Almighty Man : The Stone Of Life

-

เขียนโดย antoncob

วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2560 เวลา 00.34 น.

  4 session
  0 วิจารณ์
  4,890 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2560 03.56 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) Pilot

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
2020
ตริโปลี, ลิเบีย
       
        ท่ามกลางความร้อนระอุของสงครามจากกลุ่มติดอาวุธอัลคามาร์ที่แผ่ขยายอิทธิพลปกคุมทั่วภูมิภาคแอฟริกาเหนือ มีเพียงกรุงตริโปลีเพียงเมืองเดียวที่ปลอดภัยจากสงคราม และยังเป็นฐานที่มั่นของกองกำลังทหารจากสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตร ที่นี่คือเขตบัฟเฟอร์โซนที่ไม่อนุญาตให้คนภายนอกเข้าและออกได้ตามปกติ ยกเว้นเสียว่าคุณจะเป็นทหารชาติพันธมิตรหรือนายทุนและมหาเศรษฐีที่ลงทุนธุรกิจในแอฟริกาเหนือ
 
 
      ผลกระทบจากสงครามที่ยาวนานกว่าสองปี และดูท่าจะไม่มีวันจบและทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ดูจากอาวุธที่พวกมันใช้ในการต่อสู้ ไม่ใช่อาวุธธรรมดาและค่อนข้างจะไฮเทคกว่าชาติพันธมิตรอื่นๆ และไม่มีใครรู้ว่าพวกมันได้อาวุธมาจากที่ไหน และฐานที่มั่นของพวกมันยังคงปิดเป็นความลับ และประธานธิบดีของลิเบียถูกสหประชาชาติควบคุมตัวอย่างปลอดภัยที่ไหนสักแห่งในนิวยอร์ก
  
 
     อัลซาญา ซุก คือร้านกาแฟและอาหารเช้าระดับไฮเอนด์ดาวมิชิลลีนในตริโปลี ร้านตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบอาหรับผสมเมดิเตอเรเนียน ราคาอาหารและเครื่องดื่มที่เริ่มต้นด้วยสิบดอลลาร์ และวัฒนธรรมการอวดรวยของคนชั้นสูง มักพบได้ที่นี่เสมอ  บริกรท้องถิ่นกับชุดสูแบบตะวันตกกำลังบริการแขกอย่างขมักเขม้น รวมทั้งบาริสต้าระดับห้าดาวที่กำลังเตรียมเครื่องดื่มให้แขกดูเหมือนไม่ต่างจากภัตราคารหรูๆในปารีส
  
 
      อเมริกาโนไม่ใส่น้ำตาลที่นำเข้าเมล็ดกาแฟจากอินโดนีเซีย และไข่ดาวรวมถึงตับห่านโดยฟาร์มระดับตำนานในลียง ถูกเสิร์ฟที่โต๊ะหมายเลขเจ็ด หนึ่งในโซนที่ดีที่สุดของร้าน แค่เพียงมีเงินห้าสิบดอลลาร์คุณก็จะได้นั่งโต๊ะนี้โดยไม่ต้องจองล่วงหน้า
   
 
      ชายหนุ่มเจ้าของโต๊ะผมสั้นสีดำขลับ ปกปิดดวงตาของเขาด้วยแว่นกันแดดของทอม ฟอร์ดรุ่นท๊อป หุ่นคล้ายนายแบบของจิวองเช่ เขาสวมเสื้อเชิ๊ตสีขาวของบรูเนลโล คูซิเนลลี่ ที่เนื้อผ้าบางจนเห็นกล้ามหน้าอกของเขาที่ซ่อนอยู่ใต้เนื้อผ้าลินินเกรดพรีเมี่ยมจากไคโร  รวมถึงกางเกงชิโน่สีน้ำตาลยี่ห้อเดียวกันดูเข้ากับชุดอย่างสมบูรณ์แบบ และรองเท้าหนังสีน้ำตาลขัดเงามันวับของพอล สมิธที่เขาสวมอยู่น่าจะบ่งบอกรสนิยมของเขาได้ดีเลยทีเดียว
 
       
 
     เสียงเพลง “La Vie En Rose” ดังขึ้นจากเครื่องเล่นไวนิลของร้าน บรรยากาศแบบคลาสสิคสามารถหาได้ทั่วไปในร้านหรูๆในตริโปลี ชายหนุ่มยกกาแฟที่อยู่ในแก้วกระเบื้องเรกดเอจากจีนตอนใต้ขึ้นมาดื่มอย่างสงบ ท่ามเสียงของแขกคนอื่นๆที่คุยกันเสียงดังอย่างสนุกสนานเหมือนไม่ได้เจอกันมานานหลายปี
 
   
 
     ชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่ของอเมริกาเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่โต๊ะของชายหนุ่ม ตาสีน้ำตาลของเขามองพิจารณาภายนอกของร่างที่เขามองอยู่ตรงหน้าเหมือนกำลังสงสัยอะไรบางอย่างในตัวเขา ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากที่หนาเตอะของเขาพูดขึ้น
 
 
 “ที่ยังว่างอยู่ผมขอนั่งด้วยได้ไหมครับ” ชายวัยกลางคนพูดขึ้น พร้อมเลื่อนเก้าอี้ออกมา
 
 
 “เชิญครับ” ชายหนุ่มเงยหน้ามองไปที่เขาแล้วตอบรับคำเชิญของเขา
 
 
 “ผมเจ้าหน้าที่ตรวจการเออร์วิน สวอน ขอดูบัตรประจำตัวของคุณหน่อยครับ” ชายวัยกลางแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ของอเมริกาในการตรวจบัตรประจำตัวของชายหนุ่ม
 
 
 “ได้สิครับ หวังว่านี่คงจะใช้ได้” ชายหนุ่มยื่นบัตรในกระเป๋าหนังอูฐสีน้ำตาลยี่ห้อกุชชี่ให้เขาดู
 
 
“อีริค เบรต......อเมริกัน.......มอนตานา” เออร์วินจ้องมองบัตรอย่างใจจดใจจ่อ และอ่านออกเสียงข้อมูลที่สำคัญ
 
 
 “มอนตานา อายุสามสิบห้า กรุ๊ปเลือดเอบี” ชายหนุ่มบอกข้อมูลของแก่เจ้าหน้าที่ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะอ่านมันออกมาหมด
 
 
 “คุณมาทำอะไรที่นี่ คุณเบรต.....คงไม่ใช่นักข่าวแน่ ๆ และทหารผมตัดทิ้งออกไปได้ คุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่นี่หรือเปล่าครับ” เออร์วินชำเลืองดูเครื่องแต่งกายราคามากกว่าสามพันเหรียญของเขาก่อนที่จะพูดขึ้น
 
 
“ผมแค่นักท่องเที่ยว ผมแค่อยากจะเที่ยวทั่วโลกก็เท่านั้นเอง” ชายหนุ่มหยิบกาแฟขึ้นมาดื่มต่อ และถามเออร์วินว่า “ว่าแต่ คุณจะดื่มอะไรมั้ยครับ ชาอิมทผลัม หรือกาแฟออร์แกนนิค
 
 
 “ไม่ครับ ขอบคุณ ผมไม่มีเงินมากขนาดนั้นหรอกครับ” เออร์วินตอบปฏิเสธทันที
 
 
 “คุณบอกว่าเป็นนักท่องเที่ยว แต่ที่นี่ตริโปลี คุณแน่ใจหรือเปล่าครับ สนามบินที่นี่เที่ยวบินครั้งล่าสุดยี่สิบวันที่แล้ว” เออร์วินถามต่อพร้อมจ้องไปที่แว่นตาทอม ฟอร์ดของเขา
 
 
 “การมาที่นี่ไม่ใช่แค่ทางอากาศทางเดียวนี่ครับ มีข่าวว่าประตูบัฟเฟอร์โซนของที่นี่แค่มีเงินก็เข้าได้โดยถูกกฏหมายแล้วนี่ครับ” อีริคหยิบกระดาษเล็กๆในกระเป๋าเงินของเขาโชวให้เจ้าหน้าที่ตรวจการเออร์วินดู มันคือใบเข้าเขตพื้นที่บัฟเฟอร์โซนแบบถูกกฏหมาย
 
 
 “เหรอครับ ผมอยากจะรู้จังเลยว่าทำไมพวกเศรษฐีถึงชอบมาตริโปลี กันเหลือเกิน จะมาสมัครเป็นประธานาธิบดีหรือครับ” เออร์วินพูดเชิงขำขันนั่นทำให้อีริคยิ้มเล็กน้อย
 
 
 “ผมคงไม่อยากถูกยูเอ็นเลี้ยงดูปูเสื่อแน่ๆ” อีริคยิงมุกใส่เออร์วิน ทำให้เขาต้องเสแสร้งที่จะหัวเราะ
 
 
 “ก่อนที่จะมาที่นี่ เมืองล่าสุดที่คุณเดินทางไปคือที่ไหนครับ แล้วคุณรอดมาได้ยังไงกัน....ผมแค่สงสัย” เจ้าหน้าที่เออร์วินยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น เขาถามต่อในขณะที่อีริคกำลังทานอาหารอยู่
 
 
 “ผมรู้ว่าคุณจะต้องถาม ก่อนหน้านั่นที่วัลเล็ตตา” อีริควางช้อนลงก่อนที่จะตอบคำถามแก่เจ้าหน้าที่
 
 
 “ผมเข้าใจแล้วล่ะ” เออร์วินยิ้มให้อีริค ในขณะที่อีริคก้มหน้าก้มตาทานอาหารของเขา เออร์นี่ได้แอบหยิบบัตรประจำตัวของอีริคที่เขาลืมเก็บและวางไว้บนโต๊ะซ่อนไว้ในกระเป๋าเสื้อของตัวเอง
 
 
“คุณไม่ทานอะไรสักหน่อยหรือครับ” อีริคถามขึ้น พร้อมมองหน้าเออร์วิน
 
 
 “ไม่ล่ะครับ ขอบคุณ แต่ว่า คุณจะออกจากตริโปลีได้ทางเครื่องบินอีกประมาณสองอาทิตย์ล่ะครับ”
 
 
 “ขอบคุณครับ ผมว่าผมออกได้ทุกเวลานะ” อีริคพูดพลางหัวเราะ
 
 
“ระวังไว้ก็ดีนะครับ คุณเบรต อเมริกาเพิ่งถล่มฐานที่มั่นสุดท้ายของพวกอัลคามาร์ พวกมันจะตามมาถล่มที่ตริโปลี” เออร์วินเตือนเขาด้วยความหวังดี
 
 
 
 
ตู้ม!!!!
 
      
 
      เสียงระเบิดเสียงดังหน้าร้านอาหารห้าดาวราคาแพงหูฉี่ ฝุ่นควันจำนวนมากลอยเข้ามาในอาคาร ผู้คนต่างร้องเสียงดังและหาที่หลบภัย บางส่วนกระโดดออกจากหน้าต่าง แต่ก็ไม่รอดเมื่อกลุ่มอัลคามาร์รอพร้อมยิงอยู่นอกตัวอาคาร พวกอัลคามาร์เข้ามาในอาคารพร้อมอาวุธประจำกายปืนM16 กราดกระสุนใส่คนในร้านอย่างบ้าคลั่ง
 
 
 
      เออร์วินหลบกระสุนใต้โต๊ะ เขาพยายามมองหาอีริคแต่ก็ไม่พบเขา เสียงกรี๊ดร้องของคนในร้านดังขึ้นก่อนที่จะเงียบมีแต่เพียงเสียงปืน และบทสนทนาภาษาอาหรับของสมาชิกกลุ่มอัลคามาร์ เออร์วินตะเกี่ยตะกายหาที่กำบังบริเวณโต๊ะของเขาที่มีเพียงเก้าอี้และกระถางดอกไม้ขนาดใหญ่ เขาหยิบปืนสั้นคู่ใจออกมาพยายามเล็งไปที่พวกก่อความไม่สงบ เสียงดังปังใกล้กับหูของเขา กระสุนไปถูกกับแจกันจนแตกเสียหาย
 
 
         ร่างของอีริคปรากฏต่อหน้าของกลุ่มอัลคามาร์ พวกมันสาดกระสุนไปที่เขา อีริคเคลื่อนตัวหลบอย่างรวดเร็วทำให้กระสุนเฉียดตัวเขาหลายนัด อัลเคมาร์คนหนึ่งพยายามยิงไปที่เขาในรัศมีสิบเมตร กระสุนกระแทกกับหน้าอกของอีริค เสื้อราคาพันดอลลาร์ของเขาขาดเป็นรูใหญ่ แต่ตัวของเขากลับไม่มีบาดแผล อีริคพุ่งไปที่มันและจับตัวของมันทุ่มไปที่กำแพงจนสลบ
      
 
      พวกอัลคามาร์ทั้งหมดพุ่งสนใจไปที่อีริคเพียงคนเดียว และเป็นเป้าหมายเพียงเป้าหมายดียวในตอนนี้ พวกมันสาดกระสุนอย่างบ้าคลั่งใส่เขา แต่กระสุนกับไม่สามารถทะลุตัวของเขาได้ มีเพียงเสื้อและกางเกงของเขาที่เป็นรูพรุน สะเก็ดและเขม่าสีดำกระจายเต็มเสื้อของเขาจนเป็นสีเทาดำ
 
     
 
      อีริคใช้พลังจิตผลักปืนพวกมันออกให้พ้นจากมือพวกมัน ในขณะที่มันกำลังเล็งปืนมาที่เขา อีริครีบฉวยโอกาสพุ่งเข้าไปหาพวกมันและอัดพวกมันจนเละ หมัดของอีริคเข้าไปเต็มๆหน้าของอัลคามาร์ผู้โชคร้ายจนร่างของมันลอยไปกระแทกกับโต๊ะจนหัก พวกมันสองคนพยายามเข้าฉวยโอกาสใช้มีดปลายปืนแทงอีริค แต่มีดกลับทำอะไรเขาไม่ได้ อีริคหันหลังมาและเตะเข้าไปที่ท้องของมันจนมันสลบเหมือด อีกคนหนึ่งอีริคใช้พลังจิตผลักร่างของมันชนติดกับเครื่องเล่นไวนิลจนเพลงหยุดเล่น
 
    
 
       พวกอัลคามาร์ที่อยู่ข้างนอกวิ่งเข้าสมทบข้างในจนหมด ในขณะที่อีริครีบพาคนขึ้นบันไดไปหลบที่ชั้นสองจนหมดเช่นกัน  อีริคยืนขวางบันไดไว้จนกว่าพวกมันจะเข้ามา ร่างอีริคพุ่งไปชนกับกลุ่มของพวกมัน และอัดพวกมันอย่างรวดเร็วจนมันล้มลงไปเกือบหมด
 
    
 
       พวกมันคนหนึ่งถอดชุดเกราะออกมา ภายใต้ชุดเกราะเต็มไปด้วยระเบิดที่จะทำลายอาคารทั้งอาคารได้ ทำให้อีริคต้องเบามือและเจรจากับพวกมันให้สงบศึก ไม่เช่นนั้นคนบริสุทธิ์หลายสิบคนที่อยู่ข้างบนต้องเสียชีวิต ทหารอเมริกันยืนรีบเข้ามาในพื้นที่ แต่ก็ต้องได้แต่นิ่งๆเพราะพวกมันมีระเบิดพลีชีพ
 
 
 “อัลคามาร์อย่างงั้นหรือ โชคร้ายหน่อยนะที่ฉันนั่งอยู่ที่นี่” อีริคพยายามใช้ภาษาอังกฤษกับพวกมันพร้อมยกมือขึ้นเป็นเชิงสัญลักษณ์เจรจา
 
 
“แกเป็นตัวอะไรกันแน่” พวกมันคนหนึ่งพูดขึ้น หลังจากนั้นทั้งกลุ่มก็ตะโกนเป็นภาษาอาหรับ
 
 
 “คนพวกนั้นไม่เกี่ยว แกมาสู้กับฉันดีกว่า มาระเบิดฉันแทน ฉันคือตัวแทนของอเมริกัน จับฉันไปสิ” อีริคพยายามเรียกร้องให้ตัวเองข้อเสนอในการปล่อยตัวประกัน พร้อมขยิบตาให้กับทหารอเมริกัน ที่เล็งปืนไปที่พวกมัน
 
 
“พวกเราไม่ต้องการแก แกมันไม่ใช่มนุษย์” ชายคนหนึ่งในกลุ่มผู้ก่อการร้ายตะโกนขึ้น พร้อมเสียงเชียร์ของเพื่อนๆของมันที่ตะโกนเป็นภาษาอาหรับ
 
 
 “หรือจะต้องให้ฉันทำแบบนี้” อีริคใช้พลังจิตผลักชายที่มีระเบิดติดตัวออกไปจากข้างนอกทะลุหน้าต่าง ทันใดนั้นมีเสียงระเบิดดังขึ้น
 
 
 
 
 
      ทหารอเมริกันกรูดันเข้ายังภายในอาคาร และยิงพวกมันจนล้มลงหมดทุกคน เสียงกระสุนดังต่อเนื่องทำให้เฮลิคอปเตอร์ และรถพยาบาลมายังเขตสู้รบอย่างรวดเร็ว ทหารอเมริกันคนหนึ่งเข้ามาหาอีริคแล้วพูดขึ้น
 
 
 “นายเป็นใคร หรือว่านายคือซูเปอร์ฮีโร่ หรือพระเจ้า”
 
 
 “ผมไม่ใช่ทุกอย่างที่คุณพูดมาหรอก ผมแค่ทำในสิ่งที่ถูกต้อง” อีริคพูดและเดินออกไปท่ามกลางทหารอเมริกันมองดูเขาอยู่ ทันใดนั้นเขาเหาะขึ้นท้องฟ้าอย่างรวดเร็วจนลับสายตาของเหล่าทหารอเมริกัน
 
 
 
**********************************************************************************
 
 
 
 
สำนักงานใหญ่ CIA
แลงลีย์ รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา
 
      
 
            ไม่ถึงสิบชั่วโมงเอกสารรายงานการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในตริโปลีวางไว้บนโต๊ะทำงานของ เจ้าหน้าที่โดมินิก พาวเวอร์ ชายผมสั้นสีดำ ร่างกายกำยำเหมือนนักเพาะกาย ที่เขาคือฝีมือดีที่สุดของหน่วยและเป็นนักวิเคราะห์อาชญากรรมฝีมือเยี่ยม กระดาษกว่าสิบๆแผ่นถูกอ่านโดยเขามาทุกตัวอักษรและทุกรูปถ่ายมีเพียงไม่กี่แผ่นเท่านั้นที่เขาแยกออกมาจากกองเพราะเขาสนใจเป็นพิเศษ นั่นคือเอกสารรายงานของชายหนุ่มปริศนาจัดการกับกลุ่มอัลคามาร์ในตริโปลีด้วยมือเปล่า
 
     
 
          คอมพิวเตอร์ของเขาเล่นคลิปวีดีโอที่ถูกถ่ายด้วยนักข่าวมือสมัครเล่นที่อยู่ในเหตุการณ์พยายามบันทึกวีดีโอด้วยมือถือ ในเหตุการณ์นองเลือดที่อัลซาญา ซุก โดมินิกต้องดูซ้ำหลายๆรอบเพื่อหาใบหน้าของอีริคที่ในวีดีโอไม่สามารถจับได้ชัด
 
 
“ทำไมไม่ใช้ไอโฟนถ่ายวะ” โดมินิกบ่นเบาๆ
 
    
 
       เสียงเคาะประตูดังขึ้น ผู้ช่วยสาวสวยผมสีบลอนด์ของเขาปรากฏขึ้น เธอชื่อว่าเมลินี เป็นผู้ช่วยของโดมินิกมาห้าปีแล้วงานของเธอไม่เคยขาดตกบกพร่องแต่อย่างใด เอกสารในมือของเมลินีที่มีจำนวนกว่าสิบแผ่นน่าจะเป็นหลักฐานสำคัญในเรื่องที่เขากำลังค้นหาอยู่
 
 
 
“เมลินี มีอะไรอย่างนั้นเหรอ นั่งก่อนสิ” โดมินิกเชิญชวนให้หล่อนนั่งลงก่อนที่เธอจะพูดออกมา
 
 
 “เรื่องชายในอัลซาญา ซุก เจ้าหน้าที่ของเราคุยกับเขาก่อนที่จะมีเหตุการณ์นองเลือด”
 
 
“คนไหน” โดมินิกพูดพร้อมกับดวงตาสีน้ำตาลของเขาเบิกโพลง
 
 
 “เออร์นี สวอนสัน เจ้าหน้าที่ตรวจการของเราประจำตริโปลี” เมลินีพูดขึ้นพร้อมวางเอกสารบนโต๊ะของโดมินิก จนเขาต้องรีบเอาขึ้นมาดู
 
 
“อีริค เบรต อายุ 35ปี ไอดีของรัฐมอนตานา” เขาอ่านเอกสารอย่างรีบร้อนแต่ก็ไม่มีข้อความสำคัญในนั้น
 
 
 “หยุดค่ะ ฉันรู้ว่าคุณกำลังจะไปตริโปลีเพื่อไปหาเจ้าหน้าที่เออร์วิน แต่ตอนนี้เขายังให้ปากคำอะไรต่อไม่ได้ค่ะ เขาหมดสติระหว่างสอบสวน” เธอห้ามปรามทันทีเพราะรู้นิสัยของเจ้านายเธอดี ว่าเขาจะต้องรีบไปตริโปลีเพื่อหาความจริง
 
 
 “ให้ตายสิ” เขาสถบเบา
 
 
“แต่.....นี่ค่ะ” เมลินียื่นบัตรประจำตัวของอีริคให้กับเจ้านายของเขา ทำให้เจ้านายของเธอต้องยิ้มอย่างชอบใจ
 
 
 “เอามาจากไหนเนี่ย ไม่คิดเลยว่าจะได้” เขาพูดขึ้น
 
 
 “จากขนส่งด่วน TNTค่ะ เราตรวจบัตรใบนี้ดูแล้วเมื่อสักครู่ค่ะ บัตรนี้เป็นของปลอมแต่ทำได้เหมือนบ้าง แต่ข้อมูลบุคคลเรายังไม่ได้ตรวจนะค่ะ อำนาจมีแค่คุณคนเดียวที่ตรวจได้” เมลินีพูดขึ้นพร้อมยื่นบัตรให้แก่โดมินิก
 
 
 “ใบหน้าใกล้เคียงกับชายในวีดีโอมาก ถึงในวีดีโอจะไม่ชัดก็เถอะ ใบหน้าน่าจะเป็นใบหน้าจริง แต่ข้อมูลน่าจะปลอมแปลงขึ้นมา” โดมินิกตรวจดูข้อมูลในบัตรอย่างละเอียดถี่ถ้วน “อายุเท่าผมเลยนะเนี่ย”
 
 
 “ดิฉันไม่แน่ใจว่าเขาคือฮีโร่หรือผู้ร้าย บางทีพลังของเขาอาจจะมาเล่นงานพวกเราในภายหลังก็ได้” เมลินี่มองไปที่เอกสารข้อมูลรายงานในตริโปลีบนโต๊ะของเจ้านายเธอแล้วพูดขึ้น
 
 
 “พลังขนาดนั้นน่ะ จะเป็นฮีโร่หรือฝั่งร้าย เราก็จะรู้กันไม่ช้าแล้วล่ะ” โดมินิกพูดขึ้นพร้อมเสียบบัตรของอีริคไปที่แถบสแกนติดกับเครื่องคอมพิวเตอร์ของเขา เลเซอร์ของเครื่องสแกนฉายแสงไปที่รูปใบหน้าของเขา จนข้อมูลขึ้นบนจอคอมพิวเตอร์ของเขา
 
 
 “ไม่มีทาง.......” โดมินิกประหลาดใจกับข้อมูลที่เขาเจอจนอุทานออกมา ตาของเขาเบิกโพลงและร่างของเขาแน่นิ่งไปชั่วขณะ
 
 
“เขาคือ......” เขาพูดออกไปเองโดยอัตโนมัติ ในขณะที่เมลินีต้องรีบอ้อมไปดูทางเครื่องของเจ้านายของเธอทันที
 
 
 
 
**********************************************************************************
 
 
 
 
 
ซานตาโมนิกา
ลอสแอนเจลีส, แคลิฟอร์เนีย
 
      
 
          ห้องอีริคอยู่ที่เพนเฮาร์สขนาดห้าร้อยตารางวามีทั้งหมดสองชั้น ตั้งอยู่บนชั้นที่สิบสองชั้งสูงสุดของเพนเฮาส์สุดหรูในนครลอสแองเจลิส เฟอร์นิเจอร์ข้างในมีครบถ้วน ส่วนมากจะตกแต่งด้วยสไตล์วินเท็จ สีอุณหภูมิของห้องเป็นโทนมืด ส่วนมากภายในห้องจะมีสีน้ำตาลและดำเป็นส่วนมาก รวมทั้งกำแพงที่เป็นสีน้ำตาลเข้มที่กลายเป็นสีส้มอ่อนๆโดยแสงไฟที่ส่องกระทบจากแชนเดอเรีย
 
    
 
        ร่างเปลือยเปล่าของอีริคสวมใส่โดนชุดคลุมอาบน้ำผ้าลินินแบบราชวงศ์ยุโรปจากอียิปต์สีเงินดูเข้ากับรูปร่างของเขา นัยน์ตาสีฟ้าของเขาสะท้อนกับกระจกเงาจนเป็นประกาย ผมสีดำขลับของเขาชุ่มไปด้วยเงาจากน้ำมันอาร์แกน มันเป็นชั่วโมงที่ผ่อนคลายของเขาหลังจากตริโปลี เสื้อเชิ้ตสีขาวที่เคยสวมใส่เต็มไปด้วยรูกระสุนและเขม่าดินปืนถูกทิ้งไว้ในถังขยะ รวมทั้งกางเกงของเขาที่ถูกวางเป็นที่เช็ดเท้า
 
  
 
        ทีวีจอโค้ง 55นิ้วของเขาเปิดทิ้งไว้ด้วยภาพยนตร์จากแอมะซอนไพร์มบนแอปเปิลทีวี เขานั่งลงบนโซฟาและปลดชุดคลุมอาบน้ำเล็กน้อย เผยให้เห็นถึงกล้ามหน้าอกของเขาที่มีขนอยู่เล็กน้อย เขารีบเปลี่ยนไปยังรายการปกติ และมันเป็นช่องข่าวรายงานเหตุการณ์ในตริโปลี นักข่าวชายวัยกลางคนกำลังรายงานข่าวด้วยอาการตื่นเต้น
 
 
 
 “หลังเหตุการณ์กลุ่มผู้ก่อการร้ายอัลคามาร์ได้ก่อเหตุยิงถล่มร้านอาหารอัลซาญา ซุก ได้มีคลิปวีดีโอเผยแพร่ในทางสื่ออนไลน์ ชายที่ไร้เทียมทานต่อสู้กับกลุ่มผู้ก่อการร้ายเพื่อช่วยคนในร้าน ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความปลอดภัยในกรุงตริโปลี และโลก ซึ่งในอินเตอร์เน็ตต่างถกเถียงกันว่าเขาคือซูเปอร์ฮีโร่หรืออาชญกร”
 
 
 
        เขารีบปิดทีวีทันที่ก่อนที่รายการข่าวจะเผยแพร่คลิปวีดีโอของเขาออกอากาศทางทีวี สายตาของเขาเริ่มเลือนราง ด้วยอาการง่วงนอน จนในที่สุดเขาเผลอหลับไป
 
 
 
**********************************************************************************

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา