ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) อัตวินิบาตกรรม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ‘ไม่รู้ว่าอีกนานไหมกว่าที่จะมีคนมาพบศพผม’
ผมอดไม่ได้ที่จะกังวลใจขึ้นมานิดๆ ในขณะที่ตัดสินใจเอาพวกมันทั้งหมดยัดเข้าปากไปเต็มกำมือจนแคปซูลเม็ดเล็กๆ สีชมพูขาวบางส่วนร่วงพรูลงมาจากง่ามนิ้วที่ยังคงสั่นกึกกึก กระจัดกระจายอยู่บนฟูกเตียงนอนแข็งๆ ในห้องเช่าราคาถูก
ภายใต้แสงสลัวรางจากโคมไฟรูปสุนัขพิทบลูเทอเรียสีขาวโพลนดวงน้อยๆ ซึ่งวางอยู่บนโต๊ะวางของสีดำสนิทที่ตั้งอยู่ข้างๆ หัวเตียงโครงเหล็กสีเดียวกันขนาดหกฟุตส่องให้พอมองเห็น
จดหมายลาตายซึ่งเป็นเพียงกระดาษสมุดแบบมีเส้นขนาดครึ่งหน้าเอสี่ที่ผมบรรจงเขียนข้อความสั่งเสียแค่เพียงไม่กี่คำถูกสอดไว้อยู่ใต้ฝ่าเท้าอันหนักอึ่งของมัน ไม่มีทางหล่นหายหรือคนที่เข้ามาพบศพผมเป็นคนแรกจะมองเลยผ่าน
ถัดออกไปไม่กี่เมตรม่านสีเขียวอ่อนลายกราฟิกรูปต้นหญ้าสีเข้มตรงหน้าต่างบานเกล็ดยังคงทำหน้าที่เป็นกำแพงสายตาจากผู้คนภายนอกได้เป็นอย่างดี ก่อนหน้านี้แม้จะผุดลุกผุดนั่งชั่งใจอยู่เป็นนานทว่าพอถึงเวลาลงมือทำจริงๆ แล้วทุกอย่างก็ดูง่ายดายไปเสียหมด ยกเว้นแต่ตอนที่…
‘ไอ้ยานี่แม่งขมชิบเป๋ง’ ผมบริภาษในใจเมื่อเม็ดยาจำนวนมากเคลื่อนผ่านปลายประสาทลิ้นสัมผัสความกระด้างของมันที่ไหลพรวดพราดเข้ามา รับรสฝืดเฝื่อน และรู้สึกจุกแน่นราวกับกำลังกลืนกินเม็ดพลาสติกแข็งๆ ช่างเป็นรสชาติที่ไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย…ให้ตายเถอะ
‘รู้งี้ค่อยๆ กินทีละเม็ดดีกว่า’ ความคิดนั้นผุดพลุ่งขึ้นมาระหว่างที่ผมใช้มือซ้ายปัดยาบางเม็ดที่ติดเหนอะข้างๆ ปากให้กระเด็นไปอย่างหัวเสีย
เฮ้อ…อยากจะตายสบายๆ ทั้งทีก็ไม่ได้
บรรยากาศย่ำค่ำยามที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายชวนให้รู้สึกอ้างว้างและเปลี่ยวเหงา ความมืดหม่นรายล้อมผมไว้เหมือนดั่งความทุกข์รอบด้านที่บีบคั้นให้ผมต้องตัดสินใจทำแบบนี้
เพียงเพื่อปรารถนาให้ตนเองนั้นได้หลุดพ้นไปจากสภาพอันน่าสมเพชเวทนาที่เป็นอยู่ หลีกเร้นไปให้ไกลแสนไกลจากไอ้พวกมนุษย์บ้าบอ เห็นแก่ตัว และเข้าสู่ห้วงนิทรารมย์อันสุขสงบไปชั่วนิจนิรันด์…โดยไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีก
จากไปอย่างสันโดษ และสงบ…นี่ล่ะคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว
ผมซึ่งกำลังนั่งค้อมหลังตัวสั่นเทิ้มสำทับกับตนเองพร้อมกับปลดปล่อยหยาดน้ำใสๆ ให้ไหลรินจากปลายหางตาเป็นทางยาวเปรอะเปื้อนแก้มทั้งสองข้าง แทบลืมหายใจไปเลยระหว่างเฝ้ารอคอยนาทีมรณะให้มาเยือนเร็วๆ อย่างใจจดใจจ่อ
ริมฝีปากเล็กบางแห้งผากและสั่นหนักไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันด้วยความตื่นเต้น ขลาดกลัวที่มีมากขึ้นและมากขึ้นในทุกๆ วินาที ช่วงท้องซึ่งมีชั้นพุงน้อยๆ สีน้ำผึ้งใต้เสื้อยืดแขนสั้นธรรมดาสีขาวหม่นเบาโหวง ทว่าหัวใจดวงนี้กลับเต้นระรัวเร็วดังตึกตัก ตึกตัก ราวกับจะหลุดผลัวะออกมาจากอกเสียให้ได้ระหว่างลงมือกระทำอัตวินิบาตกรรมตนเอง
ความขมปร่าที่แล่นพล่านในลำคอทำให้ผมต้องรีบกระดกแก้วน้ำใสๆ ทรงกระบอกขึ้นดื่มตามอั่ก อั่ก อั่ก รวดเดียวหมด ก่อนจะวางมันไว้บนพื้นที่ปูด้วยกระเบื้องสีขาวอันเยียบเย็นข้างฝ่าเท้า แล้วจึงหุบปากพยายามกล้ำกลืนเม็ดแคปซูลที่บัดนี้เป็นเสมือนยาพิษเหล่านั้นเข้าไป
“เอื้อก…”
และสุดท้ายผมก็กระเดือกมันลงไปได้สำเร็จ ก่อนที่ลมในท้องจะตีสวนขึ้นมาทำให้เกิดอาการพะอืดพะอมคลื่นไส้
“อุแหวะ…แหวะ” ผมอ้าปากแผ่ลิ้นอยากจะขย้อน ไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าตาบูดเบี้ยวเหยเกแค่ไหนเมื่อได้กลิ่นเหม็นๆ ของตัวยาโชยออกมาจากช่องปากสูดเข้ารูจมูกเสียเต็มรัก อ้วกแทบพุ่ง แต่ก็กัดฟันฝืนทนกลืนมวลน้ำลายและเศษอาเจียนลงไปอย่างไม่ยอมแพ้
‘กูอยากตาย กูอยากตาย กูอยากตาย’ ความคิดเหล่านี้วนเวียนซ้ำๆ ในห้วงคำนึง กระตุ้นให้ผมยังคงเดินหน้าต่อ ณ ตอนนี้ผมพุ่งเป้าไปสู่สัมปรายภพแต่เพียงสถานเดียวเท่านั้น
หลังจากนั้นจึงค่อยๆ เอนตัวนอนลงเอาศีรษะที่ไร้เรี่ยวแรงพิงพนักหัวเตียงโครงเหล็กสีดำ พอได้ตระหนักถึงความตายแล้วก็รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ จนต้องดึงผ้าห่มผืนบางสีน้ำเงินเข้มที่กองยับยู่ยี่อยู่ตรงฝ่าเท้าขึ้นมาห่มคลุม
ใบพัดยาวใหญ่ของพัดลมสีเขียวตองอ่อนรุ่นเก่าบนเพดานตรงกลางห้องยังคงหมุนเอื่อยเฉื่อยส่งเสียงดังครึด ครึด ปานใกล้ตายไม่ต่างกัน ผนังสีขาวมอๆ ด้านตรงข้ามติดโปสเตอร์รูปสาวๆ บีเอ็นเคสี่สิบแปด (BNK48) ผิวขาวหยวกทั้งสิบหกอนงค์โพสท่าเก๋ไก๋อยู่ในชุดแฟชั่นแสนสดใส เรียงต่อกันสามแผ่น
ซึ่งตนเองเคยนึกชื่นชมหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราน่ารักนิดๆ เซ็กซี่หน่อยๆ ของพวกเธออยู่เป็นนิจ แต่ทว่าพักหลังมานี้รอยยิ้มหวานซึ้งเหล่านั้นกลับไม่ชวนให้จิตใจของผมสดชื่นตื่นตัวเหมือนเช่นเคย
ถัดไปนั้นคือโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่องโปรดฅนเหล็กภาคสองและสามซึ่งมีรูปอาโนลด์ ชวาลเซเนกเกอร์ในมาดสุดเท่เห็นเด่นเป็นสง่าเหนือพื้นหลังสีทึบทึม…นี่ล่ะนักแสดงยอดฝีมือขวัญใจผม
ส่วนผนังด้านหลังเหนือหัวเตียงเป็นโปสเตอร์ภาพยนตร์แผ่นใหญ่กว่าเรื่องแบทแมนบีกินส์ซึ่งเป็นรูปมนุษย์ค้างคาวกำลังอุ้มแรเชล ดอวส์นางเอกของภาคนั้นไว้ระดับอกโดยมีดวงไฟและฝูงค้างคาวบินโผเป็นแนวโค้งทางฉากหลัง
‘ลาก่อนนะครับคุณอาอาโนลด์…ลาก่อนนะน้องๆ บีเอ็นเค แล้วก็แบทแมน’ ผมบอกลาพวกเขาด้วยอารมณ์ที่เศร้าหมอง แล้วดำดิ่งสู่ความทุกข์ตรม ก่อนจะปลดปล่อยเขื่อนน้ำตาทะลักทะลายออกมาเป็นครั้งสุดท้าย
ปัญหาร้อยแปดพันประการที่ประดังประเดเข้ามาให้คิด คิด คิด จนหัวแทบระเบิดทำให้ผมเหนื่อยล้าเหลือเกิน หมดแรงที่จะก้าวเดิน และอ่อนแอจนไม่อยากมีลมหายใจไว้สำหรับวันพรุ่งนี้อีกต่อไปแล้ว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ