สถาบันลอยฟ้าแอตลาส

-

เขียนโดย Eraone

วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 20.21 น.

  2 บท
  0 วิจารณ์
  3,137 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 20.36 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) มารตื่นแล้ว

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

อาจจะจำเป็นต้องบอกให้รับรู้ก่อนว่า โลกนี้คละคลุ้งไปด้วยพลังอันลึกลับ อยู่ในร่างของมนุษย์เพื่อรอการตื่นของพลัง เอกสิทธิ์พิเศษนี้ทำให้มนุษย์กลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่เหนือกว่าเผ่าพันธุ์อื่นบนโลก ไม่ใช่ในเชิงสงคราม แต่ในเชิงการเอาตัวรอด

 

ครั้งหนึ่ง โลกเคยถูกทำลายจริงๆ มาแล้วด้วยลำแสงเวทมนตร์จากสิ่งมีชีวิตจากอีกจักรวาล เผ่าพันธุ์บนโลกทั้งปีศาจ มังกร เอลฟ์และสัตว์ในตำนานอีกมากมายสูญพันธุ์หมดสิ้น เหลือมนุษย์เพียงไม่ถึงหลักสิบคน พวกเขามีพลังแค่อยู่รอดแต่ไม่อาจต่อกรศัตรูได้ ภายหลังจากการแตกดับของโลก พวกเขาจึงร่วมกันสร้างโลกขึ้นใหม่และนำเผ่าพันธุ์บางส่วนกลับมาได้อีกครั้ง นอกจากนี้ยังได้บันทึกเรื่องราวการล่มสลายของโลกไว้ให้คนรุ่นหลังรับรู้ด้วย

 

โลกที่กำเนิดขึ้นมาใหม่นี้ มีดินแดนเทราลที่ไฟสงครามกำลังคุกรุ่น มันไม่ยอมจบสิ้นเสียที ตัวคานอำนาจที่ควรจะมีกลับไม่มี ทั้งหมดนั่นเพื่ออำนาจที่เหนือกว่าใคร ผู้คนมากมายล้มตาย กระสุนพุ่งมาจากข้างหน้า กลายเป็นเลือดพุ่งไปข้างหลัง คนธรรมดาไร้ทางสู้ ถูกฆ่า ทรมานหรือข่มขืนเป็นปกติ มีไม่กี่คน หรือถ้าจะให้ถูก มีอยู่คนเดียวที่ใครทำอะไรไม่ได้

 

******

 

ยามค่ำคืนวันนี้ ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนอนดูท้องฟ้าที่มองไปทางไหนก็มีแต่แสงดาวระยิบระยับ เขากอดดาบสองเล่มคู่ใจพลางนอนยิ้มให้กับท้องฟ้าโปร่งแสนสงบ พื้นบ้านทำจากไม้แม้จะเย็นเฉียบแต่ก็ดีกว่าร้อนผ่าวเป็นไหนๆ เขาลุกขึ้นนั่ง มองออกไปนอกระเบียงชั้นสองก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ คืนนี้เขาอยากพักผ่อนให้เต็มที่ เพื่อรุ่งเช้าจะได้ออกไปหาเสบียงเพื่อความอยู่รอดเหมือนที่เคยทำ

 

ทันใดนั้น เขาได้ยินเสียงฝีเท้าที่ฟังดูเหมือนกับเป็นการก้าวอย่างระมัดระวัง และไม่ได้มาคนเดียวหรือตัวเดียวอย่างแน่นอน ชายหนุ่มหูดีจนฟังเสียงก็รู้ว่ามันมากัน 5 คน คงเป็นพวกนักล่าค่าหัวแน่นอน เขาคิดแล้วก็ถอนหายใจ ดึงดาบออกจากฝักทั้งสองเล่มโดยไม่ให้มีเสียง เขาลุกขึ้น เดินมาดักรอพวกนักล่าค่าหัวที่ริมประตูห้อง

 

“ตอนนี้กี่โมงแล้ววะพวก?” คนหนึ่งถามขึ้นด้วยเสียงกระซิบ

 

“ตี 3 ป่านนี้มันคงหลับสบายอยู่ จะได้จัดการง่ายๆ หน่อย” อีกคนตอบด้วยเสียงระดับเดียวกัน

 

“จะไหวเหรอพี่? มันน่ะเก่งจะตาย ไม่มีนักล่าคนไหนกล้าเล่นมันเลยนะ” อีกคนหนึ่งแทรกขึ้นด้วยท่าทางหวาดระแวง ในมือกำมีดแน่น

 

“เดี๋ยวมันจะรู้ว่าใครเก่งกว่า” นักล่าที่บอกเวลาโม้เป็นการใหญ่ ก่อนที่กลุ่มนักล่าทั้งหมดจะค่อยๆ เดินขึ้นบันไดอย่างเงียบเชียบ

 

ชั้นบนของบ้านมีเพียงสองห้องเท่านั้น มีห้องหนึ่งที่ประตูเปิดไว้ และอีกห้องหนึ่งตรงสุดทางเดินที่ประตูปิดสนิท นักล่าทั้ง 5 คนตัดสินใจแยกกันไป 3 คนที่ห้องประตูเปิด ที่เหลืออีก 2 ไปห้องที่ประตูปิด พวกเขาเองก็ต้องรีบจัดการเพราะค่าหัวของชายหนุ่มคนนี้สูงจนไม่อาจทำเสร็จช้าได้

 

3 คนที่เดินเข้าห้องมาก็เห็นแต่ความมืด โชคยังดีที่ได้แสงจากข้างนอกส่องเข้ามาแต่ก็แค่นิดหน่อยเท่านั้น มันมืดจนมองไม่เห็นมือตัวเองเลย พวกเขาเดินสำรวจอย่างเงียบๆ ทั่วห้องก่อน พอเห็นว่าไม่มีอะไร คนหนึ่งก็ให้สัญญาณว่าจะจุดไฟแช็กเพื่อเช็คจำนวนคน

 

“ไหนนับเท้าซิว่ามีกี่คู่?” คนที่จุดไฟแช็กบอก

 

“1…2…3……..4…..4 คู่?” อีกคนนับเท้า แค่เหมือนจะนับเกินมายังไงก็ไม่ทราบ

 

“เฮ้ย! เอาดีๆ สิวะ อย่าแกล้งกันอย่างนี้” คนที่จุดไฟแช็กเอ็ดขึ้นเบาๆ

 

“เอ็งนั่นแหละ! จุดไฟไม่สว่าง ข้าเลยนับผิด เอ็งดับไฟก่อนเลยแล้วจุดใหม่” พอดับไฟแช็กแล้วจุดใหม่ก็เริ่มนับกันใหม่

 

“1…2…3… 3 คู่ โอเค ห้องนี้ไม่มีอะไรหรอก ไปรวมตัวเถอะ” คนที่นับก็นับจนถูก 3 คู่ ก็เลยพากันออกจากห้องไป แต่หารู้ไม่ว่านักล่าที่มาด้วยคนนึงโดนสังหารในจังหวะเดียวกับที่ไฟแช็คดับไป

 

“ว่ายังไงล่ะ? เจออะไรบ้างมั้ย?” นักล่าที่ไปสำรวจอีกห้องนึงถามเช็ค

 

“ไม่มีอะไรเลย ห้องนั้นล่ะ?”

 

“ไม่มีเหมือนกัน น่าแปลก มันจะไปหลบอยู่ไหนได้นะ?” คนหนึ่งเริ่มเกาหัวสงสัย

 

“พวกแกนี่ไม่ได้เรื่องเลยว่ะ รออยู่นี่ พวกข้าสองคนไปดูห้องนั้นเอง” ว่าแล้วนักล่าสองคนที่สำรวจห้องก่อนหน้าก็เดินเข้าไปอีกห้องนึง แต่พวกเขาก็ไม่รู้ตัวว่าสองคนที่เหลือนั้นก็ตายไปอย่างเงียบๆ เช่นกัน

 

สองคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ไม่รู้ว่าเพื่อนตายหมดแล้ว จึงเดินสำรวจห้องกันต่อ นักล่าคนนึงเดินไปเตะอะไรเข้าที่คล้ายกับคน

 

“ต้องใช่มันแน่ๆ” ว่าแล้วก็คว้ามีดนั้นแทงทะลุร่างที่นอนอยู่อย่างง่ายๆ

 

“เหอะ…ง่ายแค่นี้เอง เราก็แค่ตัดหัวมันไปขึ้นเงินเท่านั้น ไหนดูหน้าของแกซิหนุ่มน้อย…” คนที่ดูเป็นหัวหน้าหยิบไฟแช็กขึ้นมาจุด ทว่าก็ต้องตกใจ เมื่อร่างที่แทงไม่ใช่คนในป้ายประกาศ แต่เป็นเพื่อนร่วมทีมของเขาเองที่ร่างนอนแผ่แต่หัวขาดสะบั้น สีหน้าของเขาดูหวาดผวาเป็นที่สุด

 

“เวรเอ้ย! ไอ้บ้านั่น…” อีกคนก็แทบจะไม่เชื่อสายตาเช่นกัน แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไรต่อ หัวของทั้งสองก็หลุดออกจากบ่าในพริบตาเดียว จบชีวิตกลุ่มนักล่าค่าหัวดับอนาถ

 

ชายหนุ่มเก็บดาบเข้าฝัก เดินออกไปจากบ้านหลังนั้นเพื่อมานอนดูแสงดาวด้านนอก เขาดูไม่ยินดียินร้ายอะไรทั้งนั้น เหมือนกับว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นเป็นปกติ แล้วเขาก็จัดการได้เป็นปกติ ชายหนุ่มกำลังจะได้พักอยู่แล้ว ถ้าไม่มีดาวตกปรากฏบนท้องฟ้าต่อหน้าเขา เขาลุกขึ้นยืนอย่างตื่นตะลึง นี่หรือดาวตก เขาคิดพลางประสานมือขอพรอยากจะไปจากดินแดนแห่งนี้เต็มทน

 

ดูเหมือนคำขอของเขาได้รับการตอบรับ ดาวตกพุ่งด้วยความเร็วสูงตกลงมายังถนนด้านหน้าจนเป็นรอยร้าว เห็นเป็นแคปซูลล้ำสมัยเมื่อควันจางลง ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ๆ แคปซูลก็เปิดออกคล้ายกับต้อนรับเขาให้ก้าวเข้าไปข้างใน พอตัวเข้าไปอยู่ในนั้น ชายหนุ่มก็ผล็อยหลับไปพร้อมกับแคปซูลที่ออกบินอีกครั้ง

 

******

 

ชายหนุ่มค่อยๆ ลืมตาตื่นจากการหลับไหล ร่างกายของเขานอนแผ่ไปกับพื้น รอบตัวมีสีดำปนสายพลังงานหลากสีประหนึ่งนำจักรวาลมาครอบไว้ พอยันตัวลุกขึ้นยืน เบื้องหน้าก็มีบางสิ่งลอยทะลุขึ้นมาจากพื้นอย่างช้าๆ มันดูคล้ายกับมนุษย์ แต่แท้จริงเป็นปีศาจที่ควรจะสูญพันธุ์ไปตั้งนานแล้ว ร่างกายสีน้ำเงินอมม่วงโปร่งแสง เขาบนหัวสองข้างที่งองุ้มหักฉากไปด้านหลัง แขนขาที่ดูเหมือนหินแข็งๆ สีแดงเข้ม แววตาสีแดงฉานที่ส่อเจตนาน่าหวั่นเกรงจดจ้องมายังชายหนุ่มที่กำลังยืนตกตะลึง

 

“โอ้ ดูซินั่นใคร? เจ้าของวิญญาณของข้านี่นา…” มันเอ่ยขึ้นก่อน น้ำเสียงแม้ไม่ไร้อารมณ์แต่ก็น่ากลัวพิลึก

 

“บอกจุดประสงค์ของแกมาให้หมด ก่อนที่แกจะขาดครึ่ง” ชายหนุ่มชักดาบออกมา ดูไม่สะทกสะท้านอะไร แต่แล้วเขาก็โดนคว้าคอและเหวี่ยงลงกับพื้นเต็มแรง

 

“ไม่ต้องบอกข้าก็จะทำ ไอ้หนุ่ม ข้ามาเพื่ออยู่ร่วมกับแก ในร่างของแก เพราะตอนนี้พลังของแกได้ตื่นขึ้นแล้ว” มันเหยียบหน้าอกของชายหนุ่มแล้วก้มลงมาพูดด้วยน้ำเสียงที่หมายจะเอาชีวิต

 

“ข้าขอบอกแกคร่าวๆ ว่าข้าอยู่ในตัวของแกตั้งแต่กำเนิด ข้าไม่อาจทำอะไรไปมากกว่าเฝ้าดูการกระทำของแกมาตลอดชีวิต แม้แต่การขยับเนื้อตัวก็ทำไม่ได้ จนกระทั่งแกขอพรสำเร็จ” มันคงหมายถึงแคปซูลที่ชายหนุ่มเข้าใจผิดว่าเป็นดาวตก

 

“เรื่องของข้ามีหลายเรื่อง แต่ข้าจะให้เจ้ารู้ไว้ก่อนว่า ข้าคือปีศาจ ข้าสูญพันธุ์มานานนับล้านปีแล้ว บนโลกนี้เวลานี้ข้าไม่อาจสัมผัสถึงเผ่าพันธุ์ของข้าได้เลย มีเพียงข้าเท่านั้นที่หลุดรอดมา แต่แกกลับได้วิญญาณของข้าไปอยู่ในร่าง…ก็ถือว่าแกมีของอยู่” มันเดินวนรอบชายหนุ่ม พลางพินิจร่างกายของเขา

 

"อีกไม่นานนักแกจะตื่น เวอร์จิล จำชื่อข้าไว้ เวก้าคือชื่อของข้า " ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัยที่เวก้ารู้ชื่อ แต่เพราะเวก้าอยู่ในร่างมาตั้งแต่เกิด เขาก็คิดว่าคงจะสมเหตุสมผลอยู่พอสมควร

 

******

 

“!” เวอร์จิลสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เหตุการณ์ที่เจอเวก้ามันช่างสมจริงเหลือเกิน ประตูแคปซูลเปิดออกพร้อมกับควันฟุ้งกระจาย พอควันหาย ก็พบว่าตัวเองไม่น่าจะอยู่ที่เทราลอีกแล้ว มันเป็นห้องขนาดย่อมๆ ห้องหนึ่งตามแบบฉบับห้องทำงานส่วนตัว กำแพงกระจกที่มองออกไปจะเห็นทิวทัศน์สวยงาม ต้นไม้พันธุ์ประหลาดในกระถางอยู่มุมห้อง สายตาของเวอร์จิลกวาดไปมาก็เห็นว่ามีบุรุษสวมชุดสูทดูดีสีน้ำเงิน ผมยาวสีน้ำตาลเข้มมัดรวบไว้รับกับหนวดเคราที่ขึ้นบางๆ คล้ายกับโกนมาไม่กี่วัน หน้าตาไม่ได้ดูแก่มากนัก ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจับจ้องอยู่กับการกรอกเอกสารที่แค่ปัดๆ ก็มีเสียงว่า ‘ลงทะเบียนสำเร็จ’

 

“โอ้! คุณตื่นแล้ว เชิญมานั่งตรงนี้ก่อนนะครับ เรามีเรื่องคุยกันเยอะเลย” บุรุษผู้นั้นพอเห็นเวอร์จิลก็ผละจากกองเอกสารแล้วเดินเข้ามาหา พร้อมประคองตัวไปนั่งเก้าอี้ที่เตรียมไว้

 

“…ครับ ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้น คุณพอจะรู้มั้ยครับ?” เวอร์จิลทำตัวไม่ถูก คำสุภาพเขาก็พูดไม่ค่อยจะเป็นซะด้วยสิ

 

“อย่าห่วงไปเลยครับ ผมจะอธิบายทั้งหมด ก่อนอื่น ผมคือผู้อำนวยการ แมทธิว แบร์เร็ตต์ และผมยินดีต้อนรับคุณเวอร์จิลสู่สถาบันลอยฟ้าแอตลาสครับผม” แมทธิวพูดอย่างสุภาพแต่เป็นกันเอง เวอร์จิลตกใจมากกับการมานั่งคุยกันต่อหน้าบุคคลระดับผู้อำนวยการ ชีวิตของเขากำลังจะเปลี่ยนไปแล้วอย่างนั้นเหรอ?

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา