XENON LIFER อมนุษย์พันธุ์ทมิฬ

8.3

เขียนโดย TwentySIX

วันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 10.59 น.

  13 chapter
  1 วิจารณ์
  12.98K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 มกราคม พ.ศ. 2560 11.03 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) Lost Time

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     คณะเดินทางของซีน่อนยังคงมีแค่เขากับอาคัลเช่นเคย ถึงแม้ว่าการเดินทางจะกินเวลาไปหลายชั่วโมง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะเหนื่อยเมื่อยล้าแต่ประการใด ตรงกันข้ามเขาสามารถเดินต่อไปได้เรื่อยๆอย่างไม่มีวันสิ้นสุดแต่ไม่ว่าจะอะไรก็ตามที่ซีน่อนกำลังตามหา มันกลับไม่ได้อยู่ในที่ๆแห่งนี้

     ซีน่อนสืบเท้ามายืนหน้ารั้วประตูแห่งหนึ่ง ที่ลูกกรงมีลวดลายวิจิตรบรรจงประดับอยู่ บริเวณด้านข้างปรากฏรูปปั้นเทพธิดาอันไม่สมประกอบ กำลังยืนกุมมือไว้ระหว่างอก รอยแตกร้าวบนรูปปั้นบ่งบอกถึงกาลเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานหลังจากสร้างเสร็จ

     พื้นที่ชายหนุุ่มยืนอยู่ในขณะนี้เป็นพื้นหิน ที่นำก้อนศิลามาวางเรียงต่อๆกันเป็นทางเดิน และมีต้นหญ้าขึ้นมาตามร่องหินเล็กน้อย ซีน่อนสอดส่องสายตาเข้าไปด้านในนั้น พบว่ามันคือเมืองขนาดใหญ่พอสมควร ตัวเมืองนั้นสร้างตามรูปแบบศิลปะโกธิค อาคารแต่ละแห่งมียอดแหลมทิ่มขึ้นฟ้า ตามกระจกสีของบานหน้าต่างมีจินตรกรรมสวยงามประดับเอาไว้ แต่น่าเสียดายที่บางรูปได้รับความเสียหายอย่างหนัก จนไม่สามารถมองเห็นได้ว่ามันเคยมีภาพอะไร

     "ประตูนี้มันล็อค"

     อาคัลขยับมายืนข้างๆตัวซีน่อน เด็กหนุ่มมองไปที่แม่กุญแจตัวใหญ่พร้อมคล้องโซ่ล็อครั้วเหล็กเอาไว้อย่างแน่นหนา แต่ในเวลาต่อมา ซีน่อนก็จัดการกระชากโซ่เส้นใหญ่ๆนั้นจนหลุดออกมาทั้งพวง อาคัลเห็นภาพนั้นก็เบนสายตามองไปทางอื่น

     "ตอนนี้เปิดแล้ว..."

     ซีน่อนบอกเสียงเรียบพร้อมผลักประตูรั้วออกไปแล้วเดินนำหน้า ส่วนอาคัลยืนเอานิ้วเคาะกับรั้วเหล็กสองสามที ก่อนเด็กหนุ่มจะเดินตามไปแบบติดๆ

     เมืองนี้มีบรรยากาศน่าหดหู่ไม่แพ้จากข้างนอกเลย สถาปัตยกรรมอย่างศิลปะโกธิคที่ควรจะดูงดงาม มันกลับดูน่าขนลุกเสียมากกว่า ยิ่งตอนเดินไปตามท้องถนนแล้วเหลือบมองยอดแหลมของอาคารบ้านเมือง มันก็ทำให้อาคัลรู้สึกกระสับกระส่ายและอึดอัดใจ ประกอบเข้ากับความมืดที่มีเพียงแต่แสงจันทร์สีแดง มันก็ช่วยทำให้เมืองนี้กลายเป็นเมืองยอดแย่ที่สุดเท่าที่เด็กหนุ่มภูตจะเคยพบเคยเห็น

     "ข้า...รู้สึกสังหรณ์ใจยังไงก็ไม่รู้"

     อาคัลเอื้อมมือตบหลังคอตัวเองเพราะเพิ่งจะโดนตัวอะไรสักอย่างกัด แต่พอเห็นเลือดสีแดงๆคามือ เขาก็พอเดาได้ว่ามันคงจะเป็นยุง แต่ไม่ทันที่อาคัลจะได้ทำอะไรต่อ เขาก็โดนซีน่อนกระชากคอวิ่งไปหลบที่มุมอาคารอีกแห่ง ก่อนชายปริศนาจะปล่อยอาคัลออกจากมือ เขาก็กดหลังเด็กหนุ่มภูตให้ติดชิดกับฝากำแพง กล่องมารกลั่นวิญญาณที่ซีน่อนมักจะถืออยู่เสมอ ได้เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นเคียวขนาดเล็ก

     "ฉันเกลียดลางสังหรณ์ของแก..." 

     ซีน่อนส่งเสียงกระซิบกระซาบ แม้อาคัลจะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่อถึงอะไร แต่เมื่อมีเสียงย่ำเท้าหนักๆดังตามมา ขาใหญ่ๆที่เต็มไปด้วยขนสีแดงปกคลุมย่างเท้าผ่านซอกหลืบมุมอาคารที่อาคัลกำลังซ่อนตัวอยู่ 

     พอเด็กหนุ่มลองแหงนคอขึ้นมอง ก็เห็นหมาป่าขนาดสูงกว่าห้าเมตร ขนทั้งตัวมันมีสีแดงเพลิง มือข้างขวากำมีดขึ้นสนิมขนาดใหญ่ เนื้อหนังใบหน้าส่วนบริเวณปากฉีกออกจนเห็นกระดูกขาว ฟันแหลมคมกริบเรียกตัวเป็นแถวในช่องปาก กลิ่นคาวเลือดโชยออกจากทั้งตัวมาเตะจมูกอาคัล

     เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นเดินลากขาไปหยุดตรงหน้าประตูทางเข้า มันใช้ดวงตาสีแดงฉานจับจ้องรั้วประตู ซึ่งสายโซ่นั้นถูกดึงขาดออกจากกัน แถมยังมีร่องรอยว่าประตูถูกดันเปิดออก

     มันหันซ้ายทีขวาที เพื่อจะได้มองหาตัวคนลักลอบเข้าภายในเมืองนี้ แต่เพราะว่าจมูกของมันไม่สามารถใช้ดมกลิ่นได้ เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นจึงเดินตามหาไปอีกทาง ทุกๆย่างก้าวของมันทำให้พื้นสั่นไหวน้อยๆ อาคัลลองชำเลืองมองไล่หลังมัน เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้านั่นไปแล้ว

     "นั่นมันตัวอะไรน่ะ"

     อาคัลถามอย่างไม่ต้องการคำตอบ เขาไม่ค่อยจะแน่ใจสักเท่าไหร่ ว่าหากตัวเองได้ลองสู้กับสัตว์ประหลาดแบบนั้น เขาจะสามารถเอาชนะมันได้แบบครบสามสิบสองหรือไม่

     "พวกเฝ้าประตูน่ะ..."

     ซีน่อนตอบไปส่งๆเหมือนพูดคนเดียว เขาสลายเคียวเล็กกลับเป็นกระเป๋าดั่งเดิม ความจริงซีน่อนสามารถจัดการฆ่ามันได้อย่างไม่ยากเย็น แต่ติดตรงที่ว่าพวกมันมีจำนวนกี่ตัว และการกวาดล้างให้หมดจะเสียเวลามากเท่าไหร่

     พอมาคำนวนเรื่อยๆ ชายหนุ่มก็ขี้เกียจสู้กับพวกมันในทันที เขาควรจะเอาเวลาที่เสียเปล่าๆนี้ไปตามแกนของเขตอาคม หรือไม่ก็เรเบอร์ดอสน่าจะดีกว่า

     แต่ตอนนี้ชายปริศนามีปัญหาใหญ่ๆสองข้อ ที่ยังไม่ได้รับการไขกระจ่างอย่างแน่ชัด

     ข้อแรก เขตอาคมของเมืองลอสท์อยู่ที่ไหน

     ซึ่งคนที่อาจจะตอบเขาได้นั้น ก็คงจะเป็นพ่อมดปีศาจซาลาส แต่ว่าเขาดันฆ่ามันไปแล้วเนี่ยสิ แถมทางศาสนจักรแสงก็ไม่มีข้อมูลแน่ชัดเสียด้วย ว่าภายในเมืองลอสท์เป็นแบบไหน หรือมีที่ไหนอะไรบ้าง

     นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้งานนี้ยากยิ่งกว่าเดิมขึ้นไปอีก

     ส่วนข้อสอง เรเบอร์ดอสเป็นใคร

     ซีน่อนไม่จำเป็นต้องถามหาเหตุผลในการฆ่าจากมันแน่ๆ เพียงแต่ว่าเขาจะตามหาเจ้าของชื่อภายในเมืองลอสท์ได้ยังไง

     'นี่ไม่ใช่งานที่มนุษย์ปกติจะทำได้เลย...'

     "เราต้องลองสำรวจเมืองนี้..."

     ชายหนุ่มบอกก่อนจะลุกออกจากที่ซ่อนตัว แต่ไม่ทันไรที่พวกเขาจะไปไหนไกลมาก เสียงจากใครก็ไม่รู้ได้เรียกหยุดฝีเท้าพวกเขา อาคัลตั้งท่าต่อสู้ไปตามสัญชาตญาณ แต่เขาก็ต้องลดมือลงเมื่อได้เห็นอาคันตุกะผู้นั้น

     "พวกเจ้ามาจากที่ไหนกันเนี่ย?"

     คนๆนั้นใส่ชุดคลุมที่มีสีกลมกลืนไปกับความมืด เขาเลิกฮู้ดออกเผยใบหน้าเหี่ยวย่น ดวงตาสีนิล ศีรษะมีเส้นผมสีขาวบางๆจนเกือบจะโล้นและไว้หนวดเคราเล็กน้อย ซีน่อนจ้องมองชายแก่คนนั้นแบบหัวจรดเท้า จนกระทั่งได้เห็นสร้อยคอรูปปีกไม้กางเขนสีทอง ที่ชายแก่คนนั้นสวมห้อยคอเอาไว้

     'สัญลักษณ์ของศาสนจักรแสง...'

     "ข้างนอกเมืองลอสท์..."

     ซีน่อนเดินออกมาคุยกับชายแก่ ดูจากท่าทางสำรวมแม้จะอยู่ในอาการตื่นตระหนก นั่นก็มากพอที่จะทำให้ชายหนุ่มคาดเดาได้เลย ว่าชายแก่รายนี้เป็นสาวก

     "ข้างนอก...หรือว่าเจ้าจะเป็นความมืดสีขาวที่ถูกส่งมา"

     "ใช่..."

     อาคัลที่ยืนฟังคำพูดทุกประโยคก็รู้สึกมึนงงเล็กน้อย แต่ยังพอจับใจความได้อยู่ ว่าชายแก่คนนั้นเป็นสาวกแห่งศาสนจักรแสง และซีน่อนก็ถูกส่งให้มาที่นี่ตามคำสั่งของศาสนจักรแสงเช่นกัน

     อาคัลรู้สึกว่ามันยังมีอีกหลายๆเรื่อง ที่พวกเขาจะต้องมานั่งพูดคุยกันอีกยาว และสถานที่นั่งจับเข่าคุย จะต้องไม่ใช่กลางถนนมืดๆที่มีเจ้าสัตว์ประหลาดเดินเพ่นพล่าน

     "เจ้าตามข้ามาก่อนเถอะ ความมืดสีขาว...ข้าว่าเจ้าคงมีเรื่องที่อยากจะถามอีกมากมาย" ชายแก่บอกด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด เพราะว่าตอนนี้มีเสียงฝีเท้าของเจ้าสัตว์หลาดนั่นดังใกล้เข้ามา

    ชายหนุ่มดึงหมวกคนเดินป่าให้เข้าที่ ก่อนจะเสมองไปยังต้นเสียงที่ดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เขาพยักหน้าขึ้นลงน้อยๆ

     "อือ...รีบไปกันก่อนเถอะ"

     

     มัสแตงถือหนังสือเล่มหนาๆทั้งสามเล่มมาวางไว้บนโต๊ะบรรณารักษ์ หญิงสาวหน้าตาสะสวยที่ใส่เสื้อแขนยาวสีน้ำเงิน ก็ได้ขยับแว่นตาพลางส่งรอยยยิ้มไปให้แก่ชายหนุ่มผมทอง ทว่ามัสแตงไม่ได้สนใจอะไรนัก เขาหยิบปากกาขนนกมาลงชื่อขอยืมหนังสือ แต่ในขณะที่เขายังเขียนชื่อไม่เสร็จสิ้น เสียงแบบทีจริงทีเล่นที่มัสแตงคุ้นเคยก็ดังขึ้น

     "เรดพาลาดินระดับหัวหน้า มัสแตง ไม่นึกจริงๆว่าเราจะได้มาเจอกันที่นี่"

     มัสแตงตีหน้าตายก่อนจะลงมือเขียนชื่อให้เสร็จๆไปเสียที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มผู้แต่งชุดกายดำ หมวกปีกกว้างสีดำซึ่งติดขนนกอีกาถูกเลิกออก ทว่าดวงตาของอาคันตุกะนั้นยังคงปิดสนิทเช่นเดิม รอยยิ้มยียวนอย่างน่าหมั่นไส้ยังประดับอยู่บนใบหน้าชายคนนั้น

     "ฉันก็ไม่นึกถึงเหมือนกัน ที่ต้องมาเห็นหน้าแกที่นี่"

     "แหมๆ ห้องสมุดที่คุณกำลังเหยียบอยู่เนี่ย มันเป็นที่ของๆศาสนจักรแสงนะครับ ความจริงผมควรจะถามคุณก่อนดีกว่า ว่าคุณได้ส่งแบบขออนุญาตเข้าสู่ศาสนจักรแสงแล้วรึยัง?" ภาคีหนุ่มกางมือออกแล้วหมุนตัวไปรอบๆ

     มัสแตงไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างหงุดหงิด ก่อนจะหยิบหนังสือทั้งสามเล่มแล้วเดินไปยังทางออกของห้องสมุด ทว่าตอนนั้นรินก็ขยับมือมารั้งไหล่ชายหนุ่มผมทองไว้ก่อน

     "ไม่ว่าคุณกำลังหาอะไรอยู่ ผมว่าคุณคงจะเสียเวลาเปล่า"

     "เรื่องของฉัน" มัสแตงบอกก่อนจะปัดมืออีกฝ่ายทิ้ง แล้วค่อยเดินออกไปจากห้องสมุดของศาสนจักรแสง

     ภาคีหนุ่มกอดอกมองตามไล่หลังชายหนุ่มผมทอง เขาเปิดเปลือกตาสีเขียวเข้มขึ้นมานิดหนึ่ง ก่อนรินจะหันหน้าไปทางบรรณารักษ์สาวที่ยังยิ้มแป้นอยู่เช่นเดิม ภาคีหนุ่มขยับตัวไปยืนหน้าโต๊ะหล่อน พลางเท้าแขนโน้มตัวเข้าใกล้หญิงสาวพร้อมคลี่รอยยิ้มอย่างไม่น่าไว้วางใจ

     "ช่วยบอกผมได้มั้ย ว่าเขายืมหนังสืออะไรไป"

     "เอ่อ..."

     "บอกมาเร็วๆสิครับ ผมไม่ได้มีเวลาทั้งวันนะ"

     รินใช้จิตสังหารกดดันหญิงสาว แม้ว่าการพูดของเขาจะดูขี้เล่น แต่บรรยากาศที่แผ่ปกคลุมในห้องสมุดนี้ มันช่างดูน่ากลัวราวกับกำลังยืนอยู่ในลานประหาร เธอยื่นกระดาษคำร้องขอยืมสมุดที่มีรายเซ็นของมัสแตงไปให้แก่ริน ก่อนหญิงสาวจะขยับตัวถอยหลังไปอย่างสั่นๆ

     ภาคีหนุ่มหยิบกระดาษขึ้นมาดู ดวงตาสีเขียวหรี่ลงเล็กน้อย

     'มีแต่ประวัติศาสตร์เรื่องผู้ร่วงหล่นงั้นเหรอ?...'

     รินเอียงคอก่อนจะหัวเราะเสียงแหลมๆออกมา ชายหนุ่มนำกระดาษคำร้องมากัดฉีกเป็นสองส่วน ภาคีหนุ่มคิดว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะจัดการกับมัสแตง เพราะจากที่ดูแล้วมัสแตงน่าจะเป็นประโยชน์ให้กับพวกเขาเสียมากกว่า แต่ถ้าคุณเรดพาลาดินคนเก่งผู้นี้เผลอเดินข้ามเส้นมากเกินไป ก็อาจจะทำให้เขาเป็นอันตรายก็ได้

     "อย่าพลาดซะล่ะ คุณมัสแตง"

     บานประตูไม้เปิดอ้าออกอย่างช้าๆ ซีน่อนก็เดินตามหลังชายแก่ผู้สวมชุดคลุมสีดำ เขาหันรีหันขวางสำรวจห้องนี้ พบว่าที่นี่เป็นเหมือนกับสถานที่หลบภัยของเหล่าสาวก และบรรดาผู้ศรัทธาในพระเจ้าจำนวนไม่น้อยก็นั่งอยู่ตามจุดต่างๆของที่แห่งนี้

     ห้องนี้อยู่ข้างใต้ของเมืองโกธิค แถมทางเข้ามาสู่ที่นี่คือท่อระบายน้ำซึ่งมีเส้นทางสลับซับซ้อนเหมือนเขาวงกต ชายแก่สาวกคนนี้ได้บอกในระหว่างทางว่าพวกสัตว์ประหลาดจากข้างบน ไม่สามารถหาทางลงมาที่ได้อย่างแน่นอน แต่พอมาเห็นที่อยู่ซึ่งเล็กๆแคบๆ แถมมีคนมาอยู่เป็นจำนวนมากจนแออัด มันก็พาลให้ชวนสงสัยแล้วล่ะ ว่านี่มันไม่ใช่ที่หลบภัยหรอก มันดูเหมือนกับเป็นที่กบดานซ่อนตัวเสียมากกว่า

     "เราเข้ามาที่เมืองบ้าๆนี่นานมาก" 

     ชายแก่สาวกเปรย ก่อนผายมือเชิญให้ซีน่อนกับอาคัลมานั่งร่วมโต๊ะตรงมุมห้อง ตอนนั้นชายปริศนาก็เหลือบมองคนหลายๆคนกำลังสวดภาวนาต่อหน้ารูปภาพพระเจ้า พวกเขาใส่ชุดสีขาวสะอาด ใบหน้าไม่มีความกังวล แต่ดวงตาก็ฉายแววสิ้นหวังอยู่เล็กๆน้อยๆ

     ซีน่อนไม่สนใจพวกนั้นมากนัก เขาดึงเก้าอี้ไม้ออกแล้วเลื่อนตัวเข้าไปนั่ง ส่วนอาคัลก็ขยับมานั่งอยู่ใกล้ๆชายหนุ่ม

     "เท่าที่จำได้...ก็เกินสิบปีแล้ว"

     ซีน่อนช่วยต่อประโยคให้สมบูรณ์ ทว่าคำพูดนั้นได้เรียกสายตาจากอาคัลมาเป็นระยะๆ

     "อา...มันนานจนข้าแทบจะลืมไปเลยล่ะ ว่าพระอาทิตย์หน้าตามันเป็นยังไง แต่ยังโชคดีที่ทางศาสนจักรแสงตัดสินใจส่งเจ้ามาที่นี่ ข้าหวังว่าเจ้าคงจะช่วยทำอะไรได้สักอย่างนะ ความมืดสีขาว"

     "ถ้ามีรายละเอียดฉันก็ช่วยได้..."

     ซีน่อนไม่มีท่าทีจะปฏิเสธการทำงาน ทางฝ่ายชายแก่ก็ผสานมือแล้วเริ่มอธิบายสิ่งที่พวกเขาต้องทำ เนื่องจากเหล่าสาวกมาติดอยู่ภายในเมืองนี้นานถึงสิบปี และแน่นอนว่าข้อมูลข่าวสารของระแวกใกล้เคียง เหล่าสาวกก็ต้องพอรู้อะไรดีๆบ้างเช่นกัน

     "ถ้าเจ้าเดินทางต่อไปทางตรงข้ามกับทิศพระจันทร์ ประมาณสักสี่หรือห้าวันของโลกภายนอก เจ้าก็จะไปพบกับปราสาทของเรเบอร์ดอส ข้าว่าที่นั่นอาจมีวิธีทำให้พวกเราออกไปจากเมืองลอสท์ได้"

     ปราสาทของเรเบอร์ดอส...

     "มันเป็นใครกัน...ไอ้เรเบอร์ดอสน่ะ"

     ซีน่อนขอยกมือถาม อาคัลมองสลับระหว่างชายแก่และบุรุษปริศนาข้างๆตัว

     "เรเบอร์ดอสมันเป็นราชาของเมืองลอสท์ ถึงข้าจะไม่รู้ว่าแกนเขตอาคมของที่นี่อยู่ที่ไหน แต่บางทีเรเบอร์ดอสมันอาจจะรู้ก็ได้"

     "อือ..."

     ซีน่อนลุกออกจากเก้าอี้ก่อนตบบ่าอาคัลเบาๆ เขาหันหน้าไปสบตากับชายแก่สาวก พร้อมบอกถึงสิ่งที่เขาต้องการในขณะนี้

     "ช่วยหาเสื้อผ้าใหม่ให้ไอ้เด็กนี่ที"

     "ได้สิ" ชายแก่ขานรับเบาๆ

     ชายหนุ่มเดินไปนั่งหลบตรงซอกหลืบคนเดียว เขาวางกล่องมารกลั่นวิญญาณไว้ใกล้มือ ก่อนจะเริ่มทำการตรวจเช็คอาวุธอุปกรณ์ตามเดิม ตอนนี้ชายหนุ่มเหลือเพียงแต่กระสุนปืนแบบกระจายที่ยังไม่ได้ใช้อีกสองนัด

     กระสุนสำหรับปืนลูกโม่มีแต่แบบธรรมดา แถมปืนลูกโม่ก็พังไปตั้งนานแล้วด้วย

     มีดคูครียังคงความคมเอาไว้เช่นเคย ส่วนมีดสั้นห้าเล่มยังไร้รอยบิ่นเหมือนกัน

     ทว่าสำหรับสนับแขนกล ปืนลูกโม่นั้น ได้พังไม่มีชิ้นดี และกระบองเหล็กที่สามารถเปลี่ยนเป็นดาบสั้น คมดาบมันก็หักออกเป็นสองเสี่ยง

     ชายหนุ่มคิดว่าเมื่อตนออกไปจากเมืองลอสท์ได้ สิ่งที่เขาจะทำเป็นอย่างแรกก็คือการซ่อมแซมอาวุธ และเตรียมกระสุนปืนเพิ่ม

     "ทำอะไรน่ะ ซีน่อน?"

     เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นด้านข้างตัว ชายหนุ่มหยิบมีดสั้นขึ้นมาส่องดูใกล้ๆ ใบมีดมันวาวล้อแสงกับดวงเนตรสีเลือด ก่อนซีน่อนจะเบนสายตาไปทางขวา พบว่าหญิงสาวผมสีน้ำตาลกับดวงตาสีคราม ได้กลับมานั่งพื้นอยู่ข้างๆเขาในร่างจิต

     "เช็คความพร้อมนิดหน่อย..."

     จิลเห็นอาวุธจำนวนมากของซีน่อน ก็ส่งเสียงว้าวออกมาเบาๆ ถึงแม้อาวุธหลายชิ้นมันจะเสียหายจนใช้การไม่ได้ แต่ซีน่อนก็ยังเก็บมันเอาไว้ในกล่องมารกลั่นวิญญาณ ซึ่งชายหนุ่มระมัดระวังที่วางของกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมเป็นอย่างมาก เพราะกลัวว่าจิลจะเผลอไปโดนและอาจถูกกลืนวิญญาณเอาได้

     "ที่นี่มันที่ไหนเหรอ บรรยากาศดูเงียบสงบดีนะ"

     จิลถาม เธอหันมองไปทั่วทั้งห้องสลัวๆ ที่พื้นและกำแพงถูกสร้างขึ้นด้วยหินอ่อน ตามจุดต่างๆมีคบเพลิงติดตั้งไว้ที่ฝากำแพง และถึงแม้ห้องนี้จะคับแคบไม่เหมาะแก่การอยู่รวมกันเยอะๆ แต่เมื่อจิลได้ลองสังเกตเห็นประตูหลายบาน เธอก็คาดว่ามันอาจจะมีทางนำไปสู่ห้องอื่นที่กว้างยิ่งกว่านี้

     "ที่หลบภัยของพวกสาวก..."

     "สาวกเหรอ? ใช่สาวกของศาสนจักรแสงมั้ย?"

     "อื้ม..."

     ซีน่อนตอบสั้นๆเหมือนเขาไม่ค่อยอยากจะพูดมาก ชายหนุ่มเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างให้เข้าที่ เขาถอดหมวกคนเดินป่าออก เส้นผมสีดำไหวพริ้วเบาๆตามขอบหมวก ใบหน้าขาวซีดเหมือนคนตายนั้นไม่แสดงอารมณ์อะไรทั้งสิ้น

     "นายดูเหนื่อยๆนะ ซีน่อน" 

     "ฉันไม่เหนื่อย..."

     "แต่ตาของนายมันฟ้องนะ"

     จิลยิ่งขยับมานั่งใกล้ๆชายหนุ่มมากขึ้น ตอนนี้ทั้งสองนั่งตัวชิดติดกัน แผ่นหลังแนบกับกำแพงหินอ่อน สายตาของพวกเขาจับจ้องตรงไปยังภาพเบื้องหน้า ที่มีเหล่าผู้ศรัทธากำลังดำเนินชีวิตในห้องใต้ดิน ไปแบบไม่คิดจะสนใจรับรู้ถึงวันพรุ่งนี้

     "เธอกลับมาเร็วเกินไปนะจิล ข้างนอกนั่นยังสว่างอยู่ใช่มั้ย..." 

     ชายหนุ่มพูดเปลี่ยนเรื่อง เขาไม่ค่อยอยากจะให้จิลมาเอาใจใส่ กับเรื่องเล็กๆน้อยๆของเขามากจนเกินไป เพราะหลายๆสิ่งมันยากที่จะให้คำตอบ และมันก็ยากที่จะพูดออกมาให้ใครสักคนได้รับฟัง

     "เอ๋? รู้ได้ไงอ่ะ?" หญิงสาวถามด้วยสีหน้าเหมือนเด็กน้อยโดนจับผิด เธอสะบัดไปสบตาอีกฝ่ายอย่างต้องการคำตอบ

     "ฉันอยู่มานานพอ ที่จะแยกแยะเวลาเช้ามืดได้..."

     เขาบอกโดยไม่ได้หันมอง จากปกติท่าทางแบบนี้ หากเขาดึงผ้าปิดปากขึ้น มันก็จะดูเหมือนกับเป็นปีศาจเลือดเย็น

     ทว่าพอซีน่อนได้ถอดหมวกคนเดินป่าสีดำ เลิกผ้าปิดปากผืนเก่าๆออก และไม่ตีหน้าดุอย่างที่เคยทำ มันก็ทำให้ชายหนุ่มดูเหมือนเป็นคนที่ผ่านมรสุมอะไรมามากต่อมาก ยิ่งกับดวงตาสีเลือด ที่หากจ้องมองไปนานๆเข้า ก็คล้ายจะรู้สึกราวกับว่านี่มันเป็นแววตา ของคนที่ยืนตากสายฝนอันหนาวเหน็บอย่างเดียวดาย

     "นี่ซีน่อน ฉันขอถามอะไรอย่างได้มั้ย"

     จิลพูดทั้งรอยยิ้ม เธอเหยียดขาออกไปด้านหน้า มือทั้งสองจับหัวเข่าผ่านกระโปรงสีแดง แล้วโน้มหน้าเล็กน้อย

     "ได้..."

     ชายหนุ่มลองเปิดโอกาสให้จิลได้ถาม เผื่อว่าเขาจะไม่ต้องอยู่คนเดียวเงียบๆแบบนี้ ทว่าซีน่อนกลับรู้สึกว่าตัวเองคิดผิด ที่ยอมให้จิลถามอะไรออกมา

     "นายตาบอดทุกๆตอนเช้าจริงๆเหรอ?"

     "...เลิกคุยกับฉันคนนี้เลย ยัยจอมจุ้น"

     ซีน่อนตั้งใจจะลุกขึ้นไปหาที่หลบมุมอื่น แต่จิลก็รั้งแขนเอาไว้ เรือนหน้าขาวผ่องที่ประดับรอยยิ้มน่ารักนั้น คล้ายจะบอกว่า 'คราวนี้ฉันจะถามดีๆแล้ว'

     ผสมกับเสียงออดอ้อน ที่ร้องขอให้ชายหนุ่มกลับมานั่งด้วยกัน มันก็ทำให้เขาไม่ค่อยอยากจะปฏิเสธอะไรสักเท่าไหร่ ซึ่งแน่นอนว่าซีน่อนก็กำชับจิลเอาไว้ก่อน ว่าหากเธอยังเอาแต่พูดเรื่องไร้สาระอีก เขาจะไม่ฟังที่เธอพูดอีกต่อไป

     "จริงหรือเปล่า ที่ผู้ร่วงหล่นจะไม่ศรัทธาพระเจ้าน่ะ"

     จิลถามเรื่องที่ดูน่าฟังขึ้นเยอะ ชายปริศนาได้ยินก็เงยหน้ามองบนอย่างไม่รู้คำตอบ

     "ถ้าในสายตาของคนอื่น ผู้ร่วงหล่นคงไม่ศรัทธาอะไรอีกต่อไป...แต่ในสายตาของฉัน มันก็ขึ้นอยู่กับปัจเจกบุคคล" ซีน่อนอธิบายตามความคิดและความเข้าใจของตัวเขา ซึ่งสำหรับจิลนั้นมันก็ยังยากที่จะตีความหมาย

     "หมายความว่าไงเหรอ?"

     หญิงสาวถามอีกรอบหนึ่ง

     "...ฉันจะพักแล้ว"

     ซีน่อนที่ดูเหมือนจะขี้เกียจตอบอะไร ก็เงยหน้าขึ้นแล้วนำหมวกคนเดินป่ามาครอบปิด ขาสองข้างไขว้ห้างกัน ก่อนจะกอดอกเลื่อนตัวลงครูดกับกำแพงเป็นการเอนตัวนอน

     และไม่ว่าจิลจะพยายามเขย่าตัวเขา หรือเรียกร้องความสนใจแบบไหน ซีน่อนก็ไม่ตอบสนองอะไรกลับมา ทำให้เธอเข้าใจไปเองว่าชายปริศนาคนนี้คงจะหลับไปแล้ว

     หญิงสาวใช้จิตตามหาอาคัล เธอพบว่าเด็กหนุ่มภูตคนนั้นอยู่แถวๆนี้ไม่ใกล้ไม่ไกล เธอจึงลอยผ่านกำแพงเพื่อจะได้ไปหาเพื่อนคุยเล่น และแน่นอนว่าทุกการกระทำของเธอ ก็ตกเป็นเป้าสายตาของเหล่าผู้ศรัทธาในห้องๆนี้อย่างมาก ผสมกับอาคัลที่เพิ่งได้รับชุดคลุมสีดำมาสวมใส่ และเดินไปทักทายสาวกคนอื่นๆพร้อมกับจิล มันก็ช่วยเพิ่มสีสันให้กับสถานที่แห่งนี้มากขึ้น

     "เจ้าหลับไม่ลงใช่มั้ย ความมืดสีขาว"

     ชายแก่สาวกคนเดิม ถามซีน่อนด้วยรอยยิ้ม เขาเดินมาหย่อนตัวลงนั่งข้างๆชายหนุ่ม แม้ความจริงแล้วหลายๆคนในศาสนจักรแสงจะเหม็นขี้หน้าเขา แต่ก็ยังมีบางคนที่พอจะคบหาเป็นมิตรได้บ้าง

     "ฉันยังหลับไม่ได้ต่างหาก เฟาสต์..."

     ซีน่อนพูดโดยไม่ยอมเอาหมวกออกจากใบหน้า ตอนนี้เขาแค่แหงนหน้าแล้วหลับตาเฉยๆ ด้วยร่างกายที่เป็นอมตะเช่นนี้ การจะกินอะไรไม่ได้ และนอนหลับไม่ลง ก็ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ

     "แต่ถ้าฉันทำงานจนหมด ฉันก็จะได้นอนหลับพักผ่อน..." ชายหนุ่มเปรยเสียงเรียบ

     ชายแก่สาวกเจ้าของชื่อเฟาสต์ลูบหนวดเบาๆ ดวงตาจับจ้องมองไปยังหญิงสาวในร่างจิต กับเด็กหนุ่มภูตผมสีทอง ทั้งสองคนนั้นเดินไปหาคุยกับคนทั่วทั้งห้อง ก่อนจะลามไปหาห้องอื่นๆต่อ

     "ผ่านมาตั้งห้าร้อยปี งานของเจ้ายังไม่มีท่าว่าจะจบสิ้นเลยมิใช่หรือ"

     เฟาสต์ถามแบบอ้อมๆ

     "ต่อให้ต้องทำไปอีกสักพันปี หรือหมื่นปี...มันก็ยังเป็นงานที่ฉันต้องทำ"

     "...งั้นข้าก็ขอให้เจ้าได้นอนหลับในเร็ววันละกัน"

     ชายแก่สาวกอวยพรให้ซีน่อน แม้เขาจะรู้อยู่แก่ใจแล้วล่ะ ว่านี่มันเป็นไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยๆถ้าหากพระเจ้าเกิดเมตตาชายหนุ่มขึ้นมา เขาก็อยากให้พระองค์ช่วยมอบการหลับไหลแก่ความมืดสีขาว ผู้ซึ่งไม่สามารถข่มตาหลับมานานนับห้าร้อยปี

     "ขอบใจละกัน..."

     ซีน่อนเอ่ยปากบอกขอบใจ พลางเอื้อมมือขึ้นมาจับผ้าปิดปากเอาไว้ นัยน์ตาสีแดงที่อยู่ภายใต้หมวกหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนเขาจะปิดเปลือกตาลงอย่างช้าๆ เพื่อเป็นการหวนรำลึกถึงเรื่องราวในอดีตที่นานมากๆ...และมันยังเป็นเรื่องราวที่ไม่เคยมีใครเคยรับรู้มาก่อน...

     ชายหนุ่มนำมือมาวางเอาไว้ตรงตำแหน่งหัวใจ แล้วท่องอะไรบางอย่าง เมื่อเขาท่องเสร็จจึงจะใช้มือแตะที่หน้าผากตัวเอง โดยสิ่งที่เขาท่องเน้นย้ำในใจนั้น ได้เรียกสายตาจากจิลให้หันมามอง หญิงสาวดูเหมือนจะแปลกใจอยู่เช่นกัน ว่าซีน่อนกำลังคิดหรือนึดถึงภาพของใครบางคน ที่เธอไม่สามารถมองเห็นภาพนั้นได้อย่างถนัดชัดเจน

     'หนึ่ง...สอง...สาม...ฉันจำได้'

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา