Kiss of Winter จุมพิตแห่งเหมันต์

-

เขียนโดย โรสลินดา

วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 17.01 น.

  4 chapter 1 คืนแห่งความเปลี่ยนแปลง
  0 วิจารณ์
  5,925 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2558 17.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) บทที่ 3 ความลับในคฤหาสน์ริมทะเล

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ร่างน้อยมองสำรวจห้องโดยสารซึ่งบุด้วยผ้าไหมเนื้อดี ทำไมพ่อของสิฮานถึงเรียกเธอว่า “เอสเมอรันดา” ชื่อที่คู่หมั้นผู้ล่วงลับของเธอหวังไว้ให้เป็นชื่อลูกสาว พอคิดเรื่องถึงนี้ขึ้นมา ก็เหมือนกับแผลที่ยังไม่หายสนิทถูกกระทบกระแทกเข้า ทำเอาน้ำตาเอ่อขึ้นมาที่ดวงตางามอย่างช่วยไม่ได้

เธอพยายามจดจำเส้นทางที่รถวิ่งผ่าน แต่ดูเหมือนทุกโค้งและแยก ภาพข้างทางก็มีให้เห็นแค่ต้นไม้ใหญ่ขึ้นรกครึ้มดูคล้ายกันไปหมด หลังออกจากแหล่งชุมชนแล้วก็ไม่มีบ้านคนให้เห็นอีกสักหลังเดียว มือคู่บอบบางนั้นต่างเกาะกุมกันไว้แน่นบนหน้าตัก

กระทั่งรถวิ่งลัดเลาะเข้ามาถึงเส้นถนนที่ปูด้วยหิน ขนาบข้างไปด้วยป่าสนสูงลิบที่ยาวเหยียดเรียงกันไป ชั่วโมงต่อมารถก็หยุด ฟรองค์ลงจากที่นั่งคนขับมาเปิดประตูให้กับเธอ

“ท่านเอสเมอรันดา คฤหาสน์โอริลน์แห่งเมืองทิสก้า”

ร่างบางก้าวออกมายืนมองคฤหาสน์หลังสูงใหญ่ริมชายทะเล ท่ามกลางป่าสนที่ขึ้นหนาแน่นล้อมรอบ ตัวอาคารถูกก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบวิคตอเรียนที่ทั้งดูสง่างามและโรแมนติก หน้าต่างเป็นกระจกสีลวดลายสวยงาม ทุกบานสูงและโค้งเป็นครึ่งวงกลมตรงด้านบน หลังคาสีนำ้เงินคราม มีหอสูงอยู่ที่ด้านหนึ่งของตัวอาคาร ด้านหลังเป็นภูเขาหนาแน่นด้วยพันธุ์ไม้ที่ขับให้ภาพสถานที่นั้นแฝงไปด้วยกลิ่นอายความลึกลับบางอย่าง มีนาถึงกับยืนนิ่งไปชั่วขณะ พอเห็นว่าฟรองค์ผายมือไปข้างหน้า จึงออกเดินตามเขาไปเงียบๆ

ภายในในห้องโถงโอ่อ่า มีตัวเพดานสูงลิ่วประดับด้วยปูนปั้นแกะสลัก ผนังห้องกรุด้วยไม้มะฮอกกานีแกะสลักเนื้อมันวาว เตาผิงขนาดใหญ่ เชิงเทียนและโคมไฟระย้า พื้นปูด้วยพรมผืนยักษ์ลายประณีต ทั้งห้องให้ความรู้สึกอบอุ่น งามหรูและแสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี มีหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่งกำลังนั่งเอกเขนก ดื่มชาอยู่ที่ชุดโซฟากลางห้อง

“ใครน่ะ ฟรองค์” เธอหันมามอง หล่อนมีดวงตาสีน้ำตาลเจือเขียว ผิวสีบ่มแดดดูเปล่งปลั่งและเส้นผมหยักศกสีน้ำผึ้ง ซึ่งถูกม้วนแต่งขึ้นไปเป็นทรงสวยงาม ร่างสูงโปร่งนั้นสวมใส่ชุดกระโปรงยาวสีพีชยาวกรอมเท้าประดับด้วยดอกไม้ผ้าสีขาวดอกเล็กๆแลดูอ่อนหวาน บางอย่างในตัวเธอต่างก็ทำให้ผู้พบเห็นนึกถึงแสงแดดที่เจิดจ้า

พอหญิงสาวในเครื่องแต่งกายงดงามนั่นมองเห็นเธอได้ชัดตา ก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วย่อกายแสดงความเคารพทันที แต่สีหน้ากลับไม่สู้ยินดีนัก

“ท่านเอสเมอรันดา!!!เซียร่าขอประทานอภัยเจ้าค่ะ” ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามมาขอโทษเรื่องอะไร แต่มีนาก็ส่ายหน้าตอบช้าๆอย่างไม่เข้าใจ

“เซียร่า ท่านหญิงสูญเสียความทรงจำ ข้าจะรีบไปตามท่านแม่เฒ่า เจ้าให้มุลธาพานางขึ้นไปรอก่อน แล้วจัดเตรียมอาหารให้เสียด้วย เรารีบออกเดินทางมาตั้งแต่ตอนสายไม่ได้หยุดพักเลย” พูดจบฟรองค์ก็สาวเท้าก้าวจากไป ปล่อยให้ทั้งสองสาวยืนจ้องกันและกัน

“ท่านความจำเสื่อมจริงๆหรือ!? จำข้าได้บ้างหรือเปล่า...ข้าเซียร่าน้อย ตอนที่ท่านจากไป ข้ายังเด็กอยู่เลย ตอนนี้ข้าได้เป็นโอริลน์หญิงเต็มตัวแล้ว ท่านหญิง” เธอกล่าวพลางเดินเข้ามามองสำรวจชุดที่มีนาใส่อย่างแปลกใจ

“ทำไมถึงโทรมอย่างนี้ แล้วกำไลของท่านเล่า อยู่ที่ไหน?” พอได้ฟังดังนั้น เธอถึงได้นึกถึงมันขึ้นมาเป็นครั้งแรก อาจจะด้วยความทรงจำช่วงนั้นที่เริ่มพร่ามัว แสงจ้า เสียงประหลาดที่น่าสะพรึงกลัวนั่น และกำไล ใช่แล้ว!!กำไลที่สร้างขึ้นด้วยวัตถุที่เธอไม่รู้จัก ดูคล้ายกับเป็นแร่สีเงินผสมผสานเป็นเนื้อเดียวกันกับหิน มันอาจจะเกี่ยวพันกับเรื่องที่เกิดขึ้นก็ได้...

พอจะเอ่ยปากพูดถึงเมืองใหญ่ที่จากมา เธอก็ชะงัก เพราะนึกถึงสิ่งที่อาเมียร์เคยบอก ทั้งยังไม่รู้ว่าจะไว้ใจบุคคลตรงหน้าได้มากน้อยแค่ไหน

“กำไลอันไหนคะ? รูปร่างของมันเป็นยังไง”

เซียร่ายิ้มอย่างพอใจ เมื่อเห็นเธอแสดงออกถึงความสับสน จดจำอะไรไม่ได้ หล่อนเรียกแม่บ้านสาวใหญ่ที่ชื่อมุลธามา แล้วก็เพียงยืนกอดอก มองดูแม่บ้านเดินนำมีนาขึ้นบันไดห้องโถงไป

“ห้องส่วนตัวของท่านหญิงเจ้าค่ะ ข้าวของทุกชิ้นยังถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดี ท่านมาทิลด้ากล่าวอยู่เสมอว่า ท่านจะต้องกลับมา” หญิงรับใช้พูดก่อนจะยอบกายให้

“ห้องของฉันเหรอคะ?” เธอจ้องมองบานประตูไม้สลักสีเข้มหนาหนักเบื้องหน้า พอหันมาอีกฝ่ายก็เดินหายไปเสียแล้ว

เมื่อเปิดประตูก้าวเข้ามาไป หัวใจของเธอก็เต้นโครมคราม เพราะความงามของตัวห้อง ฝ้าเพดานสูงสีขาวประดับปูนปั้นตามขอบและมุม ตรงกลางติดเชิงเทียนระย้าคริสตัลที่ดูสวยกรุยกรายส่องประกาย ใจกลางห้องมีเตียงนอนแบบสี่เสาหนานุ่มห้อยผืนผ้าโปร่งเนื้อบางละเอียด ตกแต่งเอาไว้ดูชวนฝันราวกับห้องของเจ้าหญิงในนิทานปรัมปรา ตรงข้ามปลายเตียงปรากฏชุดโต๊ะเครื่องแป้งแบบกระจกสามส่วน ที่มีกรอบกระจกเป็นทองเก่าสลักลวดลายอ่อนช้อย หน้าบานกระจกถูกประดับประดาไปด้วยขวดแก้วเจียระไนหลายรูปทรงบนโต๊ะที่ต่างก็งดงามแวววาว

ร่างระหงมองไปรอบๆอย่างตื่นตะลึง เพราะไม่เคยเห็นห้องหับใดที่สวยเท่านี้มาก่อน เธอลดร่างลงสัมผัสมือตนกับพื้นห้องสีเขียวอ่อนงาม ก่อนจะอุทานออกมา

“หยกหรือนี่!”

ก่อนรีบถอดรองเท้าเก่าซอมซ่อออก เดินด้วยเท้าเปล่าเข้าไปหยิบขวดแก้วเจียระไนซึ่งมีของเหลวข้นหนืดอยู่ข้างในขึ้นดู แต่ตอนที่หันไปมองระเบียงห้อง แสงจ้าของตะวันจากทิศตะวันตกซึ่งกำลังจะลับลงสู่พื้นทะเล ก็สาดทะลุผ่านผ้าม่านผืนยาวโปร่งแสงเข้ามา เธอยกมือขึ้นป้อง แต่แล้วภาพร่างชายหญิงคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้น สองร่างที่ดูเลือนรางนั้นยืนใกล้ชิดกันอยู่ที่ตัวระเบียง

“อ๊ะ!” มีนาร้องด้วยความตกใจก่อนจะปล่อยเอาขวดแก้วล้ำค่านั้นตกลงมาแตกกับพื้นเป็นเสี่ยงๆ

“ท่านเอสเมอรันดา ข้าเข้าไปได้หรือเปล่า?” เสียงเซียร่าดังขึ้นที่หน้าประตู พอมีนาหันกลับมามอง ร่างลึกลับที่ระเบียงก็หายไปแล้ว หญิงสาวร้องตอบรับแม้ชื่อที่อีกฝ่ายเรียกจะไม่ใช่ชื่อเธอ ก่อนปรี่ไปดูที่ตัวระเบียงรูปทรงโค้งมน มันว่างเปล่า และเมื่อก้มหน้าลงไปมองด้านล่างก็พบว่าสูงชันจนน่าใจหาย จากระเบียงสามารถมองเห็นได้ไปถึงชายหาดบริเวณด้านหน้าคฤหาสน์

“ท่านหญิง ห้องนี้ยังสวยเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน เหมือนกับที่ข้าจำได้เมื่อสมัยเด็กๆ” เซียร่าวางถาดอาหารไว้ให้ที่โต๊ะหัวเตียง ก่อนหมุนร่างไปรอบๆอย่างเริงร่า หล่อนสูดหายใจเอากลิ่นน้ำหอมฉุนกึกเพราะความเก่าที่นองอยู่บนพื้น

“ตอนคุณเด็กๆ...” มีนาทวนคำพูดของเซียร่าด้วยความความสงสัย

“ห้องนี้เป็นห้องเกือบปิดตายมาสิบกว่าปี จะมีก็แค่แม่บ้านเข้ามาดูแลตามกำหนดเวลาเท่านั้น แล้วก็กลิ่นน่าเวียนหัวนี่มันคืออะไร!”

“ฉันทำขวดน้ำหอมตกน่ะค่ะ น่าเสียดายจัง”

“น้ำหอมเก่าขนาดนี้ใครจะใช้กันเจ้าคะ! ท่านหญิง ห้องนี้ถูกเก็บรักษาในสภาพเดิมแบบนี้ ก็เพราะแม่เฒ่าสั่งกำชับเอาไว้ ว่าข้าวของอะไรก็ห้ามโยกย้ายไปจากที่เดิมเด็ดขาด”

“คุณเรียกฉันว่ามีนาเฉยๆจะได้ไหมคะ สั้นๆง่ายๆ อีกอย่างเอสเมอรันดาก็ไม่ใช่ชื่อของฉันด้วย ดูแล้ว คุณกับฉันก็น่าจะอายุไล่ๆกัน พูดกับฉันแบบคนอายุเท่ากันเถอะค่ะ”

เซียร่าหัวเราะคิกขึ้นมาในทันที

“อายุของเราไม่เท่ากันหรอก แต่ถ้าอย่างนั้น...ขอเรียกว่า “เอส” จะได้ไหม สั้นๆง่ายๆ” หล่อนยิ้มกรุ่มกริ่มอย่างนึกสนุก มองดูมีนาที่นั่งเอนหลังพิงหมอนและพยักหน้าให้อย่างจำยอม

“เอส เจ้ายังมีความสามารถอะไรหลงเหลืออยู่บ้างเล่าตอนนี้? หลังจากที่เสียความทรงจำไปแล้ว” เจ้าของดวงตาสีเขียวยามต้องแสงถามพลางเลิกคิ้ว

“ความสามารถแบบไหนล่ะ?”

“ก็อย่างเช่น แบบนี้” เซียร่าหงายมือขึ้น เป็นผลให้เศษแก้วทั้งหมดที่ตกกระจายอยู่บนพื้นลอยพุ่งขึ้นมาหมุนวนอยู่เหนือฝ่ามือของเธอ ราวกับพวกมันเท่านั้นที่กำลังลอยเคว้งอยู่ในห้วงอวกาศ มีนาอ้าปากค้างมองดูภาพที่น่าอันตรายนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา

“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ให้มันร่วงลงบนเตียงนอนหรอก ว่าแต่เจ้าสามารถซ่อมแซมให้มันกลับคืนสู่สภาพเดิมได้หรือเปล่า?” มีนาส่ายหน้าให้อย่างแรง

“ไม่ได้เลยเหรอ? คงต้องใช้เวลากระมัง เกิดสมองเสื่อมขึ้นมาแบบนี้ ก็คงลืมวิธีใช้พลังจิตไปด้วยสินะ” ว่าแล้วเศษแก้วที่ส่องแสงระยิบระยับลอยวนอยู่เหนือฝ่ามือเรียวบาง ก็ลอยไปกองรวมอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งส่งเสียงเกรียวกราว

“นี่คุณเล่นมายากลอะไรกัน!”

“ข้าไม่ใช่นักแสดงกล แต่เป็นโอริลน์หญิงที่มีพลังจิตในการเคลื่อนย้ายวัตถุได้ เอาล่ะท่านเอส ข้าจะปล่อยให้เจ้าได้มีเวลาส่วนตัวเปลี่ยนผ้าผ่อนล่ะ ชุดที่ใส่อยู่ให้มุลธานำไปเผาทิ้งเสียเถอะ ดูไม่จืดเลยทีเดียว” เซียร่าพูดติดตลกก่อนจะหมุนร่างจะจากไป

“เดี๋ยวก่อนสิค่ะ ห้องนี้มีผีหรือเปล่า?”

“ผี!” เซียร่าร้องดังอย่างตกใจยิ่งกว่า แต่พอเห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่ายก็ส่ายหน้า

“ไม่รู้หรือว่าไม่มี?"

“ไม่รู้หรอก” คำตอบนั้นทำเอาสาวสวยหน้าถอดสี

“ถ้ามีอะไรก็ให้ตามข้าก็แล้วกัน อยู่ถัดไปอีกไม่กี่ห้องนี่เอง” เซียร่าพยักหน้าให้

“แล้วคุณจะมาใช่ไหม?”

“ถ้าเจ้าอนุญาตให้ข้าเข้าห้องเจ้าได้ตามสะดวก"

“ได้ๆ มาเลยนะเร็วๆด้วย” มีนาร้อง ทำเอาโอริลน์สาวเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะเดินไปยืนหยุดนิ่งตรงหน้าบานประตู

“เกือบลืมไป ถ้าท่านมาทิลด้าทดสอบท่านด้วยถ้วยชาล่ะก็ มีคริสตัลอยู่ในถ้วยชาสามสี สีขาว สีน้ำเงินและสีเขียว” พูดจบเธอก็จากไปพร้อมกับปิดบานประตูให้

“พูดอะไรไม่เห็นเข้าใจเลย? แต่จะมีอะไรที่แปลกไปกว่านี้อีกล่ะ” มีนาบ่นพึมพำอยู่ตามลำพังอย่างต้องการจะเอาเสียงตัวเองเป็นเพื่อน ในห้องอันสุดแสนจะงดงามตา แต่เธอกลับรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติแฝงอยู่ในความสวยงามนั้น

ขณะที่ร่างระหงกำลังสำรวจตู้เสื้อผ้าซึ่งเต็มไปด้วยชุดงาม ซึ่งล้วนแต่เป็นชุดกระโปรงยาวเนื้อผ้าดีเลิศรูปแบบต่างๆ เธอดึงเอาชุดราตรีสีเขียวมรกตทิ้งชายยาวและผ่าขึ้นสูงด้านหน้าขาซ้าย มาลองเทียบเข้ากับร่างตน ใครกันที่ดูคล้ายกับฉันแม้แต่ขนาดรูปร่างและขนาดรองเท้าที่ใส่ก็ขนาดเดียวกันอย่างพอดิบพอดีแบบนี้ เสียงเคาะประตูดังขึ้น เธอเก็บเอาชุดงามหรูนั้นแขวนเข้ารวมกับชุดอื่นๆในตู้ ก่อนจะรีบเดินไปเปิดประตู หญิงรับใช้สาวใหญ่ที่ชื่อมุลธานั้นเอง

“ท่านหญิง ท่านมาทิลด้าให้เชิญเจ้าค่ะ”

เธอเดินตามหญิงในชุดเครื่องแบบสีดำซึ่งมีคอปกสีขาวลงมาชั้นล่าง ผ่านโถงทางเดินปูพรมหนา ผนังที่ติดรูปวาดเก่าของบรรดาผู้คนที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่นี้มาก่อน ผ่านบานประตูห้องไม้บานใหญ่ที่ดูเหมือนๆกันจำนวนนับไม่ถ้วน จนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องหนึ่ง

“ขอบใจมุลธา ไปซะ” เสียงหญิงชราแหบแห้งดังออกมาจากด้านใน หญิงรับใช้ย่อกายให้ก่อนจากไป

หญิงชราผิวสีรูปร่างผอมเกร็งคนหนึ่งยืนรอเธออยู่ หล่อนสวมใส่เครื่องประดับศีรษะสร้างขึ้นจากขนนกกาและสร้อยคอจำนวนมากทับชุดผ้าทอลายพื้นเมือง บุคลิกดูดุเกรี้ยวกราดอยู่ในทีและมีเสียงแห้งแหบ

“โอ้! ท่านเองจริงๆ ท่านเอสเมอรันดา ท่านกลับมาแล้ว...” แม่เฒ่าเจ้าของคฤหาสน์ร้องขึ้น ทั้งจ้องมองดูมีนาด้วยสายตาที่ฉายแววตื่นเต้นยินดีแต่ยังคงท่าทีสำรวม ก่อนนางจะก้มศีรษะลงให้อย่างนอบนบ

“เข้าใจผิดแล้วค่ะ คือฉันไม่ใช่คนที่พวกคุณคิดหรอกค่ะ ฉัน...”

“เกิดอะไรขึ้นกับท่านกัน” หญิงสูงวัยเอ่ยอย่างใจเย็น พร้อมปราดสายตามองไปยังข้อมือของหญิงสาวอยู่ชั่ววินาทีแล้วก็หน้านิ่งไป

“คือ!ดูเหมือนฉันจะดูคล้ายใครคนหนึ่งที่พวกคุณรู้จัก ฉันชื่อว่ามีนาค่ะ ไม่เคยมาที่นี่มาก่อน และไม่รู้จักพวกคุณเลยสักคน”

“แล้วท่านพอจะจดจำอะไรได้บ้างไหม” มาทิลด้าเลื่อนเก้าอี้นวมบุผ้าไหมสีเขียวเข้มให้เธอนั่ง ด้วยความที่หญิงสาวไม่เข้าใจในคำถาม ทำให้เธอส่ายหน้าก่อนจะยอมลดร่างลง หญิงสูงวัยนั่งที่เก้าอี้ตรงกันข้าม ระหว่างทั้งคู่เป็นโต๊ะไม้สีเข้มหนาทึบ พลันนางก็เอื้อมมือมาพลิกดูฝ่ามือของมีนาอย่างรวดเร็ว ทำเอาเธอตกใจเล็กน้อย

“ยังมีลายมืออันคงเดิม ท่านอาจสูญเสียความทรงจำจากเหตุการณ์บางอย่าง” อย่างหลังนั้น มาทิลด้าเอ่ยออกมาราวกับพูดกับตนเอง

“ฉันไม่ได้ความจำเสื่อมค่ะ ฉันจำชีวิตของฉันได้ ฉันไม่ใช้คนของเมืองนี้ แล้วก็...” มีนานึกทบทวนถึงสิ่งที่ตนอยากจะเปิดเผยให้หญิงแปลกหน้าคนนี้ล่วงรู้ แต่แล้วก็ยังพะว้าพะวง นึกถึงสิ่งที่อาเมียร์พูดไว้เกี่ยวกับพวกโอริลน์

“ท่านหญิง ข้าขอทดสอบท่านเสียหน่อย แล้วหลังจากนั้นเราจึงค่อยมาพูดคุยกันอีกครั้ง” หญิงชราที่ท่าทางคล่องแคล่วเกินอายุ นำเอาไพ่ขนาดเท่าฝ่ามือสำรับหนึ่งขึ้นมาวางเกลี่ยบนโต๊ะ ก่อนจะเลื่อนหยิบไพ่ใบหนึ่งขึ้นมามองดู

“บอกมา ว่าท่านมองเห็นสัญลักษณ์อะไรบนไพ่ใบนี้”

“ฉันไม่ทันได้เห็นค่ะ” มืออีกข้างของหญิงแก่เอื้อมมาแตะหลังมือของมีนา

“ท่านบอกกับข้ามา ถึงสิ่งแรกที่ปรากฏภาพขึ้นในใจของท่านเป็นพอ เรามีเวลา ไม่ต้องรีบร้อน” จะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่ คำพูดนั้นส่งผลให้สาวสวยที่กำลังสับสนใจสงบลงอย่างแปลกประหลาด เธอมองเหม่อออกไปนอกหน้าต่างอยู่ชั่วครู่

“ดวงอาทิตย์...” หลังจากนั้นไพ่อีก 9 ใบก็ถูกเลือกขึ้นมา เพื่อให้มีนาเดาว่าภาพใดปรากฏซ่อนตัวอยู่อีกด้าน จากนั้นพวกมันถูกวางคว่ำแยกไว้ โดนไม่มีการเฉลยถึงผลลัพธ์ใดๆ

จากนั้นแม่เฒ่าก็เดินไปนำชุดถ้วยชาที่คว่ำอยู่บนจานรองเข้าชุดของมัน มาวางตรงหน้าเธอสามชุด นี่มันสิ่งที่เซียร่าบอกฉันเอาไว้นี่ หญิงสาวคิด

“จริงๆแล้วฉันพอจะรู้แล้วค่ะ ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน”ใบหน้าของหญิงผิวสีเรียบนิ่งไม่แสดงถึงความแปลกใจอะไร หล่อนเลื่อนชุดถ้วยชาที่คว่ำอยู่ชุดหนึ่งออกมาด้านหน้าเล็กน้อย

“อะไรอยู่ข้างในนี้”

“ฉันทราบมาแล้วค่ะว่าเป็นคริสตัล”

“สีอะไร”

“สีฟ้าแล้วกันค่ะ ใบนั้นคงสีขาวและสีเขียวค่ะ ฉันเดาเอานะคะ” หญิงสาวตอบส่งๆอย่างรวดเร็ว แต่แล้วเธอก็สะดุ้งสุดตัวเพราะจู่ๆมาทิลด้าก็เอื้อมมือมาดึงเอาท่อนแขนเธอไว้

“บอกมาเดี๋ยวนี้นะ ว่าข้ากำลังคิดถึงสิ่งใดอยู่” หญิงแก่ส่งเสียงแหบแห้งดุร้าย หญิงสาวพยามยามจะแกะมือหล่อนออก แต่ก็กลับไม่อาจต้านทานเรี่ยวแรงอันผิดปกติของมาทิลด้าได้

“นี่คุณเสียสติหรือเปล่า!!ฉันจะรู้ได้ยังไง คุณพูดอะไรของคุณนี่”

“หลับตา หลับตาลง แล้วบอกกับข้ามาว่าท่านเห็นอะไร” มีนาข่มตาลงแน่นตามที่หญิงแก่สั่งอย่างไม่รู้ตัว นี่มันบ้าชัดๆ นี่ฉันหลงมาอยู่ในบ้านคนบ้าหรือเปล่า ฉันอยากกลับบ้าน อยากกลับไปหาเค้า หยดน้ำตาเอ่อซึมขึ้นมาบนดวงตาของหญิงสาวทันที เมื่อเธอนึกขึ้นได้ว่าไม่มีเค้าคนนั้นอีกแล้ว ไม่มีอีกแล้ว

“ท่านหญิงมองเห็นอะไร?” เสียงมาทิลด้าสั่ง

“คู่หมั้นของฉัน อดีตคู่หมั้นของฉัน” มีนาดึงมือของตนกลับมาอย่างหงุดหงิด รีบปาดเช็ดหยดน้ำตาออกไป

“เขามีลักษณะยังไง หน้าตาเป็นยังไง?”

“มันเป็นเรื่องส่วนตัวของฉันค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงแข็งขึ้นบ้าง

“ตอบให้ดี เพราะมันจะเป็นคำตอบที่สำคัญมากต่อชีวิตของตัวท่านหลังจากคืนนี้ ท่านไม่อยากรู้หรอกหรือ ว่าเกิดอะไรขึ้นกันและทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่” แม่เฒ่าเอ่ยเสียงเคร่งครึม มีนาหายใจเข้าออกแรงอยู่ชั่วครู่ แต่แล้วก็ยอมพูดออกมาในที่สุด

“เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ผมสีเข้ม มีดวงตาสีน้ำตาลที่พอคุณมองเห็นก็สัมผัสได้ถึงความเป็นคนที่มีจิตใจอบอุ่นค่ะ” หญิงแก่พยักหน้าให้กับเธอพร้อมเม้มริมฝีปากเหยียดตรง

“ใช่ ความเป็นโอริลน์ยังคงแฝงอยู่ในร่างของท่าน จากนี้ข้าขอให้ท่านกลับมาอยู่ที่นี่ รอดูอาการและข้าหวังว่าความทรงจำของท่านจะค่อยฟื้นคืนกลับมาในเร็ววัน”

ลึกในใจแล้วมีนาก็รู้ตัวดี ว่าเธอนั้นไม่มีที่อื่นจะไป เธอจึงก้มหน้าเงียบ

“ท่านหญิงเอสเมอรันดา คืนนี้เราพอกันแค่นี้ เชิญไปพักผ่อนเถอะ” หญิงชราเอ่ยพลางเก็บรวบรวมไพ่คืนเข้าสำรับ

“คุณอนุญาตให้ฉันย้ายมาอยู่ที่นี่จริงๆหรือค่ะ” น้ำเสียงประหลาดใจของหญิงสาวดังขึ้น

มาทิลด้าปรายตามองที่เธออย่างเพ่งพินิจ “ในฐานะโอริลน์ ที่กำลังฟักฟื้นจากอาการป่วยหรือบาดเจ็บที่ยังไม่ทราบถึงสาเหตุ” หญิงชรากล่าวก่อนจะยกกระดิ่งทองเหลืองที่มีมือจับมาเขย่า ไม่นานมุลธาก็มารับมีนาออกไป ชั่ววินาทีคล้อยหลังที่หญิงสาวเดินออกจากห้อง ฟรองค์ก็สาวเท้าก้าวออกมาจากมุมมืด ก่อนจะค่อยๆสอดดาบที่ถือเตรียมรอเอาไว้ในมือเก็บเข้าฝัก

หญิงชราพยักหน้าให้กับเขาเล็กน้อย “คอยระวัง สังเกตดูนางเอาไว้ให้ดี อย่าให้หนีออกไปจากคฤหาสน์ได้เด็ดขาด เราจะต้องให้นางได้อยู่ที่นี่ในวันแห่งการนัดหมาย”

ชายหนุ่มท่าทางแกร่งกร้าวน้อมรับคำสั่ง “ท่านแม่เฒ่า นางคือตัวจริงหรือเปล่า? แล้วผลทดสอบของนางออกมาเป็นยังไงกัน”

“ใช่อย่างแน่นอน” แม่เฒ่าพูดพลาง ยกถ้วยชาที่คว่ำซ่อนคริสตัลทั้งสามสีไว้ออก แต่ละใบมีคริสตัลตรงตามสีที่มีมีนาบอกไว้ทั้งหมด

“บททดสอบทั้งสามด่านนั้น นางสามารถบอกคำตอบได้ถูกต้องทั้งหมด ไม่มีผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย”

เรือนร่างสวยบอบบางนอนคิดย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ผ่านอยู่บนเตียง พลางลูบชุดนอนเนื้อบางลื่นมือสีขาวบนร่างตน ไม่นานก็ผล่อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

“เอสเมอรันดา ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน...” เสียงกระซิบเยียบเย็นของชายหนุ่มดังแผ่วเบาอยู่ที่ข้างหู ร่างบางรู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดโชยอ่อนมาแตะต้องกาย ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความอุ่นจากอีกเรือนร่างหนึ่ง ซึ่งเข้ามาแนบชิดบดเบียดเสียแทน เกิดน้ำหนักจากร่างลึกลับนั้นกดทับลงมาบนตัวเธอจนขยับเขยื้อนตัวไม่ได้ อึดอัดจนหายใจแทบไม่ออก และไร้เรี่ยวแรงแม้จะร้องขอความช่วยเหลือ

“อย่านะ ออกไปให้พ้น!” ทว่าคำพูดนั้นไม่ได้หลุดลอยออกไปจากปากมีนาในชุดนอนแนบเนื้อผลุดลุกขึ้นมานั่งด้วยเหงื่อเย็นๆโทรมกายในที่สุด แต่แล้วก็ใจหายวาบเพราะใต้แสงเทียนขมุกขมัวนั่น เธอมองเห็นหญิงสาวผมยาวเหยียดตรงสีดำดุจราตรีกาลนั่งอยู่หน้าชุดโต๊ะเครื่องแป้งที่ปลายเตียง

จากด้านหลังสตรีในชุดราตรีสีเขียวมรกตกำลังนั่งสางผม ภาพสะท้อนจากกระจกเงาเบื้องหน้าร่างปริศนานั้นขุ่นมัว แต่แล้วก็ค่อยๆกลับปรากฏชัดขึ้น

เป็นภาพใบหน้าของตัวเธอเอง! การมองเห็นภาพตัวเองอีกคนกำลังนั่งหวีผมอยู่ที่ปลายเตียง ทำให้มีนารู้สึกช็อค ใบหน้าเธอซีดเผือด และก่อนที่จะได้กรีดร้องด้วยความกลัว ร่างฝาแฝดนั้นก็ใช้มือที่มีเรียวเล็บยาวแต่งแต้มสีแดงสด ลูบคลำใบหน้างามของตนเองในกระจกด้วยความพึงพอใจ แต่แล้วหยดเลือดก็ไหลหยดเป็นทางลงมา เลือดกำเดาสีแดงคล้ำจนเกือบดำ เธออีกคนใช้มือปาดเช็ดมันออกมาดู ก่อนจะจ้องเขม็งกลับมายังมีนาจากเงาของกระจก ด้วยนัยน์ตาดำสนิทฉายแววดุร้าย...

“กริ๊ดดด!!!” มีนากรีดร้องลืมตาตื่นขึ้นมาหอบหายใจ ความฝันซ้อนฝันที่สมจริงทำให้เธอหวาดผวา พอมองไปรอบตัวก็พบว่ามันเป็นเวลาเช้าที่สว่างจ้าและอบอุ่น

นี่มันอะไรกัน!ทำไมถึงเหมือนจริงแบบนี้ หญิงสาวมองตรงไปยังชุดโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะรีบลุกวิ่งเข้าไปพยายามเข็นเลื่อนมันออกไปให้พ้นจากตำแหน่งปลายเตียง หากแต่ว่ามันหนักอึ้งจนไม่ยอมขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย เธอรีบวิ่งไปดึงเอาผ้าคลุมเตียงสีขาวปลอด มาตลบคลุมบดบังมันเสียให้พ้นจากสายตาทันที ก่อนจะยืนเหนื่อยหอบมองสิ่งที่ตนเพิ่งจะกระทำลงไป

“ท่านเอส!" เสียงเซียร่าดังขึ้น พอเปิดประตูให้สาวร่างสูงเพรียวที่อยู่ในชุดยาวสีส้มปะการังก็พรวดพราดเข้ามาพร้อมกับแมวตัวใหญ่ลายหินอ่อนในอ้อมอก

“เกิดอะไรขึ้น! ทำไมร้องเสียดังขนาดนั้น?” เซียร่ากวาดสายตามองอีกฝ่ายที่หน้าซีด และโต๊ะเครื่องแป้งที่ถูกผ้าคลุมเอาไว้ หญิงสาวอึกอักอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงเล่าถึงความฝันประหลาดให้เซียร่าฟัง โอริลน์สาวขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ฟังดูไม่เหมือนความฝัน ฟังดูเหมือนความทรงจำมากกว่า ความทรงจำที่ยังคงหลงเหลืออยู่ภายใน มันอาจจะกำลังซ่อมแซมฟื้นตัวของมันเองขึ้นมา เมื่อได้กลับมาอยู่ในสถานที่เก่าที่คุ้นเคย” เซียร่าปล่อยแมวแก่ที่เริ่มดิ้นลงบนเตียง มันเดินไปอีกสองสามก้าวแล้วก็ล้มตัวลงนอนนิ่ง

“บ๊อบบิ้น จำท่านเอสได้หรือเปล่า” เซียร่าทำเสียงเล็กเสียงน้อย “จะเป็นไปได้ยังไงกัน” มีนาส่ายหน้า

“เป็นไปได้! ตัวเจ้ามีความทรงจำ สถานที่ก็มีความทรงจำของตัวมันเองเช่นกัน โดยเฉพาะสิ่งของหรือบุคคลที่มีพลังหรือความเข้มขลัง เวลาที่อยู่ใกล้ชิดกับสิ่งใดที่อ่อนด้อยเจือจางกว่านานๆเข้า พวกมันก็ย่อมจะส่งผลพวงต่อสิ่งที่อ่อนด้อยกว่าทั้งนั้น เรียกว่าเป็นผลกระทบ การซึมซับ หรือการถ่ายโอนของพลังงาน ห้องนี้อาจจะช่วยให้เจ้ากลับไปเป็นคนเดิมได้อีกครั้ง เพราะความที่มันยังคงบรรจุเศษเสี้ยวเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเจ้าเอาไว้ ดูสิ! เตียงนอน เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ หรือแม้แต่กระจกนั่น ก็เคยรับใช้ท่านเอสเมอรันดามาทั้งหมดทั้งนั้น...” เซียร่ากล่าวเสียงล่องลอยมากขึ้นในตอนท้าย

“คุณหมายความว่า ฉันกำลังจะเริ่มจำสิ่งที่ฉันไม่เคยทำมาก่อนได้เหรอค่ะ” มีนาแย้ง

“ในเมื่อจำไม่ได้!แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าไม่เคยทำมาก่อน อีกอย่างชุดสีมรกตนั่นก็เป็นชุดโปรดของเจ้าสมัยก่อน ส่วนคำพลอดรักที่เจ้าได้ยินนั่นก็...” เซียร่าชะงักคำพูดอย่างตรึกตรอง

“มันคืออะไร?...บอกฉันมาเถอะค่ะ”

“เมื่อสมัยที่ข้ายังเล็ก เคยได้ยินคนรับใช้ในครัวแอบพูดคุยกันเกี่ยวกับเจ้า....ว่าท่านยอดโอริลน์หญิง...แอบลักลอบมีความสัมพันธ์กับบุรุษ มีคนรักอย่างลับๆ แต่จริงหรือเปล่า ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ถ้าเจ้าเกิดจำขึ้นมาได้...” เซียร่าส่งสีหน้ากังวลใจในสิ่งที่ตนเพิ่งจะหลุดปากออกไป

มีนากำมือแน่นก่อนจะยกมันขึ้นมากอดอก

“แต่ว่าตอนนี้รีบเตรียมตัวก่อนเถอะ เราต้องรีบลงไปร่วมมื้อเช้า” โอริลน์สาวแนะนำ

โต๊ะอาหารซึ่งมีมาทิลด้านั่งอยู่ประจำตำแหน่งหัวโต๊ะ ฟรองค์ที่อยู่ในชุดสุภาพบุรุษสะอาดเรี่ยมเชี่ยมแตกต่างจากวันก่อน เซียร่าและมีนาในชุดยาวงามเข้ารูปสีเปลือกไม้ที่ถูกคะยั้นคะยอให้ใส่ ถึงแม้เจ้าตัวจะรู้สึกทั้งกลัวและเกรงใจเจ้าของชุดตัวจริงอยู่มาก แต่ก็ไม่มีชุดอื่นให้เปลี่ยน

“ท่านหญิงเอสเมอรันดา” แม่เฒ่าพูดขึ้น ขณะทีืมีนายังคงจัดการกับอาหารเช้า จนกระทั่งเซียร่าเอาศอกกระทุ้งใส่

“ค่ะ!ฉันเหรอคะ”

“หลังจากอาหารเช้ามื้อนี้ ข้าต้องจากคฤหาสน์โอริลน์ไปชั่วคราว ฟรองค์จะรับหน้าที่รักษาการแทนข้า ส่วนท่าน...” โอริลน์เฒ่าหยุดพูดมองดูมีนาที่ชี้นิ้วใส่ตัวเองอย่างไม่แน่ใจ เซียร่าแอบหลุดเสียงหัวเราะออกมาแต่แล้วก็หน้าเจื่อนไป เมื่อมาทิลด้าหันไปมองด้วยสีหน้าเฉยชา

“ท่านย้ายมาอยู่ที่นี่ในฐานะโอริลน์หญิง หน้าที่ของท่านก็คือเร่งฟื้นความสามารถและความทรงจำของตัวท่านเองให้กลับคืนมาโดยเร็วที่สุด ด้วยความช่วยเหลือจากโอริลน์หญิงและชายที่นี่ เพื่อพิสูจน์ให้ข้าเห็น ว่าท่านยังคงสามารถปฏิบัติงานให้กับราชวงศ์ได้”

ใจของมีนานึกค้านอยู่หลายเรื่อง แต่เธอก็เงียบไว้ เพราะถ้าไม่พยายามหาลู่ทางกลับบ้านจากที่นี่ แล้วจะให้เธอเร่ร่อนไปทางทิศทางใดกันเล่า ในเมืองที่ไม่มีแม้กระทั่งรถยนต์และโทรศัพท์แบบนี้ เธอนึกถึงป่าสนรกทึบด้านนอก...

“ช่วงเวลาหลังมื้อเช้าไปจนถึงมื้อเที่ยงของทุกวัน ท่านต้องใช้เวลาอยู่กับเซียร่าเพื่อฟื้นฟูความรู้ทางประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิ รวมทั้งของบรรดาโอริลน์คนสำคัญต่างๆในแผ่นดิน”

“แต่ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าบอกเล่าเรื่องไร้สาระแก่นสารให้แก่นางล่ะก็ เจ้าจะโดนลงโทษ เข้าใจดีนะเซียร่า" หญิงชราหันไปเอ่ยต่อเซียร่าที่รวบส้อมและมีดเข้าด้วยกันวางไว้ที่มุมจาน

“หลังจากมื้อเที่ยง ท่านหญิงจะต้องไปพบกับฟรองค์ เพื่อเรียนรู้วิชาแขนงต่างๆที่จำเป็นจนกระทั่งตะวันลับฟ้า จะเป็นแบบนี้ทุกวัน จนกระทั่งวันที่เจ็ดของสัปดาห์ที่ท่านจะได้พัก”

“แต่ฉันไม่เห็นนาฬิกาสักเรือนเลยค่ะ จะดูเวลาจากที่ไหนได้กัน” มีนาถามก็เพราะไม่ได้ยินเสียงระฆังบอกเวลาดังเช่นตอนอยู่บ้านของสิฮาน

“มีสิ นาฬิกาแดดอันใหญ่อยู่ที่สวน มองออกไปทางหน้าต่างก็เห็นแล้ว” เซียร่าส่งเสียงกระซิบกระซาบ

หญิงสาวตอบตกลงแต่ยังคงข้องใจ ว่าถ้าเกิดความทรงจำที่ว่า ไม่มีวันกลับคืนมาเลยเล่า เธอจะได้รับการปฏิบัติจากผู้คนเหล่านี้ยังไง

เช้านั้นเซียร่าเดินนำมีนามายังห้องสมุด ซึ่งอยู่ทางปีกซ้ายของตัวคฤหาสน์ใบหน้างามอ่อนบางปรากฏรอยยิ้มกว้างขึ้นเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เดินทางมาถึง

“โอ้โห! เป็นห้องสมุดสาธารณะในเมืองเล็กๆได้เลย”แต่เซียร่ายักไหล่ “ไม่ใช่ห้องสมุดสาธารณะหรอก อนุญาตให้เฉพาะกับโอริลน์ พวกราชวงศ์และบรรดาอาคันตุกะเท่านั้น”

ในห้องโถงทรงแปดเหลี่ยมขนาดใหญ่ มีนามองสำรวจตู้หนังสือรอบตัว ที่ต่างบรรจุหนังสือจำนวนมากจัดเรียงเอาไว้อย่างเป็นระเบียบก่อนจะแหงนหน้าดูบันไดที่ใช้เดินขึ้นไปชั้นลอย ซึ่งมีตู้หนังสือตั้งเรียงรายชิดผนังไปโดยรอบ

“ทางนี้” เซียร่าดึงข้อมือเธอเบาๆ สาวร่างสูงโปร่งพาเธอเดินไปยังด้านหลังสุดของห้องสมุด ซึ่งมีบันไดวนลงไปสู่ด้านล่างที่ดูอับแสง

“ในนี้น่ะเหรอ!?"

“ใช่ หนังสือประวัติศาสตร์อยู่ในชั้นใต้ดินของห้องสมุดนี่ล่ะ เวลาพวกอาคันตุกะมา ช่องนี้ก็จะถูกปิด” เซียร่าเอ่ยอย่างกึ่งรำคาญ ก่อนจะควักมือเรียกเชิงเทียนทองเหลือง ที่ลอยมาให้ถือไว้ในมืออย่างรวดเร็ว แล้วจึงจุดไฟด้วยไม้ขีดที่พกมาด้วย

“เธอทำแบบนั้นได้ยังไงกัน!” มีนาร้อง

“ก็บอกแล้วเมื่อคืนวาน ข้ามีพลังจิตที่สามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของได้ ส่วนท่านแม่เฒ่าสามารถบังคับหรือชักจูงใจคนได้ ส่วนฟรองค์นั้นมีสัญชาติญาณการเอาตัวรอดของสัตว์ป่า”

“แล้วพวกอาคันตุกะล่ะคือใครกัน?”

“ก็พวกชาวออสโธปายังไงล่ะ อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าในวันแห่งการนัดหมาย เจ้าก็จะได้เจอพวกนั้น ท่านแม่เฒ่าออกเดินทางเพื่อไปรับเจ้าหญิงอเลนเธียร์มาที่นี่ ก็เพื่อการนี้” เซียร่าพูดพลางดึงแขนมีนาให้เดินลงมาด้านล่างด้วยกัน บันไดวนม้วนตัวลงไปสู่ห้องสี่เหลี่ยมที่ผนังทุกด้านถูกสร้างให้เป็นชั้นบรรจุหนังสือสูงจรดเพดาน แต่ตรงกลางห้องมีวัตถุบางอย่างที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีในกล่องแก้วทรงสูง

“นาฬิกา!!” มีนาร้องราวกับเห็นของประหลาด เธอเดินเข้าไปใกล้หวังจะมองดูมันให้เต็มตา สิ่งนั้นดูไม่ผิดปกติอะไรไปจากนาฬิกาตั้งโชว์เรือนหรูแบบโบราณ ซึ่งมีกรอบเป็นไม้สลักสีเข้ม นอกเสียว่ามันจะหยุดเดินอยู่ที่ เวลา 12:08

“นาฬิกาตาย”เสียงเธอผิดหวัง

“ใช่ มันคือเครื่องเตือนใจ ให้พวกเราได้ระลึกถึง “สงครามการรุกรานของชาวออสโธปา” หรือที่พวกนั้นเรียกกันว่า “รุ่งอรุณแห่งมรณะ” เพราะว่าต้องพ่ายแพ้แก่สงครามและยอมถอยร่นกลับไป ในที่สุดก็ยอมเจราสร้างสนธิสัญญาระหว่างทั้งสองดินแดนขึ้นมา ดังนั้นในทุกๆปีออสโธปาจะต้องส่งบุคคลที่มีความสำคัญมาพร้อมกับเครื่องบรรณาการ เพื่อเป็นการแสดงความเสียใจต่อสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสมัยก่อน”

“เดี๋ยวก่อนนะ!?ใครรบกับใคร ที่ประเทศไหนกัน” มีนาหันกลับมามองดูเซียร่า ที่ยืนนิ่งถือเชิงเทียนส่องแสงสว่างอยู่ในมือ

“ประเทศ?สงครามระหว่างจักรวรรดิโรเธียนและอาณาจักรออสโธปายังไงล่ะ เกิดขึ้นเมื่อเจ็ดสิบปีที่แล้ว มันเกิดขึ้นบนแผ่นดินนี้ ที่เจ้ากำลังยืนอยู่นี่ล่ะ สงครามครั้งนั้นก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทำให้สิ่งประดิษฐ์ที่มีความซับซ้อนตั้งแต่นาฬิกาขึ้นไปในจักรวรรดิ หยุดทำงานลงทั้งหมดภายในคืนเดียว ในเวลานั้น...” เซียร่าที่มีสีหน้าเคร่งขรึมพยักหน้าไปยังนาฬิกาตาย

“ไม่จริง!!แล้วทำไมฉันไม่เคยรู้ข่าว ไม่เคยรู้จักชื่อเมืองแบบนี้มาก่อน” มีนาค้านเสียงแข็ง ทำเอาโอริลน์สาวถอนใจยาว

“ในโลกนี้ มีแผ่นดินทั้งหมดอยู่ 12 ส่วน จำนวน 4 ส่วนอยู่ใต้เขตแดนของจักรวรรดิโรเธียน 1 ส่วนเป็นของชาวออสโธปา อีก 7 ส่วนที่เหลือเป็นดินแดนไร้อารยะและที่รกร้างว่างเปล่า” เซียร่าเอ่ยอย่างราบเรียบแต่เลื่อนไหลราวกับท่องจำมาตั้งแต่ยังอ้อนยังอ่อน

“เริ่มต้นตั้งแต่ 1127 ปีที่แล้ว ในยุคโลกใหม่ ที่นครทัสโลนถูกสถาปนาขึ้น โดยมารดาของเหล่าบรรดาโอริลน์ทั้งปวงในโลกใบนี้ ที่ทุกวันนี้เรายังคงใช้ชื่อจักรวรรดิตามชื่อของนางว่า “โรเธียน” ส่วนพี่ชายของนาง “จอมพลอเลสเตอร์” หรือ “ผู้ถูกขับไล่” ได้สถาปนากรุงออสทรอนขึ้นมาราวสามร้อยปีให้หลัง และมันก็ได้กลายมาเป็นนครหลวงของอาณาจักรออสโธปามาจนถึงทุกวันนี้...เอาล่ะ ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังเกี่ยวกับสงคราม...” เซียร่าหยุด เมื่อเห็นอีกฝ่ายเซไปเกาะกรอบกระจกกลางห้อง

“หนักไปเหรอ!? ถ้าอย่างนั้น เปลี่ยนเป็นเริ่มที่รายชื่อราชวงศ์ของชาวโรเธรียน และระบบการปกครองในปัจจุบัน...” เซียร่าพูดก่อนจะควักมือ เรียกเอาหนังสือเล่มหนึ่งจากชั้นบนสุดของตู้ให้ลอยลงมาอยู่ในมือ

“ไม่จริง!! คุณพูดอะไรกัน ฉันมาจากเมืองที่นาฬิกาหรือไฟฟ้าก็ยังใช้งานได้ สิ่งที่คุณพูดถึง! พวกคุณเล่นตลกอะไรกันนี่” ถึงปากจะบอกว่าไม่เชื่อแต่หญิงสาวก็เริ่มเกิดอาการวิงเวียนขึ้นมา ราวกับว่าห้องสมุดนั้นเริ่มหมุนไปรอบๆตัว ใบหน้าของเซียร่าก็เริ่มมีหลายหน้าซ้อนกัน เธอใช้มือทั้งคู่เกาะยึดเอาตู้กระจกไว้แน่น

ก่อนที่มีนาจะพรั่งพรูเล่าถึงบ้านเกิดที่ตัวเองจากมา โดยไม่กลัวอีกต่อไปว่าจะถูกกล่าวหาว่าเป็นบ้าหรือมาจากอีกฝั่งแผ่นดิน

เซียร่ายืนนิ่ง ฟังสิ่งที่อีกฝ่ายเล่าด้วยสีหน้ากังขา “ยุคที่ทั้งโลกสามารถสื่อสารกันด้วยสายทองแดงและเครื่องรับส่งสัญญาณอย่างนั้นเหรอ?” คราวนี้เธอเดินเข้าไปค้นดูที่ตู้หนังสือ ก่อนจะหยิบหนังสือเล่มเก่าเก็บขึ้นมาพลิกเปิด

“นั้นมันยุคโลกเก่าก่อนถึงวันพิพากษานี่! ท่านเอสเมอรันดา เมืองและอารยธรรมที่ท่านพูดถึงนั้น ล่มสลายไปมากกว่า 1300ปีมาแล้ว...นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่มีนาได้ยิน ก่อนที่สติจะดับวูบไป

เธอตื่นขึ้นมาเห็นฟรองค์กับเซียร่า กำลังยืนพูดคุยกันอยู่ที่ระเบียงนอกตัวห้อง พอขยับตัวเพียงเล็กน้อย ชายหนุ่มก็เดินปราดกลับเข้ามานั่งที่เก้าอี้ใกล้หัวเตียงทันที

“ท่านหญิง สิ่งที่ท่านเล่าให้เซียร่าฟังเกี่ยวกับโลกยุคเก่านั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ข้าอยากจะขอให้ท่านเล่ามันให้ข้าฟังจากปากของท่านอีกครั้ง” ฟรองค์มองดูหญิงสาวที่ส่ายหน้าปฏิเสธทั้งดวงตาเหม่อลอย

“เกิดอะไรขึ้นในวันนั้นค่ะ วันพิพากษา เกิดอะไรขึ้น...” เธอเอ่ยอย่างบางเบา

“ไม่มีใครรู้แน่ชัดแต่ด้วยบันทึกที่หลงเหลือมา เพียงแต่บอกให้รู้ว่ามีแสงไฟจ้าปรากฏขึ้นจากเหนือฟากฟ้า หลังจากนั้นหลายดินแดนบนพื้นโลกก็ถูกทำลายล้างไปในชั่วพริบตาเดียว”

“นิวเคลียร์...” มีนาเอ่ยถึงสิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นมาในหัว

“ทุกวันนี้เราก็ยังไม่พบกับคำตอบ ว่าเป็นระเบิดปรมาณูที่ถูกยิงขึ้นจากส่วนหนึ่งส่วนใดของโลก หรือว่าจากนอกโลก แต่วันนั้นถูกถือว่าเป็นความประสงค์ที่จะชำระล้างโลกของเฮราห์ เพราะในยุคสุดท้ายของโลกเก่าเป็นยุคแห่งความบาปและความดิ้นรนยากเข็ญของวิญญาณมนุษย์ หลังจากระบบเก่าถูกทำลาย ระบบเศรษฐกิจล่มสลาย เกิดการรบพุ่งระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง เพื่อแย่งชิงอาหาร เพื่อความเชื่อและเพื่อเขตแดนอีกเกือบ 200 ปี จนกระทั่งลูกๆของเฮราห์กลับมา เพื่อเป็นกษัตริย์ สร้างนครเอกแห่งวิญญาณของมนุษย์ขึ้นบนโลก” ฟรองค์กล่าวจบก็รินน้ำใส่แก้วยื่นให้เธอ ทว่ามีนาไม่มีทีท่ารับรู้เลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มจึงต้องนำมันกลับไปวางคืนที่เดิม

“เฮราห์.. คือใครกันคะ”

“คือเชื้อสายต้นตระกูลของมนุษย์ทั้งหมดขอรับ ท่านหญิงเอสเมอรันดา”

หญิงสาวจากโลกเก่าใช้ชีวิตอยู่ในคฤหาสน์โอริลน์ กระทั่งใบไม้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและในที่สุดก็เริ่มผลัดใบร่วงหล่นลงสู่พื้น วันนั้นโอริลน์เฒ่าเดินทางกลับมาถึงพร้อมกับเจ้าหญิงอเลนเธียร์ และโอริลน์ชายร่างกายใหญ่โตกว่าผู้ชายทั่วไปถึงสองเท่านามว่า “เทรสเท่น” ซึ่งเป็นองครักษ์ประจำตัวของเจ้าหญิงน้อยวัย 16 ปี พร้อมด้วยกองกำลังทหารขนาดเล็กที่ตั้งแค้มป์ไฟรอเฝ้าอารักขาเธออยู่ในป่าสน ตัวอเลนเธียร์เองนั้นเป็นสาวน้อยเปราะบางที่ดูสวยโศก ทั้งขี้อายและอ่อนหวาน มีเส้นผมหยิกเป็นลอนงามราวกับเกลียวไหมสีทอง

มีนาอยู่ในชุดสีแชมเปญปักตกแต่งด้วยดิ้นสีทองคำ คอเสื้อกว้างเผยให้เห็นเนินบ่านวลเนียน ชุดบนเรือนร่างงามยิ่งขับให้เจ้าของใบหน้าสวยผาดเปลี่ยนเป็นความงามหยาดฟ้ามาดิน ที่แม้แต่มาทิลด้าก็อดพึงพอใจในความเปลี่ยนแปลงที่เห็นในตัวเธอไม่ได้

ร่างบางออกมาเดินทอดอารมณ์อยู่ที่สวนป่าด้านหลังคฤหาสน์ มันเป็นส่วนกั้นกลางระหว่างตัวอาคารและภูเขาด้านหลัง ใช้เวลาครุ่นคิดตามลำพังเกี่ยวกับสถานที่นี้ และชีวิตของเธอที่นี่

ยังไงเสีย ทั้งเซียร่าและฟรองค์ก็ไม่ได้โหดร้ายต่อเธออย่างที่ผู้เป็นบิดาของอาเมียร์สั่งสอนบุตรชายเอาไว้ หลายเดือนก่อน ตอนที่เธอรู้ความจริงที่ยากจะรับได้เข้าก็ล้มหมอนนอนเสื่อ จึงทำให้เซียร่าต้องคอยเข้ามาช่วยดูแล แต่เจ้าหล่อนก็ไม่ละทิ้งหน้าที่เพราะก็ยังถือหนังสือประวัติศาสตร์มาอ่านให้เธอฟังถึงข้างเตียง หลังจากเริ่มปรับตัวได้ ฟรองค์จึงมารับหน้าที่ช่วงบ่าย สอนให้เธอขี่ม้า และวิธีเอาตัวรอดจากสถานการณ์ฉุกเฉินรูปแบบต่างๆ ซึ่งฝากรอยเขียวช้ำให้อยู่บ่อยครั้ง หรือแม้แต่วิธีสร้างความแข็งแกร่งให้กับจิตใจ เพราะโอริลน์ชายเล็งเห็น ว่านั้นคือสิ่งที่เธอจำเป็นจะต้องใช้มัน

“มีแต่ท่านเท่านั้นที่มีอำนาจอยู่เหนือจิตใจของตัวท่านเอง ไม่ใช่สถานการณ์ด้านนอก ไม่ใช่ศัตรู เมื่อท่านหญิงเข้าใจในสิ่งที่ข้าพูดถึง จึงจะเรียกได้ว่าท่านเองมีหัวใจที่แข็งแกร่ง ซึ่งมันเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องมี ในการอาศัยอยู่บนโลกใบนี้” ฟรองค์เอ่ยต่อเธอ

ในความรู้สึกของมีนา ชายหนุ่มผู้นี้ได้กลายมาเป็นครูของเธออย่างแท้จริง...

เมื่อเช้าเซียร่ายังย้ำเตือนเธอเกี่ยวกับเรื่องมารยาท เมื่อเข้าพบกับพวกคนในราชวงศ์ “แม่ของเจ้าหญิงอเลนเธียร์เคยเป็นโอริลน์ประจำอยู่ที่นี่ ในช่วงเวลาเดียวกันกับเจ้าสมัยก่อน เช่นเดียวกันกับองค์ราชาฟรานซิส เพราะฉะนั้นเจ้าควรจะเอ่ยฝากทักทาย ถึงอดีตองค์ราชินีและองค์ราชาด้วย” โอริลน์สาวซึ่งอยู่ในชุดงามหรูเป็นพิเศษแนะนำ

“อดีตองค์ราชินี ?แล้วตอนนี้แม่ของเจ้าหญิงไม่ใช่องค์ราชินีเหรอ”

“มินิอาโดนถอดยศศักดิ์ เพราะว่านางให้กำเนิดบุตรสาวคนนี้นี่แหละ เพราะตามปกติแล้วเมื่อพ่อแม่ซึ่งต่างก็เป็นโอริลน์ให้กำเนิดทายาท มักจะเป็นทายาทที่เกิดมาเพื่อเป็นยอดโอริลน์โดยเฉพาะ แต่กับกรณีของอเลนเทียร์ นางกลับป่วยเซาะแซะตั้งแต่ยังเล็กและไร้ซึ่งความสามารถพิเศษใดๆ”

“โหดร้าย!” มีนาตำหนิ

“เป็นเรื่องธรรมดา! องค์ราชาจะต้องมีทายาทซึ่งสามารถสืบทอดอำนาจของตระกูลต่อไปได้ ถ้าไม่อย่างนั้นอำนาจที่มีอยู่ก็จะถูกสั่นคลอน”โอริลน์สาวพยักเพยิดหน้า

“แล้วก็อย่าลืมนะ หน้าที่ของโอริลน์ก็คือ..” เซียร่าเว้นคำพูดไว้ให้มีนาตอบ

“รับใช้ราชวงศ์แห่งจักรวรรดิโรเธียน นี่ฉันจำได้แล้วน่าเซียร่า ไม่ใช่เด็กๆนะ” มีนาตอบส่งๆ เพราะไม่เข้าใจถึงความหมายนั้นอย่างแท้จริง ก็ถ้าเป็นเซียร่าหรือมาทิลด้าที่มีพลังจิต หรือฟรองค์ที่มีความสามารถรอบด้านก็ว่าไปอย่าง แล้วผู้หญิงธรรมดาๆอย่างเธอ จะไปทำงานอะไรให้กับจักรวรรดิได้เล่า...

“ก็ใครจะรู้เล่า!ยิ่งเธอเป็นโรคความจำเสื่อมอยู่ไม่ใช่เหรอ” อีกฝ่ายย้อนเข้าให้

“แล้วก็อย่าลืมนะเอส! เจ้าห้ามเปิดเผยให้พวกอาคันตุกะรู้อย่างเด็ดขาด ว่าเจ้านั้นสูญเสียความทรงจำและพลังจิตไป นี่คือสิ่งที่แม่เฒ่าคาดโทษเอาไว้ทั้งสำหรับตัวเจ้าและข้า ถึงแม้จะมีกฎไม่ให้โอริลน์นั้นพูดเท็จ แต่เจ้าจะต้องใช้วิธีไม่ตอบหรือเลี่ยงไปเรื่องอื่นแทนเข้าใจไหม” สาวร่างสูงโปร่งเอ่ยย้ำเรื่องนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่มีนาเองก็จำไม่ได้ เธอพยักหน้าให้แทนคำว่าตกลง

คิดไปพลางออกเดินไปเรื่อยๆ จากสวนป่าออกมาจนถึงชายหาดที่ทอดตัวยาวอยู่ด้านหน้าของอาคารหลังงาม กระแสลมจากทะเลพัดเอาเส้นผมยาวสีเข้มให้สะบัดตีไปมาบนนวลแก้มขาวผ่อง เธอยกท่อนแขนขึ้นมากอดอกไว้ เพราะความหนาวเย็นที่คืบคลานเข้ามา หากแต่ร่างบางกลับอดกลั้นยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ปล่อยใจให้ลอยไปตกอยู่ในที่แสนไกล

ถ้าโลกใบเก่าของฉันได้ตายลงไปแล้ว รวมถึงผู้คนที่ฉันเคยได้รู้จักพูดคุยต่างก็ลาจากกันไปจนหมดสิ้น แม้กระทั่งคนรักที่เคยหมายหมั้นจะฝากชีวิตไว้ด้วยกัน ก็มาด่วนจากไป แล้วฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อสิ่งใดกัน ในโลกใบนี้ที่ไม่ได้เป็นของฉันและท่ามกลางผู้คนเหล่านี้ที่คล้ายเป็นเพียงคนแปลกหน้า ทั้งชีวิตที่ปราศจากความรักจะต่างอะไรกันเล่ากับแก้วน้ำที่ไม่เคยได้ใช้บรรจุน้ำเลยสักครั้ง เธอถอนใจด้วยความหดหู่ ก่อนจะหมุนร่างเพื่อจะเดินกลับ

แต่แล้วก็ต้องหยุดกึกยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเองไว้

ภาพร่างสูงของอดีตชายคู่หมั้น เขากำลังเดินจากชายหาดเข้าไปบริเวณคฤหาสน์โอริลน์แห่งเมืองทิสก้า

“เป็นไปไม่ได้!!” มีนาหลุดคำพูดนั้นออกมา ก่อนจะออกวิ่ง

พอเข้ามาในห้องโถงก็พบ “รีส” สาวรับใช้ร่างเล็กซึ่งกำลังจัดเตรียมห้องโถงให้พร้อมสำหรับมื้อค่ำในอีกราวชั่วโมงข้างหน้า

“เธอเห็นผู้ชายที่เพิ่งจะเข้ามาเมื่อกี้หรือเปล่า!?” มีนาส่งเสียงร้อนรน

“ไม่มีเจ้าค่ะ ข้าเดินเข้าเดินออกจากครัวอยู่ตลอดเวลา ก็ไม่เห็นมีใครนี่เจ้าค่ะ” รีสตอบอย่างแปลกใจ

ดังนั้นเธอจึงรีบวิ่งไปสำรวจทุกซอกมุมในห้องโถงราวกับคนเสียสติ เปิดดูแม้กระทั่งหลังผ้าม่าน แต่ก็ไม่พบอะไร ฉันไม่ได้ตาผาดไปแน่ๆ เขาเพิ่งจะเดินเข้ามาก่อนหน้าฉันไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ

รีสที่กำลังทำงานอยู่ลอบมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ พอตั้งสติได้หญิงสาวก็หยุดยืนนิ่ง เขาจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน น้ำตาอุ่นๆเอ่อขึ้นมาเมื่อไม่สามารถข่มใจให้ลืมคนรักเก่าได้ลง มีนายืนพิงผืนผ้าม่านห้องโถงอยู่แบบนั้น ก่อนจะฝืนใจเดินขึ้นบันไดที่ทอดตัวยาวขึ้นสู่ชั้นสอง

ตอนนั้นเอง ที่เธอได้ยินเสียงซุบซิบล่องลอยมาจากทางชานบันไดฝั่งขวา หญิงสาวออกวิ่งไปตามผืนพรมสีเลือดนกทันที บนผนังกรุไม้ข้างทางเดินที่แขวนภาพตกแต่งไว้เป็นระยะๆ บ้างเป็นรูปภาพธรรมชาติ แต่ส่วนใหญ่เป็นภาพวาดของผู้พักอาศัยคนเก่าก่อน บางรูปเป็นสาวสวย บางรูปก็เป็นชายแก่ท่าทางเจ้าอารมณ์ แต่รูปหลังๆกลับดูน่าขนลุกอย่างประหลาด แต่ละภาพจดจ้องมาที่เธอราวกับจะตำหนิติเตียน ต้นตอของเสียงนั้นอยู่สุดปลายทางเดินที่มีบันไดพาลงลึกไปสู่ด้านล่างอันมีมวลอากาศมีกลิ่นอายแปลกๆลอยวนอยู่

นี่ถ้ามาทิลด้ามาเห็นเข้าจะโกรธขนาดไหนกัน เพราะมีคำสั่งห้ามเอาไว้ ไม่ให้เดินสะเปะสะปะเข้าไปในส่วนที่ไม่ได้รับอนุญาต

แต่ฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่า "เขา" อยู่ที่นี่หรือเปล่า ในที่สุดร่างบางก็พบกับบานประตูคู่มหึมาที่มาของเสียงนั่น เธอเอาหูแนบกับมันหวังจะได้ยินต้นตอของเสียงลึกลับ แต่ฉับพลันบานประตูก็ดีดตัวเปิดออกอย่างแรงราวกับต้องลมพายุ มีนาที่เอาใบหน้าแนบอยู่กับแผ่นไม้จึงหน้าคะมำลงไปอยู่ในท่าคลานเข่าอย่างน่าเวทนา

“ท่านเอสเมอรันด้า” เสียงแม่เฒ่าดังขึ้นก่อนจะถอนใจเฮือกใหญ่ ขณะที่ชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนอยู่อีกด้าน รีบเดินตรงเข้ามาหาเธอ เขาอยู่ที่นี่จริงๆ!หญิงสาวจากโลกเก่าจ้องมองร่างนั้นด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยม แต่ชั่วอึกใจต่อมาก็ต้องพบกับความผิดหวัง ชายหนุ่มคนนั้นใบหน้าหล่อละอ่อน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนทอประกายอยู่ใต้คิ้วหนา จมูกโด่งสูงรับกับริมฝีปากรูปกระจับแบบบาง เป็นเขานั่นเองที่เพียงรูปร่างคล้ายกับอดีตคนรักของเธอ

“ท่านหญิง” ชายแปลกหน้ายื่นท่อนแขนออกมาให้กับมีนาที่ก้มหน้าลงนิ่ง พอเขาเห็นหญิงสาวนั่งกองอยู่กับพื้นอย่างไม่มีทีท่าจะยอมลุก ก็เลยเป็นฝ่ายใช้มือเข้ามาฉุดเอาต้นแขนบอบบางนั้นขึ้น มีนาเงยหน้ามองเขาด้วยความแปลกใจเพราะแม้จะไม่เคยพบกันมาก่อน แต่สัมผัสนั้น กลับนำเอาความรู้สึกอบอุ่นอันคุ้นเคยกลับมาสู่หัวใจของเธออย่างน่าประหลาด

“ท่านหญิงเอสเมอรันดา ยอดโอริลน์หญิงในอดีต” ด้วยเหตุผลบางอย่างแม่เฒ่ากล่าวคำว่า "อดีต" ด้วยเสียงที่ดังเป็นพิเศษ ชายหนุ่มโค้งให้เธอเพียงเล็กน้อยก่อนจะเดินหายไปโดยไม่มีการแนะนำตัวกลับแต่อย่างใด มีนาจ้องมองตามหลังเขาจนร่างนั้นลับไป

“ทำไมท่านถึงมาที่นี่ตอนนี้กัน? ข้าก็เคยห้ามปรามไว้แล้ว ไม่ให้เดินเข้าห้องที่ไม่มีกิจจำเป็น”

“ขอโทษค่ะ ฉันได้ยินเสียงพูดคุยก็เลยเดินตามมาดูเท่านั้นเอง”

“เสียง? ” มาทิลด้าเอ่ย ก่อนจะหันไปมองฐานหินสลักขนาดใหญ่ใจกลางห้อง ซึ่งเมื่อเธอมองตามขึ้นไป ก็พบว่าเหนือฐานหินนั้นคือรูปสลักสตรี ซึ่งยืนเอี้ยวตัวอยู่ในชุดผ้ากรุยกรายทิ้งชายผ้าลงมาเป็นคลื่นหินดูสวยงาม ทั้งรูปสลักนั้นสร้างจากหินสีขาวพิสุทธิ์ขนาดใหญ่เพียงก้อนเดียว วงหน้านั้นดูงามอิ่มเอิบ เต็มไปด้วยเมตตาแห่งความเป็นมารดา

“เทพธิดาแห่งโรเธียน องค์เทพอุปถัมภ์ของเหล่าบรรดาโอริลน์ในจักรวรรดินี้ และผู้ให้การกำเนิดแก่นครทัสโลน นครเอกแห่งจักรวรรดิโรเธียน” มาทิลด้าเอ่ยเรียบๆ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา