i'm not&you don't [Yaoi NC18+] END หนังสือถามได้คะ

9.2

เขียนโดย Pierre

วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 02.28 น.

  49 chapter
  69 วิจารณ์
  260.56K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2559 22.56 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

37) The Other Side V [Pause Part]

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

The Other Side V [Pause Part]

 

 

วันรุ่งขึ้นไอ้แกรนด์ไม่สบาย สาเหตุคงไม่ต้องบอก ผมดูแลมันอย่างดีเท่าที่ลูกผู้ชายคนหนึ่งจะทำได้ ป้อนข้าวป้อนน้ำให้ จัดการหาให้ทุกอย่าง ผมไม่ชอบที่เห็นมันป่วย ถึงแม้จะรู้ตัวก็เถอะว่าผมเป็นคนที่ทำให้มันไม่สบายแบบนี้เอง บอกตรงๆว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยดูแลใครดีขนาดนี้มาก่อนเลย (ไม่นับแม่อะนะ)

 

คนป่วยไล่ผมให้ไปเรียนหลายรอบมาก จนผมเริ่มรำคาญ มันจะอะไรนักหนา นี่เป็นครั้งแรกที่ผมหยุดเรียนทั้งๆที่หากไม่จำเป็นผมก็จะไม่ขาดเลย แต่ไอ้คนที่นอนซมอยู่บนเตียงทำเอาผมไม่มีกะจิตกะใจจะไปเรียนหรอก คงพะวงถึงมันมากกว่า สู้หยุดไปเลยแล้วดูแลมันไม่ดีกว่าเหรอ อีกอย่างผมเช็คเรียบร้อยแล้วด้วยว่าไม่มีวิชาไหนที่ต้องสอบหรือส่งงาน

 

แก้มแดงๆจากพิษไข้และเหงื่อที่ไหลขับออกมาทำให้ผมต้องเช็ดตัวมันหลายรอบ เอายาให้มันกิน พยายามไม่คิดอกุศลเพราะนี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาหื่น ต้องรอเจ้าตัวให้หายก่อน

 

ระหว่างมันหลับ ผมนั่งอยู่ข้างเตียงไม่ห่างไปไหน เฝ้ามองมันอยู่แบบนั้น ในใจคิดจัดการหาวิธีจบเรื่องงานหมั้นให้เหมาะสมและถ้าเป็นไปได้...ก็ไม่อยากให้ใครต้องเสียใจเพราะผมอีก

 

ในสมองลำดับความคิดที่ต้องจัดการ

 

แม่ หมอน ไอ้ฮาร์ท

 

หวังว่าจะยังไม่สายเกินไป...

 

.

.

 

.

 

 

.

 

ผมส่งคนที่เพิ่งหายไข้ที่หน้าตึกเรียน ก่อนจะแยกตัวออกมาและตรงไปยังห้องเรียนของตัวเองบ้าง

 

มันดีขึ้นแล้ว ยิ้มได้ กวนตีนได้ แค่มันเป็นเหมือนเดิมก็สุขใจ และน่าตลกถ้าหากผมจะขออะไรสักอย่างตอนนี้ ให้ผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น

 

ขออย่าให้มีอะไรมาทำลายความสัมพันธ์ของเรา2คนเลย...

 

ผมยังไม่พร้อมที่จะบอกความจริงกับมัน

 

แต่คนที่กำลังเดินมาหาผมเหมือนกับที่มันเคยเดินมาให้ผมต่อยนั้นมันเหมือนเป็นลางร้าย ผมกำลังนั่งคุยกับเพื่อนถึงเรื่องฝึกงานอยู่ที่โต๊ะประจำพากันหยุดเงียบ เพื่อที่จะรอฟังว่าไอ้วอร์มปี2มันจะมีปัญหาอะไรอีก แต่ที่จริงมันก็ไม่น่ามีอะไรแล้วนี่หว่า มันรู้ตัวดี พักหลังมานี่ไม่เห็นมายุ่งวุ่นวายกับชีวิตน้องรหัสตัวเองให้ผมต้องหงุดหงิดสักเท่าไหร่

 

แล้วมันมีอะไรวะ?

 

“ทำไมพี่พอสไม่ไปสอนอิ๊งให้แกรนด์?”

 

หา?

 

คำถามของมันเล่นเอาผมงงเป็นไก่ตาแตก

 

“ก็เมื่อกี้เห็นแกรนด์ไปกับรุ่นพี่สอนพิเศษ...หล่อดี” โกเม่น้องรหัสผมพูดขึ้นบ้าง

“คือก่อนที่พวกผมจะมานี่ผมเห็นแกรนด์ไปกับรุ่นพี่คนนึง แกรนด์บอกว่าเป็นรุ่นพี่ที่มาสอนพิเศษวิชาอิ๊งอะครับ...แต่ผมว่ามันแปลกๆ มันเหมือนฉุดกระชากลากถูไปมากกว่า” รอยอธิบายเพิ่มเติม

“รุ่นพี่สอนพิเศษ? สอนอิ๊ง?”

 

ผมทวนอย่างงุนงง หน้าอย่างไอ้แกรนด์ไม่น่ารักเรียนขนาดนั้น แค่วิชาที่ต้องเรียนเทอมแรกนี่ก็เล่นเอามันบ่นไป3วัน7วัน เป็นไปไม่ได้ที่มันจะสนวิชาที่ต้องเรียนเทอม2

 

“สูงพอๆกับไอ้วอร์ม สกินเฮด ใส่แว่น...เห้ย! ไปไหนอะพี่”

 

แต่ผมไม่สนแล้วว่าพวกนั้นมันจะพูดอะไรต่อ ทันทีที่ได้ยินคำว่าสกินเฮดผมก็รีบพุ่งตัวออกมาจากวงสนทนาทันที ไม่ต้องเดาอะไรให้มากความ คนๆนั้นต้องเป็นไอ้เหี้ยฮาร์ทอย่างแน่นอน

 

นี่แม่งกล้าบุกมาถึงที่เลยเหรอวะ

 

แถมยังมาหาไอ้แกรนด์โดยตรง...มันมีแผนอะไร?

 

หรือว่ามันจะมาบอกเรื่องงานหมั้น...?

 

ไม่นะ!

 

รถสีสปอร์ตสีเหลืองที่แต่งมาครบครันเลี้ยวโค้งไปตรงหัวมุมเส้นที่จะออกไปประตูใหญ่ ผมจำได้แม่นว่านี่คือรถของใคร!!! ผมวิ่งไปที่รถตัวเองอย่างรวดเร็ว ขึ้นรถแล้วสตาร์ทแบบทำเวลาเร็วที่สุด ฝ่าเท้าเหยียบคันเร่งเต็มแรง ทิ้งฝุ่นตลบไว้ด้านหลัง แต่ผมไม่ได้ขับตามไอ้รถสปอร์ตเหลืองไป ใช้อีกเส้นทางเพื่อดักตัดหน้ารถคันนั้น

 

ขอให้ทันทีเถอะ!!

 

เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดด!!

 

รู้ว่าตัดหน้ารถแบบนี้มันเสี่ยงและอันตราย แต่ผมไม่สน แกรนด์กำลังนั่งอยู่ในรถไอ้เหี้ยฮาร์ท ผมลงจากรถพอดีกับที่ไอ้ฮาร์ทมันเปิดประตูลงมาเหมือนกัน คงไม่ใช่มาคุยเรื่องค่าเสียหาย เวลานี้ต่อให้ท้ายบุบ ไฟท้ายแตก โดนกระแทกยังไงช่าง ใจมันจดจ่ออยู่กับคนที่หน้าตาตื่นซึ่งผมเพิ่งพามันลงจากรถนั่น

 

“โอ๊ย”

 

เสียงร้องของมันไม่ได้ทำให้ผมผ่อนแรงลงแต่อย่างใด

 

“กูบอกแล้วไงว่าอย่าเจอมัน!!”

 

ผมเตือนมันแล้ว..บอกมันแล้ว ทำไมไม่ฟังกันบ้าง?!

 

ไอ้แกรนด์พยายามยื้อแรง ไม่ยอมขึ้นรถที่ผมเปิดให้มันนั่ง

 

“ปล่อย” คำๆเดียวที่หลุดมาจากปากพร้อมกับสายตาที่ผมอ่านไม่ออก

 

ท่าทางแบบนี้...อย่าบอกนะว่า...

 

“ไอ้เหี้ยฮาร์ท มึงทำอะไรแกรนด์!!!” ผมปล่อยแกรนด์ พุ่งเป้าไปที่คนทำหน้าระรื่นจนอยากจะฆ่าให้มันตายคามือ

“กูช่วยมึงนะไอ้พอส”

“ไม่ยักรู้ว่ากูขอความช่วยเหลือจากมึงเมื่อไหร่”

“เวลาถึงงานหมั้นจะได้บอกน้องแกรนด์เค้าง่ายๆไง”

 

หมั้น...บอกแกรนด์...

 

“มึง...ว่าอะไรนะ?”

“กูก็แค่ช่วงสงเคราะห์ กะว่าจะพาน้องแกรนด์เค้าไปดูสถานที่จัดงานหมั้นมึง...”

“ไอ้เหี้ย!!!!!!”

 

พลั่ก!!

 

ผมไม่รอให้มันพูดจบ กระแทกหมัดหนักๆเข้าที่ใบหน้ามันทันที และอีกหลายหมัดที่ใส่ไปเต็มแรง เหวี่ยงแขนไปแบบไม่มียั้ง อารมณ์ทั้งหมดที่เก็บไว้ถูกระบายออกมา

 

ทำให้แม่งเจ็บ...แต่ก็เจ็บได้แค่เพียงร่างกาย

 

ยิ่งมันสวนกลับมาผมยิ่งกลายเป็นคนบ้า ฟาดหัวฟาดหาง ใช้ทุกๆส่วนที่สามารถทำร้ายคนตรงหน้าได้ ถ้าหากมีปืน...ผมก็คงไม่ลังเลที่จะเหนี่ยวไก

 

ตายๆไปซะได้ก็ดี!!

 

แต่ก่อนที่ผมจะได้ทำอย่างใจนึกเสียงร้องของคนที่ทำให้ผมโมโหอยู่แบบนี้ก็กระชากสติกลับมา

 

“หยุด!!”

 

ผมหยุดตามที่มันสั่ง ก้าวเดินเข้าไปหามันที่กำลังถอยห่างผมอย่างช้าๆ

 

“ขึ้นรถ”

 

อย่าเพิ่งหนี...ขอเวลาให้ผมได้อธิบายสักนิด...

 

“อ้าว ไม่อยากไปดูสถานที่จัดงานแล้วเหรอ?” เชี่ยนี่แม่งโดนกูอัดเข้าไปหลายหมัดยังพูดได้ แสดงว่ายังไม่พอสินะ แต่เวลานี้ช่างหัวไอ้ฮาร์ทก่อน

“หุบปาก!” ผมหันไปตะโกนด่ามันก่อนที่จะหันมาพูดกับคนที่ยืนนิ่งด้วยเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิม “ขึ้นรถ”

 

“มึง...จะหมั้นกับคนชื่อหมอนจริงรึเปล่า?”

 

คำถามเรื่องที่ผมกลัวที่สุดหลุดออกมาจากปากคนที่ผมไม่อยากให้รู้เรื่องมากที่สุดแล้ว...

 

แววตา สีหน้า ท่าทางของแกรนด์มันเหมือนคนจะล้มทั้งยืน จนผมกลัวว่าถ้าตอบออกไปมันคงล้มลงไปต่อหน้า มันก้มหน้าลง ไม่มองผมเหมือนที่แล้วๆมา

 

“อืม”

 

เป็นคำตอบที่แย่ที่สุด

 

วินาทีนี้ มันคงไม่อยากได้คำอธิบาย พูดอะไรก็คงเหมือนแก้ตัว นอกจากคำยืนยันว่างานหมั้นเป็นเรื่องจริง

 

“แกรนด์....ขึ้นรถก่อน...กลับไปคุยกันที่ห้อง” ผมบอก แต่ไม่รู้ว่าคนฟังจะรับรู้รึเปล่า เอาแต่ก้มหน้าอยู่แบบนั้น “กลับไปคุยกันก่อนนะ...ขอร้องล่ะ”

 

ให้กูทำอะไรก็ได้ ยอมทั้งนั้น...ขอแค่รับฟังและรับรู้สักนิด

 

“แกรนด์!!!!!”

 

มันวิ่งหนีผม โบกแท็กซี่ที่บังเอิญมาจอดพอดี ผมวิ่งตามไปถึงพอดีกับที่มันปิดประตูใส่หน้า

 

ปึงๆๆๆๆๆๆ!!!

 

ผมตบตัวรถสีสันฉูดฉาดอย่างรัวเร็ว แต่รถเคลื่อนตัวออกไปแล้ว ผมรีบกลับมาที่รถซึ่งจอดขวางทางไว้ ไอ้ฮาร์ทมันยืนนิ่งข้างรถสุดรักของมัน

 

“สมใจมึงแล้วสินะไอ้สัด!!!”

 

ผมด่ามันทิ้งท้ายก่อนที่จะขึ้นรถและออกตามแท็กซี่คันนั้นอย่างรวดเร็ว แต่เหมือนมันจะรู้ว่าผมตามมันมาแน่ๆเพราะเส้นทางนั้นวนไปวนมา แถมรถยังติด โชเฟอร์แท็กซี่คันที่ไอ้แกรนด์นั่งแม่งก็เสือกเปลี่ยนช่องเลนไปมาอย่างชำนาญ แล้วตัวรถที่ใช้สีเขียวเหลืองก็ดันมีไปทุกทิศทาง ไอ้จะให้จำป้ายทะเบียนก็ไม่มีเวลาคิดถึงจุดนั้น

 

สมาธิผมถูกแบ่งเป็น4ส่วน ส่วนแรกขับรถ ส่วนที่สองมองตามแท็กซี่ ส่วนที่สามกดโทรศัพท์หาแกรนด์ และส่วนสุดท้ายในใจคิดกังวลเรื่องมันต่างๆนานา

 

รู้อีกทีก็คลาดหายไปจากสายตาแล้ว

 

ท้องถนนตรงหน้ามีแต่รถยี่ห้อดังที่แล่นไปมา แท็กซี่ก็ไม่เห็นจะมีสีเขียวเหลือง มีแต่สีอะไรก็ไม่รู้ โทรศัพท์ปิดเครื่อง...แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังกดโทร...

 

ไปไหนแล้ว แกรนด์ไปไหน

 

ผมตั้งสติให้มั่น กำพวงมาลัยจนข้อขึ้น ยังไงๆแกรนด์ก็ต้องกลับไปที่หอ คิดได้ดังนั้นผมเลยวกกลับมายังแถวๆมหาวิทยาลัยอีกครั้ง พอถึงที่ก็จอดรถไว้ที่เดิม เดินขึ้นหอทั้งๆที่รู้ว่าเจ้าของห้องยังไม่กลับมา ไขประตูห้องที่พักหลังนี้ผมมาอยู่บ่อยมากกว่าคอนโดตัวเองซะอีก เดินไปเปิดไฟแล้วนั่งลงกับเตียง

 

ผมก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือ

 

19.15 ... เดี๋ยวแกรนด์คงกลับมา

 

ถ้ากลับมาแล้วจะพูดอะไร? บอกมันว่าแม่จัดงานหมั้นให้เลยต้องแต่งงั้นเหรอ?

 

ทุเรสสิ้นดีว่ะพอส

 

โกหกมันตั้งแต่แรก เท่านั้นยังไม่พอ ยังโกหกตัวเองว่าจะต้องหมั้นกับมัน ไม่ได้หมั้นกับคนชื่อหมอน ตักตวงแต่ความสุขจนลืมนึกถึงความจริงที่ต้องเผชิญ ปกปิดสิ่งที่จะทำให้มันเสียใจ กลัวมันหายไป...

 

แล้วทีนี้จะทำยังไงล่ะ?

 

ไม่ใช่เพราะความคิดที่ว่า ‘ไว้ก่อน ไม่อยากให้แม่อาการกำเริบ’ กับ ‘ปล่อยเลยตามเลย ค่อยแก้ปัญหาทีหลัง’ หรอกเหรอมันถึงได้ส่งผลอย่างร้ายแรงมาจนถึงตอนนี้

 

สมน้ำหน้าตัวเอง

 

ผมลุกขึ้นเดินวนไปวนมาอยู่แบบนั้น ทั้งๆที่ไม่ได้มีพื้นที่อะไรเยอะแยะเลย

 

จะ2ทุ่มแล้วนะ...ทำไมยังไม่กลับสักที

 

เริ่มกดโทรหาแกรนด์อีกครั้ง ได้ยินเสียงผู้หญิงที่ผมฟังซ้ำไปซ้ำมาไม่ต่ำกว่า50รอบเหมือนเดิม

 

บางทีอาจจะไปอยู่กับไอ้แทนหรือไม่ก็ทัช...จากกดเบอร์โทรที่ผมจำได้ขึ้นใจก็เปลี่ยนมาไล่หาเบอร์หลานรหัสแล้วกดโทรแทน เผื่อจะอยู่ด้วยกัน

 

/เปล่าอะพี่ ไอ้แกรนด์ไม่ได้มาหาผม/

 

คำตอบทำให้ผมผิดหวัง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเหลือทัชอีกคน

 

“งั้นขอเบอร์ทัชหน่อย”

 

ไอ้แทนมันให้เบอร์มาผมก็กดวางสายแล้วโทรหาเบอร์ที่เพิ่งได้มาใหม่ทันที

 

“ทัช พี่พอสเองนะ แกรนด์อยู่รึเปล่า?”

/ไม่อยู่ครับ ทำไมมีปัญหาอะไรรึเปล่าครับ?/

“นิดหน่อยน่ะ”

 

ผมกดวางสายอีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มต้นโทรใหม่ วนไปเรื่อยๆอยู่แบบนั้น ไอ้บิ๊ก ไอ้แต๊ง เต็งหนึ่งที่ขอเบอร์มาจากไอ้บิ๊ก อืมมม แล้วใครอีกนะ อ้อใช่ เมฆ ส้มโอ กิ๊ง

 

แต่ก็ไม่มีใครอยู่กับแกรนด์สักคน...

 

ผมพยายามนึกให้ออกว่ามีใครอีกบ้างที่แกรนด์จะไปหา สายตามองไปรอบห้อง เผื่อมันจะมีอะไรดีๆพอให้นึกออกได้บ้าง แต่หอนี้มันเป็นหอเล็กๆไว้สำหรับนักศึกษาต่างจังหวัดหรือบ้านไกล เจ้าของห้องไม่ได้ตกแต่งอะไรมากมาย มีเฟอร์นิเจอร์อุปกรณ์ข้าวของต่างๆอยู่ไม่กี่ชิ้น มันอ้างว่าขี้เกียจขนมาจากบ้าน ยังไงก็ต้องเอากลับ ยกเว้นคอมสุดโบราณของมันที่มันทั้งรักทั้งหวง จนต้องยกมาจากบ้าน รูปร่างภายนอกจอโปร่ง เคสใหญ่ เปิดเครื่องทีนึกว่าเครื่องบินลง

 

บ้าน..??

 

หรือมันจะกลับบ้าน???

 

ใช่...ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ ผมไม่รู้ที่อยู่บ้านมัน ไม่รู้ว่าพ่อแม่มันเป็นใคร ทำงานอะไร แถมยังเป็นที่พักพิงสุดท้ายของทุกคน พระในบ้านทั้ง2ที่รอเรากลับมาเสมอ ไม่ว่าเราจะเป็นยังไง

 

มันเคยคุยโทรศัพท์กับแม่ แทนตัวเองกับคำที่เรียกแม่จนผมเข้าใจผิด มันกับแม่คงสนิทกันมาก เป็นไปได้สูงถ้ามันจะกลับไปหา

 

21.55 น.

 

มันคงยังไม่พร้อมที่จะเจอหน้าผม อาจต้องรอให้มันสงบสติอารมณ์และพร้อมที่จะรับฟัง ระหว่างนี้ผมต้องแก้ปัญหาที่ผมละเลยมานานเสียที

 

ไอโฟนในมือแจ้งเตือนว่าแบตเหลือกว่า10%

 

คงได้อยู่...

 

นิ้วมือเลื่อนกดหารายชื่อที่ผมทั้งรักทั้งห่วงยิ่งกว่าใครในโลกนี้แล้วยกขึ้นแนบหูอีกครั้ง

 

“วันนี้ผมกลับไปนอนที่บ้านนะครับแม่”

 

.

.

 

.

 

 

.

 

“แกรนด์!!!!”

 

นั่น มันเดินลงมาจากตึกพร้อมกับเพื่อนๆ ผมตะโกนเรียกอย่างไม่อายจนหลายๆคนหันมามอง แต่คนถูกเรียกกลับหันหน้าไปอีกทาง ทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วรีบเดิน

 

ผมแทรกตัวเข้าไปหา แต่ก็ไม่ทัน มันเดินหนีผม

 

มันจงใจหลบหน้าผม

 

เป็นแบบนี้หลายครั้ง จนผมไม่ค่อยเห็นร่างที่คุ้นตา มันเลี่ยงผม หากผมเดินไปทางซ้าย มันก็จะไปขวา หากผมเดินเข้าหา มันก็จะหันหนี

 

ดักรอที่หน้าหอทุกวัน...แต่ก็ไม่เคยได้เห็น

 

ผมโทรถามทุกคนที่ได้เห็นแกรนด์ ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามันหมองลงอย่างเห็นได้ชัด ผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ แต่ก็รู้ตัวดีว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้มันเปลี่ยนไป

 

มันยังรักผมอยู่ใช่มั้ย?

 

มันไม่ได้ถอดแหวนทิ้ง...แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

 

ผมจะเรียกความเชื่อใจของแหวนนั้นกลับคืนมา

 

ต่อให้ความสำเร็จมันจะน้อยนิดก็ตาม...

 

.

.

 

.

 

 

.

 

“กูเสียใจด้วยว่ะที่แพ้ แต่ปกติมึงไม่เคยเลย์อัพวืดนี่หว่า มึงเป็นอะไรว่ะพอส?” ไอ้แซคเพื่อนสนิทอีกคนที่ตอนนี้กำลังนั่งมองผมเอาผ้าเช็ดหัวอยู่ถามขึ้น

 

ผมเพิ่งแข่งบาสเสร็จ เป็นของลีคอะไรไม่รู้ ชื่อมันยาว จำยาก แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น

 

ยอมรับเลยว่าครั้งนี้ผมเป็นตัวที่ทำให้ทีมต้องแพ้ คู่แข่งเป็นทีมที่ไม่ได้เก่งกาจอะไรเลยแต่กลับเข้ารอบไปอย่างสบายๆเพราะผม ทั้งรีบาวน์พลาด 2แต้มวืด 3แต้มไม่ลง พอจะดั้งค์ขากลับหมดแรงเอาดื้อๆ ผมทนเล่นไป3ควอเตอร์ จนควอเตอร์สุดท้ายโค้ชทนไม่ไหว สั่งให้ผมไปพักและให้คนอื่นลงแทน แต่มันก็ไม่ทันการ แต้มถูกนำห่างไปไกล

 

“มึงเหมือนใจลอยตลอดเวลา ไม่มีสมาธิในการแข่ง”

 

ใช่ กูโดนโค้ชด่ามาแล้ว...ผมตัดสินใจรับผิดชอบด้วยการขอเก็บตัว และจะไม่ลงเป็นตัวจริง จนกว่าผมจะกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

 

“เพราะไอ้แกรนด์ใช่มั้ย?” ไอ้แซคถามเพื่อความแน่ใจ ผมนั่งลงบนเก้าอี้ เก็บชุดกีฬาเข้ากระเป๋าก่อนจะเงยหน้าขึ้น พิงตัวกับพนักอย่างอ่อนแรง

 

“กูเบื่อตัวเองวะ ขี้ขลาด ไม่กล้าตัดสินใจ จนปัญหามันบานปลาย”

“เออ รู้ตัวก็ดีไอ้สัด”

“กูอยากขอโทษมัน”

“มึงขอโทษแล้วคิดว่าจะเอาความรู้สึกที่เสียไปแล้วกลับคืนมาได้ง่ายๆเหรอ?”

“...”

“เลิกขอโทษ แล้วทำในสิ่งที่ถูกต้องซะ”

 

ไอ้แซคเดินออกไปแล้ว ทิ้งให้ผมจมอยู่กับคำพูดของมันไว้เพียงลำพัง

 

 

 

ในตอนเย็นผมไปรอแกรนด์ที่หน้าหอมัน แต่ก็เหมือนเดิม เจอแต่ใครไม่รู้ที่ทำท่าเหมือนจะรู้จักผม แต่สาบานได้เลยว่าผมไม่รู้จักไอ้คนพวกนี้แน่ๆ ผมรอมันจนถึง4ทุ่มแล้วก็กลับบ้าน

 

ครับ...บ้าน

 

อันที่จริงผมมานอนที่บ้านได้หลายวันแล้ว แม่ดีใจมาก ผมอาศัยช่วงนี้นอนกอดกับแม่เกือบทุกวัน ใครจะว่าผมเป็นลูกแหง่ติดแม่ก็ได้นะ ผมไม่โกรธจริงๆ

 

เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ผมจะไม่มีโอกาสได้กอดแบบนี้อีก

 

และ...รอวันที่จะพูดอะไรบางอย่างออกไป...มันเหมือนกับที่เราจะขออะไรสักอย่างจากพ่อแม่ แล้วต้องทำตัวดีๆก่อน ใช่เลย ผมเป็นแบบนั้นเลย

 

“กลับมานี่จะขออะไรล่ะ?”

“เปล่าครับ”

 

ไม่ได้ขอ...แต่จะให้ยกเลิกต่างหาก

 

ตอนนี้ผมกำลังนั่งดูหนังแอคชั่นอยู่กับพ่อที่ห้องรับแขก บ้านผมไม่ได้ใหญ่โตเหมือนคฤหาสน์ในละครแต่ก็ไม่ได้ธรรมดาสามัญจนไม่เหมาะสมกับเจ้าของสายการบินหรอกครับ มีห้องอะไรไม่รู้เยอะแยะเพราะมันก็ไม่ได้ต่างกันซักเท่าไหร่ อ้อ มีสระว่ายน้ำด้วยนะครับ แต่นานๆทีจะลงไปว่าย ที่นี่มีแม่บ้าน3คน คนขับรถอีก2คน ที่อาศัยอยู่เรือนเล็ก

 

ใบหน้าคมคายถึงแม้วัยจะร่วงโรยแตะที่เลข6 ไม่มีใครทายอายุพ่อถูกเลย ใครๆต่างก็คิดว่าพ่อผมคงเพิ่ง40ปลายๆเท่านั้น ส่วนแม่ผมชอบตัดผมสั้นบ๊อบบวกกับผิวพรรณเนียนนุ่มทำให้แม่ผมดูอ่อนกว่าวัยและเป็นคนแข็งแรงสุขภาพดี

 

“หึหึ...แน่ใจเหรอ? เห็นท่าทางเหมือนมีอะไรอยากพูด”

 

ไอ้ขำหึหึกับอ่านความคิดคนออกแบบนี้...มันถ่ายทอดกันทางพันธุกรรมครับ

 

พ่อผมนั่งลงที่เก้าอี้ตัวโปรด

 

“บอกมาเท้ออออออออออ ฉันไม่ได้เป็นโรคหัวใจเหมือนแม่แก ไม่ต้องมาระวังว่าหัวใจจะวาย” พ่อยิ้มกับคำพูดที่แขวะเมียตัวเอง

 

ระวังนะพ่อ เผื่อแม่มาโผล่ข้างหลังนี่ซวยเลย

 

แล้วไอ้เรื่องที่จะบอกเนี่ย...ต่อให้ไม่ได้เป็นโรคหัวใจก็สามารถสิ้นลมได้เหมือนกันครับ

 

“ว่าไง”

“ก็..เรื่องงานหมั้นครับ”

“มีปัญหาตรงไหน?”

 

ปัญหาคือคนที่ผมจะหมั้นมันเป็นผู้ชายครับพ่อ

 

แต่ผมไม่ได้ตอบออกไป ผมเงียบ

 

บุคคลที่ผมเคารพรักหันมามองหน้าผมตรงๆ คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย คนอย่างพ่อทุกอย่างต้องเรียบร้อย ห้ามมีตรงไหนที่ผิดพลาดเด็ดขาด อย่างช่วงตอนที่ผมทำตัวเกเร พ่อไม่ได้ตีหรือไม่ได้ด่าแรงๆ แค่ปรามๆและเตือนว่าอย่าไปปล่อยไข่ไว้ที่ไหน ต่อยตีก็เอาให้เนียนๆ พ่อไม่ได้เป็นคนดุแต่เป็นคนที่จริงจังและพูดตรงๆ

 

“ผมไม่ได้รักหมอนครับ”

“เออ กว่าจะพูดออกมาได้”

 

หะ หา?

 

“แล้วยังไงต่อ จะให้ยกเลิกงานหมั้นงั้นสิ?” พ่อพูดเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต ทำให้ผมหายใจได้ทั่วท้อง กล้าที่จะพูดเรื่องต่อไป

“ครับ”

“ยังดีที่ไม่ได้ประกาศข่าวออกไป ไม่งั้นแกเจ็บแน่...ถ้าจะยกเลิกจริงๆที่เหลือก็ไปคุยกับแม่แกเอาเองแล้วกันนะ แล้วทำไมจู่ๆถึงมาพูดเรื่องนี้”

“ผมมีคนที่รักแล้วครับ”

“ใคร?”

“ไว้ผมจะพามาแนะนำครับ แต่ตอนนี้ขอขึ้นไปหาแม่ก่อน ราตรีสวัสดิ์ครับพ่อ”

 

สรุปว่าพ่อดูออกว่าผมไม่ได้รักหมอน แถมยังปล่อยให้ผมยกเลิกงานหมั้นได้ง่ายๆด้วย เหลือแต่แม่สินะ...

 

ผมเดินขึ้นบันได ตรงไปยังห้องนอน สูดลมหายใจหนึ่งทีก่อนลงมือเคาะประตูบานใหญ่

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 

“ผมเองครับแม่”

“เข้ามาเลยจ้ะ ไม่ได้ล็อค” เสียงแม่ตะโกนออกมาจากด้านใน ผมบิดกลอนประตู แม่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง ทาครีมบำรุงผิวที่เยอะจนไม่มีพื้นที่จะวาง เดินไปนั่งที่ปลายเตียง

 

“ผมมีเรื่องจะคุยกับแม่ครับ”

“หืม? เรื่องอะไรจ้ะ? ใช่เรื่องที่ทำให้ลูกต้องกลับมานอนบ้านทุกวันแล้วกินไม่ได้นอนไม่หลับจนร่างกายทรุดโทรมแบบนี้รึเปล่า?”

“ครับ...คืองานหมั้นระหว่างผมกับหมอน” แม่หยุดทาครีมรอบดวงตา เปลี่ยนมาจ้องมองผมในกระจกแทน “ผมกับหมอนเลิกกันตั้งแต่ม.ปลายแล้วครับ ซึ่งมันก็นานมาก เมื่อก่อนผมยอมรับว่าผมรักหมอน แต่ว่าตอนนี้...ผมรักคนอื่นครับ”

 

อากาตอบรับของแม่คือเสียงพูดที่เบาคล้ายกับจะเป็นลม

 

“ละ..ล้อเล่นใช่มั้ยลูก?” แม่หันกลับมามองผมซึ่งๆหน้า

“เปล่าครับแม่ ผมกับหมอนเลิกกันนานแล้ว”

“แต่..น้องหมอนเค้าบอกกับแม่ว่ายังรักพอสอยู่...”

“ผมไม่ได้รักเค้าครับ”

 

ผมพูดออกไปแล้ว...ขอบคุณที่แม่ไม่ได้มีอาการช๊อคหรือเป็นลมสลบไป...ไม่อย่างนั้นผมคงได้กลายเป็นลูกอกตัญญู

 

“แล้วทำไมเพิ่งมาบอกล่ะลูก?” น้ำเสียงผิดหวังทำให้ผมรู้สึกผิด ผมปิดบังเรื่องทุกอย่าง จนทำให้หลายๆคนต้องเสียใจ ผมลุกขึ้นไปสวมกอดบุคคลที่ผมรัก

 

“ผมขอโทษครับแม่”

 

แม่ไม่ได้มีทีท่าว่าจะโกรธหรือไม่พอใจ มีแต่อาการผิดหวัง

 

“ไม่...ไม่เลยลูก แม่ดีใจนะที่ลูกพูดออกมาตรงๆเพราะไม่อย่างนั้นแม่จะต้องเป็นคนที่ทำให้ลูกตัวเองแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักและไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต”

“ขอบคุณครับ ขอบคุณที่แม่เข้าใจผม”

“แต่แม่พูดตรงๆนะว่าอยากได้น้องหมอนเค้ามาเป็นลูกสะใภ้จริงๆ ตั้งแต่ที่ลูกเรียนม.ปลายแล้วคบกับหมอนแม่ก็ตั้งใจวางแผนให้ลูกแต่งงานกับหมอนเลย...จนแม่ลืมนึกไปว่าความรักของวัยรุ่นมันเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน พอสพอจะบอกแม่ได้มั้ยว่าทำไมถึงเลิกกัน? แล้วทำไมถึงเพิ่งมาบอกแม่เอาป่านนี้?” ผมคลายอ้อมกอด นั่งคุกเข่าลงกับพื้น เล่าเรื่องทุกอย่างให้แม่ฟัง

 

ไม่จำเป็นต้องปิดบัง ผมต้องพูดความจริงทั้งหมด

 

“แต่ตอนที่แม่คุยกับน้องหมอน...ดูน้องเค้ารักพอสมากเลยนะจ้ะ” แม่แย้งผมขึ้นมา “แม่ว่า...น้องเค้ารักพอสจริงๆ ส่วนช่วงที่น้องเค้าไปคุยกับฮาร์ท...ลูกลองคิดดีๆ ว่านั่นเป็นเพราะตัวลูกเองรึเปล่า?”

 

ใช่...เป็นเพราะผมจริงๆ ผมไม่ดูแล เป็นแฟนที่แย่ ไม่แปลกถ้าหากหมอนจะมีใจเอนเอียงไปหาคนที่ดีกว่า ผมยอมรับว่าเห็นแก่ตัว แต่ผมทนไม่ได้จริงๆที่โดนคนทั้งคู่หักหลัง ทำไมต้องแอบพบกัน ทำไมไม่บอกผมตรงๆ...

 

คงเป็นเวรกรรมที่ผมก่อไว้ เลยโดนย้อนกลับมาหาตัวเองล่ะมั้ง ในตอนที่หมอนยังคบกับผมดีอยู่ ผมเองก็เลว ไม่นึกถึงความรู้สึกของหมอนเลย...หมอนในตอนนั้นก็คงคิดว่าผมเห็นหมอนเป็นตัวอะไร...?

 

“แม่ก็ว่า...ลูกดูไม่ตื่นเต้นอะไรเลยที่จะได้หมั้นกับน้องหมอน...แม่ก็มัวแต่ดีใจ โทรคุยกับน้องหมอน น้องเค้าเป็นห่วงลูก ยังนึกถึงลูก แม่สงสารน้องเค้าที่ต้องห่างจากลูกแล้วดูเหมือนลูกจะทำตัวแบบเดิมๆ แม่ก็เลยจัดการเรื่องนี้ให้มันถูกต้องซะ..แม่ผิดเอง...”

“ไม่ครับ แม่ไม่ผิด ผมต่างหากที่ไม่ยอมพูดตั้งแต่แรก” ผมเอ่ยขัดทันที “แม่เป็นแม่ที่ดีที่สุดแล้วครับ ผมรู้ว่าแม่รักผมแล้วก็รักหมอนเหมือนลูกอีกคนนึง”

“จ้า แต่แม่รักพอสมากกว่านะ” แม่ยิ้มให้ผม

“ครับ ผมก็รักแม่ที่สุดในโลกกกกกกกกกกก” ผมยืดตัวไปหอมแก้มคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ แม่หอมแก้มผมกลับบ้าง เรา2คนแม่ลูกกอดแน่นๆอีกครั้ง

 

ความรู้สึกผมตอนนี้เหมือนยกภูเขาออกไปครึ่งลูกเลยครับ มันทั้งดีใจที่ได้บอกแม่เรื่องหมอนตรงๆ แต่...ภูเขาส่วนที่เหลือ...ก็เรื่องแกรนด์เนี่ยละครับ

 

“งั้นเดี๋ยวแม่ให้คนไปจัดการเรื่องยกเลิกงานหมั้นแล้วกันนะ แต่มีข้อแม้ว่าลูกจะต้องไปพูดเรื่องนี้กับหมอนตรงๆ โอเคมั้ยครับ?”

“ครับแม่...เอ่อ..แล้ว...”

“ส่วนเรื่องป้าทิพย์แม่จะพูดให้เอง ไม่ต้องกังวลนะลูก” ผมกำลังเป็นห่วงเรื่องนี้อยู่พอดี ป้าทิพย์คือแม่ของหมอนครับ เป็นเพื่อนสนิทกับแม่ผมเอง

“ขอบคุณครับ”

“เอาล่ะ...มาถึงเรื่องที่ทำให้ลูกต้องยกเลิกงานหมั้นนี่ดีกว่า...บอกมาสิว่าไปตกหลุมรักลูกสาวบ้านไหนหึ?”

 

ขณะที่ผมกำลังเตรียมคิดหาคำตอบที่คิดว่าดูดีที่สุดและจะไม่ทำให้แม่ช๊อคนั้น พ่อก็เปิดประตูเข้ามาพอดี ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี เพราะพ่อเข้ามาตอนนี้ผมจะได้บอกทีเดียว หรือเป็นข้อเสียเพราะท่านทั้ง2อาจช๊อคและรับไม่ได้อย่างแรงกับการที่มีลูกเป็นคนจำพวกรักเพศเดียวกัน

 

“ไง บอกแม่แล้วเหรอ” พ่อทักขึ้นที่เห็นผมนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าแม่

“ครับ”

“คุณรู้เรื่องที่ลูกจะยกเลิกงานหมั้นแล้วเหรอ?”

“ก็ทำนองนั้น มันเพิ่งบอกผมเมื่อกี้นี้เอง ก่อนหน้าคุณไม่เท่าไหร่หรอก”

“งั้นแสดงว่าคุณก็รู้แล้วสิว่าลูกเราไปตกหลุมรักสาวที่ไหน”

“ยังหรอก”

“อ้าว” แม่ผมเกิดอาการเหวอเลยครับ ผมใช้โอกาสนี้แทรกกลางบอกไปเลยก็แล้วกัน ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไง สักวันผมก็ต้องพูดเรื่องนี้อยู่ดี สู้บอกไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ?

 

เผลอๆท่านทั้ง2อาจจะยอมรับก็ได้...ขนาดเรื่องงานหมั้นยังให้ยกเลิกง่ายๆเลย

 

“คือผมไม่ได้ไปหลงรักสาวที่ไหนหรอกครับ...” ผมสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ก่อนจะพูดเรื่องที่ผมตัดสินใจดีแล้วออกมา “เพราะคนที่ผมรัก...เป็นผู้ชายครับ”

 

สิ้นคำสารภาพ พ่อเบิกตากว้าง ส่วนแม่เอามือทาบที่หัวใจ

 

“แก..แกว่าไงนะ!” พ่อตะโกนออกมาอย่างกราดเกรี้ยว

“มะ...ไม่...ไม่จริงใช่มั้ยลูก...ลูกล้อพ่อกับแม่เล่นใช่มั้ยจ้ะ? ฮ่าๆๆๆ ตลกมากเลยจ้ะพอส แต่มุกนี้ไม่ผ่านนะ พ่อกับแม่รับไม่ได้จริงๆ” ส่วนแม่ก็ขำแบบแห้งๆและพยายามเชื่อว่าผมกำลังเล่นมุกตลก

 

“เปล่าครับ...ผมรักผู้ชายจริงๆ...แต่...”

 

“ไม่..ฉันรับไม่ได้! เลิกรักผู้ชายคนนั้นซะ!! ไม่งั้นงานหมั้นของแกกับหมอนจะเลื่อนเข้ามาในเร็ววันนี้!!” ผมกำลังจะพูดอธิบายแต่พ่อกลับไม่ฟัง ตะโกนบอกผม แล้วเดินออกไปนอกห้องทันที

 

ปึงง!!!

 

ผมมองตามประตูบานใหญ่ถูกปิดลงเสียงดังตามแรงอารมณ์ของเจ้าของบ้าน

 

ผมไม่โกรธพ่อเลยสักนิด ผมรู้ว่าท่านหวังในตัวผมไม่แพ้พี่พีท พี่ชายคนโตสุดของบ้านที่ประสบความสำเร็จไปแล้ว แต่งงานมีครอบครัว มีฐานะสมบูรณ์พร้อม พ่อผมไม่ได้ตีกรอบว่าผมจะต้องเป็นผู้ชายที่ดี ไม่อย่างนั้นผมคงโดนตัดออกจากกองมรดกตั้งแต่ม.ปลายแล้วล่ะครับ แต่พ่ออยากให้ผมคิดได้ด้วยตนเอง มีปัญหาอะไรก็ให้ลองแก้ไขก่อนจะมาพึ่งครอบครัวเพราะครอบครัวเราฐานะดี มีหน้ามีตาในสังคม...แต่ใช่ว่าพ่อจะรับได้ทุกเรื่อง...อย่างเช่นเรื่องนี้

 

“พอส...ละ ลูก...เอ่อ...ชอบผู้ชายด้วยกันจริงๆเหรอ?” แม่ถามผม อาการตกใจกับสิ่งที่ไม่คาดคิดยังมีให้เห็นอยู่ แต่แม่ก็ดูเหมือนจะค่อยๆปรับตัวเอง ไม่อย่างนั้น อาการคงกำเริบ

 

“ครับแม่...ผมรักผู้ชายด้วยกันจริงๆ..ผมขอโทษที่ทำให้แม่ผิดหวัง...อีกแล้ว...”

 

แม่นิ่งไปกับคำยืนยันหนักแน่นของผม

 

“แต่ผมไม่ได้รักหรือชอบผู้ชายทุกคนนะครับ คือถ้าไม่ใช่คนๆนี้ ผมก็รับไม่ได้จริงๆ...ยังไงดีล่ะครับ...ผมยังชอบสาวๆ มองผู้หญิงสวยๆ ต่อให้มีผู้ชายหล่อๆมายืนตรงหน้าผมก็ไม่เอานะครับ...ต้องเป็นแกรนด์เท่านั้น...” ท้ายประโยคผมพูดอย่างแผ่วเบา

 

ต้องทำให้ได้ ต้องผ่านมันไปให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะมีหน้าไปเจอแกรนด์ได้ยังไง...

 

ครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หากไม่สามารถทำให้ครอบครัวรับตัวตนในสิ่งที่ผมเป็นได้ เรื่องอื่นก็อย่าไปหวัง ผมเลวไม่พอที่จะทิ้งครอบครัว

 

แต่ผมก็ไม่อยากทิ้งแกรนด์...ผมรัก รักจริงๆ

 

ไม่รู้ว่า ‘รัก’ ที่แท้จริงเป็นยังไง มันจะใช้ได้กับผู้ชายด้วยกันรึเปล่า?...แต่ผมขอยืมคำนี้เป็นคำที่ใช้เรียกอาการและความรู้สึกของผมในตอนนี้ที่มีต่อแกรนด์ก็แล้วกัน

 

“แม่...คือ...เอ่อ...แม่ก็ยอมรับนะว่าสมัยนี้สังคมมันเปิดกว้าง แต่...แม่ไม่คิดว่าลูกจะเป็น”

“แม่รังเกียจผมรึเปล่าครับ?”

“ไม่ลูก ไม่เลย ไม่ว่าลูกจะเป็นยังไง พอสก็คือลูกของแม่ที่แม่รัก รักมากๆ” แม่ยื่นมือมาสวมกอดพลางลูบหัวเบาๆ “ลูกรักผู้ชายคนนั้นจริงๆใช่มั้ย?”

“ครับ”

“ไม่ว่าลูกจะรักใคร แม่ก็จะรักด้วย..”

“ขอบคุณครับ”

“แต่พ่อ...” แม่ไม่ได้พูดต่อ แต่ผมก็เข้าใจดีว่าแม่ต้องการจะสื่ออะไร

“ครับ เดี๋ยวผมจะพูดให้พ่อเข้าใจเอง” ผมถอนตัวออกมา “นี้ก็ดึกแล้ว แม่นอนเถอะครับ” ผมช่วยพยุงท่านไปที่เตียง คลุมผ้าห่มให้เรียบร้อย แต่ก่อนที่ผมจะเดินไปปิดไฟ แม่ก็รั้งที่ข้อมือผมไว้ก่อน

“อย่าทะเลาะกับพ่อนะลูก...เท่านี้ที่แม่ขอ...”

“ครับ” ผมเดินไปปิดไฟ แล้วเดินออกจากห้องนอนมา

 

คืนนี้มีหลายเรื่องราวที่ผมเป็นคนก่อแล้วต้องนำมาให้ท่านทั้ง2หนักใจ..แค่นี้ผมก็รู้สึกแย่จนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว

 

ผมเดินลงไปชั้นล่าง ซึ่งคาดว่าพ่อคงจะเดินออกไปนอกบ้าน เวลาที่พ่อเครียด คิดมาก พ่อจะชอบเดินไปที่นั่น ผมเดินไปตามทางเรื่อยๆจนเจอ ใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกับผมกำลังเคร่งเครียด มือไขว้หลัง ยืนนิ่งๆข้างต้นโมก

 

“พ่อครับ” ผมเรียกเบาๆ ท่านหันกลับมามอง

“ไม่ต้องมาพูดมาก ยังไงฉันก็ยังยืนยันคำเดิม” พ่อตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ก็ยังดีกว่าตะโกนแบบเมื่อกี้ นานๆทีพ่อจะระเบิดอารมณ์แต่ไม่นานนักพ่อก็จะกลับมาสงบนิ่งดั่งขุนเขาเหมือนเดิม นั่นเป็นเพราะพ่อสงบสติอารมณ์และเริ่มทำความเข้าใจกับเหตุการณ์นั้นๆ

“ผมรู้ว่าพ่อรับไม่ได้ที่ผมเป็นแบบนี้…แต่ผม...”

“ไปนอนซะ กลับไปคิดทบทวนให้ดี ฉันรู้ว่าแกไม่ได้รักหมอนก็จริง แต่ใช่ว่าฉันจะรับเรื่องนี้ได้!”

“ผมขอโอกาสได้มั้ยครับ? ผมรู้ว่าพ่อผิดหวัง ผมทำตัวเกเรก็จริง แต่ผมไม่เคยทำให้เสียการเรียน...”

“ฉันไม่อยากได้ลูกที่เรียนเก่งแต่นิสัยเลวหรอกนะ…ฉันอยากได้ลูกที่เป็นคนดี ไม่จำเป็นต้องเรียนเก่ง” พ่อหันกลับมามองหน้าผมตรงๆ ใบหน้าจริงจังนั่นทำให้ผมเดาไม่ออกว่าพ่อคิดยังไงกันแน่

“งั้นผมจะเป็นคนดี”

“...”

“แต่ผมขอโอกาส...ขอให้พ่อได้เปิดใจยอมรับตัวผม พ่อรู้ใช่มั้ยครับว่าเมื่อก่อนผมทำตัวแย่ขนาดไหน...แต่ทุกวันนี้ ผมเกือบเลิกนิสัยแย่ๆทั้งหมดนั่นได้เพราะคนคนนึง...”

“เหอะ! ไอ้คนคนนั้นของแกที่เป็นผู้ชายน่ะเหรอ?” พ่อทำท่าทางดูถูกและสมเพช แต่ผมก็ยังจะพูดต่อไป

“ที่ไม่มีผู้หญิงคนไหนทำได้ แม้แต่หมอนที่ดีกับผม..ก็ทำให้ผมเปลี่ยนไม่ได้” ผมเถียงออกไป บุคคลตรงหน้านิ่งเงียบราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

“ยังไงก็จะยืนยันว่าแกรักผู้ชายว่างั้นเถอะ?”

“เรียกว่าเฉพาะคนคนนี้ดีกว่าครับ เพราะต่อให้เป็นผู้ชายคนอื่นผมก็ไม่สน”

 

ผมไม่รู้ว่าคนอื่นที่เจอปัญหาเดียวกับผมนั้นทำอย่างไร มีวิธีการบอกพ่อแม่หรือคนในครอบครัวแบบไหน แต่นี่...เป็นวิธีที่ดีที่สุดของผมแล้วครับ

 

ถ้าพ่อรับไม่ได้จริงๆ...ผมก็ควรจะตัดใจ

 

“เห้ออออ แกนี่นะ...ฟันผู้หญิง ต่อยตีชาวบ้าน แต่กลับเรียนดีจนอาจารย์ถือหาง แถมฉันยังเลี้ยงแกแบบปล่อยๆอยากทำไรก็ทำ สุดท้ายดันมาตกม้าตายเพราะผู้ชายเนี่ยนะ?”

“มันคงเหมือนกับที่พ่อตกม้าตายเพราะแม่มั้งครับ”

“แม่แกไม่ใช่ผู้ชาย” พ่อสวนกลับมา เล่นเอาผมจุกจนพูดไม่ออก

 

พ่อลูกนิ่งเงียบ

 

คนเป็นลูกกำลังทำใจ ไม่ว่าพ่อจะรับได้หรือไม่ได้ เขาก็ยินดีที่จะทำตามทั้งนั้น

ส่วนคนเป็นพ่อได้แต่คิดหนัก คิดให้ลึก และพยายามเข้าใจกับสภาพ

 

จนในที่สุดผู้เป็นพ่อก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากทำลายความเงียบ

 

“ยกเลิกงานหมั้นระหว่างแกกับหมอนตามที่ต้องการนั่นแหละ...ส่วนเรื่องผู้ชายคนนั้นที่แกบอกว่ารัก...เอามาให้ฉันรู้จักก่อน”

 

ระหว่างที่พ่อพูด หัวใจผมกำลังพองโต

 

ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด...นี่คือการยอมรับกลายๆแล้วใช่มั้ยครับ?

 

“พรุ่งนี้พามาพบฉัน”

“หา?”

“ไอ้ผู้ชายคนนั้นน่ะ พามาพบฉัน”

“เอ่อคือ...”

“ทำไมมีปัญหาอะไรอีกห๊ะ?” พ่อเริ่มไม่พอใจ ผมต้องรีบพูดก่อนที่พ่อจะเปลี่ยนใจ ไม่อย่างนั้นอนาคตดับแน่

“ผมทะเลาะกับเค้าอยู่ครับ”

“อ้าวไอ้นี่”

“ก็เรื่องหมั้นเนี่ยแหละครับ...คือผมปิดบังเค้าไว้...จนเค้ารู้...”

“สมน้ำหน้า”

 

เอ่อ พ่อครับ ผมด่าตัวเองแบบนั้นไปแล้ว

 

“อ้อ...” พ่อทำท่าเหมือนนึกได้ “เพราะเหตุนี้ใช่มั้ยแกถึงกลับมาอยู่บ้านแล้วก็....” พ่อใช้สายตาคมมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “โทรมเหมือนคนติดยาแบบนี้”

 

ผมก้มหน้ารับผิด แต่ผมไม่ได้ติดยานะ พ่อเปรียบเวอร์เกินไป

 

“กลับไปเคลียร์ตัวเองให้ดี อย่าให้มันมากนัก...ฉันไม่อยากมีลูกชายที่โทรมจนดูไม่ได้...ไม่อย่างนั้นแกก็เตรียมตัวหมั้นปีหน้าได้เลย”

 

“ครับ ขอบคุณครับพ่อ ที่ให้โอกาส”

 

ผมเข้าใจเลยว่าทำไมพ่อถึงสามารถคุมกิจการได้อยู่หมัด ทั้งๆที่แก่จนอายุปูนนี้แล้ว

 

ตอนนี้ภูเขาทั้งหมดภายในอก ถูกยกออกไปแล้วครับ เหลือแต่ส่วนที่เป็นพื้นดินกว้างขวาง รอใครบางคนมาเติมเต็มและเติบโตไปอีกครั้งพร้อมๆกัน

 

ปัญหาเหมือนเม็ดทราย...ที่มีมากมายแต่สุดท้ายมันก็เล็กนิดเดียว…

 

.

.

 

.

 

 

.

แม่จัดการเรื่องยกเลิกงานหมั้นให้และคุยกับป้าทิพย์ให้แล้ว ป้าทิพย์เองก็เข้าใจเพียงแต่บอกว่าอย่าทำให้ลูกสาวป้าต้องเสียใจอีก ไม่อย่างนั้นผมโดนเละแน่ แล้วไม่ใช่ป้าคนเดียว แม่ก็ยื่นคำขาดไว้แบบนั้นเหมือนกัน

 

ตกดึก ผมไปรอแกรนด์ที่หอ วันนี้ผมรอนานหน่อย สัก5ทุ่มครึ่งได้ แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่ต้องการจะเจอ ผมนั่งอยู่ในรถ กดโทรศัพท์โทรหาเบอร์ที่ต้องโทรทุกวันจนกลายเป็นกิจวัตรเหมือนกับที่ผมมารอแกรนด์หน้าหอแล้ว

 

กูเคลียร์ทุกอย่างแล้วนะแกรนด์...ออกมาให้กูเจอหน่อยเถอะ

 

กูคิดถึงมึง...

 

‘มึง...จะหมั้นกับคนชื่อหมอนจริงรึเปล่า?’ 

 

นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่มันพูดกับผมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา สายตาที่มันก้มมองกับพื้น ผมยังจำได้ดีว่ามันต้องเจ็บปวดแค่ไหนกับการที่ต้องรู้ว่าผมต้องหมั้นกับผู้หญิงคนอื่น

 

ถึงแม้ว่าแม่จะพูดกับป้าทิพย์แล้ว แต่ผมยังไม่ได้คุยกับหมอนตรงๆเลย ไม่รู้ว่าหมอนจะรู้เรื่องยกเลิกงานหมั้นแล้วรึยัง ผมยกโทรศัพท์มากดตัวเลขยาวเหยียด

 

เป็นหมายเลขกลางตามด้วยรหัสประเทศและเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัว...

 

/Hello/

“Morn, It’s me. Pause”

/พอส พอสเหรอ...โทรหาเรา...เราดีใจมากๆเลย/ คนรับปลายสายตอบกลับเป็นภาษาไทยด้วยความดีใจ

“อื้อ..คือ ผมขอโทษนะหมอน” ผมไม่รู้จะเริ่มพูดยังไง

/.../

 

หมอนเงียบไปนานก่อนจะพูดขึ้นมาใหม่ว่า

 

/...ฮะฮะ...เราก็ลืมไปว่าพอสยกเลิกงานหมั้นแล้ว...แย่จริง...หลงดีใจนึกว่าจะมีงานหมั้นเหมือนเดิม/

“...”

/คุณแม่บอกน่ะ...ไม่อย่างนั้นเราต้องร้องไห้แน่ๆเลย ถ้าได้ยินจากปากพอสเอง...... ฮืออ..อึก...เรา...เรา...อึก...คงทำไรไม่ถูก..อึก...ฮือออ/

 

เสียงสะอื้นในสายทำให้ผมรู้ว่าผมสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้หญิงคนนี้มากแค่ไหน ผมคงไม่มีวันเข้าใจ แม้หมอนจะรักผมมากแต่ก็ยอมรับเรื่องการยกเลิกงานหมั้นแต่โดยดี ถ้าเป็นผม ผมคงโวยวายอาละวาดไปแล้ว

 

/พอส..อึก...แป๊ปนะ...ไม่รู้ทำไมอยู่ดีๆน้ำตามันก็ไหล..ตลกเนอะ../

“หมอนอย่าร้องไห้เพราะผมอีกเลย”

/อื้อ..เอาละ เราโอเคแล้ว...ร้อง...เราร้องจนไม่มีน้ำตาจะไหลแล้ว ฮ่าๆๆ....ที่ยกเลิกงานหมั้น เพราะไปหลงรักใครเข้าใช่มั้ย? ยินดีด้วยนะ/

“...”

/จะไม่พูดอวยพรให้มีความสุขหรอก เราไม่ได้เป็นคนดีขนาดนั้น...แต่ก็ขอให้รักษาคนๆนั้นไว้ให้ดีๆ อย่า...เป็นแบบเรา/

“หมอนให้อภัยผมใช่มั้ย?”

/อื้มม แต่พอสก็ต้องให้อภัยเราด้วยนะ...แล้วก็ให้อภัยฮาร์ทด้วย...เราอยากเห็นพอสกับฮาร์ทกลับมาสนิทกันเหมือนเดิม/

“จะพยายาม”

/กลับไปไทยเมื่อไหร่ ถ้าทั้งพอสและฮาร์ทยังทำท่าไม่ถูกกัน เราจะบอกให้อาณีจับพอสแต่งงานกับฮาร์ทซะเลย ฮ่าๆๆๆ/

 

ผู้หญิงคนนี้...ทำเป็นตลกกลบเกลื่อน

อาณีที่หมอนว่านั้นคือแม่ของผมเอง

 

“ใครว่าไม่ถูกกัน ผมกับไอ้ฮาร์ทยังไปดื่มด้วยกันบ่อยๆเลย” แม้จะไม่สนิทเหมือนแต่ก่อนก็เถอะนะ

/อะไรๆ ไม่จริง เราไม่เชื่อ วันก่อนฮาร์ทโทรมาคุยกับเราว่าต้องโดนพอสฆ่าแน่ๆเพราะทำให้พอสโมโหมากๆ/

 

ใช่...โคตรน่าฆ่าเลย

ไอ้นี่อีกราย เดี๋ยวต้องไปชำระแค้นกับมัน

 

“ไอ้ฮาร์ทมันมั่วแล้ว”

/งั้นเราเชื่อพอส ฮ่าๆๆ.../ คนในสายเงียบไป /ยังไง..ก็อยากให้พอสรู้ไว้นะว่าเรารักพอส รักจริงๆ ถึงแม้จะเคยแอบมีใจให้ฮาร์ทก็เถอะ เราขอโทษ/

“ช่างมันเถอะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว”

/อื้ม ที่จริงแล้ว...เราก็รู้แหละว่าพอสไม่ได้เต็มใจจะหมั้นกับเรา..แต่เป็นเพราะเกรงใจอาณี...ดีแล้วที่พอสยอมรับออกมาตรงๆ...ไม่อย่างนั้นเราว่าพอสหมั้นกับเราก็คงเหมือนตกนรกทั้งเป็น/

“อย่าพูดแบบนั้น”

/แต่เราเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เลยนะ...ช่างเถอะ เราเห็นพอสมีความสุขดีกว่าทุกข์ทรมานเพราะหมั้นกับเรา/

“...”

 

ผมพูดไม่ออก หมอน..ดีกับผมมาก จนถึงตอนนี้

 

“ขอให้เจอคนดีๆ อย่ามาจมปลักรักผมเลย”

/แน่นอนนนนน...เราจะหาฝรั่งหล่อล่ำเอาให้พอสตะลึงไปเลย อิอิ/

“อื้มม หาให้ได้นะ”

/โอเค พอส แค่นี้ก่อนนะ โทรมานานแล้ว เปลืองแย่/

“บาย”

/แต่ถ้ามีปัญหาอะไรขอให้นึกถึงเราคนแรกนะ เรายังอยู่ข้างพอสเสมอ...บายจ้า/

 

หมอนวางไปแล้ว แต่ความรู้สึกดีที่หมอนมีให้กับผมไม่ได้ถูกวางลง ผมเองก็ได้แต่ภาวนาขอให้หมอนเจอคนที่ดีๆ...แต่อย่างไอ้ฮาร์ท...ไม่รู้สิ มันก็ถือว่าเป็นคนดีคนนึงนะ ถ้าไม่นับเรื่องที่มันทำให้ผมกับแกรนด์ต้องเป็นแบบนี้

 

มองสอดส่องสายตาออกไปนอกรถ ระหว่างที่คุย ผมไม่ได้ละสายตาไปจากทางเข้าออกหอเลย ไม่มีวี่แววของแกรนด์น้อยเลยสักนิด

 

วันนี้คงพอก่อน...

 

รอมาหลายวันแล้ว

 

ทำไมมันถึงยังไม่กลับมาจากบ้านสักที

 

สงสัยพรุ่งนี้คงต้องบุกไปสวัสดีพ่อแม่ของมันซะหน่อยล่ะมั้ง

 

 

 

 

 

Talk

ตอนที่แล้วลงเกินคะ 5555+

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา