่าห์ล็อกกุญแจคอนโดไว้อย่างดีแต่ดันลืมว่ามีกุญแจสำรองกับคีย์การ์ดอยู่กันมัน ไม่ต้องสงสัยให้ยากว่าทำไมสิ่งสองสิ่งถึงไปอยู่กับมันเพราะผมให้มันเองแหละ มันมีหน้าที่ต้องมาปลุกผมไปโรงเรียนทำอาหารให้ทานเหมือนคนใช้ใช่มั๊ย แต่ผมคงให้ฐานะนี้กับมันไม่ได้ แสตมป์เป็นเพื่อนสนิทที่สุดที่ไม่น่าจะสนิทที่สุดของผมทำไมนะหรอก็เพราะตอนแรกเรามักจะไม่ถูกกันเท่าไหร่ตั้งแต่เด็กๆแล้วเราทะเลาะกันตามประสาเด็กๆบ่อยมากถ้าไม่ติดว่าตระกูลเราสนิทกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษได้เจอหน้ากันบ่อยๆเพราะคุณน้าชอบพายัยนี้มาบ้านผมบ่อยๆ และแม่ผมก็มักพาผมไปบ้านแตมป์บ่อยสุดๆเช่นกันจนตอนนี้เราสองคนน่าจะจำทุกซอกทุกมุมของบ้านซึ่งกันและกันว่าตั้งอยู่ที่ใดแม้กระทั้งห้องนอน- -* เมื่อเจอหน้ากันบ่อยๆก็เกิดความเคยชิดและความผูกพันของคำว่า ‘เพื่อน’ ที่ตัดกันไม่ขาด ความสัมพันธ์ยิ่งแนบแน่นขึ้นเมื่อเราได้เรียนที่เดียวกันตั้งแต่เด็กจนกระทั้งปัจจุบันเราอยู่ม.ปลาย ปีสามแล้ว จากคำว่า ‘เพื่อน’ ตอนนี้ก็อาจใช้คำว่า ‘เพื่อนตาย’ ได้
ตอนนี้คนก็เดินพลุกพล่านเต็มไปหมด มีทั้งหนุ่มวัยกลางคนที่รอรถไปทำงานนักศึกษาและก็นักเรียนมีทั้งโรงเรียนเดียวกับผมและต่างโรงเรียน ทั้งเสียงคุย บางคนก็เดินไปมาอย่างกระสับกระส่าย เสียงบีมแตรรถ เสียงรถมอไซด์รุ่นเก่า(มาก) ซิ่งเสียงแปร๋นๆ แสบรูทวารโคตร - - ^ โอ้ย!! ทำไมมันวุ่นวายอย่างนี้ ผมหละเกียจที่สุดเลยคนเยอะๆ ทุกคนลองเดาสิครับว่ายัยตัวแสบพาผมมาที่ไหน ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาเฉลยเลยแล้วกัน สถานการณ์แบบนี้จะมีที่ไหนได้ถ้าไม่ใช่ป้ายรถเมย์ ยัยแตมป์มันเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมาไม่รู้ ปกติพอมาหาผมที่คอนโดเราก็จะไปโรงเรียนด้วยกันโดยขี่รถส่วนตัวผมไปแต่วันนี้กลับบอกว่าไม่ต้อง มีรถที่วิเศษกว่านั้นสำหรับตอนรับวันเปิดเทอม ผมก็เออ ออ ตามมันไม่คิดวันมันจะหมายถึงรถเมย์
“เฮ้ย! ไอ้ป๊อปมัวยืนทำซากอะไรวะเดี๋ยวก็ตกรถหรอกเห็นมั๊ยคนทะยอยขึ้นรถกันหมดแล้วเดี๋ยวก็ไม่มีที่นั่งไม่รู้ด้วยนะ”
“นี่แกจะขึ้นจริงๆหรอ”
“เออสิ ไปเหอะน่า” แตมป์เดินโค้งไปผลักหลังผมข้างหลังให้ก้าวขึ้นรถเมย์อย่างไม่เต็มใจ
Stamp Talk~
“ขึ้นไปๆๆ” ฉันผลักหลังให้เค้าเดินขึ้นไปเหมือนเล่นเดินต่อขบวนรถไฟของเด็กน้อย
ดีนะที่ขึ้นมาทันยังมีที่นั่งเหลืออยู่ ฮ่าๆๆ นี่คือการนั่งรถเมย์ครั้งที่สามของฉันตลบมือหน่อยเร็ว วว(บ้าป่าว - -*)
“การได้ขึ้นรถเมย์ครั้วแรกของแกจงภูมิใจที่ได้มาได้มานั่งกับแตมป์คนนี้นะ ” ฉันฉีกยิ้มพรางตบไหล่ทราสน์
“หน้าภูมิใจ .. ตรงไหน ” เค้าพูดทั้งที่ไม่มองหน้าฉัน แถมยังใส่สโมทอกฟังเพลงเฉยเลย ไอ้บ้า!!
“ชิส์” ฉันค้อนใส่เค้าก่อนจะหันไปหาทางหน้าต่างเพราะฉันนั่งริมหน้าต่าง ทราสน์นั่งขอบเพื่อจะได้ลุกให้คนแก่ เด็ก แล้วก็คนท้องนั่ง ฟังดูคนดีจัง หมอนี่ส่วนดีเยอะนะ แต่เข้าใจอยากสุดๆ นึกแล้วขำจริงๆแทนที่ฉันจะได้รับประทานอาหารเช้าอย่างอิ่มหนำสำราญแล้วให้คนขับรถมาส่งที่โรงเรียนอย่างสบายใจกับต้องแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าไปคอนโดไอ้ทราสน์เพื่อสรรหาวัตถุดิมาทำอาหารแล้วยังได้รับหน้าที่ปลุกคนขี้เศราอีกเรื่องพวกนี้ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ใหญ่แต่ถ้าหมายถึงผู้ใหญ่ละก็ไม่มีทางปฏิเสธแน่นอนที่ฉันต้องมีชีวิตที่ไม่สงบสุขอย่างนี้ก็เพราะ แม่ คนเดียว แต่พอได้รู้ว่าทราสน์ทะเลาะกับพ่อจนต้องออกมาอยู่คอนโดฉันก็มีจิตใต้สำนึกของความเป็นเพื่อนที่จะไม่ทิ้งกัน ฉันไม่อยากให้เค้าเหงาเลยอย่างน้อยฉันก็จะทำสิ่งที่ฉันทำได้ คิดทบทวนอีกทีเราสองคนเป็นเพื่อนกันได้ไงน้า เท่าที่จำความได้หมอนั้นเงียบจนฉันหงุดหงิด เวลาเจอกันที่ไรจะมีแต่เสียงฉันที่เล็ดลอดออกมาจากปากแต่พอเจอกันบ่อยๆเข้า นอนด้วยกัน อาบนํ้า (ตอนเด็กนะ ไม่ใช่ปัจจุบัน) จากเด็กชายทราสน์หนุ่มขี้เก็กแสนเย็นชา กลับกลายเป็นหนุ่มที่กวนบาทาสุดๆ แต่ที่หน้าเจ็บใจที่สุดมันกวนและเผยธาตุแท้แต่กับฉันเด็กสาวแสตมป์คนนี้เท่านั้น! แต่กับเก็กหล่อต่อหน้าสาววางมาดขรึม ชิส์!
“นี่แกนั้นใช่พี่ทราสน์รึป่าว ตรงนั้นหนะ” เสียงผู้หญิงคนนึงดังเข้ามาในโสตประสาทของฉัน ฉันเลยแอบเหล่ๆมอง เธอกำลังชี้มาทางทราสน์ซึงตอนนี้นั่งฟังเพลงไม่รู้เรื่องอะไร เพื่อนของเธอจึงกระดกแว่นแล้วพยายามมองผ่านเล่นแว่นตามองสำรวดใบหน้าของทราสน์
“อืม .. ใช่จริงๆด้วย แต่มากับใครหนะ” สาวแว่นตอบ และถามเพื่อนในคราวเดียวกัน
“ก็ยัยแสตมป์ที่คอยตามติดพี่เค้าตลอดไง” ทำไมสรรพนามฉันเป็นอย่างนี้หละ ที่ทราสน์ใช้พี่ แต่กลับฉันกลับใช้ ยัย แต่ใครคอยตามติดใครยะ
“พี่เค้าก็เป็นเพื่อนสนิทกันหนิ ก็ต้องใกล้ชิดกันเป็นธรรมดา” น้องแว่นน้อยเป็นคนตอบ ฉันรักเด็กแว่นจัง >.<
“ก็ไม่จำเป็นต้องตามกันตลอดนี่ เหอะ!ฉันหละอิจฉาจริงๆ คนคนนั้นน่าจะเป็นฉัน ฉันออกจะสวยกว่า” เธอพูดสะบัดผมอย่างมั่นใจ
“แต่ฉันว่าพี่เค้าสวยและน่ารักกว่านะ” อ้ายน้องแว่นพูดถูกใจ มาจุ๊ฟที่ >3<
“แกว่าไงนะ” เธอพูดแล้วเค้นตาใส่น้องแว่นของฉัน ยอมรับความจริงไม่ได้ละสิ ฮ่าๆๆ
“เปล่าๆ ๆ แหะๆ”
“แล้วไป .. แต่วันนี้แปลกๆนะทำไมพี่เค้าถึงขึ้นรถเมย์ได้หละ ปกติก็นั่งรถส่วนตัวมานี่”
“ไม่รู้สิเปลี่ยนบรรยายกาศมั้ง”
“แต่ฉันว่า .. กรี๊ดๆๆ” เสียงร้องของเธอทำให้ทุกคนที่อยู่บนรถมองมา น้องแว่นของฉันเลยรีบเอามืออุดปากเพื่อนเธอทันที มือไม้ของเธอก็ยังชี้มาทางฉันกลับทราสน์อยู่ ฉันพอจะเดาออกนะว่าเธอกรี๊ดอะไรเพราะไม่ใช่แค่เธอที่ตกใจแต่ฉันก็ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน เมื่อรู้สึกถึงความหนักอยู่ที่ไหล่ของฉันอยู่ดีๆไอ้ทราสน์ก็มานอนซบไหล่ฉันเฉยเลย
“แกดูสิพี่ทราสน์นอนซบไหล่มันด้วยอะ” สรรพนามฉันเปลี่ยนเป็นมันแล้วหรอ - -*
“โอ้ย! ฉันก็นึกว่าแกเป็นอะไรที่แท้ก็เรื่องแค่นี้เองแกหันเกรงใจคนอื่นบ้างสิ” แว่นน้องของพี่ ช่างมีศีลธรรม ต่างจากใครบางคนวีนอยู่ได้สองคนนี้เป็นเพื่อนกันได้ไงหนิ
“ก็ .. ” เธอกำลังจะเถียงต่อ แต่น้องแว่นน้อยชี้นิ้วขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์ให้หยุดไม่งั้นเจอดี! แอบโหดนะเนี่ย
ไม่ใช่แค่สองคนนี้หรอกนะที่พูดถึงเรา เหล่านักเรียนนักศึกษาก็ต่างพากันมองเราสองคนอย่างสนอกสนใจ บางคนก็ยิ้ม บางคนอิจฉา บางคนก็ทำหน้าไม่พอใจ
“แกทำอะไรหนะ” ฉันถามทั้งที่ทราสน์ยังนอนหลับตาพริ้มซบไหล่ฉันอยู่
“ขี้มั้ง ก็นอนอยู่นะสิ ” เขาพูดทั้งที่ไม่ลืมตาเลย
“ กวนนะ ฉันหมายถึงแกทำอย่างนี้มันเป็นจุดสนใจนะรู้มั๊ย”
“........”
“แกฟังอยู่รึป่าวหนิ”
“แกอยู่เฉยๆแล้วก็หยุดปากสงบคำเถอะ ตั้งแต่เล็กจนโตแกยังปากมากเหมือนเดิม” ฉันกำลังจะอ้าปากเถียงต่อ ทราสน์รู้สึกจะรู้เลยสวนขึ้นมา
“ฉันง่วงมาก นอนดึก แล้วแกก็ดันมาปลุดแต่เช้า เพราะฉะนั้นแกก็มีสวนต้องรับผิดชอบ อยู่เฉยๆก่อนได้มั๊ย” ทราสน์พูดด้วยเสียงแผ่วเบาเหมือนจะหลับ เสียงเงียบหายไปฉันเลยก้มไปมองเพื่อนตัวเองที่นอนซบไหล่ฉันอยู่ เวลานอนหลับเหมือนเด็กเลย ฉันอมยิ้ม มือได้เอื้อมไปดึงแก้มเค้ายืดเหมือนเล่นหนังยาง
“ฮ่าๆ แกน่ารักจัง”
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ