XENON LIFER อมนุษย์พันธุ์ทมิฬ

8.3

เขียนโดย TwentySIX

วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 10.59 น.

  13 chapter
  1 วิจารณ์
  12.98K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 มกราคม พ.ศ. 2560 11.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

7) Real Hidden

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

     กองหินศิลาจำนวนมากกลิ้งหลุดๆ พร้อมกับการปรากฏตัวของชายปริศนา เขาลุกขึ้นเดินไปหยิบหมวกคนเดินป่าที่ตกอยู่ใกล้ๆมาปัดฝุ่น ส่วนมืออีกข้างดึงกล่องมารกลั่นวิญญาณออกมาจากกองหิน ก่อนจะมีเส้นสายละอองสีดำจากตัวกล่อง คดเคี้ยวไปมารอบซากปรักหักพังเพื่อช่วยตามหาอาวุธของนายมัน

     ชายปริศนาประคองเศษชิ้นส่วนปืนลูกโม่กับสนับแขนกล เขาจ้องมองมันด้วยแววตาครุ่นคิด ก่อนตัดสินใจจะเปิดกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมแล้วเก็บลงไป จากนั้นถึงจะสลายกล่องมารให้กลายเป็นอุปกรณ์ที่เหมาะแก่การเคลื่อนไหว ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นมองพระจันทร์สีเลือด รอยหลุมอุกาบาตบนดวงจันทร์นั้น ดูแล้วช่างคลับคล้ายกับดวงตาปีศาจนับร้อยที่คอยจับตาดูเขาอยู่ทุกฝีเท้าที่ก้าวเดิน

     'หนทางยังอีกยาวไกล...'

     เขาบอกกับตัวเองก่อนจะกระโดดขึ้นฟ้า พร้อมปากรงเล็บกระชากมิติขึ้นไปเกาะซอกหินแห่งหนึ่ง จากนั้นเขาค่อยกระตุกดึงร่างตัวเองพุ่งเข้าหารอยแตกบนเพดาน อันเป็นทางออกไปสู่ภายนอกเรือนจำมรณะ

     จิลใช้ดวงเนตรสีครามจ้องมองลงไปที่ก้นหลุมลึก เธอรอคอยการกลับมาของชายปริศนาอย่างใจจดใจจ่อ แต่หญิงสาวยืนรอเพียงแค่ชั่วครู่เดียว ชายหนุ่มก็กระโดดพุ่งทะลุร่างเธอขึ้นมายืนอยู่บนปากหลุมได้สำเร็จ โดยมือซ้ายของเขายังถือกรงเล็บกระชากมิติ ก่อนที่มันจะสลายกลายมาเป็นกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมเช่นเดิม

     "ตกใจหมดเลย"

     จิลสะบัดหน้าไปต่อว่าชายหนุ่ม ที่จู่ๆก็เล่นโผล่พรวดมาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียงแบบนี้ ซึ่งชายปริศนาก็ไหวไหล่ไม่สนใจคำต่อว่าของหญิงสาว เขาแหงนหน้ามองสภาพแวดล้อมรอบตัว พบว่าที่นี่คือป่าสนไร้ใบ และยามที่มีสายลมพัดผ่านต้นไม้ตายซากพวกนี้ มันก็จะให้เสียงหวีดร้องอย่างน่าหดหู่ใจ

     ที่นี่ไม่ใช่ที่ๆควรจะอยู่

     "เธอรีบกลับเข้าร่างไปก่อนเถอะ จิล..."

     หญิงสาวเลิกคิ้วสงสัยก่อนลอยตัวทะลุลำตัวชายปริศนา พร้อมทำหน้าทำตาไม่ค่อยจะเข้าใจ ว่าทำไมเธอถึงต้องรีบกลับเข้าร่างในตอนนี้

     "ทำไมล่ะ?"

     ชายปริศนาดึงเศษผ้าขึ้นปกปิดใบหน้า ก่อนจะแสดงสายตาอย่างรู้สึกรำคาญสุดๆ เขาไม่รู้จริงๆว่าทำไมทอชถึงให้ยัยผู้หญิงนี่มาเป็นคู่หูของเขา ถ้ารู้แบบนี้เขาขอลุยเดี่ยวเองยังจะง่ายเสียกว่า

     "จะไปดีๆ หรือจะไปทั้งน้ำตา" เขาขู่เสียงเย็น

     จิลได้ยินก็หัวเราะหลังขดหลังแข็ง เธอใช้มือป้องปากแล้วส่งเสียง"โฮะโฮะๆ" ออกมาอย่างน่ารำคาญ บรรยากาศชวนขนหัวลุกของป่าสนไร้ใบ จึงถูกทำลายเสียป่นปี้ไม่มีชิ้นดี

     "คนชอบตาบอดตอนเช้าๆอย่างนายน่ะเหรอ จะทำอะไรฉันได้?"

     "ก็บอกว่าไม่ได้บอด และตอนนี้ก็กลางคืนแล้วด้วย ยัยโง่!"

     ชายปริศนาสะบัดมือไปด้านข้างด้วยความรำคาญ เดี๋ยวนี้เขารู้สึกว่าสิ่งที่ทำให้เขาโกรธได้ง่ายกว่าการมาเจอกับศัตรูตัวฉกาจ ก็คือยัยจอมจุ้นที่ชื่อจิลเนี่ยแหละ!

     "นั่นนายกำลังยอมรับว่าตัวเองตาบอดตอนเช้าใช่มั้ย?" หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลถาม เธอแกล้งดัดเสียงให้มันดูน่าโมโหให้มากที่สุด

     "หนวกหูน่า พูดมากรำคาญ!"

     ชายปริศนาตัดบทอย่างเซ็งสุดขีด เขายังมีภารกิจสุดโหดรออยู่ ดังนั้นจะมาเสียเวลากับยัยผู้หญิงจอมจุ้นนี้ไม่ได้ แต่ก่อนที่เรื่องทุกอย่างจะจบลงโดยสมบูรณ์ เด็กหนุ่มผมทองยาวสลวยซึ่งนั่งอยู่ตรงพื้นมาตั้งนานก็พูดแทรกขึ้น น้ำเสียงนิ่งๆเรียบๆนั้นเรียกความสนใจของชายปริศนาได้เป็นอย่างดี

     "ทำไมเจ้าถึงไม่ฆ่าข้า"

     คำถามง่ายๆนั้นเรียกสายตาจากชายปริศนา 

     "ถามทำไม..." เขาโยนคำถามนั้นกลับคืน

     "เจ้าฆ่าทุกชีวิตในเรือนจำนั่น แต่เจ้ากลับไม่ยอมฆ่าข้า!"

     อาคัลลุกขึ้นยืนและสบตากับชายหนุ่ม ส่วนจิลลอยมายืนอยู่ข้างๆชายปริศนา เธอไม่รู้เลยว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นใครมาจากไหน แต่หากชายปริศนาไม่ทำอันตรายกับเขา นั่นก็แสดงว่าอาคัลน่าจะไม่ใช่คนเลว

     "หรือเจ้าคิดจะให้ข้าติดหนี้ชีวิต.." อาคัลยังพูดไม่ทันจบชายปริศนาก็แทรกเสียงเสียก่อน

     "ภูตตระกูลบัคคลีโอ้ เป็นภูตที่สามารถใช้พลังธาตุทั้งสี่ได้ แต่ภูตตระกูลนี้จะให้กำเนิดบุตรได้เพียงแค่หนึ่งเดียว ดังนั้นบุตรที่ถือกำเนิดขึ้นมาจึงถูกเหล่าชาวบ้านยกย่องให้เป็นทายาทราชาอันสูงส่ง"

     ชายปริศนาเงยหน้ามองท้องฟ้า นัยน์ตาสีแดงของเขาสะท้อนภาพพระจันทร์สีเลือด คืนนี้เป็นเหมือนกับทุกๆคืน...ทุกคืนที่วนไปมาซ้ำๆซากๆอย่างน่าเบื่อหน่าย

     "แกมีภาระหน้าที่อันสำคัญ และยังเป็นตัวตนที่จะหายสาปสูญไปไม่ได้...เหตุผลเพียงแค่นี้แกคงจะพอเข้าใจ..."

      ชายหนุ่มช่วยไขกระจ่างความจริง จิลได้ยินเช่นนั้นจึงแอบมองใบหน้าทั้งสองหนุ่ม โดยสองคนนั้นแทบจะมีสีหน้าไม่แตกต่างกัน ซึ่งในกรณีของชายปริศนาผู้ปิดบังรูปโฉมนั้น เธอสามารถคาดเดาความคิดของเขาได้ง่ายๆ โดยผ่านการประสานสายตาเพียงแค่ชั่วครู่เดียว และหญิงสาวก็ถือโอกาสที่ทุกคนไม่ยอมปริปากพูดนั้น ไปลากตัวอาคัลมายืนล้อมเป็นวงกลม

     "ทำอะไรของเจ้าเนี่ย?" 

     เด็กหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงแสดงออกถึงความไม่พอใจ

     สำหรับชายปริศนาก็ไม่แคล้วโดนดึงมาร่วมวงด้วย รายนั้นเอามือปิดหน้าก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

     อาจดูแล้วเป็นภาพที่แปลกตา เมื่อหนึ่งมนุษย์หญิงสาว กับหนึ่งภูตและหนึ่งอมนุษย์ กำลังยืนล้อมกันเป็นวงกลม และด้วยเหตุใดก็ไม่รู้...ภาพเหล่านั้นมันถึงได้ดูงดงามอย่างน่าแปลกประหลาด ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงัดยิ่งกว่าป่าช้า กลับมีเสียงเจื้อยแจ้วดังมาจากหญิงสาว

     "พวกเรากำลังจะไปทำลายเขตอาคมอะไรเนี่ยแหละ นายสนใจจะมาด้วยมั้ย?"

     จิลเอ่ยปากชักชวนแบบตรงไปตรงมา พร้อมขยับรอยยิ้มอย่างไร้เดียงสา เธอคงจะไม่รู้หรอกว่าเขตอาคมของเมืองลอสท์อยู่ที่ไหน แต่เธอรู้เพียงแค่ว่ามันคือสิ่งที่จำเป็นต้องทำ

     "อย่าใช้คำว่า...พวก-เรา" ชายปริศนาเน้นย้ำที่ละคำ

     "อีกอย่าง...แกก็รีบหาทางออกไปจากเมืองลอสท์ซะ เห็นแกอยู่ที่นี่แล้วเกะกะลูกตา"

     อาคัลเบนสายตาไปทางชายปริศนา ก่อนตอบกลับด้วยเสียงอันหนักแน่น

     "ข้าไม่อยากจะติดหนี้ชีวิตใคร ดังนั้น..."

     "สรุปก็คือไปด้วยกันเนอะ!"

     หญิงสาวแทรกอย่างไร้มารยาท พฤติกรรมเพี้ยนๆเช่นนี้คงไม่อาจหาดูได้ง่ายๆตามกลุ่มพวกผู้หญิง แต่ถึงกระนั้น ชายปริศนาก็ไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธข้อเสนอของจิล เธอเห็นเช่นนั้นจึงฉีกยิ้มกว้างด้วยความร่าเริง ตามประสาหญิงสาวผู้มองโลกในแง่ดี

     "นี่ ฉันชื่อจิลนะ นายล่ะชื่ออะไร"

     เด็กหนุ่มผมยาวสีทองอ้ำอึ่งชั่วขณะ ก่อนจะบอกชื่อของตัวเองให้หล่อนได้รับรู้

     "ข้าชื่ออาคัล"

     "อาคัน?" 

     จิลทวนชื่ออย่างนึกประหลาดใจ ช่างเป็นชื่อที่ฟังแล้วไม่คุ้นหูจริงๆ

     "ช่วยควบกล้ำเสียงให้มันถูกๆหน่อย ยัยเพี้ยน"

     เป็นชายปริศนาเองที่ต้องมารับหน้าที่สารยายเรื่องชื่อ พอหญิงสาวรู้ชื่อจริงก็ถึงบางอ้อ เธอทุบกำปั้นเข้ากับฝ่ามือน้อยๆอย่างน่ารัก

     "อื้ม..ว่าแต่ชื่อนายนี่แฟนตาซีจังเลยแฮะ"

     หญิงสาววิจารณ์ชื่อคนอื่น โดยชายปริศนาก็แอบเหลือบมองหล่อนเป็นระยะๆ สายตาเขาสื่อข้อความเป็นนัยๆว่า 'อย่างเธอมีสิทธิวิจารณ์ย์ชื่อคนอื่นด้วยเรอะ'

     "แล้วท่านล่ะ มีนามว่าอะไร"

     อาคัลหันมาทางชายปริศนาพร้อมส่งคำถามไปให้ ซึ่งชายปริศนาเองก็เลิกคิ้วแปลกใจ กับสรรพนามที่ถูกเปลี่ยนแปลงของตัวเอง เขาประสานตากับอาคัลและจิล ภายในดวงตาทั้งสองคู่นั้นกำลังสะท้อนภาพตัวเขาเอง

 

     อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้นนะ...

     อย่ามองฉัน เหมือนกำลังมองมนุษย์คนหนึ่ง...

 

     ความคิดแง่ลบจำนวนมหาศาล ถูกถ่ายทอดเป็นข้อความทางจิตให้แก่หญิงสาว เธอรับฟังจนพายุคำศัพท์สิ้นสุดลง ก่อนริมฝีปากรูปกระจับจะขยับขึ้นลงโดยไร้เสียง เพื่อให้ชายปริศนาได้อ่านปากเธอง่ายๆ

     'นายเป็นมนุษย์นะ'

     ชายปริศนารับรู้ในสิ่งที่เธอต้องการสื่อ นัยน์ตาของเขาปิดสนิทอย่างครุ่นคิด พร้อมกับรับฟังข้อความทางจิตที่จิลได้ถ่ายทอดออกมาจากใจจริง คำพูดเพียงคำเดียวช่างมีพลังมากมายเหลือเกิน มันสามารถดลบันดาลทั้งความทุกข์และความสุข สามารถสร้างความกล้าและความเข้มแข็ง ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาช้าๆ

     เราไม่ได้ตัวคนเดียวสินะ...

     นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี

     ที่ชายปริศนาจะดึงผ้าปิดปากลงด้วยตัวของเขาเอง ใบหน้ารูปไข่ที่ดูดีแบบเถื่อนๆ ริมฝีปากแห้งๆเหยียดเป็นเส้นตรง จมูกโด่งเป็นสัน และนัยน์ตาสีเลือดอันน่าคุ้นเคย

     แต่หากไม่ได้มาดูในระยะใกล้ก็คงจะไม่รู้ ว่าดวงตาข้างซ้ายนั้นจะมีลักษณะเป็นเสี้ยวเล็กแหลมๆ ซึ่งคล้ายกับดวงตาของสัตว์ร้าย ต่างจากนัยน์ตาขวาที่เป็นเหมือนกับดวงตามนุษย์ ชายปริศนาหันซ้ายหันขวาเล็กน้อยก่อนจะหยิบมีดคูครีสองเล่มออกมาจากซองมีดที่กลางหลัง พลางเพ็งพินิจอักษรที่บุ๋มลงไปเล็กน้อยตรงบริเวณสันมีด

     "ซีน่อน..."

     จิลทำหน้าผิดคาด เธอไม่คิดเลยว่าจะได้ยินชื่อที่แท้จริงจากปากของเขา ชายปริศนาถอนหายใจเบาๆ ก่อนหันหลังให้ทั้งสองคน

     "ชื่อของฉันคือ ซีน่อน(XENON)"

     ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นฟ้า พลางเฝ้านับจำนวนดวงดาวบนผืนนภาสีดำ

     ไม่รู้ว่าซีน่อนคิดไปเองหรือเปล่า

     แต่เขาคิดว่าท้องฟ้าในยามราตรีของคืนนี้...

     ช่างสวยงาม...เสียยิ่งกว่าทุกๆคืน

 

 

..................................................................

 

หากเลือดต้องชะล้างด้วยเลือด

 

ชีวิตนั้น...

 

ก็คงต้องชะล้างด้วยความตาย

 

..................................................................

 

 

     ณ เมืองขนาดใหญ่ในยามเช้า มีพ่อค้าและนักผจญภัยมากมาย เดินทางเข้าออกกันตลอดทั้งวัน โดยจุดศูนย์กลางของเมืองๆนี้ก็คือปราสาทสีขาวสวยสง่า บนยอดแหลมที่สูงที่สุดประดับด้วยธงลายปีกคล้ายกับไม้กางเขนสีทอง

     เมืองนี้ตั้งอยู่บนที่ราบสูง ด้านหลังเป็นทะเลสาปสวยงาม ธรรมชาติในระแวกนี้จัดว่าดีมาก และมันยังเป็นที่ๆเหมาะแก่การเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจอีกด้วย

     แต่ในสมัยก่อน อาณาเขตแถวนี้ถูกใช้เป็นจุดยุทธศาสตร์เวลาทำสงคราม และเนื่องจากวันเวลาที่เปลี่ยนแปลง กับสงครามที่ยุติลงมานานนับร้อยปี สถานที่แห่งนี้จึงถูกต่อเติมให้กลายมาเป็นเมืองในที่สุด

     โดยพวกเขาเรียกชื่อเมืองนี้ ตามชื่อกองทัพอัศวินว่า...

     ...ดอว์การ์ด(Dawnguard)

 

     ขณะที่ประชาชนทุกคนใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อัศวินผู้หนึ่งก็นั่งก้มหน้ากุมขมับตรงบริเวณสวนดอกไม้ของปราสาท มัสแตงรู้สึกสับสนไปหมด เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่ชายปริศนาต้องการจะสื่อเลยสักนิด และหลังจากนั้นจึงมีใครบางคนเดินตรงเข้ามาหาเขา

     "นั่งเศร้าอะไรของนายน่ะ?"

     ชายหนุ่มผมสีแดงระต้นคอถาม เขาใส่ชุดคลุมสีแดงทับเสื้อแขนยาวสีขาว ตรงอกติดตราไม้กางเขนสีทองเหมือนๆกับมัสแตง เขาคนนี้มีใบหน้ารูปไข่ คิ้วหนา ตาสีดำ และมุมปากก็ประดับรอยยิ้มขี้เล่นตลอดเวลา

     มัสแตงถอนหายใจก่อนมองเพื่อนตัวเอง ซึ่งกำลังหย่อนก้นลงบนม้านั่งข้างๆเขา

     "ฉันทำงานพลาดน่ะ ฟรีส"

     "พลาดเหรอ?" ฟรีสทวนคำ

     ชายหนุ่มผมทองพยักหน้าเบาๆ 

     "ภารกิจของฉัน คือการพาตัวความมืดสีขาวกลับเข้ามาในดอว์การ์ด แต่ฉันพลาดท่าให้กับมัน...แถมคนในหน่วยของฉันก็ตายกันหมดทุกคน"

     ฟรีสร้องอ๋อในลำคอ

     ภารกิจที่มัสแตงได้รับมานั้น เขาต้องเสียเวลาเตรียมการณ์ตั้งหลายสัปดาห์ การฝึกซ้อมและวางแผนซึ่งต้องละเอียด และพิถีพิถันมากๆ

     ไม่แปลกที่ชายหนุ่มจะมานั่งกลุ้มใจ อยู่ตรงสวนดอกไม้หน้าปราสาท

     "ความมืดสีขาวเนี่ย...ใช่อาจารย์ของนายมั้ย" 

     ฟรีสถามลองเชิง

     "อย่าเรียกไอ้สารเลวนั่นว่าอาจารย์เด็ดขาดนะ!"

     มัสแตงขึ้นเสียงอย่างเดือดดาล เขาไม่เคยต้องการอาจารย์ชั่วๆแบบนั้นเลยสักครั้ง แต่ดูเหมือนว่าฟรีสจะเห็นต่าง คู่สนทนาส่ายหน้าเล็กน้อย

     "นายเชื่อว่าอาจารย์ฆ่าท่านพ่อของนายเหรอ?"

     "ก็ฉันเห็นมากับตา"

     "ไม่คิดว่าอาจเป็นความเข้าใจผิดบ้างเหรอ"

     "ไร้สาระน่าฟรีส! ไอ้บ้านั่นมัน..."

     มัสแตงไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูด เพราะความแค้นที่อัดแน่น กับความสงสัยในตัวชายปริศนามันมีมากพอๆกัน ใจหนึ่งก็อยากฆ่ามันซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่อีกใจหนึ่งก็อยากรู้ความจริงทั้งหมดจากปากชายปริศนาผู้นั้น

     "อาจารย์นาย ไม่เคยฆ่าคนแบบไร้เหตุผลใช่มั้ยล่ะ นายอยู่กับเขามาตั้งนานก็น่าจะรู้"

     ชายหนุ่มผมทองส่งเสียงในลำคออย่างนึกรำคาญ เขาควรจะเลิกเอาเรื่องนี้มาคุยกับฟรีสได้แล้ว โดยระหว่างสองหนุ่มกำลังถกเถียงกันเรื่องของชายปริศนา ใครก็ไม่รู้ได้ชะโงกหน้ามาพูดแทรกระหว่างกลางจากด้านหลัง

 

     "คุยเรื่องแบบนี้มันอันตรายนะ"

 

     เร็วเท่าความคิด มัสแตงกับฟรีสรีบดีดตัวออกจากม้านั่ง ฝ่ายคนที่โผล่เข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญก็ขยับรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ เขาใส่เครื่องแบบเป็นชุดรัดกุมสีดำ สวมหมวกปีกกว้างติดขนนกสีดำ และยังมีผ้าคลุมไหล่เป็นสีเดียวกับความมืด ไรผมสีน้ำตาลเล็ดลอดจากหมวกเขา นัยน์ตาปิดแน่นจนดูเหมือนคนตาหยี ตรงอกซ้ายปักตราสัญลักษณ์รูปมีดติดปีกข้างเดียว

      "ตกใจกันใหญ่เลยนะครับ"

     ชายคนนั้นหัวเราะคิกๆอย่างคนมีเลศนัย พร้อมกับส่งรอยยิ้มที่ดูแล้วไม่น่าไว้วางใจมาหามัสแตง

     "แกเป็นใครกัน!"

     ชายหนุ่มผมทองกระชากเสียงถาม ไอ้หมอนี่ดูแล้วไม่ค่อยจะคุ้นหน้าคุ้นตาเลยสักนิด

     อีกฝ่ายจดปลายนิ้วชี้ที่ริมฝีปาก มืออีกข้างแบออกข้างลำตัว ท่าทางแบบทีจริงทีเล่นนั้น ทำให้มัสแตงของขึ้นได้ไม่ยาก ก่อนผู้มาเยือนจะเอ่ยแนะนำตัวอย่างด้วยน้ำเสียงอันกวนประสาท

     "ผมชื่อริน มาจากศาสนจักรแสงครับผม"

     "ศาสนจักรแสงเหรอ?...แล้วนายมาทำอะไรที่ดอว์การ์ดล่ะ"

     ฟรีสถาม พลางจดจ้องตราสัญลักษณที่อกซ้ายของริน เขาจดจำทุกรายละเอียดของอีกฝ่ายเอาไว้

     "ผมแค่จะมาส่งจดหมายเวียน ตามคำขอร้องของอาร์คบิชอป น่ะสิครับ"

     รินบอกอย่างอารมณ์ดี แต่สำหรับพวกอัศวินเรดพาลาดินนั้น กลับเหงื่อแตกพลั่กตามๆกัน

     อาร์คบิชอป(Arch Bishop) คือผู้มีอำนาจสูงสุดของศาสนจักรแสง ซึ่งความจริงแล้วทั้งศาสนจักรแสงและดอว์การ์ด ต่างก็เป็นองค์กรสาขาที่แตกย่อยมาจากอีเดน(Eden) โดยผู้กุมอำนาจของอีเดนเอาไว้ก็คือ องค์สันตะปาปา(Pope)

     แม้คิงของดอว์การ์ดจะมีอำนาจมากพอสมควร แต่ฐานะนั้นยังถือว่าต้อยต่ำยิ่งกว่าพวกสาวก และในส่วนขององค์กรแตกย่อยอีกหนึ่งของศาสนจักรแสง ที่มีอำนาจเทียบเคียงกับคิงได้ นั่นก็คือ...

     ภาคี(The Order)

     มัสแตงขมวดคิ้วเป็นปม ไม่ผิดแน่ๆ...

     ไอ้ท่าทีสบายอกสบายใจจนเกินไปแบบนี้

     ไอ้หมอนี่มันต้องเป็นภาคีแน่ๆ!

     "ไหนๆคุณก็แอบทำผิดกฎของศาสนจักรแสง ผมว่าคุณน่าจะมาคุยร่วมโต๊ะกับคิงน่าจะดีนะครับ...คุณมัสแตง"

     รินหยิบซองจดหมายออกมาโชว์ให้เห็นจากอกเสื้อ ก่อนเก็บกลับเข้าลงที่เดิม พร้อมเดินผิวปากไปทางประตูเข้าสู่ปราสาทกลาง โดยมัสแตงได้แต่ยืนกำหมัดแน่นอย่างไม่พอใจ ส่วนฟรีสขยับตัวเข้าไปตบบ่าเพื่อนตัวเองเป็นเชิงให้กำลังใจ

     ภาคีคือหัวหอกสำคัญของศาสนจักรแสง

     และว่ากันว่าภาคีระดับต่ำสุด ก็มีฝีมือเก่งยิ่งกว่าหัวหน้าเรดพาลาดินอย่างเขา แต่พวกภาคีระดับสูงจะแตกต่างกันออกไป เพราะพวกมันสามารถเหยียบหน้าคิงเล่นได้ ถ้าหากมันคิดอยากจะทำเข้าจริงๆ

     "ไอ้พวกหมารับใช้"

     มัสแตงลอบด่าเบาๆก่อนจะเดินออกจากสวนดอกไม้

     ความจริงแล้วอีเดนมีข้อตกลงใหม่เกี่ยวกับเรื่องผู้ร่วงหล่น ทั้งที่สมัยก่อนนั้นยังสามารถออกล่าพวกมันได้ตามใจชอบ ก่อนจะมีการออกกฎเหล็กขึ้นมาบังคับใช้สำหรับดอว์การ์ดโดยเฉพาะ

     กฎนั้นก็คือ...

     กฎการห้ามจู่โจม ฆ่า ทำร้าย หรือพฤติกรรมใดๆก็ตาม ที่เสี่ยงต่อการดำเนินชีวิตของความมืดสีขาว

     ทางฝ่ายภาคีหนุ่มที่เดินล่วงหน้าออกมา ก็แอบยืนกอดอกอยู่บนอากาศ ร่างเขาวูบไหวไปมาเหมือนควันไฟ ดวงตาที่ปิดสนิทบัดนี้ได้เปิดเปลือกตาสีเขียวเข้มออกมา และเขาก็กำลังจับจ้องมองมัสแตงซึ่งยืนทำหน้าไม่พอใจอยู่ตรงสวนดอกไม้

     ทว่าดวงเนตรนั้นฉายแสงสีเขียวได้เพียงไม่นาน มันก็ค่อยๆจางแสงลงจนกลายเป็นสีขาวขุ่น รินยกปากขึ้นอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก ก่อนเขาจะขยับหมวกปีกกว้างร่นลงมาปกปิดสายตา ซึ่งนั่นเป็นเวลาเดียวกับที่มีเสียงของหญิงสาวดังขึ้นในหัวของเขา ภาคีหนุ่มเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางกดบริเวณหูตัวเองเพื่อจะได้ฟังเสียงนั้นให้ชัดเจน

     'ตอนนี้นายกำลังทำอะไรอยู่ เจ้างูพิษ'

     คนถูกเรียกว่างูพิษคลี่รอยยิ้มน้อยๆ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงกวนๆ

     "ตอนนี้ผมกำลังคิดอยู่ ว่าจะจัดการเก็บคุณมัสแตง ซะตอนนี้เลยดีมั้ยน่ะครับ"

     'ไม่...มัสแตงยังพอมีประโยชน์กับเราในภายภาคหน้า ฉันคิดว่าเขาจะต้องกลายเป็นตัวแปรสำคัญต่อศาสนจักรแสงแน่ๆ'

     ภาคีหนุ่มเกาหัวก่อนเบนสายตาลงมามองมัสแตงอีกครั้ง เขามองเจ้าหัวหน้าเรดพาลาดินเดินออกจากสวน จากนั้นจึงค่อยกลับมาพูดคุยกับหญิงสาวอีกครั้ง

     "ฟังดูแล้วเข้าใจยากจังนะครับเนี่ย"

     'ตอนนี้นายน่ะแค่ทำตามที่ฉันสั่งไปก็พอ ส่วนเรื่องอื่นไว้ฉันจะสั่งการไปอีกที'

     รินได้ยินก็พยักหน้ารับรู้

     "เข้าใจแล้วครับ คุณอาร์คบิชอบ"

     'อื้ม ดีมาก'

     สิ้นประโยคนั้น เสียงในหัวของรินก็หายไป ชายหนุ่มลดมือลงแล้วถอนหายใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาต้องรีบทำงานตามที่สั่งให้เรียบร้อยเสียก่อน แถมยิ่งอยู่นานๆเข้า ก็ยิ่งรู้สึกระคายเคืองยังไงก็ไม่รู้

     "ชักอยากจะเจอหน้าเพื่อนเก่าซะแล้วสิ"

     เขาเปรยด้วยน้ำเสียงทีจริงทีเล่น ก่อนร่างที่วูบไหวเหมือนควันไฟจะหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย ในตอนนี้คล้ายกับว่าเงื่อนปมแห่งความยุ่งเหยิง กำลังเพิ่งจะเริ่มผูกมัดสินะ

     แต่ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ...ใครจะเป็นคนมัดปมนี้ให้แน่นขึ้น

     และใคร...จะเป็นคนมาคลายเงื่อนปมอันนี้

     นี่มันจะต้องสนุกแน่ๆ~

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา