THE XENON
เขียนโดย ปณิธาน
วันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เวลา 01.35 น.
แก้ไขเมื่อ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 22.12 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) กำเนิด
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ1
กำเนิด
แรงที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกคือ เวลา เพราะมันทำให้ทุกๆสิ่งหายไปได้และเริ่มทุกๆสิ่งได้ แต่มันมีข้อเสียที่ทุกคนพากันเกลียด ‘เวลาไม่เคยค่อยใคร’ เราคงได้ยินกันจนชินหู แต่ข้อดีของมันนั้นก็มี คือ‘มันพาเราเดินไปข้างหน้า’
แต่จงตระหนักไว้เสมอ ถึงตอนเที่ยวจะมีทุกวัน ถึงวันจันทร์จะมีทุกอาทิตย์ ถึงมกราคมจะมีทุกเดือน แต่เมื่อมันผ่านไปแล้ว ไม่ว่าจะแค่วินาทีเดียว แต่มันก็ไม่มีวันกลับมาหาเราอีกแล้ว
และนี่คือหนึ่งในเรื่องราวที่เวลานำพามันมา มันเกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น และก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เวลากำลังนำเด็กหนุ่มคนหนึ่งให้เดินผ่านทุกๆบทในนิทานชีวิตของเขา ไม่ว่าอะไรที่จะผ่านมาและจะผ่านไป มันก็เป็นเรื่องราวชีวิตของเด็กคนนี้…
ในค่ำคืนคืนหนึ่งที่เงียบสงบ เหล่าผู้คนมากมายต่างพากันพักผ่อน ปล่อยจิตใจให้หลับใหลไปพร้อมกับร่างกายที่เหนื่อยล้าจากวันก่อนๆ ชีวิตแทบทุกชีวิตกำลังอยู่ในห้วงนิทรา เตรียมพร้อมที่จะตื่นอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ แต่สำหรับคนบางคน คำว่าพรุ่งนี้ ก็ไม่มีอีกต่อไป
ขณะนั้น เปลวไฟร้อนแรงก็ปรากฏขึ้น ชาวบ้านวิ่งกันสับสนอลหม่าน มนุษย์จำนวนหนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่ เหล่าทหารในเสื้อเกราะเหล็กไม่พบผู้รอดชีวิตจากกองศพตรงหน้าเลย ทหารนายนั้นก้มหน้าลงอย่างข่มขื่นใจ แต่เขาก็นำชีวิตที่ดับไปแล้วกลับมาไม่ได้ ก่อนเสียงร้องลั่นจะดึงความสนใจของทหารนายนั้นอีกครั้ง เขาเงยหน้าขึ้นมองตรงไปข้างหน้าและพบบ้านไม้หลังหนึ่งอยู่ข้างๆริมแม่น้ำที่ไหลผ่านตัวเมือง และไฟก็กำลังลามไปที่บ้านหลังนั้น
เสียงเท้าของผู้คนวิ่งกันอย่างสับสนรวมไปถึงเสียงคำรามของสัตว์ใหญ่ที่ดังกึกก้องทั่วท้องนภาในยามค่ำคืน ปลูกเด็กชายเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าสวยงามคู่หนึ่ง เด็กชายพยุงตัวลุกขึ้น และมองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมเบิกตากว้างอย่างตกใจ เมื่อเขาเห็นไฟสีดำที่ดูดกลืนแสงสว่างกำลังคลืบคลานเข้ามาใกล้ เขาจึงพยายามปลูกพ่อและแม่ของเขา
“ไฟไหม้!” เด็กชายตะโกนใส่อวัยวะรับเสียงของผู้เป็นพ่อที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด
“ห๊ะ! อะไรไฟไหม้” ชายวัยกลางคนเอ่ยพลางเลิกผ้าห่มบนตัวออก ด้วยความที่พึ่งตื่นก็เดินเหมือนคนเมา ไปจิ้มหน้าที่ปลายประตู
“ท่าน! เป็นอะไรหรือเปล่า” สตรีร่างเริ่มอ้วนแปลงเสียงแสบแก้วหู เมื่อย้ายจุดที่ดวงตาจับจ้องไปเป็นหน้าต่างที่หัวเตียงแล้วเห็นไฟที่ไม่ใช่สีปกติที่มันควรเป็น ไฟที่กำลังเผาบ้านของพวกเขาอยู่นั้น เป็นสีดำ
“ไฟสีดำ” ผู้เป็นมารดาพึมพำเหมือนเหม่อลอย “ไฟมาร”
“ไม่ว่ายังไงก็ออกไปจากที่นี่กันก่อน” ผู้เป็นพ่อพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน แต่ก็ยังคงสติของเขาเอาไว้ได้
“พ่อนี่มันไฟมาร!” ภรรยาโต้กลับพลางเหลือบมาสบตาสามีก่อนจะหันไปมองลูกที่มีนัยน์ตาที่สวยงามแต่บัดนี้ดวงตาของแม่กลับเศร้าสร้อยสุดจะหาคำบรรยายและสายตาที่พ่อมองมาที่ลูกก็ไม่แตกต่างกันมากนัก แค่ของพ่อมีประกายยินดีนิดหน่อย อยากน้อยลูกชายของเขาก็จะได้ไปเจอสิ่งใหม่ๆ แต่ก็แค่แวบเดียวที่เด็กชายเห็นมันกลับกลายเป็นความเศร้าที่หาใดเปรียบไม่ได้
“เอาตามนั้น” พ่อหันไปบอกกับแม่ ทั้งสองรู้ดีว่าไม่สามารถต่อกรกับไฟมารในตอนนี้ได้แน่ ทั้งสองอ่อนแอเกินไป และไฟมารนั้นมันมาเพื่อเผาทั้งสองแน่นอน
“แต่ลูกเรายังไม่...” แม่พูดได้ไม่ทันจบก็โดนสามีแทรกขึ้นอย่างจริงจัง
“อยู่นี่ไปอนาคตของลูกก็ดับสูญ แต่ไม่แน่ที่นั้นอาจมีความหวัง…ถึงแม้จะน้อยนิดแต่ก็มากกว่าที่นี่”
“แต่ที่นั้นอันตราย” ผู้เป็นแม่ยังไม่ยอมถอดใจ ลูกของพวกเขายังได้แต่ยืนนิ่งอย่างตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า
“เจ้าแน่ใจหรือ” ชายกลางวัยพูดแล้วแบมือออกปรากฏแสงสีฟ้าขึ้นบนมือของเขา หลังจากนั้นก็ลอยไปอยู่รอบๆเด็กหนุ่มเป็นบาร์เรียร์ สีฟ้ารูปไข่ห่อหุ้มร่างของเด็กหนุ่ม ไม่ทันที่เด็กชายจะได้เอ่ยถามอะไร ผู้เป็นแม่ก็เดินเขามากอดด้วยน้ำตาที่นองหน้า
“ลาก่อนนะลูกรักของแม่…ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จงสู้ต่อไปอย่างกล้าหาญนะลูกรัก” เธอเดินเข้ามากอดลูกชายสุดที่รักของเธอพร้อมกันนั้นก็ไม่อาจห้ามน้ำตาที่ไหลออกมาได้ เธอกอดร่างของลูกชายแน่น เหมือนไม่ต้องการให้อะไรก็ตามพรากเขาไปจากเธอ “แม่รักลูกที่สุดเลย”
ผู้เป็นบิดาก็ทำเช่นเดียวกัน “โชคดีนะ ระวังตัวด้วย ที่แห่งนั้นมันอันตรายมากแต่อยู่นี่ไปก็ไม่มีอนาคต แต่ที่นั้นไม่แน่ ถึงโอกาสจะน้อยนิดแต่มันก็คุ้มที่จะเสียง ลาก่อนนะลูกรัก” พ่อพูดขณะน้ำใสๆในตาก็ไหลลงมาเช่นกัน
ก่อนทั้งสองคนจะผงะออกมาเช็ดน้ำตา และทั้งสองพ่อแม่ก็รีบวิ่งไปนอกบ้านทิ้งให้ลูกชายยืนร้องไห้เพราะเข้าใจสิ่งที่ครอบครัวของเขาพูด ครั้งจะรั้งทั้งสองไว้ก็ไม่ทันเสียแล้ว ในขณะที่แสงสีฟ้าค่อยๆสว่างขึ้นเรื่อยๆพร้อมเสียงของสตรีผู้หนึ่ง
“ข้าเสียใจด้วยนะเด็กน้อย ไว้ถึงเวลาอันควรเราค่อยมาเจอกันใหม่นะ”
แล้วเด็กน้อยก็มาโผล่อีกครั้ง เด็กหนุ่มลอยตัวอยู่เหนือหลังคาบ้านของตนสร้างความแตกตื่นให้ประชาชนที่พบเห็นอย่างมากแต่เด็กชายไม่สนใจ เขามองหาพ่อแม่จากมุมสูงแล้วไปพบแม่ที่หลังบ้าน น้ำตาที่นองหน้าอยู่แล้วกลับเอ่อลนออกมาเมื่อเห็นผู้เป็นมารดานอนแนบนิ่งจมกองเลือดอยู่ มีรอยการถูกทำร้ายที่กลางหลังเป็นภาพที่โหดร้ายสำหรับเด็ก5ปีอย่างมาก เขาเหลือบไปเห็นบิดาที่ใช้ดาบฟาดฟันกับอมนุษย์อย่างสุดกำลัง เสียงดาบประทะกันอย่างหนักแน่นและรวดเร็ว แต่การแข็งขันที่ดุเดือดนี่จำเป็นต้องมีผู้แพ้ ซึ่งทำให้เด็กชายในเกราะกำบังตายทั้งเป็นเมื่อเห็นบิดาของเขาล้มลง ดาบของอมนุษย์จ่ออยู่ที่คอของพ่อของเด็กชายแล้ว พ่อเบือนสายตาขึ้นสบตาลูกของเขาที่ลอยตัวอยู่สูงทั้งน้ำตาแล้วพูดบางอย่างที่ไม่น่าจะดังถึงข้างบนแต่กลับเป็นเสียงที่ดังเข้ามาในหัวใจของเด็กชาย
“บางครั้ง สิ่งที่เราทำ ผลประโยชน์มันก็ไม่ได้อยู่กับเรา แต่อย่าเศร้าไป เจ้าจงยินดีกับผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับคนอื่นคนนั้นเสีย เพราะอย่างน้อย เจ้าก็ได้ทำมันแล้ว”
ฉึก...
โรงเรียนแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพ
ในยามพักเที่ยงของโรงเรียนแห่งหนึ่ง นักเรียนทุกคนต่างจับกลุ่มเดินทางไปล่าข้าวเที่ยงอย่างหิวโหย นักเรียนทุกกลุ่มพูดคุยกันเสียงดังอย่างสนุกสนาน ขณะที่กำลังหาอะไรใส่ท้อง แต่ทุกวันจะมีนักเรียนหนึ่งคน ที่นั่งคนเดียว กินคนเดียวไม่พูดกับใคร แววตาดูลอยๆ หลังทานเสร็จก็ค่อยๆเดินขึ้นห้อง เมื่อขึ้นมาถึงห้องเด็กคนนั้นก็เห็นกลุ่มเด็กอายุคราวเดียวกัน นั่งเป็นขาใหญ่อยู่บนโต๊ะเขา ซึ่งมันรักเหลือเกินที่จะมาหาเรื่องมาล้อเลียนเขา แต่เรื่องที่เด่นที่สุดคือเรื่องที่เขาเป็นเด็กกำพร้า เขากำลังจะเดินหนีแต่แล้วก็
“เฮ้ย นั้นมันไอ้เด็กพ่อแม่ตายนี่หว่า” เด็กหนุ่มร่างโตที่ใหญ่กว่าเขาอยู่พอประมาณทักแล้วก็มีเด็กอีก4คนเดินมาหาพร้อมเอ่ยว่า
“เด็กไม่มีแม่แล้วโตมาได้ไงน่า อ๋อหรือว่าหมาเลี้ยงไว้” คำพูดของเด็กคนนั้นเรียกคะแนนเสียงหัวเราะจากคนทั้งห้องได้อย่างดี ส่งผลให้เด็กชายอายุไม่เกินสิบ ร่างกายแข็งแรง สมส่วน สติปัญญาปานกลาง โลกส่วนตัวสูง ดวงตาสีฟ้า เรือนผมสีดำ จมูกมีดั้งเล็กน้อย คิ้วบางนามว่าซีนอน กำมือด้วยความโกรธที่โดนล้อเลียนเป็นประจำ แม้สีหน้าจะไม่แสดงความเจ็บปวดมากนัก แต่ในใจกลับปะทุยิ่งกว่าภูเขาไฟ ซีนอนโดนเช่นนี้อยู่บ่อยมาก ไม่รู้ว่าทำไมเพื่อนถึงเกลียดเขา นั้นอาจเป็นไปได้ว่าเพราะไอ้หัวหัวหน้ากลุ่มที่พยายามทำให้ทุกคนเกลียดเขา เกลียดเด็กที่ไม่มีทั้งพ่อและแม่ เพื่อนๆถึงใส่ร้ายว่าไปชวนเพื่อนคุยเวลาเรียนและแกล้งพวกคนที่นั่งข้างๆเพื่อให้เขาโดนย้ายไปนั่งข้างหลังคนเดียว ทำไมถึงไม่บอกครู เพราะซีนอนเคยลองแล้ว ครูก็จัดการแบบจัดๆไปงั้นๆ พอหลังจากนั้นไม่นานพวกมันก็กลับมาเล่นเขาต่ออีก
“เฮ้ยเป็นอะไร ซีนอน บ้านโดนเผาเหรา” เสียงพูดของเด็กที่เริ่มอ้วนพูด หลังจากซีนอนถอนหายใจอย่างเบื่อๆ
“นี่! ลืมไปแล้วเหรอว่ามันไม่มีบ้านมันนอนใต้สะพานลอย”
“เออ จริงด้วย ฮ่าๆๆๆ!” เสียงหัวเราะดังลั่นตามมา และเสียงเหล่านั้น เสียงที่พวกเขามอบให้ซีนอนทุกวัน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ