ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ลมหายใจสุดท้าย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“คุณมันแย่…เปลืองเงินบริษัทชะมัด” เสียงหัวหน้างานที่กำลังยืนอยู่หน้าเครื่องโปรเจ็กเตอร์ซึ่งฉายภาพตารางกลยุทธการจัดซื้อของบริษัทซึ่งมีข้อความและตัวเลขเต็มพรืดไปหมด บ่นพึมพำน้ำเสียงฉุนเฉียวออกมาระหว่างสถานการณ์อันตึงเครียดในการประชุมแผนการตลาด
ต่อหน้าบรรดาลูกน้องชายหญิงที่ได้แต่นั่งคอตกเป็นหมาหงอยล้อมรอบโต๊ะวงรีสีขาวขนาดสิบที่นั่งราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นกดหัวให้ต้องก้มหน้าหลุบสายตาลงต่ำอยู่ตลอดเวลา ทำให้ผมอับอายและเจ็บปวดรวดร้าวจนแทบหลั่งน้ำตา
ด้วยคมมีดที่ทิ่มแทงใจนั้นเองทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของผมได้ขาดสะบั้นลง และจำต้องบอกศาลากับบริษัทขายอุปกรณ์สำนักงานเล็กๆ ที่ผมพลีกายเทใจให้มาตลอดห้าปี แม้จะรู้ดีว่าตนเองนั้นถูกบีบให้ลาออก แต่ผมก็ทนกับสภาวะแบบนั้นซ้ำๆ ต่อไปไม่ไหวแล้ว
“หึ…” เสียงหัวเราะในลำคออันแผ่วเบาพร้อมรอยยิ้มเหยียดๆ จากริมฝีปากบางและสีหน้าดูแคลนนั่นแทนคำล่ำลาและประกาศชัยชนะที่แสดงออกมาแทบจะในทันทีที่ผมตรงเข้าไปยื่นซองขาววางบนโต๊ะทำงานในห้องอันโอ่โถงของเขาตอนช่วงบ่ายของวันถัดไป ก่อนที่ผมจะสะบัดตัวพรืดหันหลังสาวเท้ากลับไปเก็บข้าวเก็บของใส่ลังด้วยอารมณ์ชังน้ำหน้าไอ้หัวหน้างานชั่วๆ คนนี้เป็นที่สุด
แม้ว่าหลังจากนั้นผมจะรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจเป็นอันมากที่หลุดพ้นจากขุมนรกแห่งนั้นได้ แต่ก็สำเหนียกว่าตนเองนั้นได้ซมซานออกมาอย่างผู้พ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง
จนถึงตอนนี้ผมก็ยังคงจดจำใบหน้าชายวัยกลางคนไว้ผมทรงสกินเฮดรูปหน้ากลมแป้นผิวขาวเกลี้ยง คิ้วโก่งบางตาตี่ จมูกชมพู่ หุ่นเหมือนอาเสี่ยในชุดเสื้อเชิ้ตขาวสวมสูทสีดำสนิทและผูกเนกไทสีดำตัดลายเส้นทแยงสีขาวนั้นได้ดี
ดวงตาหรี่เล็กราวสระอิที่ตวัดมามองผมเป็นครั้งสุดท้ายช่างเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็ง ทั้งๆ ที่ผมก็อยู่ที่นั่นมานานพอๆ กับมัน และเราก็เคยพูดคุยยิ้มหัวให้กันหลายครั้ง หลายหน แต่ทว่าสุดท้ายอีกฝ่ายก็มองผมเหมือนมดเหมือนปลวกตัวหนึ่งเท่านั้นเอง
หลังลาออกจากงานผมจึงตั้งต้นหางานใหม่ ตอนแรกๆ ผมก็เหมือนกับไก่ตีปีกเริงร่าอยู่กับความอิสรเสรีและพกพาความมั่นใจที่สูงยิ่ง ด้วยเพราะประสบการณ์การทำงานด้านธุรการและจัดซื้อจัดจ้างมาหลายปี
ไม่ว่าจะงานเอกสารจำพวกการเบิกจ่าย จัดทำแค็ทตาล็อก รายงานการวิเคราะห์สินค้า อีกทั้งใบสัญญาต่างๆ รวมไปถึงการประสานงาน ตรวจสอบพัสดุ หรืองานภาคสนามผมก็ทำได้หมด จึงคาดหวังอย่างแรงกล้าว่าจะต้องมีงานที่ดีกว่า บริษัทที่ใหญ่กว่าคอยอ้าแขนรอรับผมอยู่อย่างแน่นอน
แต่ทว่าสิ่งหนึ่งที่ยากจะปิดบังก็คือโรคหอบหืด ที่คอยรุมเร้ามาตั้งแต่ผมอยู่มหาลัย แม้จะไม่ได้รุนแรงแต่ก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์นั้นเริ่มไกลห่างออกไปทุกทีๆ ประกอบกับแต่ละที่ก็มีผู้เข้าลงสมัครแข่งขันช่วงชิงตำแหน่งกันมากมายเหลือเกิน ทั้งหน้าใหม่ หน้าเก่า และหน้าเมื่อย
บริษัทที่เคยโทรมาเรียกตัวก็เป็นประเภทงี่เง่าไม่เข้าท่า ให้ไปขายนู่นขายนี่โดยอวดอ้างสรรพคุณว่าบริษัทให้ค่าคอมมิชชั่นสูง ทำแล้วดี ทำแล้วรวยอย่างนู้นอย่างนี้ แต่ให้ฐานเงินเดือนต่ำเตี้ยเรี่ยดิน…ทนทำอยู่ไม่กี่วันก็ระเห็จออกมาแทบไม่ทันเพราะเหมือนโดนหลอกให้กินหญ้า จึงทำให้ผมยังคงเตะฝุ่นและตกอยู่ในห้วงทุกข์ สภาวะเครียดกดดันเข้าเกาะกุมเกิดอาการชักหน้าไม่ถึงหลังในที่สุด
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาผมก็ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ถึงแม้จะประสบปัญหาทั้งเรื่องงานและเงินทำให้ชีวิตซวนเซจนแทบล้มกลิ้ง ด้วยความรักที่ได้รับจากแฟนสาวที่มีให้กันมาเกือบเจ็ดปี ไม่มีวันที่ความรู้สึกนี้จะทรยศผมหรือเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ผมรักเธอ และคิดอยู่เสมอว่าเธอเองก็ยังคงรักผม และเราสองก็จะสามารถฝ่าวิกฤตนี้ไปได้ด้วยกัน
“อดทนหน่อยนะนุ่น…เราจะพยายามหางานให้เร็วที่สุด คิดว่าเร็วๆ นี้แหละเดี๋ยวบริษัทเขาคงเรียกตัว” ผมบอกเธอไปเช่นนั้นขณะที่เราสองนั่งเคียงกันอยู่ริมขอบเตียงก่อนตนเองจะยื่นแขนไปกุมมือขาวละเอียดและบอบบางไว้แน่นเพราะอยากให้คนรักเชื่อมั่นและเชื่อใจในตัวผม แม้ว่าหนทางข้างหน้าจะมืดมนแค่ไหนก็ตามผมจะไม่มีวันทอดทิ้งเธอ
ตลอดมาผมเคยเข้าใจว่าระยะเวลาอันยาวนานและความผูกพันนี้คงจะพอทำให้เธอไม่คิดเปลี่ยนแปรไปรักใครคนอื่น หรือทิ้งผมไป….ทว่าความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย
เมื่อไม่มีงานนานเข้าเงินก็ขาดมือ หลายครั้งมันจำเป็นจริงๆ ที่ต้องหยิบยืมเงินของเธอมาใช้แก้ขัด แต่ผมก็รีบหาคืนให้เธอโดยไม่มีติดค้าง ผมหมกอยู่กับตัวเอง ขายทุกสิ่งที่พอจะขายได้ทั้งนาฬิกาข้อมือ โทรศัพท์มือถือ เสตอริโอ โทรทัศน์ โน้ตบุคฯลฯ ประทังชีวิต และแอบเจียดเศษเงินเล็กๆ น้อยๆ ไปดื่มเหล้าแก้กลุ้มบ้างเป็นครั้งคราว
เป็นอย่างนี้จากวัน เป็นเดือน และมาถึงตอนนี้ก็เกือบปีแล้ว จนพักหลังๆ แฟนผมออกอาการชักสีหน้าและพูดจากระทบกระเทียบผมอยู่บ่อยครั้ง พอจะแตะเนื้อต้องตัวเธอทีไรสาวเจ้าก็มักถอยห่าง บ้างก็ทำทีเป็นรำคาญ ทำให้ผมแอบเจ็บช้ำน้ำใจอยู่เรื่อยมา และที่น่าเบื่อสุดๆ ก็คือแม่ที่มักจะคะยั้นคะยอให้ผมกลับบ้านนอกคอกนาไปอย่างหมาขี้เรื้อนนี่แหละ
“ย้ง…กลับบ้านเถอะลูก” เสียงเนิบๆ นั้นกรอกมาตามสาย “เมื่อไหร่จะกลับมาล่ะ ไอ้หยกมันคิดถึงพี่ชายจะแย่แล้ว”
“ยังหรอกแม่…ย้งอยากได้งานที่นี่ก่อน” ผมตอบเสียงปัดๆ รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจทุกครั้งที่ท่านวกมาถึงเรื่องนี้ “แล้วเดี๋ยวยังไงจะกลับไปหาแม่นะ…รอหน่อยละกัน”
พูดเสร็จผมก็กดปุ่มวางสายลงฉับ พลางทอดถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย สอดมือถือเครื่องเล็กๆ สีดำราคาไม่ถึงห้าร้อยใส่กระเป๋ากางเกงแล้วเอนหลังพิงกับราวระเบียงเหล็กภายนอกห้องพักหลังจากตระเวนกรอกใบสมัครงานตามบริษัทต่างๆ อยู่หลายที่เสียจนขาลาก สายลมเย็นๆ รำเพยมาบนชั้นสามของ ‘จำเรียงอพารท์เมนท์’
พัดผมยาวย้อมสีน้ำตาลเข้มปรกติ่งหูและต้นคอผิวสีแทน ชายเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอ้านที่พึ่งถูกดึงออกมานอกกางเกงและเนคไทเรียบๆ สีกรมท่าพลิ้วไหวน้อยๆ แต่กลับไม่ได้รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวขึ้นมาเลย
น่าผิดหวังที่ผมเกิดมาใครครอบครัวชาวรากหญ้า แม่สานชะลอมทำดอกไม้ประดิษฐ์ส่งขายให้กลุ่มแม่บ้านสหกรณ์ในตำบล ส่วนพ่อแม้จะมีเชื้อสายจีนอยู่เต็มขั้นแต่ก็จบแค่ประถมหกและเป็นเพียงช่างซ่อมรองเท้าหน้าตึกแถวไม่ได้เป็นจ้าสัวล่ำซำมั่งมีเงินทองเหมือนพวกอาเสี่ย อาเฮีย คนอื่นๆ เขา
อีกทั้งแกยังด่วนจากไปตั้งแต่ตอนที่ผมเข้าเรียนปีหนึ่ง เราสามคนที่เหลือจึงอยู่กันแบบพออยู่พอกิน ลุ่มๆ ดอนๆ ไปตามยถากรรม ภาพของป๊าที่คอยดุด่าว่ากล่าวผม แล้วเอาสายเข็มขัดหนังไล่ฟาดจนต้องโดดเหยงๆ เป็นแค่ความทรงจำลางเลือนที่นึกขึ้นมาเมื่อใดก็มีแต่ร่องรอยของความเสียใจเพียงเท่านั้น
เสียดายที่ผมไม่ได้เกิดมาเป็นลูกผู้รากมากดีอย่างพระเอกในละครหลังข่าว หรือพวกเศรษฐีมีสตางค์ที่มักปรากฏตัวบ่อยๆ ตามงานกาล่าดินเนอร์ หรือสื่อต่างๆ มิได้หยุดหย่อน ไม่เช่นนั้นชีวิตผมคงจะโก้หรูดูดีกว่านี้มาก
จะดีเพียงไรถ้าได้ใส่สูทผูกไทลงหน้านิตยสารในฐานะนักธุรกิจหนุ่มไฟแรง มีรถเก๋งนำเข้าจากยุโรปสักคันให้ขับเล่น ผู้คนคอยชื่นชมพะเน้าพะนอ อีกทั้งยังได้แต่งเมียอย่างออกหน้าออกตามีกินมีใช้สุขสบายไปทั้งชาติ
ผมได้แต่ปลดปล่อยความคิดอันเพริศแพร้วให้เลื่อนไหลไปตามแรงปรารถนาภายในอยู่ตรงนั้น ด้วยรู้ตัวดีว่ามันเป็นเพียงแค่ความละเมอเพ้อพกที่ไม่มีทางเป็นจริงได้ในชั่วชีวิตนี้
และแล้วสิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็เกิดขึ้น เมื่อเช้าวันนี้คนที่ผมรักสุดใจและมาดหมายจะแต่งงานและครองชีวิตคู่ด้วยกัน กลับเป็นฝ่ายตีจากผมไปอย่างไม่ไยดีทิ้งไว้แต่เพียงกระดาษโน้ตเล็กๆ แผ่นเดียววางไว้บนชั้นวางไม้อัดซึ่งก่อนนี้เคยเอาไว้ตั้งทีวีแอลซีดีสามสิบสองนิ้ว ซึ่งถูกขายไปเมื่อสองเดือนก่อนให้ดูต่างหน้า เป็นอนุสรณ์แห่งความรักที่ย่อยยับอับปางโดยที่ตนเองยังมิทันได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อน
‘ขอโทษนะย้ง นุ่นไม่อยากอยู่กับคนไม่มีอนาคต’
หลังจากที่ได้อ่านข้อความสั้นๆ นั้นจบน้ำตาก็ไหล หัวใจผมพลันแตกสลายพร้อมกับร่างที่ทรุดฮวบลงไปนั่งคุดคู้อยู่บนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงนานเกือบครึ่งค่อนวัน แม้ว่าจะพยายามโทรหาเธอเป็นสิบเป็นร้อยครั้งแต่นุ่นก็ปิดเครื่องหนี พอโทรไปที่บ้านของเธอซึ่งอยู่ต่างจังหวัดก็ไม่มีใครรับสาย
ทว่าถึงจะเสียใจร้องไห้ฟูมฟายอย่างหนักแต่ก็ไม่นึกโทษโกรธเธอเลยแม้แต่นิดเดียว ผมเข้าใจเธอดี
ทั้งหมดนี้…ผมผิดเอง ผมมันกระจอก ไร้น้ำยา เอาตัวเองก็ยังไม่รอด แล้วจะไปดูแลปกป้องเธอได้อย่างไร ไม่มีใครหน้าไหนที่จะมาสนใจคนไร้ค่าไร้ราคาอย่างผมหรอก
‘ใช่แล้ว…’
‘ผมมันไร้ค่า…ไร้ค่าสิ้นดี’ เสียงนั้นสะท้อนก้องพร่ำบอกตัวเอง
ทุกอย่างมันมืดมนไปหมดและหนักอึ่งราวกับลูกเหล็กนับพันตันที่ผมต้องคอยแบกรับไว้แต่เพียงลำพัง
‘ความทุกข์ของเรา จะมีใครเล่าที่มองเห็น’ อดไม่ได้ที่จะนึกน้อยใจในโชคชะตา ที่เกิดมาพร้อมกับความยากจนโดยไม่มีสิทธิ์เลือกมันช่างเจ็บปวดทรมานเหลือแสน
‘โลกนี้มันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย’ คิดแล้วน้ำตาก็ร่วงผล็อย ขณะที่หนังตาเริ่มตกความง่วงอันรุนแรงถั่งโถมโจมตีเข้ามาอย่างรวดเร็ว ผมค่อยๆ กะพริบตาปรือๆ อย่างเงื่องหงอย ภาพตรงหน้าเบลอๆ มัวๆ มองไม่ชัดเหมือนเคย ความเงียบงันภายในห้องทำให้หูแว่วยินแม้เสียงลมหายใจที่ผ่อนลง และหัวใจที่ค่อยๆ เต้นไหวดังตึก…ตัก
ตึก…..ตัก
ตึก………ตัก
ตึก…………ตัก
ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะมืดดับลง
‘พอกันทีสำหรับชีวิตเฮงซวย และโลกอันเส็งเคร็งใบนี้’
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ