Pathenon โรงเรียนมนตราพาเธนอน
เขียนโดย OAZIS
วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 13.58 น.
แก้ไขเมื่อ 19 กันยายน พ.ศ. 2564 15.16 น. โดย เจ้าของนิยาย
12) แก่นเวท
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 12
แก่นเวท
“ความยากง่ายในการใช้เวทมนตร์ ครูจะขอแบ่งออกเป็น 4 ระดับด้วยกัน” ครูใหญ่เอไลจาห์เริ่มต้นสอนในคลาสเวทมนตร์พื้นฐาน
วันนี้ครูใหญ่นัดทุกคนมาเข้าเรียนรวมกันในลานตามประสงค์ ซึ่งครูใหญ่ได้เปลี่ยนสภาพให้กลายเป็นป่าไม้ในช่วงฤดูใบ้ไม้ผลิ (จริงๆ ไม่มีใครรู้หรอกว่าเป็นฤดูใบไม้ผลิ จนแอเลน่าเป็นคนบอก) ครูใหญ่ให้เหตุผลว่าที่เลือกเป็นฤดูใบไม้ผลิ เพราะ เป็นช่วงเวลาที่ป่าจะให้ทรัพยากรที่สำคัญในการฝึกการทดลองใช้เวทมนตร์ได้มากที่สุด และการเรียนวิชาเวทมนตร์พื้นฐานในครั้งต่อๆ ไป ครูใหญ่ก็นัดให้นักเรียนมาเจอกันที่นี่ทุกครั้ง โดยที่ครูใหญ่จะเปลี่ยนสภาพของลานตามประสงค์ไปเรื่อยๆ เพื่อรองรับในการฝึกใช้เวทมนตร์
“ในระดับแรกที่ง่ายที่สุด คือ การปล่อยกลุ่มก้อนพลังงานออกมาจากร่างกายโดยตรง คล้ายๆ กับที่ครูเคยทำให้พวกเธอดูเมื่อครั้งที่แล้ว คล้ายๆ การเรียกลมเรียกฝนนั่นแหละ
ระดับที่สอง จะเป็นการใช้เวทมนตร์ควบคู่ไปกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต ยกตัวอย่างเช่น การเผาใบไม้ หรือการสร้างคลื่นใต้น้ำ
ระดับที่สาม คือ การใช้เวทมนตร์ควบคู่ไปกับสิ่งมีชีวิตที่ไร้พลังเวท
ครูอยากจะขออธิบายเพิ่มเติมจากครั้งที่แล้วสักหน่อย ครูเคยบอกพวกเธอไปใช่ไหมว่าสิ่งมีชีวิตทุกเผ่าพันธ์ล้วนเกิดจากธาตุพื้นฐานทั้ง 4 ปฐพีธาต อาโปธาต วาโยธาต และเตโชธาต ธาตุพื้นฐานนั้นไหลเวียนอยู่ในร่างกายและก่อให้เกิดชีวิตขึ้น แต่ความแตกต่างที่ทำให้เกิดพวกมีพลังเวทกับพวกไร้พลังเวทขึ้นมานั่นก็คือ ปริมาณและการไหลเวียนของธาตุพื้นฐานในร่าง” ครูใหญ่เว้นช่องว่างในการอธิบายเล็กน้อย เผื่อในกรณีที่เด็กบางคนมีคำถาม แต่เมื่อทุกคนยังคงเงียบและรอให้ครูใหญ่อธิบายต่อ ชายชราจึงเริ่มต้นพูดต่อ
“โดยปกติ สิ่งมีชีวิตโดยทั่วไปที่ไร้พลังเวท จะมีปริมาณการไหลเวียนของพลังธาตในร่างกายแค่เพียงพอต่อการใช้ชีวิต พวกเขาจึงไม่สามารถดึงพลังงานในร่างกายและปลดปล่อยออกมาเป็นพลังงานได้ แต่กลับกัน สิ่งมีชีตที่ใช้พลังเวทได้ จะมีปริมาณและการไหลเวียนของธาตุพื้นฐานในร่างกายที่สูงมาก เราจึงสามารถควบคุมและปลดปล่อยพลังงานเหล่านั้นออกมาได้ ในกรณีที่พวกเธอ…”
“ฮ้าวววว” นิโคลอ้าปากกว้างเพื่อสูดอากาศเข้าไปในท้อง “เสียงบรรยายแบบนี้ บรรยากาศแบบนี้ ชวนให้ง่วงจริงๆ เลยนะ”
“ใช่” เอ็ดเวิร์ดเห็นด้วย พร้อมกับเงยหน้ามองดูท้องฟ้า “ฉันนี่โคตรอยากทิ้งตัวนอนมองดูก้อนเมฆเลย ทำไมคลาสเวทมนตร์พื้นฐานมันถึงน่าเบื่อขนาดนี้น้า”
“นี่ พวกนาย ให้มันน้อยๆ หน่อย” เสียงแอเลน่าซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เอ็ดเวิร์ดดุขึ้นมา แต่แม้เด็กสาวจะจะพูดกับเพื่อนตัวแสบทั้ง 2 ของเธอ แต่เธอก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาจากการจดบันทึกสิ่งที่ครูใหญ่พูดลงในสมุดโน๊ตของเธอเลย “ครูใหญ่ก็ย้ำตั้งแต่ครั้งที่แล้วแล้วนี่นา ว่าพื้นฐานมันเป็นเรื่องสำคัญ”
“เอ๊าะหรอ” เอ็ดเวิร์ดทำเสียงล้อเลียน “ไม่เห็นจะจำได้เลยเนอะ นิค”
“ใช่ๆๆ” นิโคลพยักหน้าหลายๆ ทีอย่างยียวน “อีกอย่าง เดี๋ยวเธอก็มาติวให้พวกฉันอย่างเคยก็ได้นี่หน่า แอล”
“ฉันล่ะเซ็งกับพวกนายจริงๆ” แอเลน่าพูดพร้อมกับหันไปเพื่อจะขอความช่วยเหลือจากเดรโก แต่ภาพที่เห็นก็คือ เด็กหนุ่มที่นั่งเงียบมาตั้งแต่ต้นคลาส จมไปในห้วงนิทราในท่านั่งซะแล้ว เด็กสาวทำได้แค่ส่ายหน้า ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย และก้มหน้าลงไปจดโน๊ตต่อ
“ดังนั้น” ครูใหญ่อธิบายต่อ “การที่เราจะใช้เวทมนตร์เพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพธาตุพื้นฐานในร่างกายของผู้อื่นจึงถือเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ยังไม่นับถึงระดับที่สี่ คือ การใช้เวทมนตร์ควบคู่ไปกับสิ่งมีชีวิตที่มีพลังเวท เพราะ การเปลี่ยนแปลงสภาพธาตุที่มีปริมาณและการไหลเวียนที่สูงถือเป็นสิ่งที่ยากและต้องใช้ความชำนาญขั้นสุด
จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมจอมเวทย์สายมนตราขาวซึ่งเด่นในเรื่องการฟื้นฟูร่างกายและรักษาบาดแผล จึงเป็นสายมนตราที่หาได้ยากมากที่สุดในลิเบอร์ตัน ถ้าจะให้ยกตัวอย่างจอมเวทย์สายนี้ที่พวกเธอน่าจะรู้จักก็คงไม่พ้น โอลิเวีย ฟอร์บส์ล่ะมั้ง”
เสียงพูดถึงแม่ของตัวเองที่ออกมาจากครูใหญ่ถึงกับทำให้เอ็ดเวิร์ดสะดุ้งเบาๆ และละสายตาจากก้อนเมฆลงมา เมื่อเขามองกลับไปที่ชายชรา ก็พบกับสายตาและรอยยิ้มที่ส่งมาให้ประมาณว่า “ตั้งใจเรียนหน่อย คุณฟอร์บส์” เอ็ดเวิร์ดจึงทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ กลับไป
“ทำไมคุณโอลิเวียถึงเลิกเป็นจอมเวทย์คะครูใหญ่” เด็กสาวคนหนึ่งถามขึ้น เอ็ดเวิร์ดจำได้ว่าเธอชื่อเบลล่า วาเลนไทน์ เพราะว่าเธอมักจะมาจุ้นจ้านกับเขาเรื่องแม่ของเขาเสมอ แอเลน่าเคยบอกว่าเบลล่าได้ยินเรื่องแม่ของเขามาตั้งแต่เด็ก แล้วก็ปฏิญาณกับตัวเองว่าจะต้องเดินรอยตามแม่ของเขาให้ได้ แต่ทุกครั้งที่เบลล่ามาถามเขา เขาก็มักจะทำเป็นไม่รู้ ไม่ชี้ หรือไม่ก็ตอบส่งๆ ไปด้วยความรำคาญทุกครั้ง
“ถามเราไม่ได้ เลยหันไปถามครูใหญ่เลยเรอะ” เอ็ดเวิร์ดลำพึงเบาๆ กับตัวเอง
“เรื่องนั้นครูคิดว่าครูคงไม่สามารถตอบได้หรอกนะ มันถือเป็นเรื่องส่วนตัว” ครูใหญ่ยิ้มตอบอย่างเอ็นดู คำตอบที่ทำให้เบลล่าถึงกับหน้าจ๋อย
“ครูใหญ่ครับ” โนเอล มันช์ เจ้าโฆษกประจำปี 1 ยกมือขึ้นถามบ้าง “จอมเวทย์มีกี่สายงั้นหรอครับ”
“คำถามนี้ค่อนข้างตอบยากนะ” ครูใหญ่ลูบครางทำท่าครุ่นคิด “เอาเป็นว่า มากเท่าที่เธอคิดได้นั่นแหละ คุณมันช์
เมื่อจอมเวทย์คนหนึ่งเชี่ยวชาญในศาสตร์ของเวทมนตร์บางประเภทได้ถึงระดับสูง บวกกับมีประวัติการสร้างผลงานให้แก่ทวีปหรือลิเบอร์ตัน ทางสภากลางจะเชิดชูให้เขาหรือเธอเป็นจอมเวทย์ประจำสาย เพราะฉะนั้น คำตอบนี้ก็มีมากพอๆ กับความหลากหลายของเวทมนตร์นั่นแหละ ถ้าพวกเธอเรียนรู้เรื่องเวทมนตร์ไปเรื่อยๆ ก็จะได้คำตอบเอง”
เมื่อไม่มีเด็กคนไหนมีท่าทีจะถามคำถามเพิ่มเติม ครูใหญ่จึงเริ่มเข้าสู่บทเรียนที่เด็กทุคนรอคอย
“เอาล่ะ มาเริ่มเรียนวิธีการใช้เวทมนตร์กันเลย”
คำพูดที่ทำเอาเด็กทุกคนหูผึ่ง นิโคลกับเดรโกก็ฟื้นจากนิทราขึ้นมา เอ็ดเวิร์ดก็เริ่มยิ้ม แอเลน่าวางสมุดและปากกาลงกับที่นั่ง รวมถึงเด็กคนอื่นๆ ที่ดูจะตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่ครูใหญ่กำลังจะพูดต่อไปขึ้นมาทันที
ครูใหญ่ยิ้มออกมาเมื่อเห็นสีหน้าของเด็กทุกคน เป็นแบบนี้กันทุกรุ่นสิน่า ทฤษฎีไม่ค่อยจะสนใจกัน พอพูดถึงปฏิบัติแล้วตาโตกันขึ้นมาทันที “อย่างแรกที่ต้องทำ และเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดรวมถึงอาจจะเป็นสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับการใช้เวทมนตร์ คือ แก่นเวท”
เด็กทุกคนมีสีหน้างงงวย ครูใหญ่จึงเริ่มอธิบายต่อ
“แก่นเวท ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือประตูที่ซ่อนธาตุพื้นฐานปริมาณมหาศาลไว้อยู่ภายในร่างกายของพวกเธอ ในตอนนี้พวกเธอจะปริมาณของธาตุทั้ง 4 ในตัวเท่ากับคนที่ไร้พลังเวท พวกเธอต้องหาประตูนี้ให้เจอ เปิดมันออก เธอถึงจะสามารถใช้เวทมนตร์ได้
ครูพอรู้มาว่า ในกลุ่มพวกเธอ มีบางคนที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ตั้งแต่ยังไม่ได้เข้ามารับการทดสอบที่นี่ ซึ่งก็เป็นไปได้ บางครั้งมันอาจเป็นเพราะอาการกลัว ตกใจ หรือตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเธอจะสามารถใช้มันได้ตามที่ใจต้องการ”
เอ็ดเวิร์ดเคยได้ยินเรื่องนี้จากนิโคลมาเหมือนกัน เด็กหนุ่มสาวทั้ง 3 หันหน้าไปหาเด็กหนุ่มอีกคนอย่างพร้อมเพรียงกัน และได้รับการยืนยันเป็นการพยักหน้ามาจากเดรโก
“ตั้งแต่เกิดมาฉันเคยใช้ได้ 2 ครั้งโดยที่ฉันไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ ครั้งหนึ่งตอนตกใจ กับอีกครั้งตอนที่ฉันฝันร้าย” เดรโกเล่า “หลังจากนั้นฉันก็ไม่เคยทำได้อีกเลย ไม่ว่าจะพยายามขนาดไหน”
“คนอย่างนายเคยฝันกับเขาด้วยหรอ” เอ็ดเวิร์ดตั้งข้อสังเกตอย่างขบขัน
“คนบ้าที่ไหนก็ฝันได้ทั้งนั้นแหละ” เดรโกตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ”
“สิ่งหนึ่งที่ครูอยากจะย้ำเตือนพวกเธอเอาไว้” ครูใหญ่พูดขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “อย่างที่ครูได้พูดไป การหาแก่นเวทอาจเป็นสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับการเรียนเวทมนตร์ เพราะ ครูไม่สามารถจะแนะนำหรือบอกใบ้ให้พวกเธอได้ว่าต้องทำยังไง พวกเธอจะต้องค้นหามันด้วยตนเอง แก่นเวทเป็นสิ่งที่อยู่ภายในตัวเธอมาตั้งแต่เกิด คุยกับตัวเองและทำความเข้าใจตัวเองให้กระจ่าง แล้วพวกเธอก็จะพบมัน
บางคนอาจใช้เวลาไม่กี่นาทีก็เจอ บางคนไม่กี่ชั่วโมง อาจเป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี หรือบางคนอาจไม่สามารถค้นพบมันได้ตลอดทั้งชีวิต
สิ่งสุดท้ายที่อยากบอก หากพวกเธอสามารถเปิดแก่นเวทได้แล้ว พวกเธอก็สามารถออกไปจากที่นี่ได้แล้วนะ แค่ทาบมือเข้ากับประตูทางเข้า ประตูก็จะเปิดให้พวกเธออกไปได้”
“แล้วพวกเราจะรู้ได้ยังไงล่ะคะ ครูใหญ่ ว่าพวกเราเปิดแก่นเวทได้แล้วหรือยัง” แอเลน่ายกมือขึ้นถาม ซึ่งก็ดูเป็นคำถามที่เด็กหลายคนตั้งใจจะถามเหมือนกัน
“เมื่อถึงเวลานั้น เธอจะรู้ได้ด้วยตัวเอง” ครูใหญ่ยิ้มตอบอย่างใจดี “ขอให้พวกเธอโชคดี”
“ตาครูใหญ่นี่ชอบพูดอะไรมีเงื่อนงำตลอดเลย” นิโคลหันไปกระซิบกับเอ็ดเวิร์ด เอ็ดเวิร์ดพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
หลังจากพูดจบ ครูใหญ่ก็ออกก้าวเท้าเดินเพื่อกลับไปอาคารห้องพักครู แต่ก่อนที่จะเดินออกไป ครูใหญ่ก็เดินเข้ามาเพื่อพูดอะไรกับเอ็ดเวิร์ดก่อน
“ครูบอกแล้วใช่ไหม ถ้าวันนี้เธอทำได้ดี เธอก็จะสามารถออกไปค้นหาความจริงที่เธอต้องการได้” ครูใหญ่กระซิบบอกเอ็ดเวิร์ด “และครูก็หวังว่าเธอจะทำได้ดีนะ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ