ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
27) หมัด เท้า ไม้กวาด หัวใจ และโต๊ะบาร์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความไอ้กุ๊ยนั่นกำลังแสยะยิ้มอย่างย่ามใจ ดวงตาโตโปนบนใบหน้าขรุขระเขรอะไปด้วยเม็ดสิวฉายแววน่ากลัวราวกับปีศาจ หรือฆาตกรเลือดเย็นก็ไม่ปาน และที่สำคัญผมเห็นปลายเท้าของอีกฝ่ายเขยิบเข้ามานิดๆ เสียด้วยสิ ท่าทางที่ดูมุ่งมาดไม่มีอาการลังเลแม้แต่น้อยทำให้ผมเผลอกลืนน้ำลายลงลำคอดังเอื้อกด้วยความเสียวไส้
มันไม่ปล่อยเราไว้แน่ๆ…ความมั่นใจเช่นนั้นขับดันให้ผมยิ่งตื่นกลัว แผ่นหลังเย็นยะเยือกตัวชาวาบขึ้นมาทันใด
‘ทำไมถึงได้ทำอะไรโง่ๆ แบบนี้’ อดไม่ได้ที่จะนึกตำหนิติเตียนตนเองด้วยความรู้สึกโกรธและเสียใจระคนกัน ‘มันคุ้มค่าแล้วหรือกับการที่เรายอมเสี่ยงชีวิตเพื่อมาพบกับจุดจบอันน่าอเนจอนาถเช่นนี้’
“อะอะอะไรน่ะ” ผมถามออกไปเสียงตะกุกตะกักทั้งๆ ที่มองเห็นใบมีดมันปลาบในมือของอีกฝ่ายอยู่ทนโท่แล้วจึงข่มขวัญพวกมันด้วยเสียงที่ปิดบังความขลาดกลัวไว้ไม่มิด
“ไม่เล่นนะ…ยะอย่า อย่าเข้ามานะเว้ย”
“ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก” พูดไปใจก็เต้นโครมครามไม่หยุด รู้สึกได้เลยว่า ณ นาทีนั้นเป็นห้วงขณะที่เฉียดใกล้กับความตายมากที่สุดแล้วเท่าที่ในชีวิตของผมเคยประสบมา...
“เฮ้ยปล่อย!” แม้ตนเองจะพยายามสะบัดตัวขัดขืนสักเพียงไรแต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากพันธนาการนั้นได้เลย
“มึงจะดิ้นทำไมละวะ” ไอ้กุ๊ยที่จับตัวผมไว้ตะคอกใส่ด้วยความหงุดหงิดทั้งยังปล่อยน้ำลายกระเซ็นกระซ่านเปรอะเต็มกกหูไปหมด
‘อึ๋ย…ขยะแขยงชิบเป๋ง’
ฉับพลัน…ไอ้ตัวหัวโจกก็พุ่งปลายมีดแหลมแทงเข้ามาอย่างรวดเร็วทำเอาหัวใจของผมหล่นวูบปัสสาวะราดรดออกมาทันที
“อ๊าก!” ผมหลับตาปี๋พร้อมกับร้องลั่นด้วยความตกใจถึงขีดสุด
“ผัวะ…โครม”
‘……’
“โอ๊ย!” เสียงร้องอุทานของอีกฝ่ายทำให้ผมต้องเผยอเปลือกตาขึ้นดู แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นขาขวาของตนเองยกค้างขณะที่คนจู่โจมกลับหงายผลึ่งลงกับพื้นแทนเสียนี่
…ผมถีบมันกระเด็นอย่างนั้นหรือ!?
แม้จะงุนงงอยู่เล็กน้อยว่าทำไปได้อย่างไรแต่ก็ดีใจอย่างล้นเหลือที่ยื้อชีวิตจากความตายมาได้ ไม่รอช้าผมรีบกระทุ้งศอกเหวี่ยงศีรษะวาดแข้งฟาดขาไปมาอุตลุดพร้อมกับแหกปากโวยวายลั่นเพื่อหวังจะให้ตนเองรอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราช
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย!!!”
ไอ้ตัวหัวโจกผุดลุกยืนขึ้นมาอย่างฉับไวใบหน้าของมันบูดเบี้ยวด้วยแรงโทสะ คิ้วโก่งหงิกงอเหนือดวงตาโตที่จ้องเขม็งมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
‘ตายแน่ๆ เราต้องตายแน่ๆ คุณพระคุณเจ้าช่วยด้วย’ ผมภาวนาเหงื่อกาฬแตกพลั่กออกมาเป็นถังๆ
“เก่งนักนะมึงตายซะเถอะ” มันประกาศกร้าวก่อนจะปราดเข้ามาอีกเป็นครั้งที่สอง แต่จู่ๆ ก็มีเสียงกลุ่มคนดังกึกก้องมาจากทิศทางด้านหลัง
“ว้ากก!!!”
“ย๊ากก!!!”
ไอ้กุ๊ยนั่นเสียจังหวะชะงักงันขึ้นมาทันใด ผมเห็นมันยืนแข็งทื่อดวงตาเบิกโพลงราวกับเจอผี พอลองเอี้ยวคอหันไปมองก็เผลอคลี่ยิ้มออกมาน้ำตาแทบไหลเมื่อพบว่ากลุ่มชายวัยรุ่นสามคนที่แหกปากโวยวายวิ่งกรูกันมานั้นก็คือไอ้โต้ง ชาญยศ แล้วก็แฉ่ง เพื่อนๆ ของผมนั่นเอง…
‘เฮ้ย!’
แต่พวกมันไม่ได้พุ่งมาแค่ตัวเปล่าทว่ากลับเหยียดแขนชูอาวุธในมือหรา ทั้งขวดสุรา ด้ามไม้กวาด แล้วก็โต๊ะบาร์ทรงกลมสีดำมะเมื่อมที่ไอ้แฉ่งคงลงทุนไปแบกมาจากร้านเหล้าแถวๆ นี้อย่างไม่ต้องสงสัย
“ไอ้ห่าเอ้ยย!” ชายร่างผอมแห้งสบถอย่างหัวเสียจากนั้นจึงร้องบอกเพื่อนด้วยน้ำเสียงร้อนรน “เฮ้ยเผ่นเหอะ”
ผมสังเกตเห็นทั้งสองคนส่งสัญญาณทางสายตาให้แก่กันก่อนที่มันจะ…
“พลั่ก!”
“เหวออ…” ผมถึงกับร้องเสียงหลงขณะที่ร่างถลันล้มลงไม่เป็นท่าหลังจากถูกยันเข้ากลางก้นกบเสียจนหน้าคะมำเข่ากระแทกพื้นมือไถพรืดไปบนน้ำครำสกปรกเสียจนเปียกเปรอะ
เมื่อชำเลืองสายตาไปด้านข้างก็เห็นช่วงขาผอมๆ ในผ้ายีนสีซีดหม่นของไอ้กุ๊ยทั้งสองคนวิ่งผละจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรพวกมันก็พากันใส่เกียร์หมาโกยหางจุกตูดออกไปยังปากตรอกอีกด้านหนึ่งปล่อยให้ผมได้แต่ค้างอยู่ในท่าทุเรศทุรังแบบนี้
“เฮ้ยๆ ไอ้ย้งจับมันไว้เด้!” แฉ่งตะโกนบอกก่อนที่จะวิ่งตึก ตึก ชะลอฝีเท้าแล้วหยุดลงใกล้ๆ
“ไม่ต้องโต้ง…มึงตามไปไม่ทันหรอก”
“ตึก”
ชาญยศซึ่งเกาะกลุ่มมารีบทิ้งไม้กวาดลงพื้นก่อนจะรุดเข้ามาดูอาการของชายผู้เคราะห์ร้ายซึ่งนอนร้องโอดโอยอยู่ด้วยสีหน้าตาตื่น
“น้าครับเป็นยังไงบ้างครับ?” มันถามก่อนจะเรียกแฉ่งเข้ามาช่วยอีกแรง เพื่อนร่างยักษ์พยักพเยิดหน้าแล้วจึงค่อยๆ วางขาโต๊ะทรงแชมเปญ (ลักษณะเหมือนแผ่นจานกลมๆ) ลงตาม
“ตึ้ง!”
พอผมหันขวั่บมาอีกทีก็เห็นฝ่ามือขาวๆ ข้างหนึ่งยื่นเข้ามาและเมื่อแหงนมองดูจึงรู้ว่าเป็นมือของไอ้โต้งนั่นเอง ความประหลาดใจแล่นปราดเข้ามาในหัว แม้จะรู้สึกตื้นตันแต่ก็ไม่วายกังขา ทั้งๆ ที่เพิ่งหมางใจกันอยู่หยกๆ แล้วทำไมมันถึงได้….
“เร็วดิ” มันเร่ง คิ้วเข้มข้างหนึ่งเลิกขึ้นดวงตาโตเรียวฉายแววยียวนกวนประสาทเหมือนเคย
“ทะทะทำไมถึง” ผมพูดกระอึกกระอักชำเลืองสายตาหวาดๆ ไปที่มือข้างขวาของมันซึ่งยังกำคอขวดเปล่านั้นไว้แน่นหวังว่ามันคงจะไม่เจ็บแค้นเสียจนเอามันมาฟาดกบาลผมแหกหรอกนะ
“ลืมมันไปเถอะ” ทว่าอีกฝ่ายกลับตอบออกมาเสียงเรียบประหนึ่งว่าเหตุการณ์ที่เราทั้งสองขัดแย้งแทบจะวางหมัดวางมวยกันอยู่เมื่อครู่นี้ รวมทั้งถ้อยคำที่ผมด่ามันไปรุนแรงแบบนั้นสุดท้ายแล้วก็เป็นแค่เรื่องขี้ปะติ๋ว
“ยังไงมึงก็เพื่อนกู” มันกล่าวต่อทำให้ผมรู้สึกจุกในใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกก่อนที่โต้งจะพลิกฝ่ามือมาตบศีรษะผมฉาดใหญ่แล้วโพล่งออกมาให้สำนึก
“ช้านะมึงลีลาอยู่ได้ รีบพาพี่เค้าไปโรง’บาลเหอะ”
ผมมุ่ยหน้า ค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างไว้เชิง แล้วใช้สองมือปัดเศษผงเปียกๆ ที่เปื้อนอยู่ตรงหัวเข่าให้ร่วงหลุดก่อนจะทำเป็นตีลูกขรึมหันตัวไปช่วยแฉ่งกับชาญยศที่กำลังหิ้วปีกชายร่างท้วมซึ่งถูกรุมกระทืบเสียสะบักสะบอมกันคนละข้าง
“เฮ้ยๆ เดี๋ยวกูเอง แฉ่งมึงเอาของไปคืนเค้าเหอะ” ผมบอกแล้วจึงพาตัวเข้าไปรับน้ำหนักแขนอันหนักอึ่งแทนเพื่อนร่างสูงใหญ่ที่ถอยฉากออกไปทางด้านหลัง
“ไม่เป็นไรนะครับพี่” ผมไถ่ถามแกด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับล้วงหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าสีเทาอ่อนในกระเป๋ากางเกงข้างขวาขึ้นมาซับเลือดบนใบหน้ายับเยินนั้นเบาๆ
“ค่อยๆ เดินนะครับ”
“อะ อะโอ๊ย โอ๊ย!” ชายผิวคล้ำร้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อผ้าผืนบางประทับลงบนข้างแก้มทำให้ผมใจคอไม่ดี…นี่แกจะเป็นอะไรมากรึเปล่านะ
“งั้นเดี๋ยวกูไปเรียกแท็กซี่ให้” โต้งขันอาสาก่อนจะโยนขวดเหล้าในมือลงกองขยะดังฟุ่บ
“อืม…” ผมพยักหน้านิดหนึ่งพร้อมกับทำเสียงในลำคอเป็นเชิงรับทราบ
ความจริงแล้วหมอกควันขุ่นมัวที่คุกรุ่นอยู่ข้างในจิตใจของผมได้มอดดับไปตั้งแต่เห็นใบหน้าของมันวิ่งมาโน่นแล้ว…ทว่าศักดิ์ศรีที่ค้ำคออยู่กลับพาให้ตนเองเกิดอาการปากหนักพูดไม่ออกขึ้นมาเสียอย่างนั้น ได้แต่มองแผ่นหลังของเพื่อนร่างสูงเพรียวที่วิ่งนำไปพลางนึกสะท้อนใจว่าหากไม่มีเพื่อนๆ เข้ามาช่วยไว้ป่านนี้คงได้นอนจมกองเลือดอยู่ตรงนี้เป็นแน่แท้…
“แล้วนี่มึงเอาโต๊ะเค้ามาทำไม” ผมหันไปไถ่ถามไอ้แฉ่งที่กำลังใช้มือข้างขวากำแกนเหล็กของโต๊ะตัวสูง ส่วนอีกมือก็ถือไม้ค้ำยันเดินตัวเอียงตามหลังมาด้วยความสงสัย
“เอ้าก็เอาไว้ป้องกันตัวไงมึง” มันตอบเสียงทุ้มออกมาทันควัน “เผื่อพวกมันมีอาวุธ”
“โหย…มึงทำไมไม่เอาชุดเกราะกันกระสุนมาเลยล่ะวะถ้ามึงจะกลัวซะขนาดนี้” ผมกระเซ้ามันเล่นทั้งที่รู้สึกตื้นตันใจจนแทบล้นปรี่
“ฮะ ฮะ ฮะ”
หลังจากนั้นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมาเบาๆ ในหมู่ของพวกเราราวกับว่าตนเองได้ถูกโอบล้อมไปด้วยขุนเขาแห่งมิตรภาพภายใต้บรรยากาศของความมืดและเสียงเพลงอึกทึกครึกโครมที่นำพาพวกเราทั้งหมดไปยังรถแท็กซี่คันสีเขียว-เหลืองซึ่งจอดคอยท่าอยู่หน้าตรอกถนน และทำให้สังเกตได้ว่ามีวัยรุ่นชาย-หญิงจับกลุ่มมุงดูพวกเรากันอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
พวกเขาเหล่านั้นแสดงสีหน้างุนงงสงสัย บางคู่ก็กระซิบกระซาบคาดเดาเรื่องราวระทึกที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ไปต่างๆ นานา คงด้วยอารามแปลกใจที่เห็นผมกับเพื่อนช่วยกันพยุงชายพิการใส่ขาเทียมเดินกะเผลกๆ ออกมาจากตรอกมืดๆ ในสภาพใบหน้าด้านขวาอาบไปด้วยเลือดที่ไหลรินออกมาจากแผลแตกตรงหัวคิ้วชวนให้ตระหนกตกใจ
“มีอะไรก็โทรมาละกัน” แฉ่งที่ยืนอยู่บนริมฟุตบาทพูดพร้อมกับทำมือขวาเป็นรูปโทรศัพท์ยกขึ้นแนบใบหู
“อ้าวแล้วพวกมึงไม่ไปด้วยกันเหรอ?” ผมซึ่งสอดตัวเข้าไปนั่งรออยู่ในรถก่อนแล้วแหงนหน้าถาม
“กูจะเอาของไปคืนเค้า” มันบอกแล้วลดฝ่ามือลงมาตบหน้าโต๊ะที่ตั้งอยู่ข้างๆ เบาๆ ส่วนโต้งที่ยืนอยู่อีกด้านก็ยกด้ามไม้กวาดชูขึ้นเล็กน้อยส่งสัญญาณขอปลีกตัวไปกับเพื่อนด้วยเช่นกัน
“เฮ้ยเดี๋ยวกูรอพวกมึงไปด้วยกันดิ” ผมกล่าวเสียงอ่อนแต่ดูเหมือนพวกมันคงอยากเดินเตร็ดเตร่อีกสักหน่อยกระมังจึงไม่ได้แสดงท่าทีตอบรับใดใดแต่กลับเอ่ยปากเร่งผมแทน
“เฮ้ย มึงรีบไปเหอะ…แล้วพรุ่งนี้เจอกัน” มันบอกพร้อมกับเอื้อมมือมาผลักประตูรถทางตอนหลังให้ปิดปังเข้ามาก่อนที่ผมจะทันได้พูดอะไร
“เอ่อ…”
ถ้อยคำที่ผมตั้งใจจะกล่าวออกไปต่อจากนั้นถูกกลืนหายไปในทันที พอทอดสายตาผ่านบานกระจกกั้นก็เห็นทั้งสองพากันโบกมือหยอยๆ อยู่ใต้แสงไฟกะพริบวับวามยามราตรี ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ถึงเกิดอาการใจสั่นหวิวๆ ขึ้นมาอย่างประหลาด
แม้จะทราบดีว่าพรุ่งนี้พวกเราทุกคนคงได้พบหน้าค่าตากันอีก
ทว่า…ไม่ว่าจะครั้งไหน หรือเมื่อไหร่ ผมก็ยังไม่คุ้นชินกับการจากลาเสียที
__________________________
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ