ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
28) พรหมลิขิต
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากเอนหลังพิงเบาะได้ไม่นานนักพวกเราก็ถ่อสังขารมาถึงหน้าห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดอย่างทุลักทุเลแล้วจึงได้ทราบว่าชายเคราะห์ร้ายรายนี้ชื่อว่าพี่ ‘เทิดศักดิ์ อ่อนสา’ เมื่อผมช่วยค้นเอาบัตรประจำตัวประชาชนของแกจากกระเป๋าสตางค์เก่าๆ สีดำแลดูกระดำกระด่างขึ้นมาให้นางพยาบาลหน้าตาหวานหยดกรอกข้อมูลยิก ยิกลงในใบบันทึกเวชระเบียน
ส่วนตัวเจ้าของก็เอาแต่ร้องครวญครางพลิกซ้ายพลิกขวาอยู่บนเตียงรถเข็นสำหรับผู้ป่วยมาตลอดทางจนผู้คนพากันตกอกตกใจชะเง้อชะแง้แลมองกันยกใหญ่ และยิ่งแตกตื่นเมื่อเห็นคอเสื้อแจ็คเก็ตไล่ไปถึงช่วงบ่าของแกนั้นชุ่มโชกไปด้วยเลือดเต็มไปหมด
“ผู้ป่วยประสบอุบัติเหตุมาเหรอคะ?” นางฟ้า เอ้ย…นางพยาบาลรูปร่างสะโอดสะองผิวขาวผ่องเป็นยองใยเอ่ยถามระหว่างจรดปลายปากกาลงบนเอกสารเหนือแผ่นรองสีเขียวอ่อน ท่าทางอันแช่มช้อยและน้ำเสียงอ่อนหวานของเธอสร้างความประทับจิตประทับใจแก่ผมตั้งแต่แรกเริ่ม
ผมซึ่งมัวแต่ตะลึงงันกับรูปโฉมโนมพรรณของอีกฝ่ายอยู่จึงเผลอตอบออกไปอย่างลืมตัวว่า
“พอดีแกกินยำตีนมาน่ะครับ”
เจ้าของคำถามซึ่งกำลังนั่งอยู่ข้างๆ ผมหน้าห้องฉุกเฉินรีบย้อนถามทันควัน
“หือ...อะไรนะคะ?”
“เอ่อ…ไม่ใช่ครับ” ผมตอบพลางโบกมือโบกไม้เป็นเชิงปฏิเสธ หัวใจเต้นแรงเร็วอย่างประหลาดราวกับว่าหญิงสาวริมฝีปากบาง คิ้วโก่ง ผมดำขลับในชุดพยาบาลสีขาวสะอาดที่อยู่ตรงหน้านั้นมีแรงดึงดูดอันมหาศาลที่ทำให้ผมถึงกับหวั่นไหวไปถึงทรวงใน ฮอร์โมนของความเป็นชายพลุ่งพล่านไปหมด
“คือผู้ชายคนนี้เขาถูกพวกขี้ยามันซ้อมมาน่ะครับ” ชาญยศซึ่งเพิ่งนั่งปุลงบนเก้าอี้ที่อยู่ถัดจากผมช่วยตอบ
“แล้วนี่ไปแจ้งความรึยังคะ?” เธอซักต่อ
“แจ้งความจำนงเหรอครับ…ตรงไหนครับ” พอสบนัยน์ตาโตหวานซึ้งของเจ้าหล่อนแล้วพาลให้เผลอพูดพล่อยๆ ออกไปเสียแล้วสิ…โธ่
“แจ้งความน่ะค่ะ…ที่สถานีตำรวจ” อีกฝ่ายกล่าวซ้ำด้วยสีหน้าแปลกใจ
“อ่อ โทษทีครับ ยังครับยัง” ผมบอกพลางเกาหัวแกรกๆ ไม่รู้ว่าเธอจะนึกว่าผมเป็นพวกสติไม่เต็มเต็งรึเปล่านะ
“แล้วคุณเป็นญาติของผู้บาดเจ็บใช่มั๊ยคะ”
“เปล่าครับ เปล่า…พอดีผมกับเพื่อนๆ ไปเห็นแกถูกทำร้ายเลยเข้าไประงับเหตุน่ะครับแต่ไล่จับไอ้พวกกุ๊ยนั่นไม่ทันก็เลย…”
“อ๋อ…ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าก่อนจะก้มหน้ากรอกข้อมูลไปตามหน้าที่แล้วจึงปรารภขึ้นมาเบาๆ
“โชคดีจังเลยนะคะ”
“เอ๋…” ผมซึ่งกำลังมองอากัปกิริยาอันงามสง่านั้นเพลินๆ ก็พลันอุทานออกมาด้วยความฉงนสนเท่ห์
“โชคดีที่แกได้เจอคุณกับเพื่อนๆ ช่วยไว้ยังไงล่ะคะ” เธอกล่าวเสียงเรียบเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้ แค่นั้นก็ทำให้หัวใจผมแทบหยุดเต้นร่างอ่อนระทดระทวยเหมือนขี้ผึ้งลนไฟ…โลกพลันสว่างไสวขึ้นมาทันตา
หลังจากนั้นนางพยาบาลสาวคนสวยจึงค่อยๆ ป้อนคำถามให้ผมกับเพื่อนช่วยกันตอบอีกสองสามเรื่อง รวมถึง ชื่อเสียงเรียงนามของพวกเราก่อนที่อีกฝ่ายจะกดปุ่มเก็บปากกาหมึกแห้งเตรียมลุกขึ้นพาเอาผมใจหายวาบ
“แล้วพี่เค้าจะเป็นอะไรมากมั๊ยครับ” ผมโพล่งถามออกไปอาจไม่ใช่เพราะความห่วงใยเสียทีเดียวแต่เป็นเพราะอยากจะเหนี่ยวรั้งเธอไว้ให้นานกว่านี้มากกว่า
นางพยาบาลสาวเหลียวไปมองประตูกระจกฝ้าบานหนาซึ่งมีเสียงพี่เทิดศักดิ์ดังโหวกเหวกออกมาจากห้องที่ลึกยาวเข้าไปแล้วจึงกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มละไมว่า
“แกคงไม่เป็นอะไรมากหรอกมั้งค่ะ”
“เอ่อ…ครับ” ผมตอบรับ ภายในหัวตื้อตันอับจนถ้อยคำที่จะสรรมากล่าวประวิงเวลาไว้อีก
มันคงเป็นความจริงที่ว่าปฏิกิริยาที่คนเรามักจะแสดงเมื่อได้สนทนากับใครสักคนที่ถูกตาต้องใจหากไม่ชวนอีกฝ่ายคุยจนน้ำไหลไฟดับก็มักเกิดอาการประหม่า ไม่กล้าแม้เพียงสบตา พูดจาอ้ำๆ อึ้งๆ ราวกับหาทางไปต่อไม่ถูก
และผมคงจะเป็นเหมือนอย่างหลัง
“ฟังจากเหตุการณ์ที่คุณสองคนเล่าแล้วแกคงจะมีแค่อาการฟกช้ำกับมีแผลแตกตรงหัวคิ้วที่ต้องเย็บละมั้งคะ แต่ยังไงทางเราจะเช็กดูให้อีกทีนะคะ คุณสองคนนั่งรอผู้ป่วยกันตรงนี้ก่อนนะเดี๋ยวคุณหมอทำแผลให้เสร็จแล้วถ้าไม่มีอาการอะไรร้ายแรงก็คงให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้ค่ะ” อีกฝ่ายกล่าวเสริมแล้วจึงลุกยืนขึ้น
ผมซึ่งเปรียบเสมือนหมาวัดผู้ต้อยต่ำไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะมีสิทธ์เด็ดดอกฟ้ามาเคียงตน ถ้าเพียงแต่ในนาทีนั้นผมปล่อยให้เธอเดินจากไปทุกสิ่งทุกอย่างคงไม่กลับกลายมาเป็นเช่นนี้ ผมคงไม่ได้รู้จักเธอ และไม่ต้องมาบาดเจ็บเจียนตายในภายหลัง
ถ้าเพียงแต่…
“ดะดะเดี๋ยวครับ คุณพยาบาลชื่ออะไรเหรอครับ…” ผมตัดสินใจร้องถามอีกฝ่ายที่อายุอานามดูจะมากกว่าผมไปไม่กี่ปีด้วยใจเต้นระรัว ไม่รู้ว่าในตอนนั้นตนเองขุดเอาความกล้าบ้าบิ่นมาจากไหนกัน แต่พอรู้ตัวอีกทีผมก็พลั้งปากโพล่งออกไปแล้ว
หญิงสาวที่กำลังก้าวท้าวจากไปหยุดกึกในทันใด ในใจผมปรารถนาเพียงอย่างน้อยได้เห็นใบหน้าสวยหวานนั่นอีกสักครั้งก่อนที่เธอจะลับหาย
“ค๊ะ…?” เธอเหลียวมามองผมด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ผมรีบเลื่อนสายตาลงมองป้ายชื่อเล็กๆ สีดำบนอกด้านขวาอย่างจับสังเกตแลเห็นตัวอักษรสีทองสลักไว้ว่า
‘พิมพ์ภาพร เกศรานุรักษ์’
ผมจดจำชื่อนั้นฝังไว้ในสมองอย่างรวดเร็วแอบนึกชื่นชมในความไพเราะของนามหญิงสาวที่ผู้เป็นบิดามารดาบรรจงตั้งให้
“อ่อๆ ไม่มีอะไรครับ” ผมกล่าวพลางหลุดท่าทางเก้อเขินออกไปเป็นพรวน ทั้งเกาศีรษะ ก้มหน้าหลุบสายตาหันรีหันขวางแล้วจึงเงยหน้ายิ้มแหยๆ ผิดกับอีกฝ่ายที่ส่งรอยยิ้มหวานหยดย้อยมาให้ช่างเป็นรอยยิ้มพิมพ์ใจที่งดงามยิ่งนัก
และไม่รู้ว่าเป็นเพราะความบังเอิญหรือโชคชะตาก็ไม่ทราบ เพื่อนพยาบาลร่างกะทัดรัดผิวคล้ำก็ได้เข้ามาเผยชื่อเล่นของคุณนางพยาบาลคนสวยให้ผมได้ยิน
“อ้าวนุ่น มัวทำอะไรอยู่รีบเข้าไปดูเคสช่วยคุณหมอสิ”
“ค่ะพี่” เธอผินหน้าไปตอบก่อนทั้งสองจะพากันก้าวเท้าฉับฉับแล้วผลักบานประตูห้องฉุกเฉินเข้าไปอย่างรีบร้อน
“นุ่น…” ผมทวนคำนั้นเบาๆ ประหนึ่งว่าได้ตอบรับคำทักทายของความรักที่พัดผ่านมา ไม่น่าเชื่อว่าแค่ได้พบพักตร์เพียงครั้งแรกหญิงสาวซึ่งมีกิริยาแช่มช้อยผู้นั้นจะทำให้ผมหวั่นไหวและเสียกระบวนได้ถึงเพียงนี้
‘บางทีรอยยิ้มที่ส่งมาอาจเป็นแค่วิถีอย่างหนึ่งในหน้าที่การงานของเธอเท่านั้นกระมัง’ ผมตั้งคำถามเพราะไม่อยากทึกทักไปเองได้แต่คะนึงถึงใบหน้าหวานริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อและดวงตาโตเสมือนตากวางคู่งามนั้นที่เชิญชวนให้ผมเข้าหาปรารถนาทำความรู้จักเจ้าตัวให้มากกว่านี้
“เพ้อใหญ่แล้วนะนาย ถ้าชอบก็จีบเลยสิครับ” ชาญยศพูดกรอกอยู่ข้างๆ ผมที่ยังคงเหม่อมองเข้าไปในห้องที่มีกระจกกั้นราวกับจะล่องลอยตามเธอเข้าไปด้วยกระนั้นแหละ
“เค้าคงมีแฟนอยู่แล้วมั้ง” ผมคาดคะเนแล้วตอบออกไปเรื่อยเปื่อยโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า ณ ขณะนั้นพรหมลิขิตได้ขีดเส้นทางความรักของชายหญิงคู่หนึ่งเอาไว้ให้แล้ว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ