ลำนำบุปผาพิษ
เขียนโดย Xiaobei
วันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2562 เวลา 17.37 น.
แก้ไขเมื่อ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2562 14.04 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) บทที่ 9-10
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 9 ถือเป็นการพลิกฟ้าเลยก็ว่าได้...
ครั้งนี้เธอคาดการณ์ได้แม่นยำยิ่งนัก ยามที่ออกมานอกถ้ำอีกครั้ง สายฝนที่เทกระหน่ำอยู่ภายนอกได้กลายเป็นเพียงฝนที่ตกปรอยๆ แล้ว อากาศบริสุทธิ์สดชื่นชวนให้ดื่มด่ำ นำพาเอากลิ่นของต้นไม้ใบหญ้ามาด้วย เธอสูดอากาศสดชื่นเข้าไปจนเต็มปอด จากนั้นก็หันหลังวิ่งลงไปยังเชิงเขา
เพื่อฝึกให้วิญญาณของเธอเข้ากันได้ดีกับร่างนี้มากยิ่งขึ้น เธอจึงอยู่บนเขาฝึกฝนการใช้วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาอีกหลายๆ ครั้ง ยิ่งใช้ก็ยิ่งชำนาญ ยิ่งใช้ก็ยิ่งมีประสิทธิภาพ ความเร็วก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ...
......
เมื่อกู้ซีจิ่วจากไปแล้ว ภายในถ้ำก็กลับมาเงียบสงบอย่างที่เคยเป็นอีกครั้ง
ในถ้ำนั้นแสงสีฟ้าจางๆ ที่ส่องอยู่เหนือรูปปั้นหยกเคลื่อนที่เล็กน้อย อุณหภูมิภายในถ้ำไม่รู้ว่าลดต่ำลงไปถึงเพียงใด แต่ยิ่งนานก็ยิ่งลดต่ำลงเรื่อยๆ อากาศก็ยิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ ...
ประมาณครึ่งชั่วยาม[1]ต่อมา รูปสลักหยกที่นั่งตัวตรงอยู่ ณ ที่นั้นมาโดยตลอด จู่ๆ ก็ไอออกมาคราหนึ่ง แสงสีฟ้าจางๆ ภายในถ้ำก็พลันสว่างวาบขึ้น ละอองแสงสีฟ้าที่ดูราวกับหิ่งห้อยค่อยๆ ลอยมารวมตัวกันที่รูปสลักหยก และลอยวนไปรอบๆ รูปสลักหยก เพียงชั่วพริบตาก็ก่อตัวเป็นปราการแสงสีฟ้าหลังหนึ่ง ปกคลุมทุกส่วนของรูปสลักหยกไว้...
ผ่านไปสักพัก แสงเรืองๆ ที่รายล้อมอยู่ก็กระจายตัวออก รูปสลักหยกที่อยู่ ณ ใจกลางแสงสว่างนั้นพลันลุกขึ้น...ไม่สิ เดิมทีแล้วนั่นไม่ใช่รูปสลักหยก! แต่เป็นมนุษย์ที่มีชีวิตจริงๆ คนหนึ่ง! เป็นชายรูปร่างงามสง่าคนหนึ่ง
เขายืนหลับตาอยู่ตรงนั้น ผมสีขาวของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำอย่างรวดเร็ว ราวกับถูกย้อมด้วยน้ำหมึก เส้นผมของเขายาวสยายลงมาถึงข้อเท้า ปลิวไสวเล็กน้อย
เขาประสานมือทำมุทรา[2]ที่กลางอก แสงเรืองๆ ที่กระจายอยู่รอบๆ ในที่สุดก็กลับสู่ผนังถ้ำ เขาลืมตาขึ้นมา...
ขนตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำ นัยน์ตาคู่นั้นดำราวน้ำหมึก สุกสว่างดุจดวงดารา คล้ายมีแสงระยิบระยับมากมายลอยอยู่
เขาเพิ่งจะลืมตาขึ้น ก็ใช้สายตากวาดมองไปทั่วบริเวณถ้ำอย่างรวดเร็ว ในดวงตามีประกายเย็นชาวาบผ่าน ในถ้ำนี้ไม่มีกลิ่นอายของผู้อื่นแล้ว มีเพียงตัวเขา
แสดงว่าผู้ที่ถือวิสาสะมาลูบคลำร่างกายเขาตอนฝึกวิชากายาหยกอยู่หนีไปแล้ว!
ผู้คนบนโลกนี้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขาในระยะหนึ่งจั้ง[3] นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะมีคนไร้ยางอายกล้ามาแตะต้องตัวเขา! ทั้งยังเอาเสื้อคลุมของเขาไปอีกด้วย นี่ถือเป็นครั้งแรกในประวัติการณ์! ถือเป็นการพลิกฟ้า[4]เลยก็ว่าได้...
ในยามที่เขาฝึกวิชากายาหยก ร่างกายจะผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ปิดกั้นประสาทการรับรู้แทบทั้งหมด เหลือการสัมผัสไว้เพียงอย่างเดียวเพื่อใช้ตรวจจับภัยอันตรายจากภายนอก
อันที่จริงเขารับรู้ได้ตั้งแต่ยามที่คนผู้นั้นเข้ามาแล้ว แต่เพราะอยู่ในช่วงสำคัญของการฝึกฝน ยุติกลางคันไม่ได้ อีกทั้งรับรู้ได้ว่าผู้ที่เข้ามาไม่มีเจตนาร้ายต่อเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บังคับตัวเองให้ตื่นขึ้นมา เพียงแต่เร่งการฝึกให้เร็วขึ้นเท่านั้น...
แต่ไม่คาดคิดเลยว่าคนผู้นั้นนอกจากจะถอดเสื้อคลุมของเขาออกไปแล้ว ยังจะมาลูบคลำร่างกายเขาอีก!
เขาปิดกั้นการมองเห็น การดมกลิ่น การได้ยิน การรับรสชาติ เหลือไว้เพียงการสัมผัสเท่านั้น ดังนั้นจึงรับรู้ได้แค่ว่ามีมือเล็กๆ ข้างหนึ่งมาลูบๆ คลำๆ อยู่บนร่างกายของเขา...
ตลอดชีวิตนี้เขาไม่เคยถูกใครสัมผัสเช่นนี้มาก่อน ความรู้สึกนี้เกินบรรยายจริงๆ
ในยามนั้นเป็นช่วงสำคัญของการฝึกที่ชะงักกลางคันไม่ได้ ยิ่งไม่ควรมีคนมารบกวน ทว่าการลูบคลำอย่างหยอกล้อของคนผู้นั้นเกือบทำให้เขาถูกธาตุไฟเข้าแทรก แทบจะกลายเป็นรูปสลักหยกไปจริงๆ เสียแล้ว!
ขณะนี้ภายในถ้ำเย็นยะเยียบ และคนผู้นั้นที่กล้ามาล่วงเกินเขาก็หายตัวไปแล้วอย่างไร้ร่องรอย
-------------------------------------------------------------------------------------
บทที่ 10 เด็กเหลือขอ...
ประหลาดนัก! ยามที่เขาเข้ามาฝึกวิชา ก็ได้จัดวางค่ายกลไว้ทั้งด้านในและด้านนอกของถ้ำเพื่อป้องกันไม่ให้มีใครล่วงล้ำเข้ามาได้ แล้วคนผู้นั้นเข้ามาได้อย่างไรและออกไปได้อย่างไร?
เขาผายมือทั้งสองข้างออก แขนเสื้อสีขาวหิมะสะบัดพลิ้วไหวทั้งๆ ที่ไม่มีลม เศษซากต่างๆ ในถ้ำก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมา แล้วลอยมาอยู่เบื้องหน้าเขา
เดิมทีแล้วภายในถ้ำนี้สะอาดเป็นอย่างยิ่ง มีเศษซากต่างๆ อยู่น้อยมาก สิ่งที่ลอยอยู่เบื้องหน้าเขาจึงมีเพียงเศษผ้าขาดรุ่งริ่งไม่กี่ชิ้น
นี่เป็นเพราะกู้ชีจิ่วกระทำการอย่างรอบคอบยิ่ง เธอกลัวว่าโจรที่นำของมาซ่อนไว้จะกลับมาพบร่องรอยของเธอเข้า ดังนั้นจึงหยิบเอาผ้าม่านที่ขาดตอนตนเองกลิ้งหลุนๆ ลงมาติดมือไปด้วย หลงเหลือไว้เพียงเศษผ้าชิ้นเล็กๆ ไม่กี่ชิ้นตกค้างอยู่ในซอกหลืบที่มองไม่เห็น จึงถูกพลังวิญญาณของชายหนุ่มดูดออกมา
สายตาของชายผู้นั้นจ้องมองเศษผ้าไม่กี่ชิ้นนั้นอยู่สักพัก
สิ่งนี้เหมือนไม่ใช่วัสดุที่ใช้ทำอาภรณ์ แต่เหมือนจะเป็นผ้าไหมเงินที่เอาไว้ทำผ้าม่านเตียงโดยเฉพาะ...
‘หรือว่าคนผู้นั้นห่อกายด้วยผ้าม่านผืนหนึ่ง?’
เพราะว่าเขาเหลือไว้เพียงการรับรู้ผ่านสัมผัส ดังนั้นจึงมองไม่เห็นลักษณะของคนผู้นั้น ไม่ได้ยินเสียงของคนผู้นั้นแม้กระทั่งกลิ่นอายของคนผู้นั้นเขาก็ไม่ได้กลิ่น เลยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นหญิงหรือชาย แก่ชราหรือเยาว์วัย...
แต่ยามนั้นเขาสัมผัสได้ว่ามือที่ลูบคลำเขาเป็นมือเล็กๆ ขนาดไม่ใหญ่ ฝ่ามือหยาบกร้าน น่าจะเป็นเด็กที่ทำงานหนักอยู่เสมอ
เขาหลุบสายตามองร่างกายตนเอง ใบหน้าหล่อเหลาดำทะมึน บนร่างเขาสวมไว้เพียงเสื้อตัวในและกางเกงตัวในชุดหนึ่ง... ตั้งแต่เขาเกิดมาจนถึงบัดนี้ แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยแต่งกายไม่เรียบร้อยเช่นนี้มาก่อน!
เจ้าเด็กเหลือขอคนนั้นไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากซอกหลืบมุมใด...
เมื่อเขาชูมือขึ้นก็มีเสื้อคลุมที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนสวมลงบนร่างกาย เมื่อใช้มือสัมผัสใบหน้า บนใบหน้าก็ปรากฏหน้ากากปีศาจที่เปล่งประกายระยิบระยับบดบังใบหน้าเขาเอาไว้ หน้ากากนั้นมีหน้าตาดุร้าย ทำให้ผู้ที่เห็นในครั้งแรกย่อมไม่กล้ามองอีกเป็นครั้งที่สอง
เมื่อจัดการทุกอย่างแล้ว เขาจึงขยับร่างกายเล็กน้อย เพียงพริบตาเดียวก็ยืนอยู่นอกถ้ำ เงยศีรษะขึ้นมองท้องฟ้า แล้วชี้นิ้วขึ้นไป ที่ปลายนิ้วพลันมีลำแสงสีขาวเจิดจ้าพุ่งขึ้นไปบนฟ้า...
ไม่นานนักก็มีเงาร่างสี่ร่างเหินมาจากสี่ทิศทาง ก้มศีรษะคารวะ “ขอแสดงความยินดีที่นายท่านออกจากการกักตน!”
นายท่านผู้นั้นมองพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง คล้ายกับว่าจะหัวเราะอยู่ เอ่ยถามพวกเขาประโยคหนึ่งอย่างช้าๆ
“ยามที่ข้ากักตนฝึกวิชาอยู่ หลายวันมานี้พวกเจ้ามัวไปเอ้อระเหยลอยชายอยู่ที่ใดกัน?”
น้ำเสียงของเขาสุภาพและอ่อนโยน แต่ทั้งสี่คนนั้นกลับสั่นเทา พากันคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียง
“ข้าน้อยไม่กล้า! พวกข้าน้อยคอยอารักขาอยู่รอบๆ ภูเขาหนิงอู่ในระยะห้าสิบลี้ ไม่กล้าหละหลวม...”
“อ้อ...” นายท่านผู้นั้นขยับนิ้วเล็กน้อย “เช่นนั้นได้พบยอดฝีมือคนใดที่เข้ามาในภูเขานี้บ้างหรือไม่?”
“ไม่มีขอรับ”
พวกเขามีประสาทสัมผัสที่ไวต่อเหล่ายอดยุทธ์เป็นพิเศษ หากมียอดยุทธ์คนไหนเข้าใกล้ภูเขาลูกนี้ พวกเขาย่อมรับรู้และสามารถสกัดกั้นได้ทันที โดยใช้วิธีต่างๆ เพื่อให้คนผู้นั้นจากไป
นายท่านผู้นั้นมองดูพวกเขาแต่ไม่ได้พูดอะไร
ขณะนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง อีกทั้งอยู่ท่ามกลางภูเขา ทำให้อากาศค่อนข้างหนาวเย็น มีใบไม้ร่วงหล่นเต็มพื้น แต่อากาศรอบกายกลับระอุขึ้น คล้ายกับว่าอยู่ในฤดูใบไม้ผลิแล้ว
‘นายท่านโกรธแล้ว!’
ทั้งสี่คนที่หมอบอยู่บนพื้นตัวสั่นกว่าเดิม เพราะนายท่านของพวกเขาแตกต่างกับผู้อื่น ยอดยุทธ์ท่านอื่นเมื่อโมโหจะทำให้บริเวณรอบข้างเย็นลงแปดองศา แต่นายท่านของพวกเขากลับทำให้บริเวณรอบข้างร้อนระอุขึ้นแปดองศา! เขายิ่งโกรธมากเท่าไหร่ บริเวณรอบข้างก็ยิ่งคล้ายจะกลายเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิที่มีดอกไม้เบ่งบาน...
บนโลกใบนี้มีอยู่ไม่กี่เรื่องที่จะทำให้นายท่านโกรธได้ ในใจของทั้งสี่เต็มไปด้วยด้วยความสับสน หนึ่งในสี่คนนั้นทำใจกล้าแล้วถามขึ้นว่า “นายท่าน หระ...หรือว่ามีคนบุกรุกเข้าไปในถ้ำ?”
-----------------------------------------------------------------------------------
[1] ชั่วยาม คือหน่วยนับเวลาของจีน เทียบได้กับเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
[2] มุทรา หรือมุทระ (Mudrâs) คือการทำมือเป็นท่าสัญลักษณ์ต่างๆ ทางจิตวิญญาณ มาจากความเชื่อทางศาสนาในอินเดียทั้งฮินดูและพุทธ มักทำขณะฝึกจิต
[3] จั้ง เป็นหน่วยวัดแบบโบราณของจีน เทียบกับปัจจุบันคือประมาณ 3.3 เมตร
[4] พลิกฟ้า มาจากสำนวนจีนที่ว่า พลิกฟ้ากลบดิน หมายถึงกระทำการเหนือความคาดหมาย หรือกระทำเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้นำมาจากแหล่งอื่นและได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ