XENON LIFER อมนุษย์พันธุ์ทมิฬ

8.3

เขียนโดย TwentySIX

วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 10.59 น.

  13 chapter
  1 วิจารณ์
  12.98K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 มกราคม พ.ศ. 2560 11.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) Punishment

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

     "ถ้าเธออยากรู้ถึงขนาดนั้นละก็..."

 

     "ผมจะฆ่าพวกคุณเมื่อไหร่ก็ได้"

 

     "มัจจุราช!!"

 

     "อย่างแกน่ะเจ็บเป็นด้วยเหรอ..."

 

     "ไปตายซะ ไอ้สารเลว!!!!!"

 

     "อลิซ........."

 

..................................................................

 

 

     อาคัลกระโดดหลบฉากออกมาอย่างระแวดระวัง ถึงจะไม่อยากเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อแล้วล่ะว่า...ความมืดสีขาวผู้สร้างยุคทมิฬในตำนานนั้น มีตัวตนอยู่จริง 

      ชายปริศนาก็เหล่มองหาฝ่ายตรงข้าม ที่ถอยร่นรักษาระยะห่างกับเขา ผู้ร่วงหล่นจัดการเล็งปืนลูกซองไปทางเป้าหมาย ดวงเนตรสีแดงยังฉายแววอำมหิตอยู่เช่นเคย

     "ตาย..."

     ชายหนุ่มจัดการเหนี่ยวไกปืน ส่งกระสุนลูกปรายเม็ดเล็กๆ พุ่งกระจายออกไปราวกับตาข่ายที่พร้อมจะดักจับทุกสรรพสิ่ง อาคัลหรี่ตามองก่อนใช้ฝ่ามือทาบบริเวณอก ทันใดนั้นเองร่างเด็กหนุ่มก็เคลื่อนไหวหลบหลีกพายุกระสุนด้วยความเร็วสูง ชายปริศนาควงปืนลูกซองก่อนเก็บลงเข้าหลังเอว

     "เอเลเมนท์แห่งลมงั้นหรือ?"

     ผู้ร่วงหล่นกระแทกฝ่ามือซ้าย เป็นการเรียกกรงเล็บสองเขี้ยวออกจากสนับแขนกล ก่อนออกวิ่งไล่ล่าฝ่ายตรงข้ามอย่างบ้าเลือด กรงเล็บของชายปริศนากวาดฟันซ้ายขวา แต่ทางอาคัลก็ยังหลบหลีกได้ด้วยเอเลเมนท์แห่งลม เด็กหนุ่มทำปากขมุบขมิบเป็นการร่ายคาถา จากนั้นดาบที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นจากเม็ดทรายจึงอยู่ในมือเขา ทายาทราชากระทืบฝ่าเท้ากับพื้น ก่อนจะถีบตัวออกไปพร้อมเสียบดาบเข้ากลางอกชายปริศนา

     เจ้าของฉายาความมืดสีขาวกระอักเลือดออกมา อาคัลเห็นเช่นนั้นจึงละมือจากดาบทราย แล้วถึงจะใช้มืออีกข้างกระแทกด้ามดาบ ระเบิดเม็ดทรายให้กลายเป็นเข็มแหลมๆแทงทั่วทั้งตัวชายหนุ่มจนพรุน ทว่า...

     ถึงแม้นจะเป็นเช่นนั้น ชายปริศนาก็ยังขยับปืนลูกโม่ในมือ แล้วยิงใส่อาคัลได้หนึ่งนัด หัวกระสุนพุ่งควงสว่านเฉียดแก้มเด็กหนุ่ม เรียกเลือดสีแดงให้ไหลซิบๆเป็นทาง

 

     ต้องรีบเผด็จศึกแล้ว

 

     เด็กหนุ่มผมยาวสีทองไขว้แขนสองข้าง พร้อมเอ่ยภาษาโบราณออกมาหลายประโยค ก่อนจะเรียกเม็ดทรายเกือบครึ่งค่อนสนามประลองให้ลอยมารวมตัวกันบนฟ้า อาคัลกำมือและแบออก เม็ดทรายจำนวนมากคณานับจึงหลอมรวมกันกลายเป็นดาบนับร้อยเล่ม เหล่าคนดูส่งเสียงเชียร์ไม่ขาดปาก คำสาปแช่งหลายคำถูกกล่าวอย่างกระแทกกระทั้น

     "ไป"

     สิ้นเสียงคำสั่ง ดาบทรายจำนวนมหาศาลก็พุ่งออกไปราวกับมีความนึกคิด แต่ละเล่มเสือกแทงจุดตายอย่างไร้ความปรานี เลือดสีดำสาดกระเซ็นไปทั่วทั้งพื้นที่ โดยเพียงไม่กี่วินาทีร่างชายปริศนาก็เต็มไปด้วยคมศาสตรามากมาย แขนขาเขาขยับไม่ได้ดั่งใจนึก นั่นเท่ากับว่าเป็นการเปิดโอกาสให้อาคัลได้ร่ายเวทชุดใหม่อีกครั้ง

     "ขี้เถ้ากลับคืนสู่ขี้เถ้า...ดินกลับคืนสู่ดิน"

     เด็กหนุ่มวาดมือทำสัญลักษณ์หลายรูปแบบ พลางร่ายคาถาอย่างชัดถ้อยชัดคำ ทันใดนั้นเอง เม็ดทรายทั่วทั้งสนามประลองก็ยกตัวขึ้นสูง แต่ละเม็ดผนึกรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ชายปริศนาเหลือบมองค้อนยักษ์สีทองที่สลักลวดลายวิจิตรบรรจงเอาไว้ตลอดทั้งด้าม กลิ่นอายแห่งเวทมนตร์ขาวคละคลุ้ง จนคนดูเริ่มรู้สึกปวดแสบปวดร้อนตามผิวหนัง ค้อนยักษ์ด้ามนั้นค่อยๆง้างขึ้นฟ้าอย่างช้าๆ

     "ไม่ได้มีความแค้นกับเจ้าเลยสักนิด"

     อาคัลกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ ก่อนออกคำสั่งให้ค้อนยักษ์ฟาดลงมา

 

     โครม!!!

 

     ทุกอาคารในเรือนจำมรณะสั่นสะเทือน โคมไฟระย้าตามห้องต่างๆก็กวัดแกว่งไปมา คบเพลิงรอบสนามดับวูบเพราะแรงลม พื้นดินสั่นไหวราวกับตำนานปลายักษ์ที่อุ้มโลกอยู่เกิดการเคลื่อนตัว

     อาคัลรอให้ทุกสิ่งทุกอย่างสงบตัวลง เขาจ้องไปยังกลุ่มควันที่กำลังจะสลายหายไป ก่อนจะสืบเท้ามายังปากหลุมลึก ซึ่งมีรัศมีเป็นวงกว้างกว่าสิบเมตร โดยสิ่งที่อยู่ข้างใต้นั้นมิใช่เศษเนื้อเละๆ แต่มันเป็นเสื้อผ้าขาดๆไร้คนสวมใส่ กับปืนลูกโม่ที่กลายเป็นแค่เศษเหล็ก

     เด็กหนุ่มคิดในใจว่า ต่อให้มีพลังฟื้นฟูขั้นสุดยอดสักแค่ไหน ก็ไม่มีวันรอดหรอก

     เพราะเวทนี้ไม่ได้สร้างความเสียหายทางกายหยาบ แต่มันจะทำลายกายละเอียดแทนต่างหาก 

     มหาเวทค้อนป่นวิญญาณเมื่อครู่ สามารถทำลายทั้งร่างเลือดเนื้อและวิญญาณอีกฝ่ายให้กลายเป็นผุยผงได้ และเพราะเป็นมหาเวทของตระกูลบัคคลีโอ้ การใช้เวทระดับนี้จึงสูญเสียพลังกายและพลังเวทไปไม่ใช่น้อย

     เอาเถอะ...

     ขืนการต่อสู้ยืดเยื้อมากไปกว่านี้ เราอาจเป็นฝ่ายแพ้เองก็ได้

     อาคัลบอกกับตัวเองก่อนหันหลังเดินจากไป

     แต่...เด็กหนุ่มเดินได้เพียงไม่กี่ก้าว เสียงประหลาดที่คลับคล้ายกับเป็นเสียงโอดครวญของแมลงร้ายก็ดังขึ้น เด็กหนุ่มหยุดฝีเท้าพลันหันไปมองหาที่มาของเสียง สีหน้าอาคัลดูซีดลงทันตา เหมือนกับว่าเขากำลังจะได้เห็นฝันร้ายในโลกแห่งความเป็นจริง

 

     กี๊ซ...กี๊ซ...กี๊ซ...

 

     ละอองสีดำกำลังลอยฟุ้งบนอากาศ เสียงกรีดร้องโหยหวนดังเข้าไปในโสตประสาทของทุกคน เหล่าผู้ชมนอกสนามต่างแหงนคอมองปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอย่างเหลือเชื่อ เมื่อละอองสีดำทมิฬนั้นกำลังหมุนบิดเกลียวลงมายังก้นหลุม ดูราวกับว่ามีหมอกสีดำมืดมนโรยตัวลงมาอย่างเชื่องช้า ดวงเนตรสีทองของอาคัลสบเข้ากับนัยน์ตาสีเลือดภายในกลุ่มหมอก ก่อนเด็กหนุ่มจะลูบแขนซึ่งขณะนีักำลังขนลุกตั้งชัน

     ชายปริศนาปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง เขาหยิบกระสุนปืนลูกโม่ออกจากเศษเหล็กตามพื้น จากนั้นจึงเดินขึ้นมาจากก้นหลุมลึก เศษผ้าเก่าๆร่นต่ำอยู่ใต้คาง เผยโฉมหน้าอันด้านชาราวกับผีดิบ สีผิวของชายหนุ่มขาวซีดเซียวเหมือนคนตาย

     "จะรีบไปไหน..."

     ชายปริศนากระชากสนับแขนกลออก เศษเสื้อผ้าหลุดลอกตาม แต่เพียงแค่ไม่กี่วินาทีมันก็ผสานรวมกันใหม่อีกหน

     "มาต่อยกที่สอง..."

     ผู้ร่วงหล่นชูกระสุนปืนซึ่งหยิบเอามาจากปืนลูกโม่แล้วโยนขึ้นฟ้า เขาปล่อยให้มันสะท้อนแสงระยิบระยับจากคบเพลิงที่ถูกจุดใหม่ สายตาผู้ชมหลายร้อยโฟกัสหยุดอยู่ที่ตำแหน่งเดียวกัน อาคัลจ้องลูกกระสุนนัดนั้นกำลังร่วงลงมาอย่างช้าๆ

 

     ปัง!!!

 

     เด็กหนุ่มรีบหมุนตัวหลบอย่างรวดเร็ว ทำให้กระสุนนัดนั้นพุ่งไปปะทะกับกำแพงสนามประลอง แทนที่จะเจาะทะลุศีรษะเขา ซึ่งอาคัลมีข้อกังขาไม่น้อยว่าทำไมชายปริศนาถึงยังยิงปืนได้อีก แต่เมื่อเผลอมองไปยังถุงมือหนังของอีกฝ่ายที่ขาดกระจุย โดยมีไอควันกรุ่นๆลอยออกจากปลายนิ้วหัวแม่โป้ง 

 

    ยิงปืนด้วยการดีดนิ้วเนี่ยนะ!!

     

     ไม่ใช่คนแล้ว...นี่มันปีศาจชัดๆ!!!

 

     "วันดีที่จะตาย"

     ชายปริศนากล่าวจบก็โปรยกระสุนอีกสี่นัดขึ้นฟ้า แล้วจัดการกระดมยิงด้วยการดีดนิ้ว ลูกปืนทั้งหมดพุ่งฝ่าอากาศหมายชำแรกแทรกผ่านร่างเด็กหนุ่ม อาคัลจำต้องกระโดดหลบ แต่ชายปริศนาดักทางเอาไว้ได้ทัน เขาควักปืนปากกาทั้งสิบออกมากระหน่ำยิง ส่งผลให้ทายาทราชาจำต้องรีบบิดตัวหลบหลีกกระสุนปืน ในระหว่างที่เขาลอยตัวอยู่กลางอากาศ

     พออาคัลกลับตัวลงมายืนบนพื้น ก็โดนชายปริศนาพุ่งเข้ามากระโดดเข่าลอยใส่หน้าแบบเต็มๆ แต่ยังดีที่เด็กหนุ่มยังประคองสติได้ เขาดีดตัวถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่าง มือสองข้างเตรียมทำสัญลักษณ์ประกอบการร่ายเวท 

     ทว่านั่นยังช้าเกินไป...

     ชายปริศนาซึ่งไล่ตามมาติดๆ ได้ชักเท้าเตะฝ่ามืออาคัลจนสะบัดออกไปอีกทาง ทำให้การร่ายเวทนั้นหยุดชะงังในทันที

     "ชักช้า...งุ่มง่าม"

     อาคัลเม้นริมปากไม่สบอารมณ์ เด็กหนุ่มย่อเข่าเตรียมกระโจนหนี แต่นั่นก็ยังช้าเกินการณ์ เมื่อชายปริศนาใช้เท้าข้างเดิมกระทืบพื้นจนยุบตัวลงเป็นวงกว้าง ส่งผลให้เด็กหนุ่มเสียการทรงตัวชั่วขณะหนึ่ง อาคัลซึ่งเผลอเหลือบมองฝ่ายตรงข้าม ก็ต้องโดนหมัดขวาทรงพลังก็ซัดใส่ใบหน้าเข้าอย่างจัง เรือนหน้าเด็กหนุ่มสะบัดตามแรงปะทะ เลือดกำเดาไหลจากโพรงจมูกเป็นสายธาร ร่างทายาทราชากระเด็นกลิ้งไปตามพื้นหลายตลบ

     อาคัลผู้ซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาบนโลก ในฐานะทายาทราชาแห่งตระกูลบัคคลีโอมากว่าสิบเจ็ดปี เขาเพิ่งจะเคยสัมผัสกับการถูกซัดจนหมอบเป็นครั้งแรก โดยในวันนั้นอาคัลก็เพิ่งจะสำนึกในความโง่เขลาของตัวเอง ที่หาญกล้าไปต่อกรกับมัจจุราชผู้ไม่มีวันตาย

     เด็กหนุ่มตั้งใจจะยันตัวลุกขึ้นอีกครั้ง ทว่าแขนมันกลับไม่ยอมทำตามคำสั่ง นั่นก็ทำให้เขาได้แต่นอนรอความตายอย่างไม่มีโอกาสได้ดิ้นรน

     จังหวะย่ำฝ่าเท้าดังหนักๆ นั่นเป็นเวลาเดียวกับที่เสียงโห่ร้องรอบสนามเงียบตัวลง ชายปริศนาควักปืนลูกซองออกมาหักลำกล้อง พร้อมกับบรรจุกระสุนธรรมดาลงไป

     "เวทมนตร์ที่ใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อเรียนรู้มัน..."

 

     แกร็ก...

 

     เสียงปิดลำกล้องปืนดังเบาๆ ดูราวกับว่ามันเป็นสัญญาณก่อนเริ่มทำการสังหาร

     "กลับดูไร้ค่าทันที เมื่อผู้ใช้ไม่อาจร่ายเวทได้..."

     ชายปริศนากดปากกระบอกปืนไปที่ขมับอาคัล นิ้วชี้สอดเข้าโกร่งปืนเตรียมเหนี่ยวไกทุกขณะ เด็กหนุ่มผู้มีชีวิตแขวนบนเส้นด้ายเริ่มเกิดอาการหวาดกลัว เขาหายใจแรงและถี่ขึ้น หัวใจเต้นสั่นระรัวราวกับมีใครมาตีกลองในตัวเขา เหงื่อกาฬไหลโซมกายจนรู้สึกเหนียวเหนอะหนะไปทั้งร่าง

     นี่น่ะเหรอ...ความตาย

     อย่ามาพูดบ้าๆนะ!

     คนอย่างเขาจะมาตายที่นี่ตอนนี้ไม่ได้!!

     "กลัวเป็นด้วยงั้นหรือ?"

     ชายปริศนาถาม พลางเอียงคอมองเด็กหนุ่มซึ่งนอนหมอบอยู่กับพื้น อาคัลไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น อีกเดี๋ยวเขาก็จะตายอยู่แล้วนี่ ถึงจะตอบอะไรไปมันก็ไม่ช่วยทำให้เขารอดชีวิตไปได้หรอก

     "...ถ้างั้นทำไมถึงกล้ายัดเหยียดความกลัวให้ผู้อื่นล่ะ...ทำไมถึงกล้าส่งผู้อื่นไปสู่ความตายล่ะ"

     เด็กหนุ่มรู้สึกหน้าชาเหมือนถูกตบ ตลอดระยะเวลาหลายปีในเรือนจำมรณะ เขาเคยยัดเหยียดความกลัวให้กับศัตรูมาไม่ใช่น้อย และเขาก็เคยสู่พวกมันไปสู่ความตายเป็นจำนวนมาก ทุกสิ่งทุกอย่างที่ชายปริศนาพูดล้วนแล้วแต่เป็นความจริงทั้งสิ้น ดังนั้นถึงเด็กหนุ่มจะถูกฆ่าตาย ณ ที่นี่ ตรงนี้ เขาก็คงไม่มีสิทธิจะปริปากบ่นหรือร้องวิงวอนขอชีวิตหรอก

     กรรมตามสนองสินะ...สมควรแล้วล่ะ...

     "ฆ่าข้าซะสิ"

     อาคัลหยุดการดิ้นรนอย่างไร้ความหมาย เขายอมจำนนต่อความตายแต่โดยดี ลมหายใจเด็กหนุ่มกลับคืนสู่จังหวะเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดึ้น

     "ก่อนแกจะตาย ฉันมีอะไรอยากจะถาม..."

     ชายปริศนากดปืนแรงขึ้นอีกนิดหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าเขาต้องการจะฆ่าอาคัลจริงๆ

     "แกเชื่อในตัวพระเจ้ามั้ย?"

     อาคัลอยากจะหัวเราะประชดชีวิต เด็กหนุ่มชำเลืองตามองอีกฝ่าย มุมปากเผยรอยยิ้มราวกับผู้กำชัย ทั้งๆที่สถานะของเขาคือผู้พ่ายแพ้ นั่นถือว่าเป็นคำถามที่สร้างความแตกต่างระหว่างเขา กับผู้ร่วงหล่นคนนี้เสียจริงๆ

     "ข้าเชื่อในตัวพระเจ้าเสมอ และข้าก็ไม่คิดที่จะสงสัยในตัวพระเจ้าแม้แต่น้อย"

     ชายปริศนายังมีสีหน้าด้านชาเช่นเดิม แววตาสีแดงก่ำอ่อนแสงลง

     "แล้วแกเชื่อในปาฏิหาริย์หรือเปล่า"

     เด็กหนุ่มผมยาวสลวยสีทองกระตุกรอยยิ้ม ไม่มีใครรู้ว่าอาคัลกำลังคิดอะไรอยู่ ถึงกล้ายิ้มยียวนให้กับผู้ที่สามารถเอาชีวิตเขาได้ทุกเมื่อ ก่อนอาคัลจะตอบเขาแอบหัวเราะออกมานิดๆ

     "พระผู้เป็นเจ้าจะมอบปาฏิหาริย์ ให้เฉพาะกับผู้ที่พระองค์ทรงเลือกเท่านั้น"

     ชายปริศนาพยักหน้าเบาๆอย่างรับรู้ 

     "...งั้นนี่ก็เป็นความโชคดีของแกแล้วล่ะ...ผู้ศรัทธา"

 

     โครม!!!

 

     เพดานสนามประลองระเบิดออก ละอองสีฟ้าพวยพุ่งตามรอยแตก สายลมหนาวเหน็บที่พัดกระโชกเข้ามาทำให้คบเพลิงทั้งหมดถูกดับลงอีกครั้ง ในขณะที่ทุกอาณาบริเวณถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด ร่างหญิงสาวโปร่งใสที่ถือกระเป๋าก็ร่อนลงมาช้าๆ ชายปริศนาเหลือบมองขึ้นไปหาจิลซึ่งกำลังส่งยิ้มมาให้แก่เขา

     อาคัลเลิกคิ้วเมื่อเขาได้เห็นปืนลูกซองถูกเลื่อนออกห่างจนถึงระยะปลอดภัย ชายปริศนายืนหันหลังให้กับเด็กหนุ่ม โดยมีภาพพระจันทร์สีเลือดบนฟากฟ้าเป็นฉากหลัง ร่างผู้ร่วงหล่นที่มีแสงสีแดงเลือดฉายอาบ กลับดูงดงามราวกับว่าเขาหลุดออกมาจากภาพวาด

     ทายาทราชาไม่อาจอธิบายได้เลยว่า บุคคลตรงหน้าเปรียบเสมือนอะไร

     เหมือนมัจจุราชล่าปีศาจ หรืออมนุษย์ผู้กลืนวิญญาณ

     ราวกับเทวทูตผู้พิพากษา หรืออสูรร้ายผู้ทำลายล้าง

     ความดีและความชั่วช้า อธรรมหรือธรรมะ

     ไม่มีใครรู้เลย ว่าเขาเป็นเหมือนกับอะไร ราวกับว่าชายปริศนาคือศูนย์รวมของความสับสนทุกอย่าง เป็นศูนย์รวมแห่งความวุ่นวายที่เอาแน่เอานอนมิได้

     หญิงสาวเดินมาวางกล่องมารลงข้างๆชายปริศนา ก่อนลอยไปหลบด้านหลังเขา มือน้อยๆกุมสร้อยคอรูปปีกสีขาวเอาไว้ ตอนนี้เธอแทบอยากจะเดินไปกระตุกแขนเสื้อชายหนุ่มสักที เผื่ออย่างน้อยๆเขาจะได้รู้ตัวว่า...

     ตนกำลังทำหน้าเหมือนปีศาจร้ายถึงเพียงใด...

     กระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมกลายสภาพเป็นละอองดำขมุกขมัว มือซ้ายชายปริศนากระแทกเบาๆ เพื่อส่งกระบอกเหล็กอันมีคมดาบยื่นออกมารับเอาไว้ เขายื่นนิ่งท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครมของเหล่าคนดู บรรยากาศในตอนนี้ดูวุ่นวายและยุ่งเหยิ่งไปหมด เสียงบานประตูเหล็กทั่วทั้งสนามประลองดังลั่น พร้อมๆกับมีเงาสัตว์ร้ายเดินผ่านออกมา

     "จิล..."

     ชายปริศนาเรียกชื่อหญิงสาว เธอสะดุ้งตัวเพราะเผลอเหม่อลอยไปหน่อย

     "อ..อะไรเหรอ"

     "พาอาคัลขึ้นไปข้างบน..."

     ละอองสีดำกลั่นตัวกลาบเป็นมีดเล่มเล็กสีม่วงแดง เปลวเพลิงลุกโชนอยู่ที่ปลายมีด ชายปริศนากำอาวุธทั้งสองแบบกลับหัวกลับท้าย 

     "ข้างบนเลยเหรอ? ฉันไม่ไหวหรอกมั้ง...แถมยังเพิ่งฝึกบินเองด้วย"

     "รีบไปซะ"

     ชายหนุ่มยื่นคำขาด ก่อนหันมองข้ามไหล่ไปทางจิล นั่นก็ทำให้หญิงสาวได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของชายปริศนา ทว่าเธอไม่ได้จับจ้องที่เรือนหน้าหมดจดนั้น แต่เธอกำลังเพ่งพินิจที่ดวงตาสีแดงของเขาอยู่ต่างหาก

     "ถ้ายังไม่อยากโดนกลืนวิญญาณ...ก็รีบไป"

     "ข..เข้าใจแล้ว"

     จิลนึกถึงคำเตือนของชายแปลกหน้า ว่ากล่องมารสามารถดูดกลืนวิญญาณได้ทุกรูปแบบ โดยไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่ร่างจิตของเธอ และเหตุผลที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือแววตาของชายปริศนาในตอนนี้ ได้เย็นเยียบจนไร้วี่แว่วแห่งชีวิตชีวา บางทีหากเธอพูดอะไรไปชายหนุ่มคงไม่อาจรับรู้ในสิ่งที่หญิงสาวพยายามจะบอกก็ได้

      เมื่อเห็นเช่นนั้นจิลจึงลอยไปโอบรอบเอวอาคัลจากด้านหลัง พร้อมๆกับลอยตัวขึ้นไปข้างบนรอยแตก ที่เธอเคยลงมาอย่างช้าๆ 

     ในตอนที่เธอแตะต้องกระเป๋าใบนั้น หญิงสาวก็พยายามใช้ความรู้สึกจับตำแหน่งชายปริศนาอย่างที่เขาได้นัดแนะเมื่อไม่กี่นาทีมานี้ แล้วพอรู้สึกตัวอีกทีพื้นดินก็พังทลาย จิลคาดไม่ถึงจริงๆว่ามิติที่กักขังชายปริศนาจะอยู่ข้างใต้พื้นดิน

     ชายปริศนาชักสายตากลับมายังที่เดิม รองเท้าบูทคู่เก่งของชายปริศนาเหยียบย่ำกองเลือดจนเฉอะแฉะ เรือนผมเปื้อนเลือดสีดำอันแห้งกรัง กับนัยน์ตาที่เริ่มเข้มขึ้นประดุจโลหิต แม้ว่าจะไร้ซึ่งแรงกดดันจากจิตสังหาร แต่ความรู้สึกต้องการฆ่าก็ถูกถ่ายทอดผ่านแววตาคู่นั้น ตอนนี้เขาประสานสายตาเข้ากับดวงเนตรหลากสีสันของเหล่าอสูรกาย เสียงขู่คำรามดังเล็ดลอดจากลำคอ จิตมุ่งร้ายอันเชี่ยวกรากถูกส่งตรงมาหาเขาเป็นระยะๆ

     ตอนนี้สัตว์อสูรนับร้อย ค่อยทยอยออกมาจากประตูเหล็กจนเกือบหมดทั้งเรือนจำ ลมหายใจเหม็นเน่าพ่นออกผ่านรูจมูกและไรฟันพวกนั้น เจ้าปีศาจจิ้งจอกที่เป็นใหญ่ในเรือนจำมรณะออกอาการกลัวจนตัวสั่น เขาไม่อยากจะบอกใคร ว่ามัจจุราชตนนั้นกำลังสบตาเขาอยู่

     สุดยอดศาสตราวุธในมือผู้ร่วงหล่นเปล่งประกายแสงอย่างงดงาม ในอดีตมันเคยถูกตีขึ้นโดยสุดยอดนักตีดาบแห่งยุค ทว่าในยามนี้...มหาศาสตราทั้งสองกำลังจะถูกใช้สังหารโหด โดยน้ำมือของอสูรร้ายผู้เลือดเย็น

     ทุกสรรพสิ่งหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว ชายปริศนาเหล่มองหยดเลือดสีดำบนเส้นผม ซึ่งมันทำท่าจะหยดลงสู่พื้น ภาพดวงตาสีแดงของเขาถูกสะท้อนบนหยดเลือด ผู้ร่วงหล่นแยกเขี้ยวออก เผยซี่ฟันที่ขบกัดอย่างอดกลั้น นัยน์ตาสีแดงทวีคูณความดุร้ายยิ่งขึ้นไปอีก

 

     ติ๋ง...

 

     ราวกับเป็นสัญญาณเริ่มการฆ่าฟัน ชายปริศนาพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูง มีดสั้นสีม่วงแดงสะบั้นหัวการ์กอยล์ตนหนึ่งจนหลุดกระเด็น มันทรุดตัวนั่งชันเข่าก่อนร่างจะระเบิดออกเป็นเศษหิน ยากจะเชื่อเหลือเกินว่ามีดเล่มเล็กนั่น จะสามารถเอาชีวิตการ์กอยล์ซึ่งมีผิวกายแข็งแกร่งประดุจหินผาได้

     บทเพลงแห่งความตายเริ่มบรรเลงอีกครั้ง ชายปริศนาเงื้อดาบสั้นขึ้น เหยื่อสังหารรายต่อไปคือโกเลมเหล็กตัวอ้วนๆ เขาตวัดฟันอย่างหนักหน่วง แต่คมดาบเล็กๆไม่สามารถตัดร่างมันได้ในดาบเดียว เจ้าโกเลมกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เพราะผิวเหล็กกล้าตรงช่วงไหลเกิดรอยแตกร้าวจนลุกลามไปยังส่วนอื่น

     ชายปริศนายกดาบขึ้น แล้วสับลงมาใหม่อีกเป็นคำรบสอง ร่างเจ้าโกเลมจึงถูกผ่าออกเป็นสองส่วนจนได้ แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยดาบชั้นดี เมื่อคมดาบสั้นสีเงินได้หักกลางลงไป

     "หน๊อย! แก!!"

     มนุษย์หมาป่าตัวหนึ่งพุ่งมาขย้ำแขนซ้าย ชายปริศนาพยายามยื้อยุดฉุดกระชาก แต่ก่อนจะตัดสินใจใช้มีดสั้นที่มือขวาฟันแขนซ้ายทิ้ง แล้วค่อยหมุนตัวก้มลงแทงมีดใส่ท้องมนุษย์หมาป่าสองแผล ชายหนุ่มบิดข้อเท้าหมุนตัวแบบทวนเข็มนาฬิกาอีกรอบ พร้อมกับวาดมีดปาดลำคอมัน ทำให้เลือดเหนียวๆสีแดงข้นสาดกระจายอาบร่างเขา

     ชายปริศนายืนรอให้แขนงอกออกมาใหม่ แต่แทบจะทันทีที่บาดแผลชายหนุ่มฟื้นฟู ก็อบลินตัวสีเขียวสามตัวก็กระโดดขึ้นมาเกาะตามตัวเขา มีดสั้นบิ่นๆในมือมันกระหน่ำฟันอย่างคลุ้มคลั่ง เรียกเลือดสีดำสนิทออกจากปากแผลฉกรรจ์ทั่วทั้งร่าง

     ชายปริศนาเดินโซซัดโซเซ ก่อนเอื้อมมือไปคว้าขาก็อบลินตัวหนึ่ง พร้อมกระชากลงมาฟาดอัดพื้น จากนั้นจึงใช้เท้ากระทืบไปที่หัวมันอีกที เสียงกะโหลกแตกดังลั่น ลูกตาทั้งสองข้างกระเด็นหลุดออกจากเบ้า ชายหนุ่มควักมีดสั้นออกจากซองมีดที่พาดหัวไหล่จรดเอว เขากำมีดสลับด้ามแล้วค่อยปักมีดใส่หัวก็อบลินซึ่งเกาะอยู่ตรงไหล่ซ้าย หัวมันสะบัดตามแรงปะทะก่อนร่วงลงหมดสภาพจากการต่อสู้

     ทว่าตัวสุดท้ายยังเกาะติดอย่างเหนียวแน่น พอชายปริศนาจะคว้าร่าง มันก็กระโดดหนีไปเกาะอีกที่หนึ่ง เขาเลยสลายมีดสั้นกลับคืนเป็นละอองดำ เพื่อให้มันได้กลั้นตัวกลายเป็นดาบคาตานะ จากนั้นถึงค่อยแทงดาบเข้ากลางอกตัวเองให้ทะลุไปโดนก็อบลิน เจ้าตัวประหลาดนั่นกรีดร้องด้วยเสียงฟังไม่ได้ศัพท์ ก่อนมันจะขาดใจตายคาแผ่นหลังชายปริศนา

     ขณะนั้นเอง...

     ยักษ์ตัวใหญ่สีแดงมีเขาสามเขาซึ่งนุ่งห่มหนังเสือ ก็วิ่งกระแทกชายปริศนาไปอัดกำแพง ฝุ่นควันคละคลุ้งตลบอบอวล ยักษ์แดงคำรามลั่นก่อนวิ่งไปยกฝ่าเท้าเตรียมกระทืบซ้ำ แต่ชายหนุ่มชิงโอกาสกระโดดพรวดออกจากกลุ่มควัน พร้อมฟาดเท้าใส่ปลายคางอีกฝ่าย ทั้งๆที่มันน่าจะเป็นการโจมตีเบาๆ แต่ทำไมมันถึงล้มหน้าฟาดพื้นหมดสภาพ แล้วไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้อีกหน

     เจ้ายักษ์แดงไม่ค่อยมีเวลาให้ทำความเข้าใจมากนัก เมื่อชายปริศนาเปลี่ยนละอองดำกลายเป็นปังตออันเขื่อง โดยตรงปลายปังตอนั้นมีแง่งเหล็กแหลม เขาจิกหัวยักษ์แดงพร้อมกระแทกหน้ามันใส่คมปังตอ เลือดสดๆไหลออกจากหน้าและสันจมูกมันอย่างน่าหวาดเสียว แต่ความหฤโหดไม่ได้จบลงแค่ตรงนั้น เมื่อชายปริศนาใช้เท้ายันหน้ายักษ์แดงให้เสียดสีไปตามคมปังตอ 

 

     "อ้ากกก!!!"

 

     ยักษ์แดงส่งเสียงร้องอย่างทรมาน แล้วพอใบหน้ามันเลื่อนมาจนใกล้ถึงแง่งเหล็กแหลมที่ยาวกว่าห้านิ้ว ชายปริศนาก็กระชากปังตอสุดแรง กรีดใบหน้ามันเป็นแผลเหวอะหวะ ลูกตาถูกตัดผ่านจนบอดสนิท เนื้อหนังใบหน้าบางส่วนติดมากับแง่งเหล็ก เลือดปริมาณมากไหลออกมาไม่หยุด จากนั้นชายปริศนาจึงกระชับอาวุธในมือ ก่อนจะเหวี่ยงปังตอเฉาะกะโหลกมันอย่างไร้ความปรานี

     พอชายหนุ่มหันไปรอบๆ ก็ได้เห็นเหล่าอสูรร้ายกรูดวิ่งเข้ามาอย่างไม่กลัวตาย

     "งานล้นมือเลย..."

     เขาบอกกับตัวเองเบาๆ แล้วสลัดคราบเลือดในปังตอออก

 

 

     กึง!!!

 

     ประตูเหล็ดปิดตัวพร้อมลงดาล ปีศาจจิ้งจอกกัดเล็บอย่างร้อนรน สลับกับการออกคำสั่งแก่เหล่าทหารปีศาจ ที่พยายามอย่างเอาเป็นเอาตายในการหาสิ่งของมาตั้งขวางทางประตูในตึก ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตแล้ว ผู้ปกครองเรือนจำมรณะปาดเหงื่อก่อนสอดส่องสายตาดูประตูเหล็กกล้า

     หวังว่าคงจะพอซื้อเวลาได้สักสิบนาที

     แต่ในเวลาต่อมา...บานประตูก็ถูกทุบจากด้านในจนเป็นรอยบุ๋มขนาดใหญ่ เสียงลากของหนักดังครืดคราด ก่อนผู้หนึ่งจากด้านในจะหวดอะไรสักอย่าง ฟาดบานประตูจนปลิวไปโดนทหารปีศาจนายหนึ่งจนเสียชีวิต ร่างชายปริศนาที่เต็มไปด้วยคราบเลือดปรากฏตัวอีกครั้ง เขาถือค้อนสงครามไว้ในมือขวา ส่วนมือซ้ายรั้งปากมนุษย์ปลาตนหนึ่ง ซึ่งบัดนี้มันได้กลายเป็นซากศพอันน่าสยดสยองเป็นที่เรียบร้อย ดวงตากลมโตเกือบถลนออกจากเบ้า มันสมองสีชมพูเล็ดลอดผ่านรอยแตกของหัวกะโหลก แขนขาหักทับซ้อนอย่างน่าหวาดเสียว

     "ว้ากกก!!!"

     ปีศาจจิ้งจอกแทบจะฉี่ราดกางเกง มัจจุราชที่ไม่มีวันตายปล่อยมือทิ้งศพมนุาย์ปลา ฉากหลังเขาเป็นซากสพที่ไร้วิญญาณ เลือดหลากสีสันแต่งแต้มตามกำแพงหิน ดูแล้วช่างน่าสยดสยองราวกับเป็นภาพวาดแห่งความตาย

     "ทางออก...อยู่ไหน"

     ชายปริศนาสลายอาวุธในมือ ปล่อยให้มันได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาใหม่ ละอองสีดำไต่ตอมตามร่างเขาเหมือนฝูงแมลงหวี่ ตอนนี้ปีศาจจิ้งจอกกลัวจนแทบจะเป็นบ้า มันชี้นิ้วไปทางผู้ร่วงหล่นพร้อมออกคำสั่งอย่างกล้าๆกลัว

     "จัดการ..."

     ยังไม่ทันพูดจนจบประโยค

 

     บรึ่ม!!!!

 

     ระเบิดเพลิงส่งเสียงดังกัมปนาท ทะเลเพลิงม้วนหมุนเป็นเกลียวราวกับมีชีวิต ก่อนมันจะหลอมรวมตัวกันกลายเป็นพยางูเก้าเศียร จากความมืดมิดของทางเดินที่แทบมองอะไรไม่เห็น บัดนี้ได้ถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างจากเปลวเพลิง

     ทหารปีศาจทุกตนยืนมองอะไรบางอย่าง พวกมันเห็นโครงกระดูกสีขาวสวมเสื้อโค้ทเดินออกมาจากกองไฟ ปากขยับขึ้นลงอย่างต้องการสื่อสาร

     "อยู่ไหน..."

     นัยน์ตากลวงโบ๋จับจ้องไปที่ปีศาจจิ้งจอก มือขวาที่เป้นกระดุกสีขาวของเขาถือตะเกียงไฟสีดำ อันเป็นบ่อเกิดของพลังธาตุไฟอันมหาศาล ร่างโครงกระดูกของชายปริศนาย่างสามขุม ก่อนผิวหนังที่เคยไหม้ไฟไปจนสิ้นจะคืนสภาพดั่งเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     "ทางออกอยู่ที่ไหน"

     สิ้นประโยคนั้น พยางูเก้าเศียรจึงพ่นไฟออกมา เปลวเพลิงทั้งเก้าสายม้วนรวมกันเป็นหนึ่งเดียว จากนั้นจึงเปิดฉากเผาผลาญเหล่าปีศาจให้กลายเป็นจุล โดยเปลวเพลิงเว้นช่องว่างไว้ให้ปีศาจจิ้งจอกอยู่ในตาพายุอัคคี มันเสมองทหารปีศาจซึ่งดิ้นเร่าๆในกองไฟ

     "ตอบมา..."

     ชายปริศนาเหยียบร่างที่ไหม้ดำเป็นตอตะโกจนหัก เขาหยุดอยู่ตรงหน้าปีศาจจิ้งจอก ภายในตาพายุอัคคีนี้ มีเพียงแต่ไอความร้อน และแรงกดดันอันหนักหน่วง เจ้าผู้ปกครองเรือนจำถึงกับล้มก้นจ้ำเบ้า มันถอยกรูดอย่างหวาดกลัว

     "ห้า..."

     ชายปริศนาพุดเป็นการจับเวลา

 

     จะทำไงดีล่ะ 

     บอกมันไปเหรอ จะบอกทางออกไปจากเรือนจำมรณะให้มันเหรอ!

 

     "สี่..."

 

     บอกไปแล้วจะเป็นยังไงต่อล่ะ

     ข้าจะโดนฆ่าทิ้งหรือเปล่า!

     หรือว่าอาจโดนท่านเรเบอร์ดอสประหารชีวิต!!

 

     "สาม..."

     ชายปริศนาควักปืนลูกซองออกมา ลำกล้องหักลงเพื่อตรวจสอบลูกกระสุน

     เห็นได้ชัดเลยว่าหากไม่ตอบ ก็ต้องถูกฆ่าตายแน่ๆ

     "สอ..ง..."

     "ด..เดี๋ยวก่อน!! ข้าจะบอกทางให้แก่เจ้า!!"

     ปีศาจจิ้งจอกแทรกเสียงขึ้นมาอย่างนึกกลัวตาย ตอนนี้ต้องเอาชีวิตให้รอดก่อน จากนั้นจะหนีไปที่อื่นก็ยังไม่สาย

     ทว่าปากกระบอกปืนร้อนๆ กลับกดลงมาที่หน้าผากมัน ตอนนี้ปีศาจจิ้งจอกดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป ว่าการที่มันรีบพูดออกไปนั้น...ไม่ได้ช่วยให้มันมีชีวิตรอดนานขึ้นเลย

     "ไม่มีใครเคยบอกรึไง...ว่าเวลาคนอื่นยังพูดไม่จบ..ก็อย่าพูดแทรก"

     ชายปริศนาเอียงคอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา 

 

     ปัง!!!

 

     ศีรษะปีศาจตนนั้นระเบิดออก ร่างมันโอนเอนไปมาแล้วค่อยล้มเข้าไปในกองไฟ จากนั้นเปลวเพลิงนรกจึงเผาไหม้ร่างปีศาจจิ้งจอก กลิ่นเนื้อหนังไหม้เกรียม และเสียงเลือดกำลังเดือดพล่านภายในกาย นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ทุกชีวิตในเรือนจำมรณะจะต้องประสบพบเจอ

 

     ก๊าซซซ!!!

 

     พยางูเก้าเศียรคำรามลั่น โดยอีกฝากของทางเดินยังได้ยินเสียงกรีดร้องดังกึกก้อง ก่อนจะตามมาด้วยทะเลเพลิงอันบ้าคลั่ง ห้องขังซี่กรงที่มีนักโทษตั้งแต่มนุษย์ตลอดไปจนถึงปีศาจอสูรกาย พวกมันกำลังส่งเสียงหวีดร้องดังระงม เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว โครงกระดูกกับเถ้าถ่านมากมายจึงกองระเกะระกะตามพื้นศิลา

     กำแพงหินแตกร้าวแล้วพังทลาย เหล่าคนดูย้ำฝีเท้าหนีตายกันอย่างอลหม่าน แต่นั่นไม่ได้ช่วยให้แคล้วคลาดจากเปลวไฟบรรลัยกัลป์ บางตนยังวิ่งต่อไปได้แม้ขณะนั้นจะถูกไฟลุกท่วมตัว ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ต้องล้มลงดับสิ้นชีวี

 

     นี่ไม่ใช่การลงโทษ...

 

     สนามประลองเต็มไปด้วยทะเลเพลิง ปีศาจนับร้อยที่นอนตายอยู่ก่อนหน้านั้น รวมถึงปีศาจที่ร่วงตกลงมาจากที่นั่งคนดู กำลังถูกเผาไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน

 

     นี่ไม่ใช่การล้างแค้น...

 

     มนุษย์โครงกระดูกนอนขดตัวอยู่ในห้องขัง มีไม่น้อยที่เหล่าโครงกระดูกจะไร้ฝ่ามือ นั่นเป็นเพราะพวกเขาต้องพยายามอย่างสุดชีวิต ที่จะง้างลูกกรงออกไปหนีตาย แต่สุดท้าย...ก็ไม่มีใครรอดไปได้สักคน

 

     นี่ไม่ใช่การลงทัณฑ์...

 

     สิ่งก่อสร้างพังครืนลงมา ทางเดินขึ้นบันไดค่อยๆถล่มลงทีละนิดๆ โคมไฟระย้าตามห้องอาหารของชนชั้นสูงร่วงตกแตก ปีศาจหลายตนนอนแผ่หลารับความตาย ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็เห็นได้เพียงแต่เปลวเพลิงสีแดงก่ำ

 

     แต่นี่...เป็นการกวาดล้าง

 

     ครืน...

 

     หอคอยสังเกตการณ์ที่ตั้งค้ำเรือนจำมรณะ ค่อยๆเอนตัวลงมาทีละเล็กละน้อย ระฆังสีทองส่งเสียงดังก้องกังวานหวาน ก่อนสิ่งก่อสร้างขนาดยักษ์ จะร่วงลงมากลบฝังทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ภายใต้เศษซากปรักหักพัง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา