Our Destiny เพราะเธอคือรักแท้

9.6

เขียนโดย StrawberryTKCuTe

วันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 20.51 น.

  6 ตอน
  147 วิจารณ์
  17.14K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556 21.03 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

6)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

“แม่ค่ะ แก้วมีเรื่องจะถามแม่หน่อย”

 

 

 

            หลังจากที่พี่โทโมะมาส่งฉันที่ร้าน ฉันก็รีบวิ่งหนีเขาขึ้นมาบนบ้านทันทีแล้วก็รีบไล่เขากลับไปอย่างรวดเร็วด้วย โอ๊ยยย! ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย ฉันเบื่อหน้าพี่โทโมะจะตายอยู่แล้ว ทำไมต้องมาคอยตามหลอกหลอนฉันทั้งกลางวันกลางคืนแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้ บ้าที่สุดเลย! ไม่ได้ขอให้มารับมาส่งก็ยังจุ้นจ้านไม่เข้าเรื่อง คนบ้า!

 

 

 

“อ้าว เมื่อกี้แม่ได้ยินเสียงรถ ไงล่ะแม่ตัวดี พี่โทโมะมาส่งเหรอลูก” แม่เอื้อมมือมาบีบจมูกฉันอย่างเอ็นดูก่อนี่ฉันล้มตัวลงนอนหนุนตักแม่ที่นั่งทักโครเชอยู่บนโซฟา

 

 

 

“จะใครซะอีกล่ะค่ะ ทำตัวเหมือนเป็นพ่อแก้วอยู่แล้วเนี่ย” ฉันว่าพลางย่นจมูกใส่อย่างหมั่นไส้เมื่อนึกไปถึงคนที่ฉันเพิ่งไล่กลับบ้านไปเมื่อกี้

 

 

 

“แน้ เด็กคนนี้ พี่เขาอุตส่าห์เป็นห่วงเห็นเรากลับบ้านดึกๆดื่นๆก็เลยอาสาไปรับ อีกอย่างเขาก็ขออนุญาตแม่แล้วด้วย ดีซะอีก ลูกสาวแม่จะได้ไม่มีเวลาไปเถลไถลที่ไหน”

 

 

 

“ให้พี่โทโมะไปรับ แก้วกลับดึกกว่าเดิมอีกเหอะ คนอะไรปล่อยให้แก้วนั่งรอตั้งหลายชั่วโมง ยุงกัดจะตายอยู่แล้วเนี่ย แม่เห็นแขนแก้วมั้ยค่ะ”  ฉันฟ้องแม่สุดฤทธิ์เลยล่ะ วันหลังแม่จะได้ไม่อนุญาตให้พี่โทโมะไปรับฉันอีก แต่แม่ทำแค่เพียงหัวเราะเบาๆแล้วดึงแขนฉันไปดูพร้อมเงยหน้ามองฉันด้วยแววตาที่ดูยังไงก็เหมือนกับว่าแม่กำลังล้อเลียนฉันไม่มีผิด...

 

 

 

“แต่ก็รอเขา แล้วก็ให้เขาทายาให้”

 

 

 

“แม่รู้ได้ยังไง แก้วเปล่าซะหน่อย”  ฉันเบือนหน้าหนีแม่พร้อมซ่อนรอยยิ้มเอาไว้เต็มที่ที่แม่รู้ทันแบบนี้ โอ๊ยยย! พี่โทโมะทำให้ชีวิตประจำวันของฉันปั่นป่วนวุ่นวายยิ่งกว่าตอนสอบซะอีกนะ ชิ!

 

 

 

“แม่รู้ว่าเด็กดื้อแล้วก็ไม่รู้จักดูแลตัวเองอย่างแก้วน่ะ ไม่พกพิมเสนน้ำแบบนี้หรอก ถ้าจะเป็นของใครสักคน คนคนนั้นต้องเป็นคนที่ปล่อยให้ลูกแม่นั่งรอเขามารับจนดึกดื่นแน่เลย แม่พูดถูกมั้ยล่ะ”

 

 

 

“แม่อ่ะ...ไม่เอาดีกว่าเปลี่ยนเรื่อง แก้วมีคำถามหนึ่งข้อจะมาถามแม่ แม่สัญญานะว่าต้องให้คำตอบกับแก้ว” 

 

 

 

“ไหน...มีเรื่องอะไรจะมาถามแม่กันล่ะ”  ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆอย่างลังเลว่าควรจะถามออกไปดีมั้ย แต่ในเมื่อมาถึงขนาดนี้ฉันคงต้องถามออกไปเพื่อความแน่ใจดีกว่าจะเก็บทุกอย่างเอาไว้ให้ตะขิดตะขวงใจอยู่แบบนี้ ถึงแม้ว่าคำตอบจะออกมาในรูปแบบไหน ฉันคงต้องทำใจยอมรับให้ได้

 

 

 

“...ถ้าหัวใจของเราเต้นแรงให้ใครสักคน จำเป็นมั้ยค่ะว่าเราต้องรักเขา”

 

 

 

“หืม?”

 

 

 

“มันใช่ความรักเหรอค่ะแม่...”  ฉันถามแม่เสียงแผ่วลงด้วยความไม่มั่นใจ และแม่ของฉันก็เอาแต่นิ่งเงียบเมื่อฉันเงยหน้ามองเห็นใบหน้าคุ้นเคยของของท่าน แม่ก็เอาแต่ยิ้มแล้วลูบหัวฉันเบาๆ ราวกับว่าต้องการปลอบปะโลมฉันในวันที่ฉันรู้สึกสับสนกับอะไรบางอย่าง...

 

 

 

“แล้วแก้วไม่เคยมีความรักเหรอลูก แก้วถึงไม่รู้...”  แม่ถามย้อนกลับทำให้ฉันพยายามนึกทบทวน ตลอดเวลาที่ผ่านมาทุกครั้งที่แอบรักใครฉันก็มักจะผิดหวังตลอด ...

 

 

 

 

            ฉันผิดหวังก็จริงแต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะจมปลักอยู่กับเรื่องของเขาคนนั้นจนเก็บมานั่งร้องไห้ทุกคืนวันหรอกนะ ตอนที่ฉันรู้ว่าคนที่ฉันแอบรักมีแฟนแล้วและเขาสองคนก็ดูรักกันมากมันทำให้ฉันรู้สึกเจ็บก็จริงแต่ไม่ช้านานมันก็จางหายไป ฉันรู้สึกเขินเวลาเจอหน้าเขา...และชอบหลบหน้าเขาบ่อยๆ มือไม้สั่นทุกที...แต่ก็แปลก หัวใจของฉันมันไม่ได้เต้นแรงเท่าที่ควร ไม่เต้นแรงจนชัดเจนอย่างเช่นวันนี้...

 

 

 

“แก้วรักแม่ แต่แก้วไม่รู้สึกใจเต้นแรงเวลาอยู่ใกล้แม่...ไม่รู้สึกเขินจนอยากหนีไปไกลๆ มันคนละแบบกัน แก้วเลยไม่แน่ใจ ไม่แน่ใจเลยว่านั่นคือความรู้สึกที่คนทั่วไปเขาเรียกกันว่ารักหรือเปล่า...”

 

 

 

“แก้วเคยคิดว่าตัวเองเข้าใจความรัก แต่วันนี้แก้วเพิ่งรู้ว่า...แก้วไม่เคยรู้จักมันจริงๆเลยด้วยซ้ำ”

 

 

 

“....”

 

 

 

“แม่ตอบแก้วหน่อยสิ แก้วอยากรู้จังเลย...” 

 

 

 

“อืม...ถ้าหัวใจของเราเต้นแรงให้ใครสักคน แม่ว่า...แก้วน่าจะรู้คำตอบของตัวเองดีที่สุดนะลูก”  แม่ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น ทำแค่เพียงลูบเส้นผมของฉันอย่างแผ่วเบาจนฉันเคลิ้มหลับไป...

 

 

 

หัวใจเต้นแรงจัง....อยู่ใกล้กันแบบนั้น เขาจะได้ยินหรือเปล่านะ...

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

          หลังจากที่วันนี้ฉันเลี้ยงข้าวมื้อเย็นตอบแทนพิชชี่ที่เขาอุตส่าห์นั่งรอคนผิดสัญญาที่มารับฉันกลับบ้านเอาซะดึกดื่น เขาเลยอาสามาส่งฉันที่บ้านแทนและแน่นอนว่าฉันเป็นคนห้ามไม่ให้พี่โทโมะมารับเอง หนึ่งคือไม่อยากตบยุงนั่งรอคนบ้างานที่เห็นนิยายสำคัญกว่าฉัน สองคือไม่อยากเจอหน้าเขาบ่อยมากจนเกินไป กลัวว่าสักวันถ้าเราสองคนไม่เจอกัน...ฉันอาจจะคิดถึงเขาก็เป็นได้

 

 

 

แต่ก็แค่ในฐานะพี่น้องเท่านั้นล่ะ!!

 

 

 

“แวะทานอะไรก่อนสิพิช แม่ค่ะ นี่พิชชี่เพื่อนแก้วเอง”

 

 

 

“สวัสดีครับคุณน้า”

 

 

 

 

 แม่ฉันกับพิชชี่ดูจะเข้ากันได้ดีเห็นว่าทั้งสองคุยกันตลอดเวลาที่พิชชี่อยู่ที่นี่ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาจนเกือบทุ่มกว่าแล้วพิชชี่ถึงได้ขอตัวกลับพร้อมกับฉันที่เดินไปส่งเขาหน้าร้านในจังหวะที่พี่โทโมะขับรถออกมาจากสำนักพิมพ์พอดี เขาเห็นฉันแต่เขากลับไม่แม้แต่จะทักทายเลยสักคำ...เหอะ! แถมยังมาทำหน้าบึ้งใส่ฉันอีกต่างหาก ไม่เข้าใจเลยว่าฉันทำอะไรผิด?

 

 

 

“เรากลับก่อนนะแก้ว วันหลังจะแวะมาทานเค้กใหม่ เค้กอร่อยมากเลยครับคุณน้า ผมกลับก่อนนะครับสวัสดีฮะ”   ประโยคหลังพิชชี่หันไปบอกลาแม่ฉัน ในขณะที่ฉันได้แต่ยืนโบกมือลาเขาแต่สายตากลับมองไปที่ใครอีกคนที่กำลังเร่งรถยนต์ของตัวเองเพื่อให้พ้นผ่านหน้าร้านฉันไป

 

 

 

 

“คนที่แก้วหมายถึงใช่คนนี้หรือเปล่าลูก...คนที่ทำให้ลูกสาวแม่เหมือนคนเป็นโรคหัวใจน่ะ” แม่เดินเข้ามายืนประกบข้างฉันที่กำลังกอดมองมองออกไปนอกร้านอย่างโมโห เหอะ! คนบ้าอะไรทำตัวเอาแต่ใจชะมัด

 

 

 

“ไม่ใช่คนนี้ค่ะแม่”  ฉันตอบแม่ไปพร้อมทำหน้ามุ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ บางทีคนๆคนั้นไม่สมควรทำให้ฉันใจเต้นแรงได้เลยด้วยซ้ำ!

 

 

 

“อ้อ...”  แม่อมยิ้มให้ฉันก่อนจะดึงแก้มของฉันไปมาแล้วท่านก็หันไปสนใจกับงานในร้านต่อ ฉันรู้นะว่าแม่คิดอะไรอยู่! คงคิดว่าฉันหมายถึง ‘คนนั้น’ ล่ะสิ ชิ! ฉันยังไม่พูดซะหน่อยว่าใช่ แม่จะมาขี้โกงคิดเองแบบนี้ไม่ได้นะ

 

 

 

“แก้วไปเก็บของดีกว่า เดี๋ยวแม่จะออกไปงานกับเกลอเก่าไม่ใช่เหรอค่ะ ไปอาบเถอะค่ะเดี๋ยวร้านแก้วจัดการเอง”

 

 

 

“ไหวเหรอลูก ปิดร้านคนเดียวได้แน่นะ เด็กในร้านก็กลับหมดแล้วด้วย”

 

 

 

“สบายมากค่ะ แม่ไม่ต้องเป็นห่วง อย่ากลับดึกนะคะแก้วเป็นห่วง รักแม่จุ๊บๆ จุ๊บพันครั้ง”  ฉันหอมแก้มแม่ก่อนจะดันแผ่นหลังของท่านให้ขึ้นบ้านไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวไปงานเลี้ยงกับเพื่อนเก่า และตัวเองก็หันมาจัดการเก็บกวาดร้านแทนที่จะปล่อยเวลาให้เสียเปล่า

 

 

 

 

 

 

            แม่ออกไปข้างนอกได้สักสองชั่วโมงกว่าแล้วและนี่ก็เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้วด้วย ฉันเลยตั้งใจว่าจะปิดร้านแล้วเข้านอนเพราะป่านนี้คงไม่มีลูกค้าที่ไหนเข้าร้านแล้วล่ะ แต่พอหันหลังเตรียมจะเดินเข้าไปหลังเคาท์เตอร์ เสียงกรุ๊งกริ๊งของกระดิ่งที่แขวนอยู่ตรงประตูทางเข้าก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่ามีลูกค้าเข้ามา...ว้า! นึกว่าจะได้อาบน้ำนอนแล้วนะเนี่ย!

 

 

 

“รับอะไรดี....พี่โทโมะ!?” ทันทีที่เห็นว่าคนที่เดินเข้ามาเป็นใคร ใบหน้าของฉันก็แสดงอาการบูดบึ้งใส่อย่างอัตโนมัติ

 

 

 

            คนตัวสูงเดินเข้ามาใกล้ฉันก่อนจะเลี้ยวกลับไปนั่งตรงโซฟาติดริมกระจกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหอะ! ฉันจำได้ว่าเขาขับรถกลับบ้านไปแล้ว ไม่ทราบว่าจะวกกลับมาทำไมอีกกัน แล้วดูสิ มาถึงก็ทำหน้าบึ้งไม่พูดไม่จาแถมยังนั่งเงียบเสียงทำงานของตัวเองต่อได้อย่างหน้าตาเฉย บ้า! บ้าที่สุดเลยผู้ชายคนนี้น่ะ

 

 

 

“ร้านปิดค่ะ!”

 

 

 

“ปิดอะไรก็เห็นอยู่ว่าเปิด...ขอโกโก้ร้อนกับเค้กสตรอเบอรรี่ชิ้นหนึ่งด้วยครับ”  คนกวนประสาทเงยหน้าจากจอโน้ตบุ๊คก่อนจะหันมาสั่งฉันด้วยแววตานิ่งเฉยและน้ำเสียงที่ราบเรียบไร้หัวใจไม่เหมือนก่อน...ฉันไม่คุ้นเคยเลยล่ะ

 

 

 

“ก็ได้ค่ะ งั้นรอสักครู่นะคะ!” ฉันกระแทกเท้าเดินอย่างหมั่นไส้ก่อนจะหันไปจัดการตามที่คุณลูกค้าสั่ง

 

 

 

“เดี๋ยวนี้ฮอตจังเลยนะ...มีผู้ชายมาส่งมารอแทบทุกวัน” นั่นไง! ฉันว่าแล้วว่าเขาต้องแขวะฉันเรื่องนี้ นี่อย่าบอกนะว่าที่ทำห่างเหินกับฉันก็เพราะเรื่องนี้ด้วย โอ๊ยยย! อยากจะบ้าตาย ทำไมต้องมาประชดประชันกันเพราะเรื่องแค่นี้ด้วยก็ไม่รู้

 

 

 

 

เดี๋ยวนะ...เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันซะหน่อย ถ้าจะพูดให้ถูกคือเขาไม่มีสิทธิ์มาโกรธฉันเลยด้วยซ้ำ!

 

 

 

 

“สงสัยแก้วสวยมั้งคะ หัวบันไดบ้านเลยไม่เคยแห้ง” ฉันก้มหน้าตอบเขาโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเพราะมัวแต่จัดการกับโกโก้และเค้กสตรอเบอรรี่ตามที่คุณลูกค้าวีไอพีสั่ง! แปลก...ปกติเขาชอบกินเค้กชาเขียวนี่นา ทำไมวันนี้ถึงมากินสตรอเบอรรี่ได้ ไหนเคยบอกว่ามันหวานเกินไปไงล่ะ!

 

 

 

“เนื้อหอมจริงๆด้วย...”

 

 

 

 

“อุ้ย!” 

 

 

 

 

            มารู้ตัวอีกที พี่โทโมะก็ยืนซ้อนอยู่ทางด้านหลังของฉันแล้ว ฉันร้องขึ้นมาเบาๆเมื่อแผ่นหลังดันไปกระทบกับแผ่นอกกว้างของใครบางคนที่ยืนทาบอยู่เบื้องหลัง สองแขนแข็งแรงล้อมกรอบร่างของฉันเอาไว้อย่างไม่มีโอกาสได้ดิ้นหนี...อ่า อาการแบบนี้มาอีกแล้วล่ะ เหมือนมีผีเสื้อเป็นร้อยๆตัวบินว่อนอยู่ข้างใน มัน...มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายจริงๆ

 

 

 

“พี่โทโมะ..ทะ...ทำอะไรค่ะ แก้วกำลังจะยกเค้กกับโกโก้ไปให้...”  ฉันวางเค้กในมือลงพร้อมกับก้มหน้าหลบเขาพัลวัน เมื่อรู้สึกถึงลมหายใจร้อนๆระอยู่ข้างแก้ม

 

 

 

 

“พี่แค่อยากรู้ว่าทำไม แก้วกับคุณน้าถึงทำเค้กอร่อย”  เสียงทุ้มที่กระซิบอยู่ไม่ห่างทำให้ฉันต้องเอียงคอหนีแต่ก็อย่างที่รู้ๆล่ะนะว่าก็ไม่พ้นอยู่ดีเมื่ออ้อมแขนของเขายังคงขวางกั้นอิสระของฉันเอาไว้

 

 

 

“ก็...ก็เวลาทำก็ต้องเลือกวัตถุดิบอย่างดี ที่สำคัญต้องเอาใจใส่กับมันด้วยไม่ใช่สักว่าจะทำส่งๆไปให้เสร็จเท่านั้น เวลาคนที่ได้ทานเขาจะได้รู้สึกถึงความละเมียดละไมกับรสชาติที่หอมหวานและสัมผัสได้ถึงความตั้งใจของคนทำ...แค่นี้ค่ะ”

 

 

 

 

          ฉันตอบแบบส่งๆพร้อมกับพยายามไม่หันกลับไปมองใบหน้าของเขาอยู่ที่ใกล้ชิดจนแทบจะติดหน้าฉันอยู่แล้ว แต่อีกฝ่ายต่างหากที่กลับดึงร่างของฉันให้หันไปเผชิญหน้ากับเขา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นบนริมฝีปากหยักลึกได้รูปนั่น เขาจับมือฉันตักเค้กสตรอเบอรรี่ขึ้นมาหนึ่งคำพร้อมจ่ออยู่ใกล้ๆริมฝีปากของเขา…ก่อนจะเลื่อนเข้าปากตัวเอง  เห...เขาจะรู้สึกว่ามันเลี่ยนเกินไปหรือเปล่า เขาไม่ได้ชอบสตรอเบอรรี่เหมือนอย่างฉันนี่นะ?

 

 

 

“ถ้าพี่เอาใจใส่แก้วเหมือนการทำเค้ก...แก้วจะหอมหวานเหมือนเค้กสตรอเบอรรี่คำนี้หรือเปล่านะ...”  คำพูดแบบนั้น! หมายความว่ายังไงกันนะ ฉะ...ฉันไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไงต่อไปดีแล้วได้แต่ยืนนิ่งๆ จ้องมองการกระทำของคนที่เรียกเต็มปากว่าเป็น ‘พี่ชาย’ อย่างมึนงง...

 

 

 

“แก้ว...”

 

 

 

“ว่าไงล่ะเค้กสตรอเบอรรี่น้อยของพี่...” 

 

 

 

 

          ฝ่ามืออบอุ่นเลื่อนขึ้นมาประคองแก้มของฉันไว้ทั้งสองข้าง นัยน์ตาคมกริบเหมือนใบมีดที่เพิ่งลับมาใหม่ๆมองฉันอย่างลึกซึ้ง จนตอนนี้ในหัวสมองของฉันเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามมากมายล้านแปด ฉันควรจะตอบเขาไปว่าอะไรดีล่ะ ใช่แล้วค่ะ...ถ้าพี่ดูแลแก้วดีๆ แก้วจะหวานกว่าเค้กคำนั้นอีก  แบบนั่นน่ะเหรอ บ้าเหอะ! ฉันไม่กล้าพูดออกไปหรอก ได้แต่คิดในใจและมองริมฝีปากร้อนจัดนั่นกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ๆ...ใกล้มากขึ้นจนชิดริมฝีปากของฉันไปโดยไม่มีการร้องห้ามใดๆ...

 

 

 

 

          เปลือกตาอันแสนทรยศปิดลงอย่างง่ายดายเมื่อฉันไม่สามารถทนต่อแววตาเจ้าเล่ห์ซุกซนคู่นั้นที่มองมาได้ กลิ่นหอมหวานของสตรอเบอรรี่ยังคงติดอยู่บนริมฝีปากของพี่โทโมะ น่าอายจริงๆเลย! ฉันคิดว่ามันหอมหวานน่าลิ้มลองที่สุด ฉันเกลียดเขาจะตายอยู่แล้วนะ ทำไมเขาถึงสอนให้ฉันเป็นเด็กแก่แดดแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้ ...ฉันชอบกับสัมผัสของเขาเพราะมันหวานหอมครีมเค้กสีชมพูและฉันชอบสตรอเบอรรี่มาก...มากจนไม่อยากให้เขาถอนจูบเลย...

 

 

 

 

 

Ring! Ring! Ring!

 

 

 

 

            เสียงไอโฟนดังขึ้นพร้อมกับเจ้าเครื่องสีขาวนอนสั่นอยู่บนเคาท์เตอร์ทำให้ฉันต้องรีบหาโอกาสผละตัวออกจากเขาทันที และเมื่อรู้ว่าพิชชี่เป็นคนโทรเข้ามา อีกฝ่ายก็ดูชะงักไปแล้วก็หันหลังกลับไปนั่งที่โต๊ะตัวเดิมโดยไม่แม้แต่จะพูดจาอะไรกับฉันสักคำนอกเสียจากตะโกนเสียงดังลั่นในขณะที่ฉันกำลังคุยอยู่กับพิชชี่อยู่ว่า...

 

 

 

“โกโก้กับเค้กที่สั่งน่ะ ขอเร็วๆด้วยครับ หิว!” 

 

 

 

             ฉันวางสายจากพิชชี่ก่อนจะเดินกระแทกเอาออเดอร์ที่เขาสั่งไปประเคนถึงที่ เหอะ! ที่เมื่อกี้ไม่เห็นทำหน้าโหดใส่ ไม่เห็นจะต้องทำดุแบบนี้เลย ไม่ชอบที่สุด คนเผด็จการ! เขาลืมไปแล้วหรือไงว่าเมื่อกี้เขายัง...ยัง!...โอ๊ยยย! ช่างเหอะ เขาไม่สนใจหรอก ก็แค่เผลอไปเท่านั้นแหละ มันไม่ได้เกิดจากความตั้งใจซักนิด! ถ้าฉันสามารถเอาถาดใส่แขนเขาแรงๆได้นะ ฉันทำไปนานแล้วเถอะ!

 

 

 

“ได้แล้วค่ะ!”  ฉันกระแทกจานเค้กกับแก้วโกโก้ลงย่างแรงจนมันแทบจะหกออกมา ก่อนจะเดินหันหลังกลับไปเก็บของที่ค้างไว้ แต่ข้อมือของฉันกลับถูกกระชากอย่างแรงจนร่างของฉัน...ล้มลงไปกองอยู่บนตักของเขา

 

 

 

“จะรีบไปคุยโทรศัพท์ต่อหรือไง”  ฝ่ามือร้อนผ่าวออกแรงรั้งเอวของฉันไว้ส่งผลให้ฉันไม่สามารถลุกหนีไปไหนได้ เอาอีกแล้วนะ! เขากักขังฉันไว้แบบนี้อีกแล้ว ไม่ชอบเลย...หัวใจเต้นแรงอีกแล้ว เหนื่อยจนจะบ้าตายเขาจะรู้ตัวบ้างมั้ยนะ?

 

 

 

“พะ..พี่โทโมะ ปล่อยแก้วนะ...”  พุดไปก็เหมือนปล่อยผ่านไปกับอากาศเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ฟังในสิ่งที่ฉันบอกเลยแม้แต่น้อย ฉันเลยตัดสินใจตรึงไหล่กว้างของเขาเอาไว้เพราะต้องการให้พี่โทโมะอยู่ห่างจากฉันให้มากที่สุด

 

 

 

“ไม่ปล่อย บอกพี่มาก่อนว่าจะรีบไปไหน”

 

 

 

“ไหนว่าจะไม่ทำลายแก้วไงค่ะ...”  ฉันท้วงขึ้นมาเมื่อจำได้ว่าเขาเป็นคนพูดเองว่าจะไม่ทำลายฉัน ไม่ทำให้ฉันเสียหาย...แล้วแบบนี้น่ะเหรอที่เรียกว่ารักษาฉันไว้นะ ยังไม่นับรวมเรื่องที่เขาทำเรื่องบ้าๆกับฉันเมื่อกี้นะ อย่าให้พูด เหอะ!

 

 

 

“แล้วพี่ทำลายแก้วตรงไหน”

 

 

 

“แล้วที่พี่ทำอยู่มันคืออะไรค่ะ พี่เคยบอกไม่ใช่เหรอว่าไม่อยากอยู่ใกล้แก้วเพราะกลัวคนอื่นจะมองไม่ดี แล้ววันนี้ล่ะ...คนบ้า ทำมาเป็นลืม แบบนี้เขารียกว่ากลืนน้ำลายตัวเองชัดๆ”  ผู้ชายก็เป็นเหมือนกันทั้งหมดนั่นแหละ มือไว ใจง่าย ชอบฉวยโอกาสกับผู้หญิง เห็นว่าเป็นเด็กไม่รู้เรื่องหรือไงกันล่ะ คนนิสัยไม่ดี!

 

 

 

“แล้วทีหมอนั่นยังมาหาแก้วบ่อยๆได้เลย ทำไมล่ะ...เขาจีบแก้วเหรอ?”

 

 

 

“บ้าบอ...แล้วที่พี่มาหาแก้วบ่อยๆ มารับมาส่ง...แบบนี้เรียกว่าจีบแก้วหรือเปล่าค่ะ?”  ฉันถามประชดพลางจิ้มอกเขาแรงๆสองสามทีอย่างหมั่นไส้ มันไม่จำเป็นเลยที่คนเป็นเพื่อนกัน มาหากัน...จำเป็นจะต้องคิดอะไรเกินเลยกว่าคำว่าเพื่อนแบบนั้น เชอะ พี่โทโมะนั่นลี่คิดอกุศลไปเอง บ้าบอที่สุด!

 

 

“เปล่าซะหน่อย”  พี่โทโมะเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้มไปมาด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์เหมือนกับว่าเขาสะอึกกับคำถามที่ฉันถามออกไปด้วยความไม่ตั้งใจ และนั่นก็ทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาไม่แพ้กันที่เขาตอบปฏิเสธ...ไม่! ไม่! ถ้าจะพูดได้แค่นี้ก็เงียบไปเถอะ ฉันไม่อยากจะฟัง

 

 

 

“ถ้าเปล่าซะหน่อย ก็ปล่อยสิค่ะ”  ฉันสะบัดตัวแรงๆอย่างหมั่นไส้แต่อีกฝ่ายก็ยังดันทุรังยื้อฉันไว้ ลมหายใจร้อนๆกระซิบอยู่แถวต้นแขนของฉัน ไม่ต่างอะไรกับการที่ริมฝีปากของเขาเองก็อยู่แทบจะชิดกับผิวกายของฉันเลยนะ!

 

 

 

“แก้วไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมพี่ถึงสั่งเค้กสตรอเบอรี่แทนที่จะเป็นชาเขียว?”

 

 

 

“ไม่อยากรู้ค่ะ”

 

 

 

“นั่นเป็นเพราะแก้วชอบมันยังไงล่ะ”

 

 

 

“หมายความว่าไงค่ะ?”

 

 

“โตแล้ว...คิดเอาเอง” พี่โทโมะมองฉัน พลางยกมือเกลี่ยแก้มฉันอย่างผะแผ่วอย่างต้องการให้ฉันนึกอะไรบางอย่างให้ออก

 

 

 

“คิดไม่ออกค่ะ แล้วก็ไม่อยากจะคิดด้วย”

 

 

 

“แก้วอยากให้พี่จูบอีกมั้ยล่ะ...” 

 

 

 

            คนบ้าเอ๊ย! เจ้าเล่ห์ได้โล่เลยจริงๆ ทำไมพี่โทโมะถึงเป็นคนนิสัยแบบนี้นะ พอนึกขึ้นมาได้ฉันก็แทบจะตะโกนข่วนหน้าเขาเลยล่ะ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะรู้ว่าทำไปก็สู้เข้าไม่ได้อยู่ดี อย่างมาก็แค่เดินไปปิดร้านแล้วไล่เขากลับไปให้พ้นหูพ้นตาซะ!

 

 

 

“ร้านปิดแล้วค่ะ ออกไปเลย กลับไปเดี๋ยวนี้”   ฉันดันแผ่นหลังกว้างของคนตัวสูงจนออกไปนอกร้านได้สำเร็จหลังจากที่เจ้าตัวดื้อดึงจะไม่ยอมกลับด้วยเหตุผลที่เขาบอกว่าเป็นห่วงฉันเพราะแม่จะกลับดึก ขอโทษเถอะ! อยู่กับเขาฉันรู้สึกอันตรายกว่าอยู่คนเดียวอีก!

 

 

 

 

 

 

 

 

Tomo’s Part

 

 

 

            หลังจากที่ถูกยัยตัวแสบไล่กลับบ้านผมก็ยอมกลับออกมาแต่โดยดีแต่ก็อดเป็นห่วงเล็กๆไม่ได้ เป็นผู้หญิงอยู่บ้านคนเดียวแบบนั้นแล้วนี่ก็ดึกมากแล้วด้วย บอกตรงๆผมเป็นห่วงแก้ว...ถ้าผมกลับไปเจ้าตัวก็คงไล่กลับมาอยู่ดี ยอมรับว่าผมเองก็ทำผิดที่ไปเกินเลยกับน้องแบบนั้น และอีกอย่างก็สะอึกไม่น้อยเลยด้วยที่แก้วย้อนถามผมออกมา...ผมมาหาเธอทุกวันแบบนี้เรียกจีบหรือเปล่า? ไม่รู้สิ...ผมไม่รู้หรอก แค่อยากเจอก็เลยมาหาก็แค่นั้น...

 

 

 

 

            ทุกครั้งที่เห็นแก้วอยู่กับผู้ชายคนอื่น...ผมยอมรับว่าผมไม่พอใจมาก! ยิ่งวันนี้ที่เห็นเพื่อนแก้วคนนั้นมาหาเธอทีร้านผมก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ ทั้งที่ไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำว่าทำไมต้องรู้สึกแบบนั้น ผมขับรถผ่านหน้าร้านของเธอและเธอก็กำลังเดินออกมาส่งผู้ชายคนนั้น เราสองคนมองเห็นซึ่งกันและกันแต่ผมก็กลับเลือกที่จะเมินเฉยต่อเธอและขับรถออกไป...แต่สุดท้ายเมื่อรู้ว่าแก้วต้องอยู่คนเดียวในคืนนี้ ผมเลยอดเป็นห่วงจนต้องวกรถกลับมาหาไม่ได้ ทำเป็นเมินเฉยกับเด็กคนนี้ไม่ได้จริงๆ!

 

 

 

 

            ผมกลับมาเปิดโน้ตบุ๊คของตัวเองเพื่อรอการตอบกลับจากสาวน้อยคนนั้นและก็มีอย่างที่หวังเอาไว้จริงๆ...เธอตอบกลับมาแล้ว

 

 

 

หัวใจเจ้าเอย...กล่าวว่า

 

“วันนี้เขามาหาฉันอีกแล้วค่ะ แล้วก็ทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงอีกแล้วด้วย...ฉันทำเรื่องหน้าอายลงไปด้วยล่ะค่ะวันนี้ ฉันไม่น่าถามเขาออกไปเลยว่าเขาคิดอย่างอื่นกับฉันมากกว่าน้องสาวหรือเปล่า รู้มั้ยค่ะว่าเขาตอบว่าอะไร เขาตอบว่า...เปล่าซะหน่อย เขาไม่ได้จีบฉัน ทั้งที่ตอนนั้น...เขายังดึงฉันลงไปนั่งตักอยู่เลย แบบนี้ฉันควรตัดใจดีมั้ยค่ะ...”

 

 

 

            หืม...ผมชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอีกฝ่ายดูจะเหมือนกับที่เกิดกับผมในวันนี้มากไปหน่อย ผมดึงแก้วลงมานั่งตัก กอดเธอไว้...แล้วก็จูบ...ทำเรื่องอะไรมากมายที่คนเป็นพี่ชายน้องสาวเขาไม่ทำกัน แก้วถามผม...ถามว่าผมจีบเธอหรือเปล่าที่มาหาทุกวันแบบนี้ ผมไม่รู้ว่านั่นเป็นคำถามประชดที่ผมไปกล่าวว่าเพื่อนผู้ชายของเธอมาจีบเธอหรือเปล่าหรือว่าแท้จริงแก้วตั้งใจจะถามผมแบบนั้นกันแน่...ผมเลยตอบอกไปว่าเปล่าซะหน่อย...ผมไม่ได้จีบ ผมไม่รู้ว่านั่นเรียกว่าจีบหรือเปล่า ผมกลัวว่าถ้าพูดอะไรออกไปแล้วยัยตัวเล็กในอ้อมแขนจะเปลี่ยนไป...สมมติว่าผมตอบว่าใช่...แก้วจะยังนับถือผมอยู่อีกหรือเปล่า?

 

 

 

 

ชายนิรนาม...กล่าวว่า

 

“ขอโทษนะครับ...คุณชื่ออะไร?”

 

 

 

 

            ผมตัดสินใจถามเธอออกไป...และรออยู่นานอีกฝ่ายก็ไม่ยอมตอบกลับมาเสียที ผมได้แต่รอเวลา...ด้วยความตื่นเต้นในหัวใจแปลกๆ เมื่อมองออกไปยังท้องฟ้าสีมืดครึ้มข้างนอดกลับพบว่าฝนใกล้จะตกและคงไม่ใช่ตกธรรมดาเสียด้วย ความเป็นห่วงใครอีกคนที่อยู่คนเดียวแล่นปลาบขึ้นมาในความคิด...

 

 

            ผมรีบปิดหน้าจอก่อนจะรีบแต่งตัวแล้วคว้ามอเตอร์ไซค์คันเก่งออกไปทันที และจุดมุ่งหมายก็คือ...ไปหาแก้ว

 

 

 

 

            ผมย้อนกลับมาที่ร้านอีกครั้งพบว่าประตูร้านยังไม่ได้ล๊อคและเมื่อมองลอดผ่านบานกระจกกลับพบแต่ความว่างเปล่าและแสงไฟจากโคมไฟดวงเล็กกับหน้าจอโน้ตบุ๊คที่ถูกเปิดใช้งานอยู่ ไม่เห็นคนที่ผมอยากเจอเลยสักนิด...เด็กดื้อของผมหายไปไหนอีกก็ไม่รู้ ด้วยความเป็นห่วงผมเลนตัดสินใจผลักประตูร้านเข้าไป กวาดสายตามองไปรอบๆเพื่อมองหาคนที่อยากเจอมากที่สุด ก่อนที่สายตาจะไปหยุดอยู่ตรงข้อความบนหน้าจอของแก้ว ฉับพลัน...หัวใจของผมกลับเต้นแรงขึ้นมาดื้อๆ ทุกตัวอักษรที่เรียงร้อย...ทั้งภาพ Display  คุ้นตา...ที่เป็นรูปสร้อยข้อมือที่ทำจากทองคำขาวล้อมกรอบด้วยคริสตัลรูปหัวใจดวงเล็กๆเรียงรายถูกสวมอยู่บนข้อมือเรียวสวยของใครบางคน...

 

 

 

         และบนหน้าจอนั่นถูกลงชื่อเข้าใช้ในเว็บนิยายเว็บหนึ่งด้วยชื่อ หัวใจเจ้าเอย กล่องข้อความยังคงถูกเปิดค้างพร้อมกับข้อความที่ยังไม่ได้ถูกส่งเด่นหราชัดเจนนั่น เป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องตลกและมันคงถูกเรียกว่าเรื่องบังเอิญจริงๆ

 

 

 

หัวใจเจ้าเอย...กล่าวว่า

 

“แก้วค่ะ...ฉันชื่อแก้ว”

 

 

 

 

“พี่โทโมะ!” คนที่ผมอยากเจอเดินออกมาจากห้องครัวข้างหลังพร้อมกลับกรูเข้ามาปิดพับหน้าจอโน้ตบุ๊คของตัวเองเพราะกลัวผมจะเห็น ใบหน้าสวยหวานบูดบึ้งพลางยกโน้ตบุ๊คของตัวเองกอดแนบอกไว้แน่น

 

 

“แก้วคุยกับใคร?”

 

 

“ไม่บอกค่ะ ทำไมพี่ถึงทำตัวเสียมารยาทแบบนี้ แอบอ่านข้อความคนอื่นหรือไงค่ะ!”

 

 

“คุยกับใคร?”  ผมถามด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นเมื่อคนตัวเล็กยังคงตั้งแง่ใส่

 

 

“คุยกับนักเขียนนิยายค่ะ เราปรึกษากันเรื่องของหัวใจ! เขาให้คำปรึกษาแก้วได้ไม่เหมือนคนบางคน...ถึงแม้ว่าเราจะไม่เคยเจอกันบนโลกแห่งความเป็นจริง ถึงเขาจะเป็นแค่ชายนิรนามแต่เขาก็ให้ความอบอุ่นกับแก้วได้เสมอ..”

 

 

“...”

 

 

 

“บอกหมดเปลือกเลยค่ะ มีอะไรอยากจะถามอีกมั้ยคะ...?”

 

 

“สร้อยเส้นนี้เป็นของแก้ว?”  ผมล้วงสร้อยข้อมือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาพลางชูให้คนตัวเล็กดู เจ้าตัวยิ้มร่าพลางรีบตะครุบสร้อยเอาไว้หากแต่ผมดึงกลับมาได้ทันเสียก่อน

 

 

 

“สร้อยข้อมือของแก้ว ป๊าซื้อให้ก่อนที่จะไปทำงานที่อเมริกา แก้วหาตั้งนานขอคืนเถอะนะคะ...นะคะ”

 

 

“พี่ให้แก้วคืนแน่ แต่ต้องบอกพี่มาก่อนว่าสร้อยเส้นนี้...คือเส้นเดียวกับที่อยู่บนหน้าจอเมื่อกี้นี้ใช่หรือเปล่า”

 

 

“พี่โทโมะ! จะรู้ไปทำไมค่ะ เอาสร้อยแก้วคืนมา”

 

 

“บอกพี่มา!”

 

 

“ค่ะ! มันเป็นรูป display ของแก้วเอง พอใจหรือยังค่ะ”

 

 

 

“พอใจแล้ว...”

 

 

 

 

            ผมตอบคนตัวเล็กเสียงแผ่วลงก่อนจะคว้าร่างนั้นมากอดเต็มแรง ถึงแม้เจ้าตัวจะดีดดิ้น...ไม่ยอม...และต่อต้านผมแค่ไหนก็ตาม  มันอาจจะดูเกินจริงไปสักหน่อยหากผมนำเรื่องนี้ไปบอกกับใครหลายๆคน...เขาคงหาว่าผมบ้าแล้วก็โอเว่อร์เกินไป แต่ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเด็กผู้หญิงอ่อนแอในโลกออนไลน์คนนั้น...คนที่ผมคอยปลอบใจมานาน...คนที่คุยกันบ่อยจนเรียกว่าสนิทกันแล้วยังได้...เธอคนนั้นอยู่ใกล้ตัวผมแค่เพียงก้าวเดียว...ก้าวเดียวจริงๆ

 

 

“เหรอครับ...ผมชื่อโทโมะนะ ยินดีที่ได้พบกันสักทีนะสาวน้อยขี้แย”  ผมลูบไล้ปลายผมนุ่มหอมของคนในอ้อมกอดเบาๆ ก่อนที่แก้วจะปละตัวออกจากผม

 

 

“พี่โทโมะพูดว่าอะไรนะ ทำไม...”

 

 

 

“ถ้าใจเราเต้นแรงให้ใครสักคน แล้วเราจะมัวสงสัยในตัวเองอยู่ทำไมกันล่ะครับสาวน้อย...”

 

 

 

“...เห”

 

 

“จำพี่ได้มั้ย...ชายนิรนามคนนั้น”

 

 

 

“...”

 

 

 

“วันนี้เราเจอกันแล้วนะ...ถ้าอยากจะปรึกษาปัญหาหัวใจก็ให้มาถามพี่ ไม่ต้องไปถามนักเขียนคนนั้นแล้ว พี่ยืนอยู่ตรงนี้...เพราะพี่ก็มีเรื่องอยากปรึกษาแก้วเหมือนกัน”

 

 

 

“พี่โทโมะ...”  ผมมองสบนัยน์ตากลมใสที่จ้องมองผมไม่วางตา ริมฝีปากบางเม้มแน่นเป็นเส้นตรงอย่างรู้สึกสับสน ก่อนที่แก้วจะโผเข้ากอดผมเต็มแรง

 

 

“บอกแก้วหน่อยว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หรือว่าแก้วฝันไปว่าพี่คือเขาคนนั้น...”

 

 

“มันเป็นโชคชะตาต่างหากสาวน้อย”  ผมหัวเราะเบาๆก่อนจะเชยคางของสาวน้อยในอ้อมแขนขึ้น เจ้าตัวยิ้มตาหยีที่ผมมองกี่ทีก็น่ารักที่สุด...

 

 

 

 

 

 

 

 

 

“นี่ถ้าผู้หญิงในโลกออนไลน์คนนั้นไม่ใช่แก้ว...แปลว่าพี่ก็แอบคุยกับคนอื่นอยู่ใช่มั้ยยย เหอะ!”  ดูเอาเถอะ! พอเรื่องของเราเข้าที่เข้าทางแล้ว เจ้าตัวก็หันมาโวยวายใส่ผมยกใหญ่ ผมทำผิดอะไรกันล่ะเนี่ยแก้วถึงได้มางอนใส่เอาแบบนี้ จะว่าไปเราสองคนก็ไม่ได้ต่างกันเลยนะ

 

 

 

“เราก็เหมือนกัน ถ้าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่พี่ก็แปลว่าแก้วคุยกับคนอื่นใช่มั้ย หืม...เด็กดื้อ?”  ผมเอื้อมมือไปหยิกแก้มนิ่มอย่างหมั่นไส้ วันนี้แก้วเอาแต่ใจแล้วก็ซนกับผมทั้งวัน ผมทั้งพาไปส่งมหาลัย ไปทานข้าว ไปดูหนัง ทำให้ทุกอย่างแบบนี้ยังจะมาว่ากันอีก

 

 

“ก็แค่ปรึกษาป่ะ?”

 

 

“ก็แค่ให้คำปรึกษาป่ะ?” คนตัวเล็กย่นจมูกใส่ผมเมื่อเห็นว่าผมยอกย้อนเธอกลับ ก่อนที่จะไม่ได้ตั้งตัว...ยัยตัวแสบก็เลื่อนใบหน้าน่ารักๆเข้ามาใกล้ๆ...และ...กัดแก้มผมเต็มแรงจนผมร้องโอ้ยด้วยความเจ็บ!

 

 

 

เจ็บจริงๆครับ!

 

 

 

 

“พี่เจ็บนะ พูดอะไรผิดกันเล่า...เด็กชะมัด”

 

 

“คิดจะเป็นเบ๊น้องก็ต้องอดทน ห้ามเถียง ห้ามว่า เข้าใจมั้ยค่ะ?”

 

 

 

            ผมเผยยิ้มออกมานิดๆ ก่อนจะคว้าร่างบางเลื่อนขึ้นมานั่งตักอีกครั้ง...ถึงตอนนี้จะเป็นแค่เบ๊ แต่รับรองเลยว่าเบ๊คนนี้ดูแลแก้วได้ดีกว่าคนที่เป็นแฟนเขาทำกันเสียอีก

 

 

 

            ใช่แล้ว...ผมไม่ได้ขอยัยตัวแสบนี่เป็นแฟนถึงแม้ว่าลึกๆในใจแล้วเราสองคนจะรู้กันดีว่าความรู้สึกที่มีให้กันมันเป็นยังไง และผมก็รู้ดีว่าผู้ชายคนที่แก้วหมายถึงตอนมาปรึกษาปัญหากับผมในตอนที่ผมยังเป็นนักเขียนลึกลับคนนั้น...แก้วหมายถึงผม สาวน้อยหัวใจเต้นแรงให้กับผมแค่ไหน... ผมต้องการให้แก้วเรียนให้จบก่อน...ไม่อยากให้แก้วเสียเวลากับเรื่องอื่นไปมากกว่าการเรียน และผมก็จะคอยเป็นเบ๊ดูแลแก้วทุกอย่างถึงแม้ว่าสถานะของผมตอนนี้เป็นแค่ ‘คนรอ’ ก็ตาม...

 

 

 

“ขอโทษนะครับ เมื่อไหร่จะเรียนจบสักที :)”

 

 

 

 

 

 

THE END

 


 

จบแล้ววะฮุ้วววว!!! เรื่องนี้น่ารักใสๆไม่มีอะไรเลย ?

 

พี่โทโมะ : ถ้าพี่เอาใจใส่แก้วเหมือนการทำเค้ก...แก้วจะหวานแค่ไหนกันเชียว?

 

แก้ว : แก้วหวานกว่าเค้กคำนั้นของพี่อีกเถอะ :)

 

ข่อย : อะไรยังไงงงไปหมด555555555 ฮิ้วว

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายฟิคชั่นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา