ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
22) กระจกอนันตยกรรม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังจากที่เดินตรงมาตามทางผ่านบริเวณแนวสวนหย่อมเล็กๆ ซึ่งมีไม้ประดับจำพวกปรง เข็มสามสี หมากแดงใบชะพลู เตยหอม ว่านหางจระเข้ถูกปลูกลงดินไว้ให้พักหย่อนสายตาสาวสวยก็พาผมเดินทะลุประตูเข้ามาในห้องสีขาวโพลนห้องหนึ่ง
“ที่นี่มันที่ไหน?” ผมถามก่อนจะกวาดสายตามองไปทางขวาเห็นเตียงผู้ป่วยแบบมีราวเหล็กกั้นตั้งชิดฝาอยู่บริเวณกลางห้องส่วนด้านซ้ายตั้งโต๊ะสี่เหลี่ยมขอบมนไว้สำหรับวางโทรศัพท์อยู่เคียงกัน
และเมื่อเดินไปอีกหน่อยถึงได้เห็นว่าถัดลงมาทางฝั่งขวาของเตียงมีโซฟาเบาะหนังสีดำสภาพเก่าคร่ำคร่าปรากฏรอยขีดเขียนและฉีกขาดจนเห็นเนื้อฟองน้ำสีเหลืองที่บุไว้แพลมออกมาจัดชิดผนังอยู่ด้วย จะว่าไปแล้วห้องนี้ก็ดูโปร่งตาดีอยู่หรอกหากแต่มีขนาดเล็กอีกทั้งยังล้อมรอบด้วยผนังปูนแข็งๆ จึงชวนให้รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
“แล้วคุณพาผมมาที่นี่ทำไม?”
“ปกติแล้วทุกๆ ยี่สิบปีบนโลกมนุษย์จะมีการส่งเจ้าพนักงานจากสวรรค์ลงมานับจำนวนมนุษย์ผู้ซึ่งประกอบคุณความดีเพื่อทำเป็นข้อมูลทางสถิติและฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นที่รับผิดชอบในงานนี้” เธออธิบายเสียงเรียบ “และการที่ฉันพานายมาเป็นเพื่อนก็เพราะตอนนี้ฉันยังพานายกลับไปไม่ได้น่ะสิ”
“นี่คุณหมายความว่า!?”
“ท้าวมหายมน่ะไม่มีทางปล่อยนายไปง่ายๆ หรอกนะ” หญิงสาวบอกพร้อมกับสอดมือกอดอก
“แต่ผมเห็นกับตาว่าเขาล้มลงไป” ผมข้องใจ ภาพจุดจบของยักษ์ชราตนนั้นยังคงติดตาไม่มีทางที่เขาจะรอดพ้นแผงฟันอันแหลมคมของปลาเพชฌฆาตพวกนั้นได้อย่างแน่นอน
“ท่านท้าวน่ะเป็นเทพบริบาลชั้นสูงกายาแข็งแกร่งคงกระพันไม่มีวันตายง่ายๆ อยู่แล้วอย่างมากก็แค่ได้รับบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นแหละและฉันเชื่อนะว่าท่านจะต้องส่งพวกลิ่วล้อมาเฝ้าร่างของนายไว้ทั้งคืนแน่ๆ ลองหมายหัวไว้แล้วต่อให้พลิกแผ่นดินหาท่านก็ต้องเอาวิญญาณนายไปให้ได้”
พอได้ฟังอีกฝ่ายสาธยายมาแบบนั้นผมก็หน้าเจื่อนลงทันที
“แต่ไม่ต้องห่วง…ตราบใดที่ยังมีฉัน ฉันเองก็ไม่ยอมให้นายถูกจับตัวไปง่ายๆ เหมือนกันเพียงแต่ว่าพวกยมทูตนั้นจะมีฤทธิ์เดชมากในตอนกลางคืน กลับกันหากเป็นเวลากลางวันพวกเราจะได้รับพลังจากพระสุริยเทพและค่อนข้างได้เปรียบกว่า”
“แค่รอจนถึงพรุ่งนี้เช้าแล้วฉันจะพานายกลับไปอย่างปลอดภัย” ริมฝีปากได้รูปขยับ ขณะที่ดวงตาคมโตทอดมองมาทางนี้สีหน้าเรียบ
เมื่อได้ยินดังนั้นผมก็พลันดีใจจนเนื้อเต้น
“นะนะนี่แสดงว่าผมยัง…ยังไม่ตายใช่มั๊ยเนี่ย”
“อืม…” เธอพยักหน้า “ความจริงนายควรจะตายไปแล้วเสียด้วยซ้ำเพียงแต่พวกเราอยากจะให้โอกาสนายอีกสักครั้ง…ย้งนายยังมีเวลาอีกมากสำหรับการทบทวนตนเอง และมองเห็นสิ่งต่างๆ ให้ได้มากที่สุดในช่วงเวลาเพียงหนึ่งราตรีของโลกมนุษย์นี้” หญิงสาวกล่าวเสริมก่อนจะคลี่ยิ้ม
“ไม่ต้องห่วงมาทัวร์นางฟ้ากับฉันรับรองกลับบ้านเก่า อุ๊ย!” ร่างเพรียวยกมือบังริมฝีปากด้วยตกใจที่พูดผิดแล้วจึงแก้ไขถ้อยคำเสียใหม่ “กลับเข้าร่างโดยสวัสดิภาพอย่างแน่นอน”
ผมพยักหน้าหงึกหงักคล้อยตาม ถึงนาทีนี้แล้วก็คงมีแต่ผู้หญิงตรงหน้านี้เท่านั้นแหละที่จะช่วยผมได้ ไม่ว่าเจ้าหล่อนจะให้ทำอะไร หรือตะลอนไปไหนก็ยอมทั้งนั้นขอให้ผมได้ฟื้นคืนชีวิตอีกครั้งเถอะนะ
…สาริกา…
“แล้วคุณจะรู้ได้ไงว่าใครจะได้ขึ้นสวรรค์บ้าง” พอโล่งอกสบายใจแล้วผมก็วกถามเข้าเรื่องต่อด้วยความสงสัย “ไม่นับกันตาแฉะแย่เหรอเนี่ย”
“ก็เพราะพวกเรามีเจ้าสิ่งนี้ยังไงล่ะ” อีกฝ่ายแจงพร้อมกับชูของวิเศษที่คล้ายกระจกส่องหน้าวงรีซึ่งส่วนกรอบแบ่งเป็นสีดำครึ่งซ้ายและสีขาวครึ่งขวาสลักเสลาลวดลายเถาดอกไม้พันเลื้อยกันงดงามชดช้อย
ด้านล่างตรงโคนคอดระหว่างด้ามจับกับตัวกระจกแกะเป็นรูปตาชั่งที่ตรงกลางคานเป็นดวงอาทิตย์สีเหลืองสุกปลั่งเปล่งรัศมีสีทองหลายสิบแฉกมองแล้วตระการตายิ่งนัก
“กระจกอนันตยกรรมที่สามารถสะท้อนภาพกรรมดีและกรรมชั่วของมนุษย์ทั้งปวงตลอดจนประมวลผลออกมาเป็นค่าเปอร์เซ็นต์เสร็จสรรพ…ส่องเพียงครั้งเดียวก็รู้หมดแล้วว่าในอดีตใครทำอะไรมาบ้าง” สาริกากล่าวก่อนจะลากโยงไปถึงเรื่องนรกและสวรรค์
“เท่าที่ฉันรู้มาเดี๋ยวนี้ทางนรกผ่อนปรนกฎเกณฑ์ต่างๆ ลงมากกว่าแต่ก่อนเยอะในอดีตคนชั่วจะต้องรับโทษโดยแยกออกเป็นแต่ละกรรมๆ ไป
คนที่ก่อกรรมหนักก็จะถูกส่งไปยังนรกขุมลึกสุด เพื่อไปรับโทษจนกว่าจะหมดบาปนั้นแล้วจึงค่อยย้ายไปรับโทษอย่างอื่นต่อก่อนจะค่อยเลื่อนขุมขึ้นมาถูกลงทัณฑ์ในบาปต่อไปเป็นแบบนี้เรื่อยๆ ชดใช้จนหมดวาระกรรมนั่นแหละถึงจะได้ไปผุดไปเกิดหรือขึ้นสวรรค์
แต่เพราะการชำระบาปแต่ละอย่างกินระยะเวลายาวนานเหลือแสนทำให้ตอนนี้ที่ทางในนรกคับแคบลงไปถนัดตาส่วนสวรรค์ก็กลับว่างโหวงจนน่าใจหาย”
“คนเลวมันมีเยอะขึ้นสินะ” ผมปรารภออกมาด้วยสะท้อนใจ ระหว่างชำเลืองตามองอีกฝ่ายตรงดิ่งไปที่เตียงนอนว่างเปล่านั้นพร้อมกับแสดงทัศนคติให้ผมฟัง
“คนยุคนี้ไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้กันแล้วล่ะ มันเป็นความคิดที่ล้าสมัยไม่ก็ไร้สาระไปแล้วทุกคนต่างก็เชื่อในสิ่งที่ตาเห็นหรือพิสูจน์ได้ในหลักวิทยาศาสตร์เพียงเท่านั้น
มนุษย์เริ่มตั้งคำถามกับการทำความดีและความชั่วแยกแยะในสิ่งถูกผิดได้น้อยลง เคยได้ยินมั๊ยที่คนเค้าพูดกันว่าทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป” เจ้าหล่อนกล่าวเสียงเนือยๆ เหมือนเหนื่อยใจ
“บางคนก็ไม่เชื่อว่าทำดีแล้วจะได้ดีอีกแล้ว เพราะอย่างนี้พญามัจจุราชจึงต้องเปลี่ยนมาใช้ระบบของตาชั่งแทนยังไงล่ะ เมื่อสิ้นอายุขัยใครทำกรรมดีมากกว่ากรรมชั่วผ่านเกณฑ์หกสิบเปอร์เซ็นต์ก็ได้ขึ้นไปเสวยสุขบนสวรรค์ส่วนคนที่ได้ต่ำกว่านั้นก็ลงไปรับกรรม”
“ทำอย่างกับพวกสอบวัดระดับแน่ะ” ผมเปรยเบาๆ “อย่างนี้ก็น่าจะผ่านได้ไม่ยากนี่นา”
พอได้ฟังดังนั้นหญิงสาวก็ส่ายหน้าน้อยๆ แล้วจึงเสกแผ่นพลาสติกใสเนื้อแข็งขนาดเอสี่ม้วนหนึ่งปรากฏขึ้นมาในมืออีกข้าง
“การจะขึ้นสวรรค์มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่นายคิดหรอกนะ สมัยนี้หลักธรรมคำสอนของศาสนาถูกบิดเบือนไปเสียเยอะและยังมีมนุษย์อีกมากนักที่มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการทำความดี ผู้คนหลงใหลแต่เพียงเปลือกแต่คำนึงถึงแก่นแท้หรือหลักคำสอนของพุทธองค์น้อยลง
ตัวอย่างเช่น การสร้างวัตถุมงคล รูปปั้น สักการะที่แอบอ้าง หรืออุปโลกน์ขึ้นมาให้ผู้คนงมงาย การทำบุญที่หวังเอาหน้า หรือการให้โดยมุ่งหวังผลตอบแทนอธิษฐานขอสิ่งนั้นสิ่งนี้ ถึงจะเรียกว่าทำทานแต่ก็มีแรงบุญที่น้อยนักและบางครั้งการให้ทานที่ไม่บริสุทธิ์
เช่นสิ่งที่เราให้เป็นของไม่ดี หรือได้มาจากการยักยอกคนอื่นเขามา หรือขณะให้ก็มีจิตใจเศร้าหมอง เช่นถูกบังคับหรือฝืนใจทำ รวมถึงผู้ที่รับเป็นคนมีจิตอกุศล ประพฤติชั่ว สิ่งเหล่านี้ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การทำบุญทำทานนั้นกลายเป็นบาปไปได้เหมือนกัน”
ผมฟังแล้วก็สะดุดกึกในใจพอลองย้อนนึกไปแล้วเวลาบริจาคเงินทีไรก็มักจะขอพรนู่นนี่สารพัดทุกที
“ที่แย่ที่สุดก็คือคนบางคนก็ใช้ชีวิตอยู่โดยประมาทและไม่เห็นค่าของความดีงามเลยก็มี วันๆ จ้องแต่จะเอารัดเอาเปรียบคดโกงผู้อื่นเขาเพราะคิดไปว่าไม่มีใครมองเห็นความชั่วที่ตัวกระทำ…น่าสมเพชชะมัด” เธอพูดอย่างใส่อารมณ์พลางก้มลงดูอะไรบางอย่างที่ปรากฏขึ้นมาบนแผ่นพลาสติกนั้น “นายเองก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องพวกนี้เท่าไหร่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
พอถูกจี้จุดมาตนเองก็เกิดอาการอำอึ้งงงงันขึ้นมาทันที
“ระระเรื่องอะไรเหรอ” ผมถามพร้อมกับค่อยๆ ย่างเท้าเข้าไปหาเจ้าหล่อนที่ยืนอยู่ตรงปลายเตียงวางสีหน้าเคร่งขรึม
“นรก…สวรรค์” เธอกล่าวสั้นๆ
“ธะโธ่คุณใครเค้าจะไปคิดล่ะว่าเรื่องพวกนี้มันมีจริงกันเล่า” ผมบอกพร้อมกับเอี้ยวคอมองไปที่ผนังอีกด้านหนึ่งเห็นเข็มนาฬิกาแขวนทรงกลมกรอบหนาสีเงินบอกเวลาสามทุ่มยี่สิบแล้วก็ต้องตกใจ ไฉนเวลาผ่านไปเร็วจัง
“แล้วนั่นคุณกำลังจะทำอะไรน่ะ” พอหันมาอีกทีก็เห็นเธอใช้นิ้วกดๆ จิ้มๆ ไม่ทันไรอักษรมากมายก็วิ่งพรืดขึ้นมาเต็มไปหมด
“ฉันก็กำลังหาข้อมูลนายอยู่ไงล่ะ” หญิงสาวในชุดสีหวานบอก
“นายวิศรุฒิ แสงพรไพโรจน์ ชาตะสิบแปดมีนาคม” แล้วเธอก็ไล่สายตาอ่านข้ามไป “มรณะยี่สิบหก …เวลา…” ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมนิดหนึ่ง “อ่อนายตายตอนสองทุ่มสี่สิบสองนาทีสิบห้าวินาที” จากนั้นจึงก้มลงไปอ่านข้อมูลต่อ “สถานะวิญญาณยังไม่ได้รับการลงทะเบียน”
“ให้ผมดูมั่งสิ” ผมซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ ชะเง้อคอสอดหน้าเข้าไปหวังจะขอมีเอี่ยวด้วยแต่สาวเจ้าก็รีบขยับมือหนี พร้อมส่งสายตาดุใส่
‘โหยยยแค่นี้ก็ทำเป็นหวงไปได้’ ผมนึกบ่น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ