i'm not&you don't [Yaoi NC18+] END หนังสือถามได้คะ

9.2

เขียนโดย Pierre

วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 02.28 น.

  49 chapter
  69 วิจารณ์
  260.00K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2559 22.56 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

43) 31 - Voluntary Spirit and Service Mind (3)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
 
31 - Voluntary Spirit and Service Mind (3)
 
ตอนบ่ายก็เริ่มโครงสร้างครับ ผมก็ไม่รู้หรอก พวกพี่เค้าจัดการอธิบายถึงหลักการสร้างโน่นนี่จนผมเบลอ กะว่ามีตรงไหนว่างค่อยเข้าไปช่วย
 
วันแรกยังไม่ได้อะไรมาก วัดนู่นวัดนี่ ตรวจสอบพื้น อะไรก็ว่ากันไป ไอ้ภูมันแว๊บมาคุยกับผม แต่เดี๋ยวก็ไปคุยกะคนอื่น ดูไปดูมามันคล้ายกับคนไฮเปอร์ อยู่นิ่งๆไม่เป็น
 
พอมาถึงมื้อเย็น ทุกคนในค่ายรวมตัวไปกินกันที่โรงอาหารเหมือนเดิม
 
“พวกมึงไปตักข้าวเลย กูรอที่แคร่ตัวเดิม” ผมบอกมันขณะที่แยกตัวออกมา
“อ้าว แล้วมึงไม่กินเหรอไง?”
“ไม่อะ”
 
ผมไม่รอฟังไอ้ทัชบ่น เดินหันหนีออกมาเลย เมื่อเดินมาถึงแคร่ตัวเดียวกับที่นั่งกินเมื่อเช้าผมก็ขึ้นไปนั่ง เพื่อนๆในค่ายแต่ละคนเริ่มเดินกลับมาจากงานที่ตัวเองทำกันแล้ว เสียงพูดคุยดังจ้อกแจ้ก รอบตัวดูวุ่นวาย
 
“แม่ง ถอนหญ้าด้วยมือ เจ็บชิบหาย” เสียงไอ้แทนบ่นลอยมาแต่ไกล พวกมันเดินกลับกันมาแล้ว
“กูก็ยกเก้าอี้กับโต๊ะที่ชำรุดตั้งแต่เช้า พอเสร็จก็รื้อกระดานดำ ปวดไหล่วะ”
“ผมขูดสีครับ แบบว่าสีติดทนทายาทมาก”
 
บ่นกันเข้าไป นี่แค่วันแรกนะเห้ย
 
“แล้วพวกพี่วอร์มไปไหนวะ?” ไอ้ทัชถาม เมื่อเห็นว่าจำนวนคนที่นั่งบนแคร่น้อยกว่าเมื่อเช้า
“ต่อแถวรอเอาข้าวอยู่ตรงนั้นไง”
 
ผมหันมองตามที่เมฆบอก พี่วอร์ม พี่รอย พี่โกเม่ และคนสุดท้ายคือหมิงกำลังต่อคิวอยู่ปลายแถว
 
“แกรนด์”
 
ไอ้ภู มาจากไหนวะ?
 
ผมหันกลับไปมองมันอย่างงงๆ
 
“เอาไปกิน เดี๋ยวกูมากินต่อ” ไอ้ภูมันยื่นจานข้าวมาให้ผม แต่ผมไม่รับ มันเลยวางไว้ตรงหน้า ก่อนจะเดินไปอีกทาง และไม่ใช่ผมคนที่เดียวงง ไอ้แทน ไอ้ทัช และนายเมฆกำลังมองผมราวกับรอคำอธิบาย
 
“ไอ้ภูน่ะ...มันอยู่สร้างลานกิจกรรมกับกู” แต่ดูเหมือนคำอธิบายจะยังไม่ดีพอ เพราะพวกมันเอาแต่จ้องหน้าผม
“แล้วข้าว?”
“มันคงเห็นว่ากูยังไม่ได้กินข้าวมั้ง” พูดจบก็ตักข้าวใส่ปาก เป็นอันยุติการสนทนา
 
ผมกินไปได้สัก7-8คำก็วางลง
 
เหมือนไอ้ภูจะรู้เวลา มันเดินมาหยิบจานข้าวที่ผมเพิ่งวางทันที ไอ้ภูไม่ได้นั่งกินข้าวแคร่เดียวกับผม มันเดินไปกินกับเพื่อนๆมัน ไอ้แทนถือจานข้าวค้างแล้วมองตาม
 
“แดกข้าวต่อจากมึง?”
“ก็อย่างที่เห็น”
 
นัยน์ตา3คู่มีคำถาม แต่ถึงถามมา ผมก็จะตอบเท่าที่ผมคิด และตอนนี้ผมอยากคิดง่ายๆ ไม่อยากคิดมาก แค่เรื่องไอ้เหี้ยพอพอสผมก็ปวดหัวจะแย่
 
ว่าแต่...มันหายไปไหน? ทำไมไม่มากินข้าว
 
ช่างหัวมันสิ ทำไมผมจะต้องไปสนใจด้วย
 
 
 
พอกินข้าวเสร็จก็ปล่อยตามอัธยาศัย ไปเดินเล่น คุยกับชาวบ้าน แต่ขอให้อยู่ในอาณาเขตของค่าย สัก1ทุ่มพวกพี่ๆก็เรียกกลับมาที่ลานกว้างอีกครั้ง มาพูดถึงเรื่องที่นอน เรื่องการใช้ห้องน้ำ และแต่ละฝ่ายออกมาสรุปผลของวันนี้
 
ผมนอนที่เดิมครับ กับไอ้ทัชไอ้แทนและนายเมฆ
 
พวกผมพากันไปอาบน้ำ อาบแบบใส่บ๊อกเซอร์หรือไม่ก็พันผ้าขาวม้าปิดของส่วนตัวไว้ คือก็อายนิดนึง ไม่ได้อาบกันแค่4คนนี่หว่า ผู้ชายที่มาค่ายนี้มีตั้งเยอะแยะ
 
ขณะที่ผมกำลังเดินกลับไปที่ห้อง ผมก็รู้สึกได้ว่ามีคนมอง จึงหันกลับไปสบตา
 
ถูกสายตาคมๆแบบนั้นมองไม่รู้สึกก็ไม่รู้จะพูดว่าไงแล้ว มันเหมือนจะเดินเข้ามาทัก แต่ดันมีรุ่นน้องเข้ามาเรียกไว้
 
ดีแล้ว...
 
 
 
 
วันนี้เริ่มต้นด้วยการเรียนรู้การใช้อุปกรณ์ครับ โดยมีรุ่นพี่วิศวะโยธาชื่อ ‘เก่ง’ เป็นคนแนะนำและบอกวิธีการทำงานในส่วนต่างๆ แต่ละคนก็เลือกทำในส่วนที่ตัวเองถนัด ทำหนักทำเบาแต่ขอให้ทำ อย่าอู้ เหมือนพวกพี่ๆเค้าจะดุ แต่เปล่าเลย...คอยถามไถ่น้องๆตลอดว่าไหวมั้ย? ไม่ไหวก็บอก เหนื่อยรึเปล่า? ไปนั่งพักก่อนได้นะ
 
ผมมีหน้าที่แบกอิฐ ขนปูน โกยทราย ท่ามกลางแดดร้อนจัด เหงื่อไหลอาบเต็มหลังจนรู้สึกได้เลยว่าเสื้อเปียกแนบติดกับผิว ไอ้ภูไม่ได้เข้ามาป้วนเปี้ยนผมเหมือนเมื่อวานเพราะมันกำลังตอกร่องอ่างอยู่เพื่อที่จะได้เทปูนแล้วก่ออิฐต่อไป งานที่มันทำถือว่าเป็นงานหนักเลยทีเดียว ดีที่มีชาวบ้านมาช่วยงานด้วย ระหว่างทำก็พูดคุยกันไป
 
 
งานในส่วนของผมที่ต้องปรับเปลี่ยนจากลานกว้างเป็นลานกิจกรรม จากที่เป็นพื้นดินมีหย่อมหญ้าก็กลายเป็นพื้นปูน ซึ่งเราทำกันมา4วัน ตอนนี้กำลังขึ้นโครงเสาเพื่อมุงหลังคาครับ
 
การมาค่ายครั้งนี้ทำให้ผมเปลี่ยนไปนิดหน่อย อย่างแรกเลยคือผมกินข้าวหมดจานเพราะเหนื่อย บวกกับเกรงใจไอ้ภูที่มันกินข้าวต่อจากผม อาบน้ำ แล้วนอน ตื่นเช้ามาทำงานต่อ
 
อย่างที่สองผมเริ่มพูดมากขึ้น ลูกเด็กเล็กแดงที่อยากจะช่วยอาสาพ่อแม่ของพวกเขาทำงานแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก เลยได้แต่ชวนผมคุย
 
“พี่แกรนด์ค่ะ นี่น้ำค่ะ” เด็กหญิงตัวเล็กๆที่เป็นหนึ่งในแก๊งเด็กจอมป่สนยื่นแก้วน้ำมาให้ผมในขณะที่ผมกำลังตักทราย ผมหยุดการกระทำ หันมายิ้มให้เด็กสาวก่อนจะรับแก้วน้ำ ผมยกขึ้นดื่มอย่างไม่คิดอะไร
 
แต่แล้วผมก็ต้องเกือบพุ่งเพราะประโยคต่อมา
 
“พี่หล่อๆคนนั้นเค้าฝากมาให้ อิอิ” หัวเราะคิกๆอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับชี้ไปยังทิศทางที่คนคนนั้นยืนมองผมอยู่
 
ผมหยุดดื่มทันที
 
“อ้าวอิ่มแล้วเหรอค่ะ งั้นเดี๋ยวหนูไปเก็บให้น้า...พี่หล่อๆคนนั้นเค้าใจดีมากๆเลยอะ เป็นแฟนกับพี่เหรอคะ?”
 
“ไม่ใช่!” ผมตอบเสียงแข็ง
“อ้าว..ก็หนูนึก...”
 
เด็กเล็กๆ ไอ้แกรนด์ น้องเค้าเป็นแค่เด็ก ท่องไว้...ไปตวาดใส่เด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวได้ไง...
 
“ผู้ชายกับผู้ชายเป็นแฟนกันไม่ได้หรอกนะครับ” ผมบอกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง นั่งลงยองๆ ลูบหัวของเด็กสาวที่จ้องผมตาแป๋ว “ผู้ชายต้องเป็นแฟนกับผู้หญิง เข้าใจมั้ยครับ?”
 
เด็กหญิงพยักหน้าหงึกๆ
 
“งั้นหนูก็มีสิทธิเป็นแฟนพี่หล่อได้ใช่มั้ย?”
 
เอ้อ...นะ แม้แต่เด็กยังหลงเสน่ห์
 
“อันนี้ต้องไปถามพี่เค้าเองนะครับ” ผมบอก “พี่ขอตัวทำงานก่อนนะ”
“ค่า หนูไม่รบกวนแล้ว ไปหาพี่หล่อดีกว่า อิอิ” แล้วเด็กสาวก็วิ่งจากไป
 
เหอะๆ ที่ผมบอกเด็กสาวไปแบบนั้น...มันยิ่งเหมือนตอกย้ำตัวเองยังไงก็ไม่รู้
 
ช่างเถอะ รีบๆตักทรายให้เสร็จดีกว่า แขนและมือที่โผล่พ้นออกมาจากเสื้อกำลังเผชิญกับแสงแดดทำให้ผมรู้ตัวว่าผมดำขึ้น แต่ผมก็ไม่ค่อยเครียดสักเท่าไหร่ เดี๋ยวก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมเอง ไม่เหมือนพวกผู้หญิงที่คงต้องพอกโลชั่น SPF 50 อัพก่อนออกมาทำงาน ไม่อย่างนั้นจะไม่ยอมออกจากบ้าน
 
 
อย่างที่สาม...ไอ้เหี้ยพอส...มันมองผม หลายครั้งที่อยากจะเข้ามาคุย แต่ก็เหมือนมีอุปสรรคมาขวางตลอดเวลา รู้ทั้งรู้ว่ามันอุตส่าห์แอบอ้างแอบเนียนเพื่อให้ได้มาส่วนที่กำลังปรับปรุงลานกว้างอย่างที่มันกำลังทำอยู่ แต่ผมก็ไม่อยากสนใจ ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากคุยอะไรทั้งนั้น
 
เราเป็นแค่คนเพิ่งรู้จักกัน
 
ผมบอกตัวเองแบบนั้น
 
“วันนี้ผักอีกแล้วเหรอ ฮือออออออออ” ไอ้แทนมันคร่ำครวญเรียกหาเนื้อสัตว์ทันทีที่เห็นว่าในหม้อเป็นผัดผักบุ้ง
“เออน่า...วันนี้ไม่ได้ออกไปซื้อเนื้อที่ตลาด แดกๆเข้าไปเถอะ” ไอ้ส้มมันตอบกลับครับ ซึ่งน่าแปลกใจที่ส้มโอไม่ได้ตอบแบบกวนตีนไอ้แทนเหมือนอย่างเคย มันก็คงเหนื่อยเหมือนกัน อยู่ฝ่ายสวัสดิการใช่ว่าจะทำอาหารอย่างเดียว
“เนื้อสัตว์มันแพงน่ะแทน...ไว้มื้อหน้านะ” กิ๊งบอก
 
ผมไม่มีปัญหาเรื่องการกินอยู่แล้ว (นอกเสียจากเรื่องการคุ้ยข้าว ที่แก้ยังไงก็แก้ไม่หาย) เมื่อได้รับจานข้าวมาก็ตรงไปที่แคร่ เป็นอันรู้กันว่าตรงนี้คือที่ของพวกผมไปซะแล้ว
 
ผมมีโอกาสเจอหน้าพวกมันก็ตอนเย็นกับตอนนอนเท่านั้นแหละ เพราะในช่วงกลางวันพวกผมถูกแยกกันไปทำในแต่ละส่วน แอบเหงาๆเหมือนกันที่ไม่มีเสียงไอ้แทนคอยจิกกัดไม่ก็ส่งมุขเสี่ยวๆไปทั่ว
 
“เอาไป นี่ด้วย แดกเข้าไป ห้ามเททิ้งนะ!” เสียงโหดๆของพี่รหัสผมเอง พอเดินไปถึงก็เห็นไอ้พี่วอร์มกำลังเขี่ยผักจากจานตัวเองให้อีกจาน
 
และจานนั้นเป็นของนายหมิง ที่ได้แต่อ้าปากค้าง แต่พี่แกไม่สน เมื่อแน่ใจแล้วว่าชิ้นส่วนที่เป็นสีเขียวๆออกไปหมดจานก็ยกข้าวขึ้นมากินอย่างไม่สนใจใคร
 
“แบบนี้ผมจะกินหมดได้ยังไง...”
“ตักใส่ปากเคี้ยวๆกลืนเดี๋ยวก็หมดเองแหละน่า กินเข้าไป กินผักเยอะๆ จะได้โตเร็วๆ อย่าเรื่องมาก”
 
ผมชักชินกับพฤติกรรมของคู่นี้ซะแล้ว
 
“เออ สนามโรงเรียนใกล้เสร็จละ พรุ่งนี้กูต้องไปทำสนามเด็กเล่นต่อ” ไอ้แทนพูดขึ้น มันอยู่ในส่วนที่ต้องปรับปรุงสนามโรงเรียน
“ไววะ มึงอยู่ฝ่ายเดียวกับพี่พอสใช่มะ?” ไอ้ทัชถาม ผมสะอึกไปนิดนึง แต่ก็ทำเป็นไม่รู้สึกอะไร
“อืมดิ กูเห็นลุงรหัสกูแล้วเหนื่อยแทนวะ แม่งทำทุกอย่าง ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ”
“เอ่อ...ทำเรือรบไปทำไมเหรอครับ? หรือต้องเอาไปรบกับหมู่บ้านอื่น?” นายเมฆถามอย่างซื่อๆ
 
ซื่อบื้ออะนะ
 
“เชี่ยเมฆ กูเปรียบเทียบกับสำนวนครับ ไม่ทราบว่ามึงได้Aฟิสิกส์มาแต่Fการใช้ภาษาไทยหรือครับ?”
“อ่า...ใครจะไปรู้ละครับ ผมก็นึกว่าต้องสร้างจริงๆ”
 
เห้อออออออ เอากะมันเถอะ เรียนเก่งเกินไปก็แบบนี้แหละ
 
“ช่างเหอะ...แต่พี่พอสแม่งทำทุกอย่างจริงๆนะ ตั้งแต่คำนวณค่าใช้จ่ายยันคำนวณสัดส่วนคอนกรีต ไหนจะต้องมานั่งใช้แรงงาน ซ้ำยังไม่พอ มึงเห็นรอยคล้ำใต้ตาของพี่เค้ามะ?”
“อืม เห็น นี่มาแค่4วันเองนะ” ไอ้ทัชตอบทั้งๆที่มันไม่ได้มองไปถึงคนที่ถูกกล่าวถึง เป็นผมซะอีก ที่เหลือบมองไปยังแคร่ไม่ใกล้ไม่ไกล
 
ไม่ต้องสังเกตอะไรมาก มันโทรมลงจริงๆ
 
“ลุงรหัสกูแม่งฟิต อาสารับหน้าที่เฝ้าเวรยามให้กับค่าย”
“โหยย แล้วแบบนี้จะได้นอนเหรอวะ?”
“ได้แหละครับ เพราะเวรยามยังไงมันก็ต้องมีผลัดเปลี่ยนกะกันอยู่แล้ว” เมฆแสดงความเห็นออกมาบ้าง ส่วนผมก็ได้แต่นั่งกินข้าวเงียบๆ ฟังที่พวกมันพล่าม ถึงแม้เรื่องที่มันพล่ามผมจะไม่ได้อยากรู้สักนิดเลยก็ตาม
“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก วันก่อนพี่เห็นพี่พอสขับรถกะบะเพื่อไปซื้อของ อุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างมาด้วย” พี่รอยพูดขึ้นมาขณะที่ยกน้ำดื่ม ที่นั่งบนแคร่นี้ขาดไป1คนครับ ซึ่งนั่นก็คือพี่โกเม่ เพราะพี่แกกำลังสร้างความสัมพันธ์กับรุ่นน้องคนหนึ่งอยู่ จึงไม่ได้มานั่งกินข้าวกับพวกผมแล้ว
 
“น้องๆครับ ใครอยู่สร้างลานกิจกรรมรบกวนช่วยกันไปยกอิฐหน่อยนะครับ” เสียงพี่หมูดังขึ้นมากลางโรงอาหาร ผมเห็นหลายๆคนรวมไปถึงไอ้ภูที่มันอยู่สร้างลานกับผมลุกขึ้นเดินตามพี่หมูไป ผมเลยลุกขึ้นบ้าง
 
“เดี๋ยวกูไปช่วยพี่เค้าก่อน” ผมบอกพวกมัน ยกเอาจานไปเก็บแล้วเดินไปยังลานกว้างทันที
 
ตอนนี้เป็นเวลา3ทุ่ม พวกผมช่วยกันยกช่วยกันแบกจนเสร็จ ตอนแรกนึกว่าแป๊บๆคงเสร็จ แต่ที่ไหนได้ เยอะเอาการอยู่เหมือนกัน ป่านนี้ไอ้พวกนั้นคงอาบน้ำนอนกันไปแล้ว
 
“แกรนด์ มึงนอนที่ไหนวะ? ใช่ที่โรงเรียนปะ” ไอ้ภูเดินเข้ามาถามผม
“อืม”
“เออ กูก็ด้วย งั้นเดี๋ยวไปอาบน้ำกัน”
 
ก็ดีนะ จะได้ไม่ต้องวังเวงอาบคนเดียว
 
ผมกับมันเดินกลับไปยังที่พักพร้อมกับพวกพี่ๆที่เดินมาส่ง ผมเข้าไปในห้องเรียนซึ่งตอนนี้มันกลายเป็นห้องนอนรวมสำหรับพวกผม บางคนก็ยังไม่นอน บางคนก็จับกลุ่มคุยกัน ผมเห็นไอ้ทัช ไอ้แทน เมฆก็เป็นหนึ่งในนั้น
 
“อ้าวมาแล้วเหรอ” ไอ้ทัชทัก
“เออ เพิ่งเสร็จ กูไปอาบน้ำก่อนนะ”
 
ผมหยิบข้าวของที่ต้องใช้ในการอาบน้ำมาไว้ในอ้อมแขน เดินไปยังหลังโรงเรียนซึ่งเป็นสถานที่สำหรับอาบน้ำ ตุ่มโอ่งใหญ่บรรจุน้ำไว้เต็ม ไม่มีใครมาอาบเลย ผมเห็นไอ้ภูแล้ว มันอยู่คนเดียวกำลังตักขันอาบ ผมเห็นดังนั้นเลยถอดเสื้อผ้ากองไว้แล้วเดินไปยังตุ่มนั้น
 
“ขาวเหี้ย” มันอุทานเมื่อมองผมเต็มๆ
“อะไรของมึง?”
“กูบอกว่ามึงขาวเหี้ยๆ”
 
แล้วทำไมต้องต่อเหี้ยๆด้วยวะ?
 
ผมไม่สนมัน ตักน้ำในตุ่มขึ้นมารดตัว ผมว่าผิวผมคงหนาขึ้นแล้วเพราะชินกับอุณหภูมิของน้ำที่มันเย็นเฉียบ ยิ่งตื่นมาอาบตอนเช้านะ โหยยยยย ไม่อยากจะบอกว่าผมกับเพื่อนๆหลายคนแอบซกมกแหละ แค่ล้างหน้าแปรงฟันแล้วไปทำงานต่อทันที เพราะถึงยังไงก็ต้องเหงื่อออกอยู่แล้ว แถมตอนกลางคืนมันก็หนาว ไม่มีเหงื่อซะหน่อย
 
“อยากขาวบ้างกูต้องทำไงวะ?”
“ไม่รู้...” ผมตอบมัน ชักเริ่มหงุดหงิดหน่อยๆ แต่แล้วก็ต้องร้องเสียงหลงเมื่อไอ้ภูมันเขยิบมาลูบหน้าอกผม
 
“เห้ยยยย!! ไอ้สัดภูมึงทำอะไร?!”
 
ผลั่วะ!!!
 
“อุ๊ก!”
 
เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมากครับ ผมผลักไอ้ภูให้ห่างจากตัว แต่ผมไม่ได้ทำมันล้มจุมปุกแบบนั้น คนที่ทำคือไอ้เหี้ยพอสที่มันโผล่มาตอนไหนไม่รู้ต่างหาก!
 
เชี่ยแม่งมาได้ไงวะ!?
 
“ออกไปห่างๆจากแกรนด์เลยนะไอ้สัด!” มันขู่ตะคอก เพ่งเล็งไปยังไอ้ภูที่กำลังทำหน้างง
“เห้ยพี่พอส อะไรของพี่เนี่ย?” มันค่อยๆลุกขึ้นยืน ปัดเศษดินที่ติดตัวมาด้วย
“เมื่อกี้มึงทำอะไร?” เสียงคนข้างตัวผมน่ากลัวมาก มันไม่ได้พูดเสียงดังหรือตะโกนเลย เพียงแค่พูดในระดับปกติเท่านั้น แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้ไอ้ภูขมวดคิ้วยุ่งและเริ่มถอยหลังหน่อยๆ
“เอ่อ...ผมก็แค่เห็นว่าไอ้แกรนด์มันขาวดี...”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับมึง!” ไอ้ภูยังพูดไม่จบ มันก็สวนขึ้นมาทันที
 
ไอ้ภูยืนนิ่ง คนถามก็รอคำตอบ ส่วนผมอยากจะหนีไปจากตรงนี้ แต่ติดที่ว่า...ข้อมือผมกำลังถูกจับแน่นด้วยมือใหญ่จากคนที่ยืนข้างผม
 
“อาบน้ำเสร็จก็ออกไปดิ ยืนรอเหี้ยไร?” มันพูดขึ้นหลังจากที่เงียบกันมานาน ผมมองไปที่ไอ้ภู ตัวมันยังเปื้อนดิน บ๊อกเซอร์ที่เปียกก็มีคราบดินติด ไอ้ภูก็มองผมอยู่เช่นกัน สายตาเลื่อนลงมาที่ข้อมือผม มันถอนหายใจเบาๆ
 
“เห้ออออ เออ กูเข้าใจและแม่ง” มันพูดอย่างปลงๆ แต่ผมไม่เข้าใจความหมายที่ต้องการจะสื่อ มันตักน้ำรดตัว2-3ขันอย่างลวกๆจนน้ำกระเซ็นมาโดนตัวผมกับไอ้เหี้ยพอส แล้วมันก็หยิบข้าวของเดินออกไป
 
ทิ้งให้ผมยืนตัวเปียกกับคนที่ผมพยายามหลบเลี่ยงมาตลอดไว้
 
“ปล่อย” ผมพูดนิ่งๆ มันหันมามองผม
 
นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้นที่ผมกับมันได้ใกล้ชิดกันขนาดนี้ ใกล้กันขนาดที่ว่าตัวห่างกันไม่ถึงฟุต อีกทั้งข้อมือผมถูกพันธนาการไว้
 
“ไอ้เหี้ยนั่นเป็นใคร? แล้วทำไมมึงต้องมาอาบน้ำกับมัน2คน?” มันไม่ยอมปล่อยถาม แต่ถามกลับ
 
ไม่อยากมองมัน ผมจึงเลี่ยงที่จะสบตา เสมองไปทางอื่น
 
“เพื่อนผม ... แล้วคุณก็ปล่อยมือผมได้แล้ว”
 
แม้จะออกแรงหมุนข้อมือเพื่อให้หลุดจากการจับกุมสัก100รอบ แต่มันก็ไม่ยอมปล่อย ซ้ำยังออกแรงบีบมากกว่าเดิมจนเริ่มเจ็บ
 
“แล้วที่มันเอามือมาโดนตัวมึงล่ะ?!” มันตกคอกใส่จนผมเผลอกันไปมอง สายตามันดุดันราวกับจะฆ่าใครได้...
 
สายลมในตอนกลางคืนที่พัดผ่านผิวกายที่ไม่มีอะไรปกปิดมันทำให้ผมตัวสั่น
 
สั่นเพราะหนาวหรือสั่นเพราะกลัว...
 
อาจจะทั้ง2อย่าง
 
แต่ทำไมผมต้องกลัวมัน? ในเมื่อไม่ได้ทำอะไรผิด? อีกอย่างมันก็ไม่มีสิทธิที่จะมายุ่งกับผม
 
“เรื่องของผม ไม่เกี่ยวกับคุณ”
 
“โว๊ยยยยยย!! แม่งงงงงงงงงงง!!!”
 
ผมสะดุ้งเล็กน้อยกับที่มันตะโกนระบายอารมณ์ออกมา
 
“เมื่อไหร่มึงจะเลิก ผมๆคุณๆ สักที!!! กูฟังแล้วแม่ง...หงุดหงิดชิบหาย!”
“คุณเป็นรุ่นพี่ อีกอย่างผมไม่ได้สนิทกับคุณ”
 
ยิ่งเห็นมันโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงผมก็ยิ่งเน้นหนัก
 
สายตาคมจับจ้องผมอีกครั้ง คราวนี้มันหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ ก่อนจะพูดอย่างใจเย็นว่า
 
“แกรนด์ กูขอโทษ กูรู้ว่ามึงโกรธกู” มันปล่อยข้อมือผมแล้ว
“ผมไม่เคยรู้จักคุณ แล้วผมก็ไม่ได้โกรธอะไรทั้งนั้น”
 
เข้มแข็งไว้แกรนด์...
 
แต่...ทั้งๆที่มันปล่อยข้อมือผมแล้ว ผมจะเดินหนีมันไปก็ได้ แต่ขาผมมันกลับก้าวไม่ออก
 
“กูรั...”
 
“หยุด! ผมไม่รู้จักคุณ คุณจะไปแต่งงานจะไปหมั้นกับใครมันก็เรื่องของคุณ ได้โปรดอย่ามาทำเป็นว่าเราเคยสนิทกัน เคย...”
 
เคยรักกัน...
 
“ไม่...”
“ผมขอร้อง ต่างคนต่างอยู่เถอะนะ อย่า...อย่ามาหลอกผมอีกเลย”
 
เสียงผมไม่ได้สั่นใช่มั้ย?
 
ก่อนที่ผมจะต้องฟังอะไรที่มันทำร้ายจิตใจผมไปมากกว่า ผมตัดสินใจก้าวเดินหนีออกมา แต่อีกคนกลับไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นง่ายๆ
 
“เดี๋ยวก่อนแกรนด์ ฟังก่อน”
 
ไม่! ไม่ฟัง! นี่จะให้ผมไปฟังคำหลอกลวงของมันอีกงั้นเหรอ??
 
กึก
 
วูบบบบ
 
“ระวัง!”
 
เพราะมัวแต่จ้ำอ้าว ปิดหูไม่ปิดจนไม่ทันระวัง สะดุดกับก้อนหินเล็กๆเข้า หกล้มลงไปนอนกับพื้นตี่ใครอีกคนเอามือมารองตัวผมไว้
 
“เจ็บตรงไหนรึเปล่า?” มันตื่นตะลึง พลางพลิกตัวผมสำรวจไปมาและปัดเศษดินให้ แต่ผมผลักตัวมันออกห่าง ไม่อยากให้ใกล้ไปมากกว่านี้ พยายามทำทุกวิถีทางให้มันลุกออกไปจากตัวผม
 
“ไม่! ปล่อย!”
 
ยิ่งอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ยิ่งไม่ดี...ไม่ดีต่อใจผมเลยจริงๆ
 
“อย่าเพิ่งดื้อได้มั้ย? มาให้ดูก่อนว่าเจ็บตรงไหนรึเปล่า? ที่นี่ไม่ใช่บ้านเรานะ” มันบอกผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จนผมนิ่งไป
 
อย่ามาทำดี อย่ามาทำให้สับสนจะได้มั้ย?
 
“ปล่อยผมไปเถอะ ขอร้อง คุณก็อยู่ส่วนคุณ ผมก็จะอยู่ของผมเงียบๆ”
 
ตอนนี้ผมอยากจะร้องไห้ ยิ่งมันมาเป็นห่วงเป็นใยราวกับไม่มีอะไรเปลี่ยนแบบนี้มันยิ่งทำให้ผมห้ามใจตัวเองไม่ได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมรู้ตัวเองมาตลอดว่า...
 
ผมยังรักมันอยู่ ยังคิดถึงมันเสมอ
 
เวลาไม่ได้ลบเลือนอะไรเลย แค่มีสิ่งใหม่ทับถมสิ่งเก่าไปเรื่อยๆ
 
แต่ต้องทำเป็นไม่สน เพื่อที่จะได้ปกป้องตัวเองไม่ต้องกลับไปเสียใจที่โดนหลอกแบบนั้น ความผิดพลาด การโกหก หลอกลวงครั้งนี้ของมันไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับหรือให้อภัยกันได้ง่ายๆ...
 
“แกรนด์...”
“หยุดยุ่งกับผมซะที!” ผมใช้แรงเฮือกสุดท้ายผลักมันออกไปแล้วรีบลุกขึ้น
 
แต่ก็ยังช้าไป...
 
“ขอโทษ! ขอโทษ! ขอโทษ!” มันรั้งข้อมือผมไว้ “กูรู้ตัวว่ากูมันแย่ ผิดเองที่ทำให้เรื่องมันบานปลาย แต่ให้กูไปสาบานกับที่ไหนเลยก็ได้ว่ากูรักมึงคนเดียว รักมึงจริงๆ”
“เหอะๆ เก็บคำว่า ‘รัก’ ของคุณไปใช้กับคู่หมั้นของคุณเถอะ”
“คู่หมั้นกูก็คือมึงไงแกรนด์ กูยกเลิกงานหมั้นกับหมอนไปแล้ว!”
 
...
 
ผม...คงหูฝาดไป
 
“จริงๆนะ กูคุยกับพ่อกับแม่แล้ว กูขอยกเลิกงานหมั้น กูคุยกับหมอนแล้ว กูเคลียร์ทุกอย่างแล้วจริงๆ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อมึง กูทนไม่ได้ที่ไม่มีมึง กูทนไม่ได้ที่มึงหายไป...” มันก้มหน้าบอกผมอย่างนั้น คว้ามือผมทั้ง2ข้างมาบีบแน่น
 
ราวกับส่งมอบความรู้สึกทั้งหมดที่อยากจะพูดมาให้
 
ตอนนี้ใจผมกำลังสั่นคลอน
 
มัน...ยกเลิกงานหมั้นกับหมอนไปแล้วงั้นเหรอ..?
 
ถ้ามันง่ายแบบนั้นก็ดีสิ
 
“เลิกโกหกได้แล้ว!!” ผมตะโกนบอกมัน “พอทีเถอะ!! เรื่องของผมกับคุณมันเป็นไปไม่ได้ มันจบไปตั้งแต่วันที่คุณเริ่มโกหกหลอกลวงผมแล้ว!!”
 
ความรู้สึกมันพรั่งพรูออกมา ผมตะโกนตัวหอบโยน คนตรงหน้าปล่อยมือผมแล้วคว้าตัวเข้าไปกอดทันที
 
“ไม่ได้โกหก” มันกระซิบอยู่ข้างหู “กูพูดความจริง ถ้ามึงไม่เชื่อ...กลับจากค่ายไปหาพ่อกูกันนะ”
“ไม่ไป ผมไม่ไปไหนกับคุณทั้งนั้น” เสียงอู้อี้แต่ก็พอจะฟังรู้เรื่อง
 
ใบหน้าผมซุกอยู่ที่ไหล่กว้าง อ้อมกอดมันยังอุ่นเหมือนเดิม กลิ่นกายที่ผมคิดถึง ชุดลำลองของมันที่ใส่อยู่ตอนนี้ผมก็เห็นบ่อยๆ
 
“มึงอย่าฝืนใจตัวเองเลยแกรนด์ กูรู้ว่ามึงก็รักกูมาก ไม่อย่างนั้นมึงคงไม่เป็นแบบนี้”
“ไม่ใช่ ผมไม่ได้รักคุณ” ผมดันตัวมันออก ซึ่งมันก็ยอมคลาย “ผมบอกแล้วว่าเราเป็นแค่คนรู้จักกัน!”
 
มันนิ่งอึ้งไป แต่แล้วผมก็ต้องงงเพราะรอยยิ้มที่คลี่ออกมา
 
“ถ้างั้น...เรามาทำความรู้จักกัน เริ่มต้นกันใหม่ .. ดีมั้ย?”
 
“ไม่จำเป็น” ผมปฏิเสธทันที
 
“งั้นแสดงว่าเรารู้จักกันดีแล้ว”
“ไม่เลยสักนิด”
 
มันลุกขึ้น ยื่นมือมาให้ผม แต่ผมปัดทิ้ง ลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง ดินบางส่วนเกาะติดมาที่หลังกับขา
 
“อะแฮ่ม ผมชื่อพัฒนพล วรโชติอิงคนันท์ เรียกง่ายๆว่า พอส ปี3 วิศวะเครื่องกล บ้านรวย พ่อเจ้าของสายการบิน แม่ทำอาหารเก่ง แต่เป็นโรคหัวใจ ผมเป็นลูกคนที่3 พี่ชายคนโตชื่อพีท พี่สาวคนรองชื่อเพลย์ ส่วนนิสัย...รักใครรักจริงครับ!”
 
หา?
 
ผมเงยหน้ามองคนที่แนะนำตัวเอง(แบบน่าหมั่นไส้สุดๆ)อย่างไม่เข้าใจ
 
“เอ้า ผมแนะนำตัวเองแล้ว ตาคุณบ้าง” มันบอกพร้อมกับยิ้มสบายๆ “เร็วๆสิครับ ผมอยากรู้จักคุณ”
 
เห้อออออ พอเห็นหน้ามันแล้ว...ยิ่งมาทำแบบนี้...ผมก็ชักจะใจอ่อน ราวกับเรื่องที่กำลังพูดกันอยู่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร คงเป็นความสามารถของมันที่สามารถลากเรื่องเครียดๆให้กลับมาสู่บรรยากาศแบบนี้ได้
 
เล่นกับมันหน่อยก็ได้วะ
 
“แกรนด์ ชื่อเต็มๆคือ กรวิชญ์ สิทธิศักดิ์โสภณ ปี1ภาคเครื่อง เกิด 8 เดือน 8 ...” ตรงนี้ผมแอบเน้นย้ำเสียงหน่อยๆ ซึ่งดูเหมือนมันจะรู้ตัว “ไม่รวย พ่อเจ้าของโรงงานไม้ เล็กๆ แม่ขายหนังสือแผง ลูกคนเดียว…ผมเคยรักใครบางคน เค้าบอกว่าเค้ารักผมและจะหมั้นกับผม แต่สุดท้ายแล้วเค้าก็ไปหมั้นกับคนอื่น ทั้งๆที่ผมคิดไว้แล้วว่าคนนี้แหละ เป็นคนที่ผมจริงจังด้วยมากที่สุด” ผมจ้องเข้าไปนัยน์ตาของอีกฝ่าย “แต่แล้วเค้ากลับโกหกผม เพราะเค้ามีคู่หมั้นอยู่แล้ว...ต่อจากนี้ไปผมคงไม่คบกับใครแบบจริงจังง่ายๆอีก”
 
นี่คงเป็นครั้งแรกที่ผมพูดกับมันยาวขนาดนี้
 
“ถ้าอย่างนั้นผมขอโอกาสอีกสักครั้ง...” มันยังยิ้มให้ ไม่ใช่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่เป็นรอยยิ้มที่จริงใจ “ในเมื่อคุณบอกว่าไม่คบกับใครแบบจริงจัง...”
 
“งั้นเราลองมาคบกันเล่นๆสัก100ปีดีมั้ย?”
 
 
 
 
 Talk
หมดสต๊อกแล้วนะคะ
แล้วแพรก็คงอัพช้ากว่านี้ถ้าไม่มีคอมเม้นต์เลย น้อยใจอะ T_T
 
.

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายฟิคชั่นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา