Just a Dream…หรือแค่ฝันไป
เขียนโดย koala
วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 16.59 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มกราคม พ.ศ. 2556 00.09 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
8) อาการมันฟ้อง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ1...
2...
3...
ดอกไม้จากมือเจ้าสาวกระเด็นกระดอนผ่านมือผู้คนมากมายสุดท้ายดันไปตกในมือของหนุ่มจอมทะเล้นหน้าใส
สาบานได้ว่าผมไม่ได้จะกระโดดแย่งดอกไม้จากมือสาวคนไหนเลยเหอะ มันมาตกตรงหน้าผมเองนะ
ผู้โชคดีเกิดอาการงงเล็กน้อย ก่อนมองไปยังผู้คนรอบกายที่ส่งสายตามาหลายแบบทั้งยินดี แปลกใจ ตกใจ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่สายตาของเขาก็กลับไปหยุดอยู่ที่สาวร่างโปร่ง
เธอส่งยิ้มน้อยๆมาให้เขาเพื่อเป็นการแสดงความยินดี หัวใจของหนุ่มผู้โชคดีเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง
ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะเดินเข้าไปยื่นช่อดอกไม้นี้ให้เธอ แต่ร่างกายดันไม่กล้าทำตามเสียนี่ ทำได้แต่ยิ้มอย่างอายๆ
ปกติผมก็ไม่ได้เป็นคนขี้อายนะ แล้วเราจะเขินทำไมเนี่ย...
“สงสัยงานนี้คาสโนว่าอย่างไอ้เขื่อนจะหมดลายซะแล้วมั้ง” เสียงเพื่อนผู้มาร่วมงานคนหนึ่งกล่าวแซวขึ้นอย่างขำๆ
“อย่างเสือเขื่อนเพื่อนผมเนี่ยนะจะหมดลาย ผมไม่เชื่อครับพี่” เพื่อนอีกคนแย้งขึ้นพร้อมเดินมาโอบไหล่ผู้โชคดี
หนุ่มจอมทะเล้นส่ายหน้าน้อยๆอย่างระอาคำครหาของเพื่อนที่ตั้งให้เขาเป็นคาสโนว่า
“คนอย่างเขื่อนเนี่ยเวลารักใครรักจริงนะครับ ถึงผมจะประวัติไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่มันก็แค่เรื่องที่ผ่านไปแล้ว คนเราต้องการโอกาสเพื่อแก้ไขตัวเอง เพราะฉะนั้นปัจจุบันสำคัญที่สุดจริงไหมครับ”
เขาพูดพร้อมมองจ้องไปยังสาวน้อยคนเดิมและอดคิดไม่ได้ว่าเธอก็น่าจะมีใจให้เขาบ้าง
แม้แต่ก่อนเราจะไม่ถูกกันสักเท่าไหร่ก็เถอะนะ แต่มันเป็นเรื่องของอดีต ปัจจุบันสำคัญกว่า...
“เดี๋ยวนี้แกคมนะไอ้เขื่อน งั้นแสดงว่าคนปัจจุบันก็จะเป็นตัวจริงใช่ไหมครับเพื่อน ชื่ออะไรนะ...” คนที่กอดคอเพื่อนเอามือลงพลางทำท่าคิด
“จินนี่ ไงครับ” เสียงหนุ่มลูกครึ่งผู้หวังดีอีกคนตอบกลับ
หนุ่มจอมทะเล้นผู้โชคดีหันกลับไปตามเสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลัง
“พี่กวินรู้จักจินนี่ด้วยเหรอครับ” เขาถามอย่างสงสัย
“อ้อ เพื่อนสนิทพี่เคยแอบชอบน้องเขาน่ะ เราเลยรู้จักกัน แต่ตอนนี้มันคงเลิกชอบไปแล้วมั้ง นายไม่ต้องเครียดไปหรอก”
หนุ่มลูกครึ่งคนเดิมบอกให้คนที่ถือดอกไม้คลายกังวลลงแต่กลับทำให้เขาต้องคิดหนักมากกว่าเดิม
นี่ผมกำลังทำผิดต่อคุณอยู่ใช่ไหม จินนี่...
บทสนทนาเมื่อครู่ที่ได้ยินทำให้หัวใจดวงน้อยๆของสาวร่างโปร่งรู้สึกแปลกๆคล้ายหลุดออกมาจากฝันในชั่วข้ามคืน
จริงสินะ พี่เขื่อนมีแฟนอยู่แล้วทั้งคน ไม่น่าคิดเข้าข้างตัวเองเลย ยัยเฟย์เอ๋ย
อย่างมากเขาก็มองเราเป็นแค่น้องสาวจอมซนคนหนึ่งเท่านั้นแหละ...
เธอค่อยๆหมุนตัวเดินหลบผู้คนหนีความวุ่นวายออกไปภายนอกสถานที่จัดงาน แต่ก็ไม่รอดพ้นสายตาของหนุ่มหน้ายาวผู้โชคดีไปได้
เขาวางดอกไม้ที่ได้รับลงกับโต๊ะ ก่อนรีบเดินออกจากห้องเพื่อตามหัวใจ เอ้ย...ไม่ใช่น้องสาวจอมขี้แยของผมต่างหาก
ไปไหนของเขานะ นี่หาจนทั่วแล้วยังไม่เจอเลย
คนที่เดินตามมาพยายามมองหาเป้าหมายร่างโปร่งทั่วบริเวณงานแต่เธอก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว
“ตาเขื่อนกลับยังลูก” มารดาของเขาเดินเข้ามาชวนให้กลับที่พัก เพราะเลยเวลาสังสรรค์มาพอควรแล้ว
“พรุ่งนี้ต้องกลับแล้วไม่ใช่เหรอเราน่ะ ของก็ยังไม่ได้เก็บใช่ไหม” คนสูงวัยกล่าวเตือนต่อ
“อ้อ ครับคุณแม่ กลับเลยก็ได้ครับ” บุตรชายเอ่ยอย่างว่าง่ายตามมารดาทั้งที่ในใจว้าวุ่นเหลือเกิน
“นี่เราหาใครอยู่หรือเปล่าเนี่ย” มารดาเริ่มจับสังเกตได้ว่าลูกชายดูพะว้าพะวังเสียเหลือเกิน
“เปล่าฮะคุณแม่” หนุ่มจอมกวนปฏิเสธเป็นพัลวันก่อนจะเฉไฉไปต่อ
“ผมแค่สงสัยว่าพวกสาวๆในงานเขาจะกลับกันยังไงมันดึกแล้ว”
“ก็เห็นส่วนใหญ่เขาก็พักที่นี่กันนะ ส่วนที่ไม่ได้พักอย่างหนูเฟย์ก็เห็นพ่อกวินเขาไปส่งแล้วนี่”
แล้วคำตอบที่เขาอยากรู้ก็มาอย่างไม่ทันตั้งตัว
นี่ใจคอไม่คิดจะเจอกันอีกแล้วใช่ไหม...ยัยขี้แย
......................................................
“คุณแก้วพักทานข้าวหน่อยไหมครับนี่ก็เย็นมากแล้ว เดี๋ยวลุงไปซื้อข้าวให้”
เสียงคุณลุงคนงานคนหนึ่งถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรค่ะคุณลุง หนูไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”
สาวร่างสูงตอบปฏิเสธอย่างเกรงใจแล้วเธอก็ยังคงมุ่งมั่นตั้งหน้าตั้งตากับการตกแต่งบ้านของหนุ่มหน้าหวานต่อไป
เรื่องหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าคนว่าจ้างออกจะเร่งเธอเหลือเกินว่าต้องทำให้เสร็จภายในเดือนนี้
นี่ก็เหลืออีก10วัน เหลืองานที่ต้องเก็บอีกตั้งเยอะแล้วฉันจะทำทันได้ไงเนี่ย ร่างสูงกำลังปวดขมับอย่างหนัก
และอีกเรื่องเป็นเหตุผลส่วนตัวล้วนๆ เพราะเธอตกหลุมรักบ้านหลังนี้อย่างจริงจัง มันเป็นบ้านในฝันที่เธออยากจะมี จึงอยากทำมันให้ออกมาเป็นอย่างที่เธอวาดฝันไว้ แม้เธอจะไม่ได้เป็นเจ้าของแต่ก็อยากให้คนที่ได้อยู่รู้สึกดีกับมันไปด้วย
ท้องฟ้าภายนอกบ้านไม้หลังเล็กดูมืดสลัวลง ลมเริ่มพัดแรงขึ้นจนทำให้กระดาษร่างแบบหลายแผ่นปลิวกระจัดกระจายไปทั่ว สถาปนิกสาวจำต้องวิ่งตามเก็บแบบบ้านซึ่งถือเป็นเอกสารชิ้นสำคัญในการทำงานใหญ่ครั้งนี้ของเธอ
“โอย ลมบ้านี้จะพัดอะไรกันนักกันหนานะ” เธอบ่นอย่างอารมณ์เสียและแทบจะร้องไห้เมื่อเห็นสภาพกระดาษของเธอเปียกชุ่มจนแทบจะมองไม่เห็นชิ้นงานที่เธอได้สรรค์สร้างไว้
ตายๆๆๆ ตายแน่แก้วใจ นายขี้เก๊กนั่นต้องเอาฉันตายแน่เลย ให้ฉันทำใหม่มันไม่ทันแล้วนะ แล้วจะทำยังไงดีล่ะทีนี้
ณ ตอนนี้สาวร่างสูงอยากจะกรีดร้องเป็นภาษาสเปน เยอรมัน โปรตุเกส...
แต่ก่อนที่จะได้ทันคิดถึงวิธีแก้ไขงาน เธอก็ได้ยินเสียงผิดปกติมาจากบริเวณใกล้เคียง
แกร๊ก แกร๊ก...เสียงอะไรเนี่ย สถาปนิกสาวเท่ยังไม่วายหาแหล่งต้นตอของเสียงต่อ
“คุณแก้วระวังครับ” เสียงเตือนจากลุงคนงานดังขึ้นแต่ก็ไม่ทันการณ์
กิ่งไม้ที่อยู่เหนือศีรษะของคนขี้สงสัยหลุดร่วงหล่นออกตามแรงลมทับร่างของเธอไปเสียก่อน
“คุณแก้ว เฮ้ย ไอ้ชัยเรียกรถพยาบาลเร็วคุณแก้วโดนไม้ตกใส่หัว”
สาวร่างสูงพยายามเปิดเปลือกตาของตนขึ้นแต่ก็ไม่เป็นผล
เสียงสุดท้ายที่เธอได้ยินก่อนหมดสติคือเสียงลุงคนเดิมที่ตะโกนเรียกขอความช่วยเหลือให้เธอ
.......................................................
กริ๊ง กริ๊ง...เสียงโทรศัพท์ติดตามตัวของแพทย์สาวดังขึ้น ทำให้เธอหลุดออกจากภวังค์หลังจากที่กำลังครุ่นคิดเรื่องเงาตามตัวของเธอว่าใครกันนะที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้
“อะไรนะ ยัยแก้วเกิดอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่ที่ไหนนะคะคุณน้า”
ข้อมูลจากต้นสายผู้เป็นมารดาของเพื่อนสนิทร่างสูงทำให้เธอตกใจไม่น้อยกับข่าวที่ได้รับ
ร่างเล็กรีบเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวก่อนรีบออกจากห้องพักไปยังโรงพยาบาล
สร้างความแปลกใจให้หนุ่มหน้าเข้มที่อยู่อีกห้องว่าคนตัวเล็กกำลังจะไปไหนในยามวิกาลเช่นนี้
“ฟางจะไปไหน” เขาตะโกนเรียกเธอแต่ไม่ได้รับการตอบกลับ
“โธ่ฟาง เพื่อนฟางไม่เป็นไรหรอกน่า อย่างมากก็แค่ไม่ฟื้นแบบป๊อปนี่ไง”
หลังจากที่รู้สาเหตุว่าทำไมคนตัวเล็กถึงได้รีบร้อนออกจากห้องมา
ร่างที่อยู่ข้างคนขับกล่าวขึ้นเพื่อให้คุณหมอหน้าหวานคลายความกังวลลงบ้างแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล
“นั่นปากหรอ ฉันรู้น่าว่าเพื่อนฉันไม่เป็นอะไรมาก แต่มันก็อดเป็นห่วงไม่ได้นี่นา ไปดูให้แน่ใจด้วย
จะได้บอกคุณน้าให้สบายใจหน่อย พอดีท่านอยู่ต่างจังหวัดน่ะเลยฝากฉันดูแลไปก่อน” แพทย์สาวให้เหตุผลต่อ
“ครับ ว่าแต่เพื่อนคนนี้ของฟางคงต้องสำคัญมากสินะ” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัยปนหึงนิดๆ
“แน่นอนสิ เพื่อนคนนี้น่ะ รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กเลยนะ เรียกว่าโตมาด้วยกันเลยแหละ”
ร่างเล็กยังอธิบายถึงความสนิทขั้นซี้ปึ๊กกับคนป่วยต่ออย่างไม่รู้ตัว
“คงรักกันมากสินะ” อารมณ์ของชายหนุ่มเริ่มคุกรุ่นขึ้นจนคนตัวเล็กเริ่มจับสังเกตได้
“นี่นายเป็นอะไรป๊อปปี้”
“เปล่า ป๊อปก็แค่ถามเฉยๆ เผื่อจะได้รู้ข้อมูลเพื่อนฟางบ้างไง” คนตอบเริ่มเฉไฉบ้าง
“อยากจีบหรือไง บอกได้นะ เพื่อนฉันโสดอยู่ สวย ขาว สูง สเป็คนายหรือเปล่าล่ะ”
ร่างเล็กนำเสนอเพื่อนตัวเองแต่สร้างความงุนงงให้หนุ่มจอมกวนเล็กน้อย
“อ้าว เพื่อนฟางเป็นผู้หญิงหรอ”
“แน่นอนสิคะ ฉันเรียนโรงเรียนหญิงล้วนจะให้มีเพื่อนเป็นผู้ชายไหมล่ะ” ร่างเล็กตอบกลับอย่างกวนๆ
“เพื่อนฟางไม่เป็นทอมใช่ป่ะ” หนุ่มจอมกวนยังไม่วายระแวงต่อ
“จะบ้าหรอ ถึงยัยแก้วจะดูแมนเป็นนักเทควันโดสายดำ มีคนกรี๊ดตรึมแค่ไหน แต่ก็หญิงแท้แน่นอนนะคะ”
คนตัวเล็กบรรยายสรรพคุณเพื่อนตัวเองต่อ
“ค่อยยังชั่วหน่อย” คนถามเริ่มอารมณ์ดีขึ้นแต่กลับสร้างความแปลกใจให้สาวหน้าหวานกับอาการขึ้นๆลงๆของเพื่อนร่วมทางที่นั่งมาด้วย
และแล้วรถก็เคลื่อนมาถึงโรงพยาบาล
โชคดีที่มันเป็นที่เดียวกับที่ทำงานของเธอทำให้สะดวกสบายมากขึ้นเวลาจอดรถหรือเข้าเยี่ยม
“คุณจริญญาอยู่ห้องไหนคะ” แพทย์สาวถามเจ้าหน้าที่
หลังจากทราบเลขที่ห้องของคนป่วยเรียบร้อย เธอกล่าวขอบคุณพร้อมรีบเดินบึ่งไปยังที่หมายทันที
“เห็นไหมล่ะ บอกแล้วว่าเพื่อนฟางไม่เป็นไรมากหรอก” ร่างที่ไม่มีใครมองเห็นพูดขึ้นอีกครั้ง
“รู้แล้วน่า นี่นายจะไปไหนก็ไปเถอะป๊อปปี้ เดี๋ยววันนี้ฉันคงนอนเฝ้าไข้ยัยแก้วก่อน”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับพร้อมเอ่ยต่อว่า “งั้นเดี๋ยวป๊อปกลับไปห้องป๊อปละกัน”
เสียงของเพื่อนสาวร่างเล็กลอยมากระทบโสตประสาทของคนป่วยที่เริ่มได้สติมาสักพัก
เดี๋ยวนี้ยัยฟางมีกิ๊กหรอ ต้องแซวหน่อยแล้ว ว่าแต่ทำไมเหมือนพูดอยู่คนเดียว หรือคุยโทรศัพท์อยู่
หาทางแกล้งตื่นดีกว่า ฉลาดจริงๆแก้วใจ
“โอย...” เสียงคนป่วยดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนาของสองหนุ่มสาว
ร่างสูงค่อยๆลืมตา ปรับสายตาให้มองเห็นชัดขึ้น
“ยัยแก้วฟื้นแล้วหรอ” เพื่อนตัวเล็กเอ่ยอย่างดีใจ
คนตัวสูงกว่าเมื่อมองเห็นเพื่อนสาวร่างเล็กก็ค่อยๆชันกายขึ้นไปกอดแสดงความคิดถึงเนื่องจากไม่ได้เจอกันมาเป็นเดือน
แพทย์สาวพยายามห้ามไม่ให้คนป่วยลุกแต่ก็ไม่สำเร็จ เธอกอดตอบเพื่อนสนิทของเธอด้วยความคิดถึงด้วยเช่นกัน
หนุ่มผู้ไม่มีใครมองเห็นได้แต่อมยิ้มกับมิตรภาพตรงหน้า
ตอนแรกเขาตัดสินใจจะกลับไปที่ห้องแต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว แอบฟังสาวๆคุยกันดีกว่า เผื่อได้อะไรดีๆด้วย
“ฉันไม่ตายง่ายๆหรอก ฉันเป็นหญิงเหล็กแกก็น่าจะรู้” ร่างสูงตอบกลับอย่างติดตลกพร้อมมองไปรอบๆห้องรวมถึงเพื่อนของตนเอง แต่กลับไม่มีวี่แววของคนอื่นหรือแม้แต่การใช้โทรศัพท์มือถือเลย
แล้วยัยฟางคุยกับใครนะ หรือว่า...บรึ๋ย...ไม่เอานะ ไม่อยากจะคิด ไม่อยากเจอ ฮือ...หนูกลัวแล้ว
คนตัวสูงรู้สึกขนลุกวาบขึ้นมาทันใดแต่ความอยากรู้กลับมีอิทธิพลมากกว่าความกลัวของเธอ คนป่วยจึงตัดสินใจเอ่ยถามเพื่อนหน้าหวานออกไปว่า
“เมื่อกี้แกคุยกับใครอยู่เหรอ”
“เปล่านะ แกเพิ่งฟื้นหรือเปล่าแก้ว แกอาจจะเบลอๆก็ได้น่ะ” ร่างเล็กพยายามกลบเกลื่อน
“ฉันว่าแกนอนพักต่อเถอะ เดี๋ยวฉันนอนเป็นเพื่อนให้ แม่แกฝากฉันดูแลแกด้วย” คนตัวเล็กกล่าวต่อ
ยิ่งอาการของเพื่อนตัวเล็กของเธอพยายามปกปิดเท่าไหร่ยิ่งทำให้เธอสงสัยมากขึ้นเท่านั้น
“แกคิดว่าจะโกหกฉันได้หรอฟาง ฉันได้ยินแกพูดถึงคนชื่อป๊อปปี้”
ร่างสูงเริ่มพูดจริงจังมากขึ้นจนคนตัวเล็กเริ่มกังวลไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
แล้วฉันจะบอกยัยแก้วยังไงดีล่ะ ยัยแก้วต้องหาว่าฉันบ้าแน่ๆ ร่างเล็กคิดไม่ตกกับปัญหาที่จำเป็นต้องปกปิดตรงหน้า
“ป๊อปว่าฟางบอกเพื่อนฟางเรื่องของป๊อปไปก็ได้นะ ผมคิดว่าเขาไว้ใจได้” ร่างที่มองไม่เห็นกล่าวขึ้นทำลายความเงียบ
คนตัวเล็กหันกลับไปมองต้นเสียงเพื่อถามให้มั่นใจ “นายแน่ใจแล้วนะว่าจะให้ฉันบอก”
สาวร่างสูงที่เห็นเหตุการณ์สดว่าเพื่อนหน้าหวานของเธอหันไปพูดกับกำแพงแล้วถึงกับช็อค
“น..นี..นี่แกคุยกับใครอยู่ยัยฟาง” คนป่วยร่างสูงได้แต่ขนหัวลุกไม่หายอยากจะไปคว้าสร้อยพระมาห้อยคอเสียเหลือเกิน
กะแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้...ร่างเล็กคิดในใจไว้ล่วงหน้าแล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
“คือฉันจะอธิบายยังไงดีล่ะ เอาเป็นว่าเขาไม่ใช่ผีละกัน เขาเป็นคนไข้ของฉันที่ต้องการความช่วยเหลือนิดหน่อย เราเลยติดต่อกันได้น่ะ” สาวหน้าหวานพยายามอธิบายต่อ
มันเหนือธรรมชาติไปไหม ติดต่อกับวิญญาณ แน่ใจนะยัยฟางว่าแกไม่ได้ทำงานหนักจนบ้าไปแล้ว
คนป่วยคิดพลางเอามือไปแตะหน้าผากเพื่อนสาวร่างเล็ก
“แกคงคิดว่าฉันบ้าสินะ ฉันขอยืนยัน นั่งยัน นอนยันเลยว่าฉันสติดีครบ32นะเว่ย และยืนยันด้วยว่าหมอนี่ไม่น่ากลัวจริงๆนะ เขาเป็นคนดีและเขาไม่มาหลอกแกหรอก” คนตัวเล็กพยายามปลอบขวัญเพื่อน
“งั้นฉันขอพิสูจน์หน่อยได้ไหม” คนป่วยพยายามทำใจดีสู้เสือ
“ได้สิ” ร่างเล็กตอบกลับอย่างมั่นใจ
“แกหันไปทางนู้นก่อน” สาวร่างสูงบอกร่างเล็กให้ปฏิบัติตาม จากนั้นเธอก็เขียนข้อความลงในเศษกระดาษหนึ่งคำ
“แกหันมาได้แล้วฟาง” คนตัวเล็กปฏิบัติตามอย่างโดยดี “เมื่อกี้ฉันเขียนคำว่าอะไรแค่นี้แหละ”
ร่างที่มองไม่เห็นบอกคำตอบแก่คนตัวเล็กซึ่งเป็นคำตอบที่ถูกต้อง
เรื่องนี้สร้างความตกตะลึงให้คนป่วยไปไม่น้อย และคงต้องยอมรับว่าตอนนี้มีวิญญาณอยู่ในห้องของเธอจริง
ฉันคงต้องพยายามปรับตัวให้เคยชินใช่ไหม มันหลอนยังไงไม่รู้
“ไหนเพื่อนฟางบอกว่าเป็นหญิงเหล็ก หญิงแกร่งอะไรไง เรื่องแค่นี้ทำป๊อดไปได้” หนุ่มคนเดียวในห้องเอ่ยอย่างขำๆ
“แก้ว ป๊อปบอกว่าแกเป็นหญิงเหล็กไม่ใช่หรอ ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงกลัวจนหัวหดไปได้” คนตัวเล็กส่งสารต่อทำให้คนป่วยเริ่มของขึ้นกับร่างที่มองไม่เห็นเล็กน้อย
“นี่ถ้านายเจอแบบฉันนายจะกลัวไหมล่ะ”
“ผมไม่กลัวเพราะผมไม่เจอ” เขายังไม่วายแกล้งคนป่วยต่อ จนทำให้สาวหน้าหวานได้แต่หลุดขำ
“อะไรยัยฟาง นายนั่นนินทาอะไรฉันอีก บอกมานะ” สาวร่างสูงเอ่ยถามอย่างใคร่รู้
“ไม่มีอะไร” คนตัวเล็กปฏิเสธไปขำไป ความจริงแกล้งยัยแก้วก็สนุกดีเหมือนกันนะ...
“แหม ปกป้องกันจังเลยนะคะเพื่อน” สาวร่างสูงเริ่มแซวเพื่อนสนิทบ้างจนทำให้คนตัวเล็กเริ่มหน้าแดง
ก่อนที่เธอจะดึงตัวเพื่อนหน้าหวานร่างเล็กมากระซิบถามว่า “นี่แกชอบหมอนี่หรือเปล่ายัยฟาง”
“ไอ้บ้า ไม่ใช่” คนตัวเล็กปฏิเสธอย่างพัลวันอีกครั้ง
“หรอ” คนป่วยเอ่ยอย่างประชดบ้าง
ฉันเป็นเพื่อนกับแกมาเป็น10ปี ทำไมฉันจะดูไม่ออกว่าแกมีใจให้อีตากวนประสาทนี่
ถึงจะอยู่ไกลจากสาวในห้องทั้งสองคนพอควรแต่เขาก็ได้ยินคำถามจากคนป่วยที่ถามคุณหมอสุดสวยของเขา
แม้คนตัวเล็กจะปฏิเสธแต่อาการมันฟ้องจนอดคิดไม่ได้ว่าเธอก็รู้สึกแบบเดียวกันกับเขา
ตอนนี้หัวใจของชายหนุ่มแทบจะกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข
แต่ทันใดนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกว่าร่างของเขารู้สึกเลือนลางไป มันต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ
เขาจึงตัดสินใจรีบกลับไปยังห้องที่เขานอนไม่ได้สติอยู่
แต่แล้วภาพตรงหน้าที่ได้เห็นก็ทำให้หนุ่มหน้าเข้มอารมณ์พุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง
ภาพของชายหนุ่มร่างโปร่งหน้าหวานที่เขาเพิ่งได้พบเมื่อเช้ากำลังยืนอยู่หน้าประตูห้องของเขา
ทันใดนั้นเสียงสัญญาณการตรวจวัดสัญญาณชีพที่ผิดปกติภายในห้องที่ไร้ญาติมานับเดือนก็ดังขึ้น สร้างความตกใจให้กับหนุ่มหน้าหวานเล็กน้อย
ไม่นานเขาได้ยินเสียงพยาบาลกำลังเดินมาทางห้องนี้ จึงจำต้องรีบเดินเข้าไปหลบในซอกมุมหนึ่ง
แต่มันก็ไม่พ้นสายตาของร่างที่ไม่มีใครมองเห็นอีกตามเคย...
แกรู้มาตลอดสินะว่าฉันอยู่ที่นี่ แต่แกไม่เคยคิดแม้แต่จะมาเยี่ยมฉันเลย แถมยังปิดไม่ให้ใครรู้อีก
ในที่สุดฉันก็รู้ความจริงสักทีว่าฉันเป็นแบบนี้เพราะใคร ไอ้เพื่อนทรยศ...
=======================================================
มาช้ามากมายหวังว่าจะยังไม่ลืมกันนะคะ งานยุ่งต้องค่อยๆอัพเนอะ จะพยายามอัพให้ไวที่สุด มันอาจจะสับสนมึนงงไปบ้างต้องขออภัยไว้ล่วงหน้านะคะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ