1'st Metter High ร้ายสร้างรัก

9.1

เขียนโดย VoiceFuL

วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 15.11 น.

  18 chapter
  0 วิจารณ์
  15.32K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 9 มีนาคม พ.ศ. 2560 12.53 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) ตรงข้ามกัน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 ตรงข้ามกัน

 

                ตกตอนเย็นของอีกวัน ฉันมากับไอรีนตามที่นัดไว้ เธอจัดแจงพาฉันมายังร้านร้านหนึ่ง ในแถบเมืองที่ฉันไม่คุ้นเคยนัก ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆก็จริง แต่มีการจัดตกแต่งได้อย่างลงตัวและสวยงาม สีของร้านเป็นสีส้มอ่อนๆ ประดับด้วยไฟสลัวๆ ตามโต๊ะและมุมต่างๆจะมีดอกไม้เล็กๆหลากสีสันประดับเอาไว้ ด้านในสุดของร้านมีโต๊ะยาวๆที่มีคนนั่งอยู่ประมาณหกคน ซึ่งแต่ละคนล้วนแต่สวมเครื่องแบบรร.ของฉันทั้งนั้น ไอรีนพาฉันเข้าไปก่อนจะจัดการแนะนำฉันให้คนในนั้นได้รู้จัก

                “แท๊แด~ นี่ไงคะ เพื่อนที่รีนเคยเล่าให้ฟัง ชื่อตั้งโอ๋ค่ะ เธอคนนี้เก่งมากๆ เลยช่วยรีนให้พ้นจากพวกน่ากลัวๆในโรงเรียนมาด้วยล่ะ เท่มาก!>_<”

                “สวัสดีค่ะทุกคน”

                ฉันส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับทุกคน แต่ทว่า สายตาของฉัน มันไปสะดุดเข้ากับบุคคลคนหนึ่งในนั้น คนที่ฉันรู้จักดี และเป็นคนที่ฉันเกลียดมากที่สุดในโลกด้วย นายติวา! ฉันเบิกตาโพลงมองด้วยความตกใจ แต่เขาเองกลับไม่มีท่าทีประหลาดใจเลยแม้แต่น้อยที่พบฉัน ไหนว่าเขาไม่ได้มาไง! ต้องเป็นเพราะเขาแน่ๆ คนซื่อๆอย่างไอรีนไม่มีทางโกหกใครได้แน่นอน ฉันไม่อยากเห็นหน้าเขา! ไม่อยากเจอ! ฉันต้องรีบไปจากที่นี่ ขอโทษนะรีน แต่ฉันคงอยู่ฉลองวันเกิดกับเธอไม่ได้แล้วล่ะ

                “รีน ฉันนึกได้ว่ามีธุระด่วน ขอตัวก่อนนะ”

                “อ้าว งั้นไม่เป็นไรจ้ะ ขอบใจมากนะ โอ๋ไปทำธุระเถอะ ^-^”

                “ขอโทษด้วย”

                ฉันยิ้มให้รีนและทุกคนน้อยๆ ก่อนจะเดินออกจากร้านไปอย่างเร่งรีบโดยไม่หันหลังกลับไปมองอีกเลย

น่าสมเพชที่ฉันต้องมาคอยหนีคอยหลบเขาอยู่แบบนี้ กลัวงั้นเหรอ ? เกลียดงั้นใช่มั้ย ? หมอนั่นมันปีศาจ! ถ้าฉันไม่เจอเขา ไม่รู้จักเขา ฉันคงไม่ต้องเป็นแบบนี้ ไม่ต้องรู้สึกแบบนี้! ยิ่งคิดเท่าไหร่ก็ยิ่งเจ็บใจตัวเองมากเท่านั้น ...

ฉันเดินมานานจนคิดว่าคงห่างจากร้านมาพอสมควรแล้วจึงทิ้งตัวพิงกับต้นเสาเพื่อพัก ไม่นานก็ล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าสะพาย หวังจะโทรหาลูกพี่ลูกน้องให้มารับกลับบ้าน เพราะตอนนี้มันก็มืดแล้ว อีกอย่างนะ ฉันรู้ว่าที่นี่ที่ไหน แต่ฉันจำทางกลับไม่ได้นี่สิ เดินมามั่วๆน่ะไม่อยากจะบอก -_-; ต้องขึ้นรถสายไหน ยังไงก็ไม่รู้ แถมแถวนี้แท็กซี่ก็ไม่ยักจะเจอซักคัน ฉันยืนถือสายรออยู่ครู่หนึ่งปลายสายยังไม่มีการตอบรับกลับมาซักที

                “นี่เธอ”

                จู่ๆก็มีผู้หญิงคนนึงมาเรียกฉันด้วยแววตาไม่ค่อยเป็นมิตร (หรือบางทีฉันอาจจะคิดไปเอง) ผู้หญิงคนนี้ดูเฉี่ยวๆเปรี้ยวๆ แถมท่าทางอายุจะมากกว่าฉันอยู่หลายปีเหมือนกันนะ อืม..ประมาณ มหาวิทยาลัยปีท้ายๆล่ะมั้ง

                “เรียกฉันเหรอคะ ?”

                “ใช่สิ ตาบอดรึไง แถวนี้ก็มีแกอยู่แค่คนเดียว!”

                อ้าว พูดงี้ก็สวยสิป้า -_- อุตส่าห์คุยด้วยดีๆเรียกกันแบบนี้ซะงั้น ฉันกดตัดสายทิ้งแล้วเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าตามเดิม จากนั้นก็กอดอกมองป้าคนนั้นด้วยสีหน้าบอกความไม่พอใจเล็กๆ

                “เราเคยรู้จักกันมาก่อนเหรอ แต่เท่าที่ฉันจำได้ ฉันไม่เคยรู้จักป้านะ”

                “ใครป้าแกหะ! หึ แกน่ะไม่รู้จักอะไรฉันหรอก แต่ว่าแกน่ะคือคนที่ฉันต้องมาสะสางด้วยต่างหาก”

                “สะสาง ? เรื่องอะไรกัน”

                “แกทำร้ายน้องของฉัน จำไม่ได้รึไง!”

                “น้องของป้า ? คนไหนฉันจะไปรู้มั้ยล่ะ”

                คนนะไม่ใช่พวกเหนือมนุษย์ ที่จะมีพลังพิเศษสแกน DNA หาความคล้ายคลึงบนหน้าคนได้น่ะ -*-

                “ช่างเถอะ ฉันไม่มีอยากเสียเวลาพูดมากกับแกแล้ว ได้เวลาสะสางล่ะ”

                ป้านี่ปรี่จะเข้ามาตบฉัน แต่ฉันหลบทันแถมยันส่งท้ายให้อีกทีนึง -_-

                พลั่ก!!

                “กรี๊ดดดดดดดด นี่แกถีบฉันเหรอ!!!”

                ฉันถอนหายใจส่ายหน้าช้าๆ แล้วเดินออกไปจากตรงนั้น อยากกลับบ้านแล้วนะ ป้าโดนถีบส่งขนาดนี้แล้วก็ไปๆซะทีเถอะ - - ฉันเดินต่อไปพลางล้วงโทรศัพท์ออกมาอีกรอบ แต่ยังไม่ทันได้กดโทร สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

                “อุ๊บ! อื้อ!! อื้อ!! ”

                มีมือใหญ่ๆที่ไม่ใช่ของยัยป้านั่นแน่ๆ เอื้อมมาจากด้านหลังพร้อมกับปิดปากฉันเอาไว้แน่น ฉันดิ้น พยายามเอาศอกกระทุ้ง บิดข้อมือ หรือเหยียบเท้า แต่ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่ไม่เป็นผลทั้งนั้น หมอนี่มันเป็นใครกันแน่เนี่ย โอ้ย! แรงเยอะชะมัด!!

                “เงียบน่า หยุดดิ้นได้แล้ว ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”

                “อื้อๆๆ!! อื้อ!!” ฉันดิ้นไม่หยุด พยายามหาทางเอาตัวรอด แต่ก็ไม่ได้ผลเลย ตัวฉันถูกจับไว้แน่นจนเจ็บเข้าไปถึงกระดูก โทรศัพท์มือถือของฉันเอง ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่ากระเด็นหายไปไหนแล้วด้วย

                “จุ๊ๆ น่าสงเพชซะจริงๆ หึ! เมื่อกี๊แกถีบฉันสินะ งั้นเจอนี่! ปล่อยมือออกจากปากมัน!”

                เพียะ!

                เกิดเสียงฝ่ามือกระทบดังขึ้นทันทีที่ไอ้ยักษ์นี่มันเอามือมันออกจากหน้าของฉัน ฉันเจ็บจนชาไปทั้งแถบ เพราะแรงตบจากยัยป้านี่ แต่ยังไม่หยุดแค่นั้น ยัยนี่ยังตบฉันอีกสองครั้ง ตอนนี้ฉันรู้สึกได้ถึงรสฝาดๆที่บริเวรริมฝีปากของฉันเอง

                “ได้เห็นเลือดแกแล้วมันสะใจเป็นบ้า แต่อย่าเพิ่งดีใจไปล่ะ การล้างแค้นมันยังไม่จบแค่นี้”

                ฉันมองเห็นคนตรงหน้ากำลังเปิดกระเป๋าแล้วล้วงเอาคัตเตอร์ออกมา ยัยนี่ยิ้มก่อนจะชูคัตเตอร์ในมือให้ฉันดู

                “แกเห็นมั้ยว่านี่อะไร”

                “หึ! คิดจะฆ่าฉันรึไง”

                “ไม่หรอก มันง่ายไป”

                “…”

                “ฉันอยากสร้างรอยอะไรนิดหน่อยบนหน้าแกก็แค่นั้นแหละ หึหึหึ”

                ยัยบ้าเริ่มหัวเราะแบบจิตๆ แล้วเอาปลายคัตเตอร์ด้านหนึ่งถูกใบหน้าฉันไปมา

                “นี่! ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรกันหะ”

                “เพื่ออะไรเหรอ ก็เพื่อน้องฉันไง! แกรู้มั้ยว่าที่แกทำร้ายน้องฉันคราวนั้นมันทำให้น้องฉันต้องทนกับแผลน่าเกลียดๆบนหน้านั่น!”

                “น้อง ? คนไหน ป้าพูดถึงใครเนี่ย”

                “ก็ระรินไงเล่า อย่ามาทำเป็นจำไม่ได้หน่อยเลย!”

                ระรินงั้นเหรอ.. ยัยหัวโจกนั่นสินะ นึกออกแล้ว แต่ยัยนั่นทำตัวเองนะ ฉันพยายามเตือนแล้วแท้ๆ แต่ยัยนั่นไม่ฟังอะไรเลย

                “นั่นมันไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน”

                “หุบปากนะ! เลิกพล่ามได้แล้ว ฉันขี้เกียจเสียเวลา รีบจัดการแกให้เสร็จๆจะดีกว่า”

                แกร็กๆๆ เสียงคัตเตอร์ที่ค่อยถูกเลื่อนขึ้นมาโชว์ความคมของมัน คนตรงหน้ายิ้มเหี้ยมก่อนจะค่อยเลื่อนมันเข้ามาใกล้ใบหน้าของฉันเรื่อยๆ เรื่อยๆ ฉันหลับตาไม่อยากรับรู้สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่แล้ว….

                แกร๊งงง!! 

                “กรี๊ดดดดดดด”

                แน่นอนนั่นไม่ใช่เสียงของฉัน ฉันรีบลืมตาขึ้นดู ภาพตรงหน้าที่เห็นก็คือยัยป้านี่ลงไปนั่งอยู่กับพื้น คัตเตอร์กระเด็นไปอีกทาง และตัวของฉันที่เคยถูกยักษ์ที่ไหนก็ไม่รู้จับไว้ ตอนนี้ฉันเป็นอิสระเรียบร้อยแล้ว  ฉันหันไปรอบๆตัวก็พบกับ ไอรีน รุ่นพี่คิน และ …นายติวา

                “พวกแกมาทำร้ายยัยนี่ทำไม!!”

                นายติวาคว้าคอเสื้อของไอ้ยักษ์นั่น เสียงของเขาดังลั่นไปทั่วบริเวรนั้น ท่าทางเขาดูโมโหมาก ไม่สิ..เขาจะโมโหทำไมกัน! มันไม่ใช่เรื่องอะไรของเขาที่เขาจะต้องมาเดือดร้อนเลย หมอนั่นก็แค่อยากข่มคนอื่นเท่านั้นเอง ชอบอยู่แล้วนี่ ไอ้การเอาชนะแบบนี้

                “ฉันไม่รู้ ยัยนี่จ้างฉันมา ฉันแค่มาทำงานของฉัน”

                “ฉะ ฉันขอโทษ ฉันจะไม่ทำอีกแล้ว ปล่อยฉันไปเถอะนะ”

                ยัยป้ายกมือไหว้แทบจะลงไปกราบแทบเท้าเลยก็ว่าได้ ถึงพวกนี้จะทำมากแค่ไหน แต่ฉันถือคติที่ว่าไม่รังแกคนอ่อนแอ แล้วก็จะให้โอกาสกับคนที่สำนึกผิดเสมอด้วย ยัยป้าดูสำนึกจริงๆ ดังนั้นก็ควรที่จะ…

                “ปล่อยพวกนี้ไปเถอะ”

                “นี่เธอ!”

                “เถอะน่า ฉันเป็นคนเจ็บนะ ไม่ใช่นาย บอกให้ปล่อยก็ปล่อยสิ”

                “โถ่เว้ย!”

                เขาสบถออกมาเสียงดังพร้อมกับปล่อยมือที่ขย้ำคอเสื้ออยู่ สองคนนั่นรีบวิ่งหนีไปหลังจากที่ฉันพูดจบ นายติว่ามองฉันด้วยสายตาที่ไม่สบอารมณ์ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่น แต่ใครสนกันล่ะ -_- ไอรีนที่ยืนดูอยู่ห่างๆก่อนหน้านี้รีบวิ่งเข้ามาหาฉัน พร้อมกับน้ำตาที่ไหลเป็นทาง เยอะราวกับเขื่อนแตก

                “โอ๋เป็นยังไงมั่ง เจ็บตรงไหน มันทำอะไรโอ๋ ฮือๆๆ รีนขอโทษนะ รีนลืมไปว่าโอ๋ไม่คุ้นกับทางแถวนี้ รีนไม่น่าปล่อยให้โอ๋มามืดๆแบบนี้คนเดียวเลย รีนขอโทษ ฮือ..”

                “อย่าร้องน่า ฉันไม่เป็นอะไรซักหน่อย ขอบใจนะรีนที่มาช่วยฉัน”

                “ฮึก คือว่าจริงๆแล้วคนที่จะออกมาน่ะ..”

                “ไอรีน ป่านนี้พี่สาวเธอคงจะห่วงเธอแล้วล่ะ ไอ้คินแกพาไอรีนกลับไปก็แล้วกัน เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการต่อเอง”

                ยัยรีนยังพูดไม่ทันจบก็โดนนายติวาตัดบทไปซะก่อน คินพาไอรีนกลับไปตามที่เขาบอก ไม่นาน รถคันหนึ่งก็แล่นออกไปจากที่ตรงนี้ ฉันมองไปรอบๆก็พบว่าเหลือรถอีกคัน เป็นของนายติวาอย่างไม่ต้องสงสัย

                “ไปเถอะ ขึ้นรถ”

                ด้วยความที่ฉันเริ่มล้าและอยากกลับให้ถึงบ้านไวๆ จึงยอมเดินไปขึ้นรถแต่โดยดี ระหว่างทางเขาหันมามองฉันเป็นระยะ บางทีก็พยายามจะชวนคุย ซึ่งแน่นอนว่า..ฉันไม่ตอบ

                “เธอ..เจ็บมากมั้ย”

                “…”

                 “ทำไมต้องออกมาจากร้านตอนนั้น”

                “…”

“รังเกียจฉันมากเลยหรือไง”

                “…”

                ประโยคสุดท้ายเขาถามด้วยน้ำเสียงตัดพ้อจนฉันรู้สึกได้ ก่อนจะนั่งเงียบไปตลอดทาง ไม่หันมาถามอะไรฉันอีกเลยจนกระทั่งรถจอดลงเมื่อถึงที่หมาย ที่หน้าบ้านของฉัน

                แปลกมากที่หมอนี่รู้ทางมาบ้านของฉัน แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่ฉันควรจะถาม ฉันไม่อยากคุยกับเขา!

                “ใจคอเธอจะไม่คุยกับฉันซักนิดเลยเหรอ”

                “…”

                “แล้วแผลเธอล่ะ”

                จะถามอะไรนักหนา น่ารำคาญจริงๆ!

                “แผลแค่นี้ไม่ตายหรอกน่า เดี๋ยวฉันจัดการเองได้!”

                “เพิ่งจะรู้นะ ว่าเธอเป็นพวกชอบหนีปัญหาด้วย”

                “หึ! ขอบใจที่มาส่ง นายกลับไปได้แล้ว”

ฉันพูดตัดบทแล้วรับเปิดประตูลงมาจากรถอย่างเร็ว แต่ยังช้าไป..เพราะนายติวาที่ลงจากรถตามมาติดๆสามารถวิ่งมาคว้าแขนฉันไว้ได้ทันก่อนที่จะได้เข้าบ้าน ฉันหยุดแต่ไม่หันกลับไปมองหน้าเขา

                “ไม่ทันไรก็จะหนีอีกแล้วงั้นเหรอ”

                “ปล่อย อย่ามาแตะต้องตัวฉัน” ฉันยืนนิ่ง พูดเสียงเย็น

               “ทำไม เกลียดฉันมากขนาดนั้นเลยเหรอ”

               “ใช่ ฉันเกลียดนาย หน้าไม่อยากจะมอง แม้แต่เสียงนาย ฉันก็ไม่อยากจะได้ยิน!”

               “แล้วทำไมถึงได้เกลียดฉันล่ะ”

               “ก็..”

               ยังไม่ทันได้พูดอะไรมากกว่านั้น เขาเดินอ้อมมาด้านหน้าของฉัน พร้อมกับจับแขนฉันไว้ทั้งสองข้าง เพื่อให้ฉันมองหน้าเขา ฉันพยายามเบี่ยงหน้าไปทางอื่น เลี่ยงที่จะสบตากับเขาตรงๆ

               “ที่เธอเกลียด เพราะฉันได้เห็นน้ำตาของเธองั้นเหรอ หรือเพราะว่าฉันอุ้มเธอไปห้องพยาบาล”

               “…”

               ฉันเม้มปากแน่น พยายามไม่พูดอะไรตอบโต้ออกไป เขามองหน้าฉันนิ่ง ก่อนจะพูดอีกประโยคออกมา..

               “หรือว่า..เพราะฉันจูบเธอ”

               “หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ! เลิกพูดถึงเรื่องนั้นซักทีได้มั้ย!!”

               ฉันใช้แรงทั้งหมดที่มีพยายามสะบัดให้หลุดจากมือของเขา แต่มันก็ไม่เป็นผลแต่กลับจับแขนฉันแรงขึ้นกว่าเดิมเสียอีก ทำไมหมอนี่ต้องชนะฉันอยู่เรื่อย

               “ทำไมตั้งโอ๋ ทำไมเธอต้องกำหนดว่าตัวเองต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ เธอเป็นคนนะ จะไปเข้มแข็งตลอดเวลาแบบนั้นได้ยังไงกัน”

               “ต้องได้สิ ฉันทำได้ และทำได้มาโดยตลอด! แต่พอเจอนาย..”

               “…”

               “พอเจอนาย ชีวิตฉัน มันก็ดิ่งลงเรื่อยๆ นายมันตัวปัญหาสำหรับฉัน! ฉะนั้น เลิกยุ่งกับฉันซักที!!”

               ฉันตะโกนใส่หน้าพลางจ้องมองเขาด้วยความไม่พอใจ

               “ตัวปัญหางั้นเหรอ หึ งั้นเธอมันก็ตัวปัญหาสำหรับฉันเหมือนกันนั่นแหละ”

               “ถ้าอย่างนั้น เราก็ไม่ควรต้องเจอหน้ากันอีก แล้วนายก็ไม่ควรจะมาจับฉันไว้แบบนี้ด้วย!”

               “ใช่ ฉันไม่ควรทำ”

               “งั้นก็ปะ..”

               “แต่ฉันปล่อยเธอไม่ได้”

               แววตาเขาที่มองฉันมันดูอ่อนลงอย่างที่ไม่เคยเป็น ติวาผู้ไม่ยอมใคร เจอกันมีแต่จะเอาชนะ ชอบหาเรื่อง ใจดำ และไร้หัวใจ! ตอนนี้สิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้มันกำลังเกิดขึ้น ฉันสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนของเขา ความอ่อนโยนจากคนแข็งกระด้างอย่างเขา ไม่จริงใช่มั้ย ฉันรู้สึกไปเองรึยังไงกัน

               “พูดบ้าอะไรของนาย!”

               “เพราะเธอมันตัวปัญหาไง เธอทำให้ฉันเป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้ ตอนเธอบอกว่าเกลียดฉัน หรือแม้แต่แค่ช่วงเวลาสั้นๆที่ฉันไม่ได้เจอเธอ”

               “…”

               “ปัญหาของเธอมันคือเธอเกลียดฉัน แต่ปัญหาของฉันมันตรงกันข้ามกัน”

               “เลิกพูดนะ ไม่ว่านายจะบอกอะไร เลิกพูดมันเดี๋ยวนี้!”

               ฉันเริ่มรับรู้ได้ถึงความหมายที่เขาต้องการจะบอก ฉันหลับตาลง ไม่อยากรับความรู้สึกที่เขากำลังส่งมอบมาให้ ทั้งจากคำพูด การกระทำ น้ำเสียง หรือแววตา ฉันไม่มีวันยอมรับมัน และไม่มีวันยกโทษให้ด้วยเช่นกัน!

               “เธอนี่มันใจร้ายจริงๆ”

               “ใช่! ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้แหละ นายปล่อยแขนฉันซักที”

               เขามองหน้าฉันนิ่ง ก่อนจะค่อยๆคลายมือนั่นออก ฉันมองหน้าเขาที่ตอนนี้ดูเศร้าเหลือเกิน แต่ใครจะไปสนใจล่ะ เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ฉันเดินออกไปจากจุดนั้นทันที เดินไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมามอง นี่สิสิ่งที่ฉันควรจะทำมากที่สุด แต่ทว่า ยังไม่ทันจะได้เอื้อมไปเปิดประตูบ้าน เขาก็พูดด้วยเสียงที่ฟังดูแผ่ว แต่ฉันกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน

               “นี่ ตั้งโอ๋”

               “อะไรอีก” อีกครั้งที่ฉันตอบคำถาม โดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง

               “ฉันจะต้องทำยังไงงั้นเหรอ เธอถึงจะหายเกลียดฉัน”

               หลังจากสิ้นสุดคำถามนี้ ความเงียบเริ่มเข้าปกคลุม ความสับสัน ความไม่แน่ใจเริ่มเข้ามาปั่นป่วนฉันจนยุ่งเหยิงไปหมด ทั้งความจริง ฉันไม่ควรจะคิดมากเลยนะ คำตอบมันก็มีเพียงคำตอบเดียวอยู่แล้วนี่ ฉันจะต้องมามัวคิดไปเพื่ออะไร

                “ทำยังไงน่ะเหรอ คำตอบคือนายไม่จำเป็นต้องทำอะไรทั้งนั้น”

               “…”

               “เพราะฉันไม่มีวันหายเกลียดนายแน่ …ไม่-มี-วัน!”

               ฉันพูดเน้นสามคำท้ายอย่างหนักแน่น แล้วรีบเดินกลับเข้าไปในบ้านโดยไม่เหลียวกลับมามองอีกเลย วันนี้เป็นวันที่เหนื่อยที่สุดอีกวันของฉัน พอมานั่งทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก็พบว่าเกิดคำถามอยู่ในหัวและในใจของฉันมากมาย และที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ ฉันไม่รู้ตัวเองว่าที่ฉันตอบไปตรงหน้าประตู เมื่อครู่นี้ ที่ว่า…

               “เพราะฉันไม่มีวันหายเกลียดนายแน่ …ไม่-มี-วัน!”

               คำพูดพวกนี้ มันเป็นคำพูดที่ออกมาจากส่วนไหนกันแน่นะ ‘สมอง’ หรือว่า ‘หัวใจ’ …ฉันไม่รู้เลยจริงๆ…

                                                           

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.2 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.2 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา