Almighty Man : The Stone Of Life

-

เขียนโดย antoncob

วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2560 เวลา 00.34 น.

  4 session
  0 วิจารณ์
  4,867 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2560 03.56 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) The Stone of Life (Part1)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 คุณเชื่อในเรื่องของพระเจ้าไหม บางคนเชื่อ หรือบางคนไม่เคยเชื่อเลย คุณเคยเชื่อเรื่องเทพและเหล่าปีศาจ หรือพวกมนุษย์กลายพันธุ์มีพลังพิเศษและความสามารถเหนือมนุษย์บ้างไหม บางคนอาจคิดว่ามันเป็นเชื่อที่บ้าๆก็ได้ แต่สิ่งเหล่านี้มีมานานตั้งแต่ยุคกำเนิดมนุษย์ยุคแรกเสียอีก มันเป็นพรของพระเจ้าและบางอาจจะเป็นคำสาปจากปีศาจ
 
 
 
2500 ปีที่แล้ว
กรุงบาบิโลน, อาณาจักรบาบิโลเนีย
 
      
 
       ไม่มีอาณาจักรแห่งไหนในโลกในยุคอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ที่จะยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองไปกว่าบาบิโลเนีย หลังจากบาบิโลเนียได้สูญเสียอำนาจการปกครองให้แก่พวกฮิตไทต์ที่อพยพมาจากเทือกเขาซากรอสที่บุกมาปล้นสะดมและยึดครองอำนาจการปกครองได้ แต่ไม่นานพวกคัสไซต์ก็เข้ามารับช่วงต่อจากพวกฮิตไทต์เป็นเวลากว่า 400ปี ในการปกครอง ในที่สุดพวกคาลเดียน หรือชนเผ่าฮิบรูทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของลุ่มแม่น้ำไทกริส-ยูเฟรติส ได้เข้ายึดและสถาปนากรุงบาบิโลนเป็นเมืองหลวงอีกครั้งหนึ่ง
 
    
 
    และที่สำคัญอาณาจักรบาบิโลเนียใหม่นั้นรุ่งเรืองกว่าครั้งก่อนถึงหลายเท่าตัว การค้าขายกลายเป็นศูนย์กลางของอาณาจักร แรงงานทาสจากเชลยชาวยิวมีเป็นจำนวนมากเมื่อในสมัยพระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์เข้าไปตีเมืองเยรูซาเล็ม นอกจากนี้กรุงบาบิโลนยังมีสวนขนาดใหญ่ที่ใช้ความรู้ด้านชลประทานในการเลี้ยงพืชพันธุ์ของสวนแห่งนี้ให้เขียวชอุ่มไปทั้งปี นั่นคือสวนลอยแห่งบาบิโลน
 
    
 
     อาคารบ้านเรือนในกรุงบาบิโลนนั้นแออัดไปด้วยสิ่งปลูกสร้างที่ทำด้วยอิฐและดินเหนียวเป็นจำนวนมาก ผู้คนแออัดเหมือนกับเมืองเซาเปาโลในยุคปัจจุบันถ้าหากเปรียบเทียบกัน บรรดาร้านค้าและร้านรวงต่างๆเต็มไปด้วยผู้คนในยามบ่ายแก่ๆ แสงแดดสะท้อนกับตัวอาคารที่ทำมากจากอิฐและดินเหนียวทำให้ทั้งเมืองมีโทนสีส้มอ่อนๆ ความมีชีวิตวาของบาบิโลนเปรียบเสมือนกับเมืองตากอากาศแถบทะเลเมเดิเตอเรเนียนทำให้ไม่แปลกใจเลยว่าเมืองนี้คืออันดับหนึ่งในยุคนั้น
 
   
 
       เขตชุมชนแออัดของเมืองเต็มไปด้วยผู้คนยากจน และอาชญากรที่หลบหนีจากสายตาของทหาร บาบิโลนไม่มีผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ มีแต่ทหารที่คอยปกป้องเมืองจากศึกภายนอกกำแพง ทำให้ปัญหาของอาชญากรรมเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่ากฎในอดีตอย่าง ตาต่อตา ฟันต่อฟัน นั้นยังคงใช้อยู่ แต่ก็ไม่มีผู้ใดรู้สึกเกรงกลัว ที่นี่ยังเป็นชุมชนของพวกแปลกประหลาดนั้นคือ พวกมนุษย์ที่มีพันธุกรรมพิเศษ หรือมนุษย์กลายพันธุ์นั่นเอง พวกเขาถูกสังคมในกรุงบาบิโลนแยกพวกเขาออก การไม่ยอมรับของคนส่วนมาก ทำให้พวกเขาต้องหลบซ่อนตัว หรือก่ออาชญากรรมด้วยพลังพิเศษ ผู้คนภายในกรุงบาบิโลนไม่มีใครกล้ามาเขตชุมชนซอมซ่อแห่งนี้ เพราะมีความเชื่อว่าเป็นแหล่งของอสูรร้าย
 
  
 
      ข่าวของฆาตกรที่สังหารคนในเมืองไปกว่าห้าคนเพื่อที่จะปล้นทองคำ และได้โจรกรรมสินค้าในร้านค้ามณีไปกว่าสิบร้าน ถูกบอกเล่าต่อๆกันมาปากต่อปากจนได้ยินไปทั่วกรุงบาบิโลน และเรื่องเล่าพวกนั้นก็เข้าหูของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ปกปิดใบหน้าของตัวเองด้วยชุดคลุมปกปิดร่างกายสีดำ ผมสีดำของเขาถูกคุมด้วยหมวกที่เย็บติดมากับชุดของเขาทำให้ใบหน้าของมองเห็นได้แค่ดวงตาสีฟ้าของเขาและโครงหน้าเรียวยาวทรงไข่ มีดคาตาร์ได้ซ่อนอยู่ในชุดคลุมของเขา ที่เขาซ่อนอาวุธติดไว้กับเข็มขัดหนังสีดำ รวมถึงมีดสั้นของเขาจำนวนหนึ่ง
 
     
 
    สภาพทรุดโทรมของตัวอาคาร และท้องถนนที่สกปรกของเขตซอมซ่อแห่งนี้ดูเหมือนกับรังโจร ชายภายใต้ชุดคลุมกำลังเดินหาอะไรบางอย่างอยู่ นัยน์ตาคู่สีฟ้าของเขาสอดส่องไปรอบๆบริเวณสองข้างทาง ผู้คนรอบๆต่างแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ดูเก่าสกปรกต่างจ้องมองเขาเหมือนสงสัยอะไรบางอย่างในตัวเขา
 
 
    
 
       เขาหยุดอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง ที่ดูโอ่อ่ากว่าบ้านหลายๆหลังในเขตนี้ มันสร้างด้วยดินเหนียวและอิฐ เป็นทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ เขาแนบลำตัวชิดติดกับกับผนังของบ้านหลังดังกล่าว และมองไปที่ช่องหน้าต่างสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ภายในบ้านมีชายอายุราวสามสิบต้นๆ ผมสีดำขลับ ตัวค่อนข้างที่จะท้วม กำลังนั่งชื่นชมกับทรัพย์สมบัติของเขาอยู่ มันคือทองคำจำนวนมากในกล่องไม้ขนาดกลาง ชายคนดังกล่าวหยิบทองขึ้นมาจำนวนหนึ่ง พร้อมกำไว้ที่มือจนแน่น เขาแบมือของเขาออกมา ทองได้หายไปจากมือของเขาเหมือนทองพวกนั้นละลายเข้าไปยังมือของเขา ใบหน้าของเขาดูมีความสุขอย่างแปลกประหลาด เหมือนกับใช้สารเสพย์ติด และไม่กี่วินาทีร่างกายของเขาก็เรืองแสงสีทองทั่วร่างของเขา ใบหน้าของเขาดูเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขแบบแปลกประหลาด จนกระทั่งร่างของเขากลายเป็นปกติ
 
 
 
        
 
       ชายหนุ่มภายใต้ชุดคลุมไม่รีรอ เขาเดินเข้าไปในบ้านของเขาอย่างง่ายดาย เพราะในสมัยนั้นบ้านของประชาชนไม่นิยมมีประตูหรือหน้าต่างเหมือนกับสถานที่สำคัญต่างๆ เสียงฝีเท้าของเขาเหยียบลงบนพื้นบ้านทำให้เกิดเสียงเล็กๆที่น่ารำคาญต่อการได้ยิน ทำให้ชายเจ้าของบ้านรู้ตัวว่ามีคนบุกรุก
 
 
 
“แกเป็นใคร ใครอนุญาตให้แกเข้ามา แกขออนุญาตกับฉันหรือยัง” ชายเจ้าของบ้านมองไปที่ร่างของชายหนุ่มสวมชุดคลุมปิดใบหน้าแล้วพูดขึ้นด้วยอารมณ์โกรธ
 
 
 “ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตกับโจรอย่างแก” เขาพูดขึ้น พร้อมมองไปที่ชายคนนั้นอย่างเอาจริงเอาจัง
 
 
“ปากอย่างแกต้องโดนฉันสั่งสอน” ชายคนนั้นยืนขึ้นก่อนที่จะพูดขึ้น
 
 
 “พอดีฉันก็เคยสอนคนมาเยอะเหมือนกัน” ชายหนุ่มใช้พลังจิตผลักชายเจ้าของบ้านลอยไปกระแทกกับผนังบ้าน จนมันหมอบลงไปที่พื้น
 
 
“แกก็เป็นพวกมนุษย์พิเศษเหมือนกับฉันนี่” ชายเจ้าของบ้านลุกขึ้นและพุ่งเข้าไปชกคู่ต่อสู้
 
    
 
         ชายชุดคลุมหลบหมัดของชายเจ้าของบ้านไปทางขวา พร้อมใช้มือซ้ายอันแข็งแกร่งของเขาจับแขนข้างขวาของชายเจ้าของบ้านและทุ่มลงบนพื้น ชายเจ้าของบ้านถึงกับนอนแน่นิ่ง สายตาของเขามีเลศนัยเล็กน้อย จนเขาลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
 
 
“ฝีมือไม่เลวนี้ ตัวประหลาดต่อสู้กับตัวประหลาด คงจะสนุกไม่น้อย” ชายเจ้าของบ้านใช้มือสะบัดเสื้อและพูดท้าทาย
 
 
 “ในที่สุดบุรุษปริศนาผู้พิทักษ์บาบิโลนก็ปรากฏต่อหน้าฉัน และที่สำคัญเขาก็เป็นมนุษย์เผ่าพันธุ์เดียวกับข้า เรื่องราวของแกชาวบาบิโลนต่างลือกันไปทั่วในฐานะวีรบุรุษ และตัวประหลาด แต่.....อย่างหลังน่าจะเยอะกว่านะ” ชายเจ้าของบ้านพูดต่อเหมือนรู้ว่าชายคนนั้นคือคนดังในบาบิโลน
 
 
 “ฉันไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกับแก” ชายชุดคลุมลุกยืนขึ้นพร้อมหยิบมีดคาร์ตาขึ้นมา
 
       
 
     มือข้างขวาของชายชุดคลุมที่จับมีดคาร์ตาอยู่ พุ่งแทงไปยังร่างของชายเจ้าของบ้าน แต่ชายเจ้าของบ้านหลบทัน ทันใดนั้นร่างของชายเจ้าของบ้านกลายเป็นชุดเกราะทองคำพื้นผิวมันวาว ชายสวมชุดคลุมหาจังหวะแทงไปที่ท้องของมันแต่ร่างกายของมันกลับไม่เป็นอะไรเลย ชายที่เขาต่อสู้ด้วยได้กลายเป็นมนุษย์ทองคำ เขาคว้าคอของคู่ต้อสู้บีบจนแน่นและยกขึ้นเหนือไหล่ ชายหนุ่มที่โดดบีบคอพยายามดิ้นให้หลุด พลังจิตของเขาไม่สามารถใช้ได้เพราะสติของเขาไม่นิ่งพอ
 
 
 “เป็นยังไงล่ะ แน่จริงดิ้นให้หลุดสิ” มนุษย์ทองคำมองไปที่หน้าของชายหนุ่มคนที่เขาบีบคออยู่แล้วพูดขึ้น
 
      
 
     มนุษย์ทองคำโยนร่างของคู่ต่อสู้ไปติดกำแพง จนอิฐเริ่มพังลง ชายหนุ่มพยายามลุกขึ้นยืนด้วยความลำบาก มนุษย์ทองคำพ่นทองออกจากปากของเขาใส่คู่ต้อสู้ แต่คู่ต่อสู้ของเขากระโดดหลบได้ทำให้พลาดเป้า สะเก็ดทองคำที่เขาพ่นออกมาไปโดนกับผนังจนมันแข็งตัวกลายเป็นทองคำ
 
  
 
      ร่างของชายหนุ่มพุ่งกระแทกใส่มนุษย์ทองคำอย่างรุนแรงจนมันล้มลงกระแทกกับผนังอิฐจนพังทลายลง ผู้คนภายนอกมองร่างของชายมนุษย์ทองคำ ที่ถูกชายหนุ่มพุ่งกระแทกทะลุผนังออกมาข้างนอก ต่างแตกตื่นและวิ่งหนี ทั้งคู่ลุกขึ้นมาและต่อสู้กันต่อ มนุษย์ทองคำพยายามล็อกตัวของชายหนุ่มเพื่อที่จะดันไปชนกับกำแพง แต่ชายหนุ่มสะบัดหลุดจึงชกไปที่ใบหน้าของมนุษย์ทองคำจนกระเด็นออกไป
 
   
 
       มนุษย์ทองคำล้มลงกับพื้น อาศัยจังหวะที่ชายหนุ่มกำลังเดินเข้ามาหาตัวเองปล่อยลำแสงสีทองจากมือของตนเองพุ่งไปที่เท้าของชายหนุ่มทั้งสองข้าง แสงที่ปล่อยกลายเป็นโซ่ตรวนสีทองยึดเท้าทั้งสองข้างของชายหนุ่มติดกับพื้น โดยที่ขยับหนีไปไหนไม่ได้ มนุษย์ทองคำเดินเข้ามาหาเป้าหมายทันที  เขาจ้องไปที่ตาสีฟ้าของเป้าหมายแล้วพูดว่า
 
 
 “ตาสวยดีนี่ ขอเก็บไปเป็นของสะสมหน่อยนะ พอดีฉันเริ่มจะเบื่อทองแล้วล่ะ” มือของเขาเปลี่ยนเป็นดาบเล็กๆสีทองวางไว้บนตาข้างขวาของชายหนุ่ม
 
   
 
       ชายหนุ่มพยายามใช้พลังจิตผลักดาบที่วางไว้บนตาออกไป แต่ไม่สามารถทำได้ ขาทั้งสองข้างของเขาดิ้นสุดกำลัง โซ่ตรวนเริ่มขยับจนแตกออกจากแรงของเขา ร่างของชายหนุ่มลอยขึ้นไปบนฟ้า ทำให้มนุษย์ทองคำคับแค้นเป็นอย่างมาก
 
   
 
      ร่างของชายหนุ่มพุ่งตรงดิ่งมาที่อสูรสีทองอย่างรวดเร็ว หมัดข้างขวาของเอาอัดไปที่ใบหน้าของมันอย่างจัง ร่างของมันลอยไปไกลกว่าสองร้อยเมตร ชายหนุ่มเหาะตามไปซ้ำทันทีจนร่างสีทองของมันเริ่มที่จะเปลี่ยนเป็นผิวหนังของมนุษย์
 
 
 “ทองที่กินเข้าไปเริ่มหมดแล้วละสิ  มากินหมัดฉันแทนดีกว่า” ชายหนุ่มชกไปที่คางของมันและชกไปที่แก้มข้างซ้ายไปอีกหมัดหนึ่งจนมันล้มลง
 
    
 
     มนุษย์ทองคำพยายามพ่นเกร็ดทองคำออกจากปาก แต่พลังเริ่มน้อยลงทุกที จนร่างของมันกลายเป็นมนุษย์ เขาไม่รอช้าที่จะซ้ำอีกครั้งด้วยการเตะเข้าไปที่คางจนมันสลบเหมือด ชาวเมืองที่แอบดูอยู่ห่างๆรู้สึกปลอดภัยจึงออกมาจากที่ซ่อนแล้วปรบมือให้กับชายหนุ่ม เขาโค้งคำนับรับเสียงปรบมือและจึงเหาะออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนทหารจะเข้ามากระชับพื้นที่แค่ไม่กี่นาที
 
 
 
 
**********************************************************************************
 
 
 
 
 พระราชวังบาบิโลเนีย
 
     
 
       พระราชวังบาบิโลเนียเป็นอาคารแบบซิกกูแรตมีรูปทรงคล้ายพีระมิดแบบขั้นบันได แต่ไม่ก่อสร้างสูงจนเป็นยอดแหลม และสร้างด้วยอิฐและไม้ ด้านบนของซิกกูแรตจะเป็นวิหารของนักบวช
 
      
 
     ชั้นถัดจากชั้นบนสุดเป็นห้องโถงของราชวังเป็นห้องประทับของกษัตริย์แห่งบาบิโลเนีย ซึ่งในยุคนี้มีกษัตริย์คาร์ลเซลครองราชย์อยู่ กษัตริย์คาร์ลเซลมีพระราชโอรสสองพระองค์ ซึ่งต่างบิดา และมารดา และพระโอรสองค์ที่สองคือกลาดิโอคือสายเลือดที่แท้จริงของทั้งคู่
 
  
 
        ด้วยวัยชราและอาการประชวรอยู่บ่อยครั้งทำให้กษัตริย์คาร์ลเซลเตรียมสละราชสมบัติให้แก่โอรสในเร็ววัน แต่ใครล่ะที่จะได้เป็นกษัตริย์ ข่าวลือแพร่สะพัดออกไปในกรุงบาบิโลนอย่างรวดเร็วว่าเจ้าชายกลาดิโอจรับช่วงต่อแทน เจ้าชายกลาดิโออายุห่างจากพี่ต่างบิดา และมารดาของเขาถึงสิบปีในวัยยี่สิบห้าปี
 
      
 
      ดูเหมือนว่าเจ้าชายกลาดิโอยังไม่พร้อมเท่าไร เขามักจะประหม่าอยู่เสมอเมื่อพบกับอะคันตุกะจากอาณาจักรต่างๆ และการพูดในที่สาธารณะของเขาไม่ค่อยจะดีเท่าไร ซึ่งต่างจากพี่ชายของเขาอย่างเห็นได้ชัด พี่ชายของเขามีทักษะทางด้านการต่อสู้มือเปล่า การใช้ดาบ และการพูดปราศรัย และศักยภาพของพี่ชายของเขานั้นพร้อมมากในการรับช่วงต่อเป็นกษัตริย์ และเขายังเป็นเจ้าชายที่เก่งที่สุดในบรรดาอาณาจักรต่างๆบริเวณนี้อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามกษัตริย์คาร์ลเซลมีเหตุผลส่วนตัวอยู่เสมอ และดูเหมือนสถานะภายในพระราชวังของพี่ชายเขานั้นจะด้อยกว่ากลาดิโอมากเลยทีเดียว
 
    
 
      เจ้าชายกลาดิโอกำลังฝึกฟันดาบกับทหารฝีมือดีคนหนึ่งอยู่ ท่าทางของเจ้าชายกลาดิโอดูไม่ได้เรื่องเป็นอย่างมาก จนกษัตริย์คาร์ลเซลที่แอบดูอยู่ถึงกับผิดหวัง
 
 
 
       “กลาดิโอ ทำได้แย่มากเลย พ่อไม่รู้จะทำยังไงกับลูกดี ลูกต้องตั้งใจกว่านี้ ทหารชั้นล่างๆยังทำได้ดีกว่าเลย” คาร์ลเซลมองไปที่กลาดิโอแล้วพูดขึ้นพร้อมทั้งใช้มือส่งสัญญาณให้ทหารที่ฝึกสอนออกไป
 
 
 “เอาน่าพ่อ วิชาสงครามผมไม่ถนัดหรอก ถ้าศิลปะผมทำได้ทุกอย่าง แล้ว.....ผมคงไม่ได้เป็นกษัตริย์หรอกใช่ไหม ต้องเป็นพี่คีนูอาอยู่แล้ว”กลาดิโอเก็บดาบใส่ปลอกดาบที่แขวนไว้ตรงข้างเอวของตนเอง
 
 
 “ถ้าคีนูอาเป็นละก็ พ่อจะแบกหน้าเอาไปไว้ที่ไหน มันไม่มีคุณสมบัติด้วยซ้ำ” คาร์ลเซลพูดพลางไม่ยอมรับลูกชายอีกคนของเขา
 
 
“พี่คีนูอาเก่งนะครับ ตัวเขาคนเดียวเคยจัดการพวกทหารของอียิปต์ตั้งร้อยกว่าคนได้สบายเลย ผมเห็นพ่อเอาพี่ไปรบตลอดนี่ครับ”
 
 
“พ่อแค่จะรอเมื่อไรมันจะพลาดสักที พ่อเลยส่งไปไงล่ะ”
 
 
 “ผมไม่เข้าใจว่าพ่อมีอคติกับพี่เรื่องอะไร ในเมื่อเขาเป็นครอบครัวเดียวกับเรา เขาต่อสู้เพื่อบาบิโลเนียมากกว่าผมอีก ดูผมสิวันๆอยู่แต่ที่นี่  ไม่ก็ถูกพ่อบังคับให้เรียนโน่นเรียนนี่” กลาดิโอพยายามอธิบายให้พ่อเข้าได้เข้าใจ
 
 
 “ใช่.....พ่อยอมรับว่ามันเก่ง เป็นยอดนักรบที่สมบูรณ์แบบ แต่มันไม่ใช่......” คาร์ลเซลพูดขึ้นพร้อมหยุดชั่วครู่จึงเปลี่ยนเรื่อง“ก็แค่เขาไม่ใช่สายเลือดเกียวกับเรา” คาร์ลเซลพูดพลางเดินมองออกไปที่ระเบียง
 
 
 "พ่อจะให้ผมเป็นก็ได้” กลาดิโอพูดขึ้นทำให้คาร์ลเซลรีบหันหลังกลับมาหา กลาดิโอจึงพูดต่อ “หลังจากนั้นหนึ่งวันผมจะสละราชสมบัติให้พี่คีนูอา”
 
 
"พ่อต้องปรับทัศนคติกับแกใหม่ซะแล้ว” คาร์ลเซลพูดขึ้น ใบหน้าของเขาไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ลูกชายสุดที่รักของเขาพูดขึ้นมา
 
 "ผมไปได้หรือยัง” กลาดิโอถาม
 
 
“เชิญ” คาร์ลเซลอนุญาตให้กลาดิโอไปได้
 
     
 
        คาร์ลเซลรู้สึกกังวลเป็นอย่างมากต่อเจ้าชายกลาดิโอ สายเลือดแท้ๆของเขาแต่กลับไม่ชำนาญเรื่องการสงครามและการปกครอง ทำให้เขาเป็นห่วงบาบิโลเนียขึ้นมาทันที ถึงแม้ว่าบาบิโลเนียจะมีทหารที่แข็งแกร่งอยู่ก็ตาม ในยุคที่รุ่งเรืองของบาบิโลเนียมักจะมีปัญหาทางด้านเขตแดนอยู่เสมอ ดังนั้นความรู้ด้านการสงครามเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้อาณาจักรอยู่รอดได้
 
 
 
       ในห้องประทับของเจ้าชายคีนูอา ซึ่งอยู่ชั้นสามของซิกกูแรต ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับห้องของเจ้าชายกลาดิโอ พี่ของเขา เจ้าชายคีนูอามีเชื้อสายของราชินีเนติปาซี ซึ่งเป็นอดีตราชินีของบาบิโลเนีย และบิดาแท้ๆของเขานั้นไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเป็นใคร และราชินีเนติปาไม่ยอมปริปากพูด เจ้าชายคีนูอามีอายุได้ห้าขวบก่อนที่มารดาของเขาจะแต่งงานกับคาร์ลเซลแห่งบาบิโลเนีย
 
  
 
     ราชินีเนติปาซีได้สวรรณคตเมื่อคีนูอาอายุได้เพียงเจ็ดปี เนื่องจากสาเหตุการแพร่ระบาดของโรคระบาด หลังจากนั้นไม่นานคาร์ลเซลก็แต่งงานกับราชินีมาเนโป และหลังจากนั้นอีกสามปีเขาก็ได้ลูกชายคนที่สอง และมีสายเลือดแท้ๆของเขา นั่นคือเจ้าชายกลาดิโอนั่นเอง
 
 
       เจ้าชายคีนูอาถอดชุดคลุมออก ร่างเปลือยเปล่าของถูกแสงเทียนสะท้อนจนผิวเขามีสีส้มอ่อนๆ เงาในกระจกแสดงให้ถึงใบหน้าของเขาและตาสีฟ้าอ่อนของเขา แน่นอนเขาคือชายในชุดคลุมที่เพิ่งจัดการกับโจรขโมยทอง
 
  
   
     เสียงฝีเท้าดังขึ้น เจ้าชายคีนูอาหยิบผ้าคลุมที่ทำมาจากผ้าชายอียิปต์ปกปิดร่างกายทันทีแต่เนื้อผ้าบางจนเห็นเงาของกล้ามเนื้อของเขา  เจ้าชายกลาดิโอปรากฏตัวยังในห้องของเขา
 
 “ผมขอโทษที่ไม่ได้บอกพี่ก่อน ว่าผมจะเข้ามา” เจ้าชายกลาดิโอพูดพร้อมโค้งคำนับ
 
 
 “ไม่เป็นไรหรอกน่า ว่าแต่....มีเรื่องอะไรเหรอ ท่านพ่อติเตียนอะไรนายหรือเปล่า” เจ้าชายคีนูอาถามเหมือนกับเขาเคยพบเจออยู่บ่อยๆ
 
 
 “ผมเบื่อที่จะต้องทำตามท่านพ่อแล้วล่ะครับ ผมต้องฝึกฟันดาบ เรียนเรื่องการทำสงคราม มันเป็นสิ่งที่ผมไม่ค่อยถนัดนัก และที่สำคัญผม....... ผมกลัวการฆ่าคน” เจ้าชายกลาดิโอระบายความในใจให้กับพี่ชายต่างสายเลือดเขา ซึ่งเหมือนว่าพี่ของเขาจะเป็นเพียงคนๆเดียวในสมาชิกครอบครัวที่เขาไว้วางใจที่สุด
 
“เอาน่า.....เมื่อวันนั้นมาถึง นายจะต้องฆ่าคนแน่นอน” เจ้าชายคีนูอาเดินมาตรงหน้าของน้องชายเขาก่อนที่จะจ้องไปที่ดวงตาสีน้ำตาลของน้องชายแล้วพูดขึ้น
 
 
“ผม.....แค่อยากจะเป็นคนธรรมดา” เจ้าชายกลาดิโอมองไปที่ดวงตาสีฟ้าของพี่เขาแล้วพูดขึ้น
 
 “ไม่เอาน่า....แล้วคนธรรมดาจะพึ่งเราได้ยังไงกันล่ะ” มือทั้งสองข้างของเจ้าชายคีนูอาวางไว้บนไหล่ของน้องชายของเขา แล้วพูดขึ้น
 
 
 “วีรบุรุษที่จัดการกับอธรรมในบาบิโลนก็มีอยู่นี่ครับ แต่ทำไมเขาไม่เคยคิดที่จะแสดงตัวออกมาเลย มีคนข้างนอกชื่นชมเขาเยอะเหมือนกันนะครับ เขาเหมือนกับเทพผู้ปกป้องแห่งบาบิโลน” กลาดิโอพูดพร้อมกับเดินไปรอบๆ
 
 
 “เขาคงไม่อยากถูกคนอื่นพูดว่า ไอ้นั่นมันตัวประหลาด หรือดูนั่นสิปีศาจต่อสู้กันเองอะไรแบบนี้มั้ง” คีอานูกำลังพูดถึงตัวเองอยู่
 
 
“แต่สำหรับผมเขาคือวีรบุรุษแห่งบาบิโลน ท่านพ่อไม่เคยคิดที่จะปราบปรามพวกอธรรมที่มีพลังพิเศษพวกนั้นเลย มีแต่เขาคนเดียวเท่านั้นที่กล้าต่อกรกับมัน” กลาดิโอพูดพลางมองไปที่พี่ของเขา
 
 
 “วีรบุรุษของประชาชน แต่เป็นพวกอธรรมสำหรับกษัตริย์นะเหรอ” คีนูอาพูดพลางหัวเราะ
 
 
 “ผมอยากจะให้คนของผมประกาศเชิญเขาเข้าพบผมแล้วล่ะ” กลาดิโอพูดด้วยความมั่นใจเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขา เจ้าชายคีนูอามองไปที่เขาด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย เขาพูดในใจไปว่าไม่ต้องเชิญมาเข้าเฝ้าก็ได้ นายกำลังคุยกับเขาอยู่ตอนนี้ไงล่ะ
 
 
 
**********************************************************************************
 
 
 
 อารยธรรมเมโสโปเตเมีย  - คือแหล่งอารยธรรมที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของโลก ตั้งอยู่ระหว่างฝั่งแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ ของแม่น้ำไทกริส และยูเฟรติส และปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งในดินแดนของอิรัก
 
 
 
บาบิโลเนีย - หลังจากที่พวกสุเมเรียนเสื่อมอำนาจลงเพราะการทำสงครามกับชนเผ่าอื่นๆที่เข้ามารุกรานและแย่งชิงความเป็นใหญ่ในระหว่างพวกสุเมเรียนด้วยกันเอง ต่อมาพวกอามอไรต์  ได้ตั้งอาณาจักรบาบิโลเนียขึ้นมา มีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองบาบิโลน ริมฝั่งแม่น้ำยูเฟรทีส
 
 
 
ฮิตไทต์ - ฮิตไทต์เป็นชนโบราณที่พูดภาษาตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียนและก่อตั้งอาณาจักรที่มีศูนย์กลางอยู่ที่ฮัตทูซา (Hattusa) ทางตอนเหนือของตุรกีตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ก่อนคริสต์ศักราช
 
 
 
คัสไซต์ - คัสไซท์เป็นอนารยชนผู้รุกรานจักรวรรดิบาบิโลเนียนของพวกอะมอไรท์ปกครองเมโสโปเตเมียประมาณ 500 ปี (1600-1100 B.C.) คัสไซท์ไม่ได้สร้างสรรอารยธรรมใหม่แต่คงรับรักษาและสืบทอดอารยธรรมสุเมเรียน-อะมอไรท์ อำนาจของคัสไซท์ต้องสิ้นสุดลงเพราะการรุกรานของพวกอัสซีเรียนซึ่งเป็นกลุ่มชนจากทางตอนเหนือของลุ่มน้ำไทกรีส
 
 
 
คาลเดียน - เป็นชนเผ่าเซมิติคสาขาหนึ่งที่พิชิตจักรวรรดิอัสซีเรียได้สำเร็จ  และได้สถาปนานครบาบิโลนขึ้นเป็นเมืองหลวงอีกครั้งหนึ่ง  ชาวคาลเดียนได้เรียกชื่อจักรวรรดิใหม่นี้ว่า  บาบิโลนเนียใหม่
 
 
 
แม่น้ำไทกริส-ยูเฟรติส  - อารยธรรมลุ่มแม่น้ำไทกรีส-ยูเฟรทีสหรือ เมโสโปเตเมีย เป็นอู่อารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกสมัยโบราณ โดยตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำ  2 สาย คือแม่น้ำไทกรีส และแม่น้ำยูเฟรตีส ซึ่งปัจจุบันนี้ อยู่ในเขตแดนของประเทศอิรักซึ่งมีกรุงแบกแดด เป็นเมืองหลวง
 
 
 
พระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์ - บนแผนจารึกของเนบูคัดเนสซาร์ ได้กล่าวว่า พระองค์เป็นบุตรของ เนโบโพลาสซาร์ (Nabopolassar) พระองค์เป็นผู้ปลดปล่อยบาบิโลนออกจากการเป็นเมืองประเทศราชของอัสซีเรีย และทำลายเมืองเนหะเวห์ พระองค์เป็นผู้ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจมากกว่ากษัตริย์องค์อื่นใดในเมืองบาบิโลน พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับราชธิดาของ ซียาซาเรส ซึ่งส่งผลให้มีเดียและบาบิโลนเป็นทองแผ่นเดียวกัน
 
 
 
สวนลอยแห่งบาบิโลน - จัดเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ตั้งอยู่ริมแม่น้ำยูเฟรติส ประเทศอิรักในปัจจุบัน สร้างโดยพระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์ที่ 2 แห่งกรุงบาบิโลเนีย สร้างให้แก่มเหสีของพระองค์ชื่อพระนางเซมีรามีส สร้างขึ้นเมื่อ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช สูงประมาณ 75 ฟุต กินพื้นที่ 400 ตารางฟุต ระเบียงทุกชั้นได้รับการตกแต่งด้วยไม้ดอก ไม้ประดับ ไม้ยืนพุ่มชนิดต่าง ๆ มีระบบชลประทานชักน้ำจากแม่น้ำยูเฟรตีสไปทำเป็นน้ำตกและนำไปเลี้ยงต้นไม้ตลอดปี สวนนี้ได้พังทลายลงจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อหลังศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช
 
 
 
ซิกกูแรต - เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีความสำคัญทางศาสนาของชาวซูเมอร์ พบในบริเวณเมโสโปเตเมีย มีลักษณะคล้ายพีระมิดแบบขั้นบันไดแต่ด้านบนเป็นพื้นราบ พื้นราบด้านบนของซิกกุรัตนี้เป็นวิหาร ในระยะแรกใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา แต่ต่อมาซิกกุรัตนี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังกษัตริย์

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา