Love the most รักที่สุดนายเคียวย์

7.7

เขียนโดย สาวแว่น

วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 13.27 น.

  10 ตอน
  6 วิจารณ์
  11.47K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2558 15.17 น. โดย เจ้าของเรื่องสั้น

แชร์เรื่องสั้น Share Share Share

 

5) ไปเรียนต่อ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

#5 ไปเรียนต่อ

     ฉันบอกเรื่องที่ฉันได้เรียนต่อให้กับพ่อแม่ฟัง พ่อแม่ก็ดีใจสุดขีดจนไปเปล่าประกาศกันทั่วตลาดเลยที่เดียว  แต่ฉันไม่ค่อยดีใจสักเท่าไหร่ เพราะถ้าฉันไปฉันอาจจะไม่เห็นใบหน้าของคนที่ชอบไปตลอดไปญี่ปุ่นแน่ๆ ฉันไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับเคียวย์  

                วันนี้ฉันมาโรงเรียนตามปกติ ฉันก็ไปนั่งที่ประจำที่ฉันชอบนั่งกับเพื่อนๆในกลุ่ม ฉันบอกเรื่องเรียนต่อให้กับเพื่อนๆทุกคนในกลุ่ม เพื่อนของฉันก็ดีใจมากๆที่ฉันได้เรียนต่อ

“ดีจัง ฝากซื้อคิซารุด้วยนะ 555” เสียงเพื่อนสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามของฉันพูดด้วยเสียงที่ติดตลก สงสัยกันไหมคะว่าคิซารุที่เพื่อนฉันพูดถึงมันคืออะไร? มันก็คือตัวละครในเรื่องวันพีชนั้นเอง  เพื่อนคนนี้เธอเป็นผู้ชายที่ใจเป็น ร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นเพื่อนที่ชอบคุยเรื่องการ์ตูนกันชื่อว่า ป้อม 

“แล้วจะไปเมื่อไหร่” เพื่อนอีกคนถาม เธอถามด้วยความสงสัยแบบสุดๆ เธอคนนี้เป็นผู้หญิงชื่อ ฝัน เธอเป็นผู้หญิงที่เรียนเก่งมากๆ แต่ชอบบอกว่าตัวเองไม่เก่ง ทุกครั้งที่อาจารย์บอกคะแนนเธอคนนี้จะได้คะแนนเยอะที่สุดในกลุ่มเสมอ

“เดือนหน้า” ฉันพูดด้วยที่เอื่อยๆ

“ดูแกไม่ค่อยดีใจเลยนะน้ำขิง” เสียงป้อมพูดขึ้นเอามือจับไหล่ของฉันขางหนึ่ง ไอที่ฉันไม่ค่อยมีอารมณ์ดีใจก็เพราะว่าถ้าฉันไปญี่ปุ่นฉันก็จะไม่ได้เจอหน้าเคียวย์อีกแล้วนะสิ ฉันคิดในใจว่าจะบอกไปดีไหม แต่ว่าฝันพูดเหมือนรู้ใจของฉัน

“เรื่องของไอเคียวย์ใช่ไหม” ฉันพยักหน้าเป็นเชิงตอบ

“เรายังไม่บอกเลย” ฉันพูด

“ทำไมอ่ะ”ฝันพูดด้วยเสียงดังด้วยความตกใจ

“นี่ๆๆ ขนานเธอยังเคยไปสารภาพรักมาแล้ว จะกลัวอะไรกับเรื่องแค่นี้” ป้อมพูดเสียงแข็งพลางตีไหล่ฉันเบาๆเหมือนจะให้กำลังฉัน ฉันก้มหน้าอยู่หน่อยหนึ่งก่อนจะตอบ

“อืม ขอบคุณนะ”

“You’re welcome” ป้อมพูดสำเนียงอังกฤษที่แสนจะสตอรเบอรี่มากของมากที่สุด ฉันเห็นลิ้นแล้วอยากตัดทิ้งชิบจะสตอไปไหนคะคุณป้อม

 

                ในที่สุดฉันก็มีแรงฮึดสู้เพื่อไปบอกเคียวย์จนได้ วันนี้เป็นวันเสาร์ ในตอนเย็นทุกวันนี้เคียวย์จะออกจากบ้านมาเล่นบาสที่สวนสาธารณะแถวบ้าน ฉันเลยมาดักรอแอบอยู่หลังต้นไม้ จนเด็กๆที่เดินผ่านไปผ่านมามองฉันกันหมด จะไม่ให้มองได้ยังไงก็ฉันทำท่าทีลับๆล่อๆอยู่หลังต้นไม้ใหญ่อย่างนี้ ตั้งนาน ฉันมองไปที่สนามบาสเพื่อหาร่างสูงของเขา

                จนในที่สุด เวลา 16:43 นาที เคียวย์ก็มาถึง ฉันเป็นคนที่ชอบนับนาที่ไปด้วยนะเพราะพอดีชอบดูโคนัน เลยถ้ามีการเคลื่อนไหวอะไรก็จะนับนาทีด้วย ที่ฉันนับได้ก็เพราะว่าฉันดูนาฬิกาในโทรศัพท์นั้นเอง

         เคียวย์ เดินถือลูกบาสมาพร้อมวางกระเป๋าของเขาที่โต๊ะและก็ถิดเสื้อ ย้ำ!ถอดเสื้อเชิ้ตสีดำออก เผยให้เห็นเสื้อกล้ามสีขาวที่ดูเหมือจะซักด้วยโอโม่เพราะว่ามันสว่างมากๆๆ และเขาก็เริ่มเล่นบาสจนฉันได้สติว่าจะต้องบอกเรื่องนั้น ฉันจึงเดินไปแบบหน้าให้เป็นธรรมชาติที่สุดแต่ตอนนี้ในใจฉันในมันเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ  ฉันเดินไปทำให้เคียวย์ที่เล่นอยู่ รู้ตัวเลยหันมามองฉันก้มหน้าทันที เพราะฉันไม่อยากเห็นใบหน้าของเขา >////< หัวใจของฉันเต้นแรงไปหมด ร่างกายร้อบวูบวาบไปหมดถ้าขืนฉันมองหน้าเขาละก็ฉันจะต้องละลายแน่ๆ ฉันได้ยินฝีเท้าของเคียวย์กำลังเดินมาหา ฉันเลยค่อยๆเงยหน้าขึ้นไปมองหน้าของเคียวย์ เขาเช็ดใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงือของตัวเองและก็เปลี่ยนจากเดินมาเป็นวิ่งจ๊อกๆ มาหาฉัน เขาก็เดินมาหาฉัน และหยุดที่ที่หน้าของฉัน

“น้ำขิงมีอะไร” เสียงที่ดูติดจะหอบนิดๆ ของเคียวย์พูด

“อืม...คือ..” ฉันมัวแต่อั้มๆอึงๆ จนคนที่สนทนาด้วยรู้สึกรำคาญ

“-__- ”

“ฉันจะบอกนายว่า....ฉัน..”

“ฉันได้ไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น” เคียวย์ทำตาโตเหมือนตกใจนิดหน่อยและก็ค่อยๆมองมาที่หน้าของฉัน

“โชคดีนะ” เคียวย์พูดด้วยรอยยิ้ม แต่ฉันคิดว่ารอยยิ้มนั้นมันไม่เหมือนรอยยิ้มที่มีความดีใจเลย

“จะไปตอนไหน” เคียวย์ถามต่อพลางถึงลูกบาสไปรอบๆไปด้วยพร้อมที่จะฟังคำตอบจากฉัน

“เดือนหน้า” พอฉันรู้ว่าตัวเองได้พูดอย่างนั้นออกไปก็ทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจที่ได้บอกเรื่องนี้กับเขาไป ฉันคิดว่าฉันคงจะต้องไปแล้วฉันจึงเดินหันหลังกับแต่ว่า

“เล่นด้วยกันก่อนไหม” จู่ๆเคียวย์ก็พูดออกมาพร้อมโยนลูกบาสมาให้ฉัน ฉันรับได้พอดี อะไรนะนี้เคียวย์ชวนฉันเล่นบาสหรอ นั้นก็ทำให้หัวใจของฉันพองโตอีกครั้งฉันรีบวิ่งไปหาแล้วเราสองคนก็เล่นบาสกันจนเวลาล่วงเลยไปถึงเวลา 17:18 นาที ฉันคิดว่าฉันน่าจะกลับใกล้แล้ว

“ฉันขอกลับบ้านก่อนนะ” ฉันพูดกับเคียวย์ ที่ซูตบาสลงหวงพอดี

“เดี๋ยวฉันไปส่ง ไปคนเดียวมันอันตราย”_/////_ เคียวย์หยิบลูกบาสมาและก็ไปที่กระเป๋าของตัวเอง พร้อมกับเอาเสื้อเชิ้ตสีดำมาใส่แล้วก็เอาลูกบาสใส่ในกระเป๋า และสะพายและก็เดินมาหาฉัน และก็เดินนำฉันไปที่จักรยานของเขา

            ตามทางมีแสงไฟจากไฟข้างทางและมีแสงเสียงของรถวิ่งไปวิ่งมา ทำให้มีเสียงตลอดเวลา ระหว่างทางกลับบ้านความเงียบระหว่างเรา ฉันทนไม่ไหวเลยเริ่มเปิดประเด็นมาคุย

“นายจะเรียนต่ออะไร?” เคียวย์ หันหน้ามานิดหน่อยก่อนจะหันกลับไปมองทางเหมือนเดิม

“สถาปัต” เคียวย์พูดด้วยเสียงที่เรียบ

“อ่อ เจ๋งจัง เป็นสถาปนิกหรอ!!!” ฉันอุทานเสียงดังด้วยความลืมตัว

“เบาๆหน่อยสิ น้ำขิง กลัวคนอื่นเขาไม่รู้หรือไง” เคียวย์ทำหน้าเซ็งๆนิดหน่อยและก็ปั่นจักรยานต่อไป จนมาถึงบ้านของฉัน ฉันลงจากรถจักรยานแล้วก็ก้มตัวลง ขอบคุณเคียวย์เป็นภาษาญี่ปุ่น

“อาริงะโตะโกะไซมัส”

“หึ...”

  ฉันหันไปมองที่รั้วบ้านของตัวเอง ฉันเรียกให้ทีมาเปิดประตู รอสักพักทีก็เดินมาเป็นประตูพลางกวาดสายตามองฉันกับเคียวย์ที่กำลังค้อมจักรยานอยู่ และก็ยิ้มที่มุมปาก

“แหมๆ...ไปไหนกันมาครับ” ทีหลี่ตาไปมองที่เคียวย์ เคียวย์ไม่ตอบอะไร แต่แค่น้องแซวฉัน หน้าฉันก็แดงเป็นลูกตำลึงแล้ว

ฉันก็เดินเข้าไปโดยไม่พูดอะไร ฉันเดินขึ้นไปนอน

                หลังจากวันนั้นเคียวย์ก็ไม่ค่อยคุยกับฉันเหมือนเมื่อก่อน  เหมือนจะพยายามหลบหน้าฉัน ทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้นฉันก็ไม่รู้ จนเวลาผ่านไป  1 เดือน

                วันนี้แล้วสินะที่ฉันจะต้องไปญี่ปุ่น ฉันเตรียมตัวตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วโดยการค้นเสื้อผ้าที่เป็นกันหนาวที่ แถบจะไม่ค่อยได้ในประเทศไทย มาส่งในกระเป๋าเดินทางสีชมพูแบ๊ว ใบใหญ่ กว่าจัเส็จก็ปาไปครึ่งวันวัน มันจะไม่นานได้ยังไงเพราะฉันเอาหนังสือการ์ตูนไปด้วยเพราะอาจจะเซ็งตอนอยู่ที่เครื่องบิน

                ฉันเดินลงมาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางสีชมพูแบ๊ว ฉันเดินมาที่ห้องรับแขกฉันเห็นกำลังหวีผมตัวเอง ส่วนพ่อของฉันก็นั่งดูทีวีอยู่ก็หันมามองฉัน เพราะว่ากระเป๋าที่ฉันเอามามันเป็นสีชมพูแบ๊วมากๆ ฉันมองไปรอบๆก็ไม่เห็นที่น้องสุดเลิฟของฉันเลย

“แม่ที่ไปไหนคะ” ฉันถามแม่พลางเดินไปที่นั่งที่เก้าอี้และมัดผมไปด้วย

“พอดีว่าน้องไปหาเพื่อน เดี๋ยวไปเจอกันที่สนามบินน่ะจ้ะ”

“เหรอคะ” ฉันใช้เวลามัดผม 30 นาที พอดีผมของฉันมันหนากว่าคนอื่น ฉันทาแป้งนิดหน่อย สายตาของฉันก็เหลือบไปมองนาฬิกาก็พบว่าตอนนี้มัน 4 โมงแล้ว ไฟล์เครื่องบินของฉันมันบิน 2 ทุ่มครึ่ง ฉันเลยหันหน้าไปหาแม่ที่กำลังกินข้าวอยู่

“แม่ไปหรือยังคะ”

“อ่อ..ได้เวลาแล้ว” แม่ลุกขึ้นเอามือไปตีขาพ่อให้รู้ตัว แม่ก็หยิบจานไปเก็บที่อ่างล้างจาน พ่อก็ลุกขึ้นไปที่รถ ฉันลุกขึ้นลุกพร้อมลากกระเป๋าไปขึ้นรถและก็มุ่งหน้าสู่สุวรรณภูมิ

 

Kyoy Talk

                ภายในห้องนอนของชายชื่อเคียวย์ ตอนนี้กำลังอ่านหนังสืออย่างใจจดใจจ่ออยู่โดยไม่สนใจโลกภายนอก หนังสือที่อ่านนั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับสถาปัต เกี่ยวกับสถาปนิก หลังจากวันที่เขาได้บอกกับน้ำขิงว่าจะเรียนสถาปัต เขาก็เริ่มหมกตัวอยู่ในห้องเพราะว่าจะอ่านหนังสือจะได้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ 

                แต่แล้วโทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดังขึ้นทำให้เคียวย์จำใจรับโทรศัพท์โดยไม่มองว่าใครเป็นใครโทรมา

(พี่เคียวย์! พี่น้ำขิงตอนนี้กำลังไปที่สนามบินนะครับ) เสียงแปดหลอดจากปลายสายตะโกนออกมาจากโทรศัพท์ ทำให้ผมจะต้องเอาหัวออกห่างนิดหน่อย ผมฟังจากเสียงแล้วดูเหมือนจะเป็น ทีน้องน้ำขิงนะ

“หรอ ทำไม” ผมนี้ยังจะกวนน้องไปถึงไหนล่ะเนี่ย มันก็มีอยู่เหตุผลเดียวที่โทรมาก็น่าจะให้ผมไปส่งน้ำขิง

“ยังมีน่ามาถามอีก” ทีหยุดเว้นวรรคและพูดต่อ ไปส่งพี่น้ำขิงกันนะครับ”

“ก็ได้” ผมพูดแค่นั้นรีบวางสายไป เดินไปหยิบเสื้อในตู้เสื้อผ้ามาใส่ ก่อนที่จะรีบไปที่สนามบินทันที ผมให้แท็กซี่จอดที่แอร์พอตลิ่ง เพราะถ้ายังนั่งรถแท็กซี่ไปจนถึงสุวรรณภูมิ วันพรุ่งนี้ก็ไม่ถึง ผมรีบขึ้นไปที่แอร์พอตโดยเร็ว ในแอร์พอตตอนนี้บอกได้เลยว่าโคะตะระเบียด มีทั้งชาวต่างชาติ คนไทย พร้อมกับสัมภาระของแต่ละคน จนในที่สุดผมก็มาถึงสนามบิน ผมรีบโทรหาทีอีกครั้งว่าตอนนี้อยู่ที่ไหนกันแล้ว

“ทีตอนนี้อยู่ไหน”

“อยู่ที่.....” พอทีบอกตำแหน่งผมจึงรีบวิ่งไปที่จุดหมายทันที ทีบอกว่าน้ำขิงเอากระเป๋าเดินทางสีชมพูแบ๊วใบใหญ่มา ผมมองเข้าในสุวรรณภูมิก็พบว่าทำไมคนถึงเยอะอย่างนี้ ผมหลงอยู่ในฝูงคนอยู่สักพัก กว่าจะหาทางเดินออกมาได้ ผมเห็นกระเป๋าสีชมพูแบ๊วอยู่ตรงที่นั่งผมจึงรีบเดินไปหาเพราะว่าน่าจะมีเธอคนเดียวที่เอากระเป๋าสีนี้มาได้ ผมเห็นร่างบางของน้ำขิงกำลังเมาส์มอยส์กับพ่อแม่ของเธออยู่ ผมเลยตะโกนให้คนตรงหน้ารู้ตัว

“น้ำขิง!!” น้ำขิงหันมามองด้วยสีหน้าที่ตกใจเพราะเธอคงไม่คิดว่าผมจะมาสินะ

“เคียวย์!” เสียงน้ำขิงประสานกับเสียงของพ่อแม่ของเธอแต่ดูเหมือนว่าคนที่ตกใจมากที่สุดจะเป็นน้ำขิง

 

Numking Talk

                เคียวย์สวัสดีพ่อแม่ของฉัน  ฉันยังงอยู่ว่าเขามาอยู่ที่นี้ได้ยังไง ฉันมองเคียวย์ที่สวัสดีพ่อแม่ของฉัน หน้าของเขาดันหันมามองหน้าฉันและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน -///- ทำไมจะต้องยิ้มอย่างนั้นด้วย ‘ตึกตักตึกตัก’

พ่อดูนาฬิกาแล้วก็หันมามองหน้าฉัน

“ลูกไปได้แล้ว เดี๋ยวตกเครื่อง”

“ค้า” จากตอนแรกฉันท่าทางหดเหี่ยวแต่พอเคียวย์มองฉันกับร่าเริงแจ่มใสฉันจับกระเป๋าเดินทางพร้องเดินตรงไปที่เครื่อง พร้อม หันหลังไปบ๊ายบายพ่อแม่ที และ เคียวย์ ฉันสังเกตเห็นเคียวย์ยิ้มที่มุมปากด้วยมันหมายความอะไรกันนนนน

 

 

                    ________------__--------__-------_----________________________

 

ขอโทษนะคะที่มาลงช้าพอดีว่าการบ้านเยอะนะคะ ขอโทษจริงเด้อคะ >)0(<

 

คำยืนยันของเจ้าของเรื่องสั้น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา