เรื่องราวของข้า..ผู้อาภัพรัก
-
เขียนโดย baby_Carrot
วันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2565 เวลา 00.55 น.
2 ตอน
0 วิจารณ์
1,538 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 5 เมษายน พ.ศ. 2565 01.32 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) บทที่ 1-1 หญิงสาวผู้โดดเดี่ยว
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหน้าห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ด้วยอากาศที่หนาวเย็น เนื่องจากหิมะตกหนัก เสื้อโค้ทตัวหนาที่สวมใส่เย็นจัดราวกับแช่แข็ง
แต่ผู้คนนับร้อยล้วนไม่มีใครถอยหรือยอมแพ้ ต่างใจจดใจจ่อยืนมองบัตรคิวในมือของตนเอง ภาวนาให้ถึงคิวตัวเองโดยเร็ว
วันนี้เป็นวันเปิดตัวหนังสือนิยายเรื่องใหม่ของ ‘เสวี่ยเหมย’ นามปากกานักเขียนที่ ‘ไป๋ลู่เสียน’ ชื่นชอบ ทุกเรื่องที่จัดพิมพ์เป็นรูปเล่มจะเปิดขายบ็อกเซ็ตพิเศษ เพียงสองร้อยชุดต่อเรื่องเท่านั้น ซึ่งตัวเธอเองสะสมครบทุกคอลเลคชั่น เรียกได้ว่าเป็นแฟนคลับตัวยงเลยก็ว่าได้
ถึงแม้ว่าในยุคนี้เป็นยุคที่เทคโนโลยีเข้าถึง มีนิยายขายในรูปแบบอีบุ๊คก็ตามที แต่สำหรับเธอที่ชอบเก็บสะสมของที่สามารถจับต้องได้ จึงต้องยืนขาแข็งท่ามกลางหิมะเพื่อรอหนังสือจากนักเขียนคนโปรด
หลังจากได้ของที่ต้องการก็เกือบจะหกโมงเย็นแล้ว เธอไม่ได้รีบร้อนกลับบ้านมากนัก ยังมีเวลาให้เธอได้ซื้อของอร่อยกลับไปกินในมื้อเย็น
รถยนต์สีขาวขับเคลื่อนไปตามทางแถบชานเมือง มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านจัดสรร จนใกล้ถึงที่หมายปลายทางเป็นบ้านชั้นเดียวหลังเล็กสีขาว ตกแต่งสไตล์มินิมอล
เมื่อเสียงเครื่องยนต์ดับลง หญิงสาวรูปร่างเล็กก้าวขาออกมาจากรถ ผิวขาวใสตัดกับเสื้อแขนยาวสีครีม ใบหน้าเรียวเล็ก ดวงตากลมโต
แม้ไม่ได้สวยจนตื่นตะลึงแต่ก็ค่อนข้างดูดี ถือของกินมากมายลงมาจากตัวรถ กล่าวฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีเดินหายเข้าไปในตัวบ้าน
หลังจากทานมื้อเย็นแสนอร่อยผ่านพ้นไป เธอก็เริ่มเปิดอ่านหนังสือทันที แม้ว่าเธอจะเคยได้อ่านรีวิวผ่านตาในกลุ่มแฟนคลับของนักเขียนบ้างแล้ว
‘ซ่อนเงาจันทรา บุบฝาเร้นกาย’
เป็นนิยายโรแมนติกแฟนตาซี ผสมผสานความดราม่าเคล้าน้ำตา เรื่องราวเกี่ยวกับการฝึกตนของเซียน พลังปราณ กำลังภายใน และมหาเทพบนสวรรค์ชั้นเก้าฟ้า
พระเอกเทพไป๋หู่หรือเทพสงคราม ผู้มีหัวใจเย็นชาดุจศิลาหิน ต้องการยุติสงครามเผ่าสวรรค์และเผ่ามารที่ยืดเยื้อยาวนานมานับร้อยปี
โดยสาเหตุของสงครามครั้งนี้เกิดจากศิลาสามภพ หรือ‘ศิลาวิญญาณ’ของวิเศษตามตำราเซียน
ซึ่งมีคำกล่าวขานเกี่ยวกับศิลานี้ไว้ว่า ‘ได้ครอบครอบศิลา ทั่วใต้หล้าตรึงไว้ใต้ฝ่าเท้า’
แค่ฟังคำเปรียบเปรยก็พอจะรู้ได้ว่าศิลาสามภพ มีพลังอำนาจมหาศาลขนาดไหนหากผู้ใดได้ครอบครอง
จึงมีกฎเกณฑ์บัญญัติในทุกเผ่าพันธ์ ห้ามภพใดภพหนึ่ง หรือผู้ใดผู้หนึ่งครอบครองอำนาจของศิลา เพื่อความสงบสุขของสามภพ
แต่แล้วศิลานั้นได้หายไป พร้อมกับสหายสนิทที่พระเอกไว้ใจมากที่สุด หนึ่งในสี่เทพบรรพกาลเทพเฟิ่งหง
เมื่อต้องการฟื้นฟูจิตเทพที่บาดเจ็บจากการรบในสงคราม ออกตามหาศิลากลับคืนสู่ที่เก็บรักษา จึงนำจิตจุติในดินแดนมนุษย์ กลายเป็นศิษย์พี่ใหญ่ผู้หยิ่งทะนงแห่งหุบเขาฉิงเทียน ‘หลินเทียนหรง’
ได้พบรักกับศิษย์น้องผู้เป็นดั่งดอกบัวขาว ‘เจียงไป๋เหลียน’ หนึ่งในสี่ดุรณีผู้สูงส่งเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัตินางเอก
หน้าตางดงาม กิริยานุ่มนวลอ่อนหวาน นิสัยอ่อนโยนดุจสายน้ำชโลมจิตใจที่ด้านชาของพระเอก ให้ตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก
ถึงขนาดฟื้นฟูจิตบำเพ็ญเพียรสำเร็จมรรคา พลังอำนาจกลับคืน รับรู้ว่าแท้จริงแล้วตนเองเป็นถึงเทพบรรพกาลเผ่าสวรรค์
ก็พานางเอกขึ้นไปเสวยสุขในแดนสวรรค์ชั้นเก้าฟ้า ที่ตำหนักวังประจิมหวานชื่นกันไม่เกรงกลัวผู้ใด ตัดชะตาดอกท้อของผู้อื่นจนขาดสะบั้น
ในกลุ่มแฟนคลับของเสวี่ยเหมยคร่ำครวญแทบขาดใจ เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงตอนใกล้จบ ว่าคู่พระนางของนิยายเรื่องนี้คือใคร
นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่คนนิยมอ่านนิยายของเสวี่ยเหมย เพราะผู้อ่านจะต้องลุ้นจนถึงบทสรุปสุดท้ายของนิยาย ทำให้เรือพายเรือผีหลายลำนั้นพังครืนในพริบตา
ไม่ว่าจะเป็น ‘ซูฟางเซียน’ ธิดาองค์ที่สี่ของเง็กเซียนฮ่องเต้ โฉมงามล่มสวรรค์ สติปัญญาเฉียบแหลม
เหล่าทวยเทพบนสรวงสรรค์ต่างอยากได้นางมาครองคู่ แต่ติดที่นางที่มีพันธสัญญาหมั้นหมายกับพระเอก ก่อนที่พระเอกจะได้เจอนางเอกเสียด้วยซ้ำไป
เทพประจำนรกภูมิ ‘เชี่ยปี่อ้าน’ ผู้เย็นชา ตกหลุมรักนางเอกผู้แสนอ่อนโยนในคราแรกที่พบเจอ
ตอนที่ตามหาน้องชายในสำนักฝึกตนเขาฉิงเทียน ปกป้องนางเอกจากการทำร้ายทุกรูปแบบ จนบางครั้งหลงลืมพี่ชายที่ตามหาเลยทีเดียว
พญามาร ‘เซียวจ้านเจ๋อ’ ที่ยอมทรยศเผ่ามารเพื่อผูกสัมพันธ์กับนางเอก แม้รู้ว่านางเอกกลายเป็นเทพในแดนสวรรค์ชั้นเก้าฟ้า ยังอาจหาญขอสมรสพระราชทานจากเง็กเซียนฮ่องเต้
เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ทั้งสองเผ่า ดับไฟสงครามที่กำลังโหมกระพือ ยอมตกเป็นรองอยู่ใต้อำนาจของเผ่าสวรรค์ ถวายสัจจงรักภักดีต่อองค์เง็กเซียนฮ่องเต้
สหายสนิทของพระเอก ‘เทพเฟิ่งหง’ ยอมเสียสละตัวตนและจิตวิญญาณ จุติเคียงข้างพระเอกในฐานะ ‘อวิ๋นเย่วซื่อ’
ได้กราบไหว้ฟ้าดินก็มิอาจเคียงคู่ ซ้ำยังจิตใจแตกสลายเพราะเอกถึงสามครั้งด้วยกัน นับเป็นตัวละครที่ทุ่มเทและน่าสงสารที่สุดแล้ว
บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักเขาฉิงเทียน ยังไม่รวมบรรดาศิษย์นอกสำนัก ตัวประกอบอันดับหนึ่ง อันดับสองล้วนหลงใหลในตัวพระเอกนางเอก เทิดทูนบูชาอย่างหมดใจ
เรียกได้ว่าถ้าพระเอกนั้นเป็นตัวละครที่มีบุคลิกเจ้าชู้คงจะมีสาวน้อมรับเข้าฮาเร็มร่วมร้อยคน
เป็นเรื่องปกติที่ในนิยายรักต้องสร้างอุปสรรคให้พระนาง เพื่อปูบททำให้ความสำพันธ์ของทั้งคู่แน่นแฟ้น ฉากโรแมนติกกับตัวละครหลักอื่นที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิด ทำให้เกิดเรือพายเรือผีถึงกับมีกระทู้ตั้งแฟนฟิคย้อมใจตนเอง
สิ่งที่เธอชอบมากในเรื่องนี้คือฉากต่อสู้ ผสานปราณ เหินกระบี่ ระเบิดพลัง ที่บรรยายไว้อย่างอลังการงานสร้าง ปกติเสวี่ยเหมยจะแต่งแนววังหลังแต่รอบนี้เกี่ยวกับยุทธภพ นับว่าตกผู้อ่านรักฉากต่อสู้เพิ่มขึ้นไม่น้อย
ไหนจะบุคลิกตัวละครในเรื่องที่ได้บรรยายไว้ กล่าวได้ว่าสวยหล่อล้ำ สำหรับคนช่างจินตนาการแบบเธอ มันช่างดีต่อหัวใจดวงน้อยนี้เสียจริง
หนังสือหน้าสุดท้ายของเล่มที่สามปิดลง ท้องฟ้าสว่างนานแล้ว สังเกตุได้จากแสงสว่างที่ลอดผ่านผ้าม่านโปร่งบาง ลมหนาวที่พัดเข้ามาบางเบาทำให้อากาศในห้องนอนเย็นสบาย
ตั้งแต่มื้ออาหารค่ำจวบจนตอนนี้ เธอยังไม่ได้หลับตานอนหลับเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนจะพลาดมื้อเช้าแสนสำคัญไปแล้วด้วยสิ
สองแขนบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นจากผ้านวมหนานุ่ม เตียงอุ่นนิ่มเหมาะกับอากาศหนาว จนอยากซุกอยู่ในนี้ตลอดไป แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้นแหละนะ
เธอก้าวขายืนข้างเตียง สติวูบไหวทำให้สองขาเดินซวนเซอย่างน่าประหลาด ก่อนจะล้มลงฟาดกับพื้นกระเบื้อง ความเจ็บปวดแล่นเข้าสู่ศีรษะอย่างรุนแรง
ไป๋ลู่เสียนกลอกตาไปมาใบหน้ายังคงนิ่งอยู่ที่เดิม ทำไมร่างกายเธอนั้นไม่สามารถขยับได้
‘ขยับสิ ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้’
เธอพยายามออกคำสั่งกับตัวเอง แต่เหมือนจะไม่เป็นผลแม้แต่ปากเธอยังไม่ขยับตามความคิดของเธอ มีเพียงน้ำตาที่ไหลลงมาเพราะความหวาดกลัว ใช่เธอกลัว!
มีใครบ้างไม่กลัวความตาย เมื่อวาระสุดท้ายมันกำลังจะเกิดขึ้นจริงๆ
เธอเป็นเด็กกำพร้าตัวคนเดียวก็จริง ไม่มีครอบครัวให้ห่วงหา แต่เธอยังอยากใช้ชีวิต ได้แต่งงาน มีบุตร สร้างครอบครัวของตัวเอง อ่านหนังสือที่ชอบ กินของอร่อยๆ ทุกวัน
ไม่ควรจะมานอนตายเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ ลื่นหัวกระแทกพื้นแบบนี้!
ตุบ! พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บๆ
หนังสือเล่มหนึ่งตกอยู่ตรงหน้าพอดีกับสายตาเธอ เป็นโฟโต้บุ๊ครวมฉากพิเศษที่ไม่มีในหนังสือนิยาย เป็นส่วนเสริมสำหรับเซตพิเศษให้แฟนนิยายอ่านเพิ่มเติม เธอยังไม่ได้เปิดอ่านมันด้วยซ้ำ
เธอได้แต่นอนมองหน้ากระดาษพลิกไปมา ลมหยุดพัดอยู่ที่ฉากต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย ฝั่งหนึ่งเป็นชายชุดดำรูปร่างกำยำมีชายชรายืนอยู่ด้านข้าง
ฝ่ายตรงข้ามเป็นคนรูปร่างผอมบางไม่บ่งบอกเพศชุดสีแดงพลิ้วไหว สวมหน้ากากพยัคฆ์เต็มใบหน้า กึ่งกลางหน้าผากประดับด้วยอัญมณีสีทองรูปพระจันทร์เสี้ยว
ดวงตาทั้งสองข้างได้แต่เหม่อมองหน้าต่างที่เปิดค้างไว้ เพราะร่างกายนั้นไร้ความรู้สึกไปแล้ว เธอยังคงนอนอยู่แบบนั้นฟังเสียงโทรศัพท์ที่เข้ามาหลายสายตั้งแต่ช่วงบ่าย
ของเสียจากร่างกายถูกขับถ่ายออกมาเปรอะเปื้อนตามพื้นที่นอนอยู่ จวบจนสิ้นแสงสุดท้ายของดวงตะวัน ความมืดมิดยามราตรีเข้ามาแทนที่
ผ่านมาแล้วสามวันลำคอเธอแห้งผากเนื่องจากขนาดน้ำ ริมฝีปากซีดเซียวคล้ายคนตาย ดวงตาไร้แววหม่นแสง
เธอหัวเราะเยาะให้กับตัวเองในใจ เด็กกำพร้าจะมีใครมาเยี่ยมเยียนกัน เธออยู่บ้านหลังนี้มาสามปีเพื่อนข้างบ้านก็ยังไม่เคยพูดคุยกันเลยซักครั้ง
เป็นพนักงานออฟฟิศตำแหน่งก็ไม่ได้สำคัญ ขาดงานไม่แจ้งแค่สามวันก็มีสิทธิ์ไล่เธอออกได้แล้ว ให้เหตุผลแค่มีคนที่พร้อมทำงานมากกว่าเธอ บริษัทที่ไหนก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น
ยิ่งร่างกายแบบนี้ต่อให้รักษาชีวิตเธอได้ก็ไม่ต่างจากคนตาย แม้แต่พูดก็ยังทำไม่ได้
‘ยอมแพ้ได้แล้ว พอซักที’
เธอเหนื่อยมากแล้ว ร้องไห้มาสามวันจนน้ำตาไม่มีให้ไหลแล้ว มีแต่ตาบวมช้ำให้เห็น
ถึงเธอจะคิดแบบนั้นแต่จิตใต้สำนึกลึกๆ กลับยอมแพ้ไม่ได้ นี่ก็เป็นหนึ่งในนิสัยเสียของเธอ ชอบเอาชนะ ไม่ยอมแพ้ ดื้อรั้น แถมปากยังไม่ตรงกับใจด้วย
แต่เหมือนว่าเธอจะแพ้จริงๆ แล้ว
ดวงตาทั้งสองข้างพร่ามัวไปหมด มองเห็นคล้ายมีใครเปิดประตูวิ่งมาทางนี้ หูสองข้างอื้ออึงได้ยินแต่เสียงวิ้งดังอยู่ข้างใน
ก่อนสติสุดท้ายจะดับลงดวงตาทั้งสองข้างยังหลับไม่ลง คิดถึงคนคนหนึ่งที่เธอเฝ้ารอคอยมาทั้งชีวิต แม้มันจะเป็นเพียงความหวังอันริบหรี่
เธอรอเขามาโดยตลอด จนวะระสุดท้ายของชีวิตก็ยังไม่มีทางได้พบกัน
แต่ผู้คนนับร้อยล้วนไม่มีใครถอยหรือยอมแพ้ ต่างใจจดใจจ่อยืนมองบัตรคิวในมือของตนเอง ภาวนาให้ถึงคิวตัวเองโดยเร็ว
วันนี้เป็นวันเปิดตัวหนังสือนิยายเรื่องใหม่ของ ‘เสวี่ยเหมย’ นามปากกานักเขียนที่ ‘ไป๋ลู่เสียน’ ชื่นชอบ ทุกเรื่องที่จัดพิมพ์เป็นรูปเล่มจะเปิดขายบ็อกเซ็ตพิเศษ เพียงสองร้อยชุดต่อเรื่องเท่านั้น ซึ่งตัวเธอเองสะสมครบทุกคอลเลคชั่น เรียกได้ว่าเป็นแฟนคลับตัวยงเลยก็ว่าได้
ถึงแม้ว่าในยุคนี้เป็นยุคที่เทคโนโลยีเข้าถึง มีนิยายขายในรูปแบบอีบุ๊คก็ตามที แต่สำหรับเธอที่ชอบเก็บสะสมของที่สามารถจับต้องได้ จึงต้องยืนขาแข็งท่ามกลางหิมะเพื่อรอหนังสือจากนักเขียนคนโปรด
หลังจากได้ของที่ต้องการก็เกือบจะหกโมงเย็นแล้ว เธอไม่ได้รีบร้อนกลับบ้านมากนัก ยังมีเวลาให้เธอได้ซื้อของอร่อยกลับไปกินในมื้อเย็น
รถยนต์สีขาวขับเคลื่อนไปตามทางแถบชานเมือง มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านจัดสรร จนใกล้ถึงที่หมายปลายทางเป็นบ้านชั้นเดียวหลังเล็กสีขาว ตกแต่งสไตล์มินิมอล
เมื่อเสียงเครื่องยนต์ดับลง หญิงสาวรูปร่างเล็กก้าวขาออกมาจากรถ ผิวขาวใสตัดกับเสื้อแขนยาวสีครีม ใบหน้าเรียวเล็ก ดวงตากลมโต
แม้ไม่ได้สวยจนตื่นตะลึงแต่ก็ค่อนข้างดูดี ถือของกินมากมายลงมาจากตัวรถ กล่าวฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีเดินหายเข้าไปในตัวบ้าน
หลังจากทานมื้อเย็นแสนอร่อยผ่านพ้นไป เธอก็เริ่มเปิดอ่านหนังสือทันที แม้ว่าเธอจะเคยได้อ่านรีวิวผ่านตาในกลุ่มแฟนคลับของนักเขียนบ้างแล้ว
‘ซ่อนเงาจันทรา บุบฝาเร้นกาย’
เป็นนิยายโรแมนติกแฟนตาซี ผสมผสานความดราม่าเคล้าน้ำตา เรื่องราวเกี่ยวกับการฝึกตนของเซียน พลังปราณ กำลังภายใน และมหาเทพบนสวรรค์ชั้นเก้าฟ้า
พระเอกเทพไป๋หู่หรือเทพสงคราม ผู้มีหัวใจเย็นชาดุจศิลาหิน ต้องการยุติสงครามเผ่าสวรรค์และเผ่ามารที่ยืดเยื้อยาวนานมานับร้อยปี
โดยสาเหตุของสงครามครั้งนี้เกิดจากศิลาสามภพ หรือ‘ศิลาวิญญาณ’ของวิเศษตามตำราเซียน
ซึ่งมีคำกล่าวขานเกี่ยวกับศิลานี้ไว้ว่า ‘ได้ครอบครอบศิลา ทั่วใต้หล้าตรึงไว้ใต้ฝ่าเท้า’
แค่ฟังคำเปรียบเปรยก็พอจะรู้ได้ว่าศิลาสามภพ มีพลังอำนาจมหาศาลขนาดไหนหากผู้ใดได้ครอบครอง
จึงมีกฎเกณฑ์บัญญัติในทุกเผ่าพันธ์ ห้ามภพใดภพหนึ่ง หรือผู้ใดผู้หนึ่งครอบครองอำนาจของศิลา เพื่อความสงบสุขของสามภพ
แต่แล้วศิลานั้นได้หายไป พร้อมกับสหายสนิทที่พระเอกไว้ใจมากที่สุด หนึ่งในสี่เทพบรรพกาลเทพเฟิ่งหง
เมื่อต้องการฟื้นฟูจิตเทพที่บาดเจ็บจากการรบในสงคราม ออกตามหาศิลากลับคืนสู่ที่เก็บรักษา จึงนำจิตจุติในดินแดนมนุษย์ กลายเป็นศิษย์พี่ใหญ่ผู้หยิ่งทะนงแห่งหุบเขาฉิงเทียน ‘หลินเทียนหรง’
ได้พบรักกับศิษย์น้องผู้เป็นดั่งดอกบัวขาว ‘เจียงไป๋เหลียน’ หนึ่งในสี่ดุรณีผู้สูงส่งเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัตินางเอก
หน้าตางดงาม กิริยานุ่มนวลอ่อนหวาน นิสัยอ่อนโยนดุจสายน้ำชโลมจิตใจที่ด้านชาของพระเอก ให้ตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก
ถึงขนาดฟื้นฟูจิตบำเพ็ญเพียรสำเร็จมรรคา พลังอำนาจกลับคืน รับรู้ว่าแท้จริงแล้วตนเองเป็นถึงเทพบรรพกาลเผ่าสวรรค์
ก็พานางเอกขึ้นไปเสวยสุขในแดนสวรรค์ชั้นเก้าฟ้า ที่ตำหนักวังประจิมหวานชื่นกันไม่เกรงกลัวผู้ใด ตัดชะตาดอกท้อของผู้อื่นจนขาดสะบั้น
ในกลุ่มแฟนคลับของเสวี่ยเหมยคร่ำครวญแทบขาดใจ เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงตอนใกล้จบ ว่าคู่พระนางของนิยายเรื่องนี้คือใคร
นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่คนนิยมอ่านนิยายของเสวี่ยเหมย เพราะผู้อ่านจะต้องลุ้นจนถึงบทสรุปสุดท้ายของนิยาย ทำให้เรือพายเรือผีหลายลำนั้นพังครืนในพริบตา
ไม่ว่าจะเป็น ‘ซูฟางเซียน’ ธิดาองค์ที่สี่ของเง็กเซียนฮ่องเต้ โฉมงามล่มสวรรค์ สติปัญญาเฉียบแหลม
เหล่าทวยเทพบนสรวงสรรค์ต่างอยากได้นางมาครองคู่ แต่ติดที่นางที่มีพันธสัญญาหมั้นหมายกับพระเอก ก่อนที่พระเอกจะได้เจอนางเอกเสียด้วยซ้ำไป
เทพประจำนรกภูมิ ‘เชี่ยปี่อ้าน’ ผู้เย็นชา ตกหลุมรักนางเอกผู้แสนอ่อนโยนในคราแรกที่พบเจอ
ตอนที่ตามหาน้องชายในสำนักฝึกตนเขาฉิงเทียน ปกป้องนางเอกจากการทำร้ายทุกรูปแบบ จนบางครั้งหลงลืมพี่ชายที่ตามหาเลยทีเดียว
พญามาร ‘เซียวจ้านเจ๋อ’ ที่ยอมทรยศเผ่ามารเพื่อผูกสัมพันธ์กับนางเอก แม้รู้ว่านางเอกกลายเป็นเทพในแดนสวรรค์ชั้นเก้าฟ้า ยังอาจหาญขอสมรสพระราชทานจากเง็กเซียนฮ่องเต้
เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ทั้งสองเผ่า ดับไฟสงครามที่กำลังโหมกระพือ ยอมตกเป็นรองอยู่ใต้อำนาจของเผ่าสวรรค์ ถวายสัจจงรักภักดีต่อองค์เง็กเซียนฮ่องเต้
สหายสนิทของพระเอก ‘เทพเฟิ่งหง’ ยอมเสียสละตัวตนและจิตวิญญาณ จุติเคียงข้างพระเอกในฐานะ ‘อวิ๋นเย่วซื่อ’
ได้กราบไหว้ฟ้าดินก็มิอาจเคียงคู่ ซ้ำยังจิตใจแตกสลายเพราะเอกถึงสามครั้งด้วยกัน นับเป็นตัวละครที่ทุ่มเทและน่าสงสารที่สุดแล้ว
บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องในสำนักเขาฉิงเทียน ยังไม่รวมบรรดาศิษย์นอกสำนัก ตัวประกอบอันดับหนึ่ง อันดับสองล้วนหลงใหลในตัวพระเอกนางเอก เทิดทูนบูชาอย่างหมดใจ
เรียกได้ว่าถ้าพระเอกนั้นเป็นตัวละครที่มีบุคลิกเจ้าชู้คงจะมีสาวน้อมรับเข้าฮาเร็มร่วมร้อยคน
เป็นเรื่องปกติที่ในนิยายรักต้องสร้างอุปสรรคให้พระนาง เพื่อปูบททำให้ความสำพันธ์ของทั้งคู่แน่นแฟ้น ฉากโรแมนติกกับตัวละครหลักอื่นที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิด ทำให้เกิดเรือพายเรือผีถึงกับมีกระทู้ตั้งแฟนฟิคย้อมใจตนเอง
สิ่งที่เธอชอบมากในเรื่องนี้คือฉากต่อสู้ ผสานปราณ เหินกระบี่ ระเบิดพลัง ที่บรรยายไว้อย่างอลังการงานสร้าง ปกติเสวี่ยเหมยจะแต่งแนววังหลังแต่รอบนี้เกี่ยวกับยุทธภพ นับว่าตกผู้อ่านรักฉากต่อสู้เพิ่มขึ้นไม่น้อย
ไหนจะบุคลิกตัวละครในเรื่องที่ได้บรรยายไว้ กล่าวได้ว่าสวยหล่อล้ำ สำหรับคนช่างจินตนาการแบบเธอ มันช่างดีต่อหัวใจดวงน้อยนี้เสียจริง
หนังสือหน้าสุดท้ายของเล่มที่สามปิดลง ท้องฟ้าสว่างนานแล้ว สังเกตุได้จากแสงสว่างที่ลอดผ่านผ้าม่านโปร่งบาง ลมหนาวที่พัดเข้ามาบางเบาทำให้อากาศในห้องนอนเย็นสบาย
ตั้งแต่มื้ออาหารค่ำจวบจนตอนนี้ เธอยังไม่ได้หลับตานอนหลับเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนจะพลาดมื้อเช้าแสนสำคัญไปแล้วด้วยสิ
สองแขนบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นจากผ้านวมหนานุ่ม เตียงอุ่นนิ่มเหมาะกับอากาศหนาว จนอยากซุกอยู่ในนี้ตลอดไป แต่ก็ได้แค่คิดเท่านั้นแหละนะ
เธอก้าวขายืนข้างเตียง สติวูบไหวทำให้สองขาเดินซวนเซอย่างน่าประหลาด ก่อนจะล้มลงฟาดกับพื้นกระเบื้อง ความเจ็บปวดแล่นเข้าสู่ศีรษะอย่างรุนแรง
ไป๋ลู่เสียนกลอกตาไปมาใบหน้ายังคงนิ่งอยู่ที่เดิม ทำไมร่างกายเธอนั้นไม่สามารถขยับได้
‘ขยับสิ ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้’
เธอพยายามออกคำสั่งกับตัวเอง แต่เหมือนจะไม่เป็นผลแม้แต่ปากเธอยังไม่ขยับตามความคิดของเธอ มีเพียงน้ำตาที่ไหลลงมาเพราะความหวาดกลัว ใช่เธอกลัว!
มีใครบ้างไม่กลัวความตาย เมื่อวาระสุดท้ายมันกำลังจะเกิดขึ้นจริงๆ
เธอเป็นเด็กกำพร้าตัวคนเดียวก็จริง ไม่มีครอบครัวให้ห่วงหา แต่เธอยังอยากใช้ชีวิต ได้แต่งงาน มีบุตร สร้างครอบครัวของตัวเอง อ่านหนังสือที่ชอบ กินของอร่อยๆ ทุกวัน
ไม่ควรจะมานอนตายเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ ลื่นหัวกระแทกพื้นแบบนี้!
ตุบ! พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บๆ
หนังสือเล่มหนึ่งตกอยู่ตรงหน้าพอดีกับสายตาเธอ เป็นโฟโต้บุ๊ครวมฉากพิเศษที่ไม่มีในหนังสือนิยาย เป็นส่วนเสริมสำหรับเซตพิเศษให้แฟนนิยายอ่านเพิ่มเติม เธอยังไม่ได้เปิดอ่านมันด้วยซ้ำ
เธอได้แต่นอนมองหน้ากระดาษพลิกไปมา ลมหยุดพัดอยู่ที่ฉากต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย ฝั่งหนึ่งเป็นชายชุดดำรูปร่างกำยำมีชายชรายืนอยู่ด้านข้าง
ฝ่ายตรงข้ามเป็นคนรูปร่างผอมบางไม่บ่งบอกเพศชุดสีแดงพลิ้วไหว สวมหน้ากากพยัคฆ์เต็มใบหน้า กึ่งกลางหน้าผากประดับด้วยอัญมณีสีทองรูปพระจันทร์เสี้ยว
ดวงตาทั้งสองข้างได้แต่เหม่อมองหน้าต่างที่เปิดค้างไว้ เพราะร่างกายนั้นไร้ความรู้สึกไปแล้ว เธอยังคงนอนอยู่แบบนั้นฟังเสียงโทรศัพท์ที่เข้ามาหลายสายตั้งแต่ช่วงบ่าย
ของเสียจากร่างกายถูกขับถ่ายออกมาเปรอะเปื้อนตามพื้นที่นอนอยู่ จวบจนสิ้นแสงสุดท้ายของดวงตะวัน ความมืดมิดยามราตรีเข้ามาแทนที่
ผ่านมาแล้วสามวันลำคอเธอแห้งผากเนื่องจากขนาดน้ำ ริมฝีปากซีดเซียวคล้ายคนตาย ดวงตาไร้แววหม่นแสง
เธอหัวเราะเยาะให้กับตัวเองในใจ เด็กกำพร้าจะมีใครมาเยี่ยมเยียนกัน เธออยู่บ้านหลังนี้มาสามปีเพื่อนข้างบ้านก็ยังไม่เคยพูดคุยกันเลยซักครั้ง
เป็นพนักงานออฟฟิศตำแหน่งก็ไม่ได้สำคัญ ขาดงานไม่แจ้งแค่สามวันก็มีสิทธิ์ไล่เธอออกได้แล้ว ให้เหตุผลแค่มีคนที่พร้อมทำงานมากกว่าเธอ บริษัทที่ไหนก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น
ยิ่งร่างกายแบบนี้ต่อให้รักษาชีวิตเธอได้ก็ไม่ต่างจากคนตาย แม้แต่พูดก็ยังทำไม่ได้
‘ยอมแพ้ได้แล้ว พอซักที’
เธอเหนื่อยมากแล้ว ร้องไห้มาสามวันจนน้ำตาไม่มีให้ไหลแล้ว มีแต่ตาบวมช้ำให้เห็น
ถึงเธอจะคิดแบบนั้นแต่จิตใต้สำนึกลึกๆ กลับยอมแพ้ไม่ได้ นี่ก็เป็นหนึ่งในนิสัยเสียของเธอ ชอบเอาชนะ ไม่ยอมแพ้ ดื้อรั้น แถมปากยังไม่ตรงกับใจด้วย
แต่เหมือนว่าเธอจะแพ้จริงๆ แล้ว
ดวงตาทั้งสองข้างพร่ามัวไปหมด มองเห็นคล้ายมีใครเปิดประตูวิ่งมาทางนี้ หูสองข้างอื้ออึงได้ยินแต่เสียงวิ้งดังอยู่ข้างใน
ก่อนสติสุดท้ายจะดับลงดวงตาทั้งสองข้างยังหลับไม่ลง คิดถึงคนคนหนึ่งที่เธอเฝ้ารอคอยมาทั้งชีวิต แม้มันจะเป็นเพียงความหวังอันริบหรี่
เธอรอเขามาโดยตลอด จนวะระสุดท้ายของชีวิตก็ยังไม่มีทางได้พบกัน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ