ปิ่นเกล้า

-

เขียนโดย hidden_agenda

วันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 10.49 น.

  4 ตอน
  0 วิจารณ์
  5,579 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2558 11.44 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) ฆาตกรรมอำพราง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“อวสานร้านนวดแผนไทยบังหน้า ตรวจสอบพบสารเสพติดอื้อ…”

“เช้านี้เวลา 5.35 น. เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้ที่ร้านนวดแผนไทยดังกล่าว…”

“ขณะนี้ทีมดับเพลิงและเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถควบคุมสถานการณ์เพลิงไหม้ไว้ได้แล้วและได้ทำการอพยพประชาชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงออกไปเพราะอาจได้รับผลกระทบจากควันสารเสพติดที่ถูกเผาไหม้…”

“สถานที่เกิดเหตุเป็นอาคารสองชั้น ไฟได้ไหม้ทำลายชั้นบนหมดเหลือแต่โครงพังทลายลงมา เมื่อเจ้าหน้าที่พังประตูเข้าไปก็พบศพเจ้าของร้านเสียชีวิตอยู่ภายในอาคารชั้นล่าง ต่อมาทราบชื่อว่า นางอัจฉรา อายุ 46 ปี สภาพศพมีเลือดไหลออกจากปากและจมูก น้ำลายฟูมปาก ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ สันนิษฐานว่าเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจและได้รับสารเสพติดเกินขนาดจากการเผาไหม้ นอกจากนี้ยังพบสารเสพติดจำนวนมากหลายประเภทเก็บไว้ในร้านซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เข้ายึดไว้และจะทำการสืบสวนต่อไป…”

“แค่กๆ!”

นนท์ชักมือที่กำลังสัมผัสหน้าจอเลื่อนดูข่าวประจำวันขึ้นมาปิดปากที่ครอบไว้ด้วยหน้ากากอนามัยอีกชั้น

“ฮัดเช่ย!”

เขาจามเสียงดังจนเพื่อนร่วมคลาสต่างชั้นปีสองคนที่นั่งอยู่แถวหน้าเขาสะดุ้งเล็กน้อยแล้วหันมามอง นนท์ได้แต่ยิ้มเขินๆผ่านมาสก์ ทุกคนแม้จะไม่เห็นแม้รอยหรือเงาริมฝีปากเขาก็สามารถรู้ได้ว่าเขายิ้มผ่านนัยน์ตาที่มีความสามารถพิเศษได้คู่นั้น คู่ที่เขามีติดตัวมาแต่กำเนิด แต่เขาไม่อาจยิ้มได้นานเพราะเขารู้สึกเพลียเหลือเกิน อากาศเปลี่ยนแปลง ถึงแม้ภายนอกนนท์จะดูเป็นคนแข็งแรงแต่ด้วยความที่เขาพักผ่อนน้อยและนอนผิดเวลาติดต่อกันหลายวัน ร่างกายเขาก็อ่อนแอจนภูมิคุ้มกันมิอาจทำงานได้เต็มที่ และนี่คือผลลัพธ์ของมัน นนท์หยิบทิชชู่หนึ่งแผ่นขึ้นมาสอดเข้าไปใต้หน้ากากแล้วสั่งน้ำมูกเบาๆเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครสะดุ้งเพราะเสียงของเขาอีก นนท์รูดซิปเสื้อกันหนาวให้คลุมคอแล้วเลื่อนฮู้ดมาคลุมหัว เขาไม่ลืมที่จะกินยาพาราเซตามอลที่พกมาด้วยหลังอาหารเช้าก่อนคาบเรียนจะเริ่ม

นนท์กดปุ่มบนคีย์บอร์ดเพื่อเปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุคที่standbyรออยู่ให้สว่างขึ้นแล้วเข้าโปรแกรมใช้งานเตรียมพร้อมสำหรับการพิมพ์จดคำบรรยาย เขาทำสิ่งเดียวกันที่คนอื่นๆเกือบ 30 คนในห้องตอนนี้กำลังก้มหน้าตาทำ นนท์เปิดหน้า Facebook เข้าเช็คข้อมูลข่าวสารประจำวันและดูว่ามีใครเข้ามาปฏิสัมพันธ์ของเขาผ่านช่องทางดังกล่าวหรือไม่ โชคดีที่เขานั่งอยู่แถวหลังสุดเพราะจะไม่มีใครจะเข้ามายุ่มย่ามโลกส่วนตัวใบเล็กๆหลังคีย์บอร์ดของเขา

“นนท์ วันนี้เราไม่เข้าคลาสนะ

ฝากบอกการบ้านด้วยถ้ามี

เจอกันพรุ่งนี้”

เขาอ่านข้อความแรกที่ส่งเข้ามาโดย ‘Pin Pimtha’ คู่ทำรายงานของเขานั่นเอง ดูท่าเหมือนทั้งคู่กำลังประสบชะตากรรมเดียวกัน เขานอนป่วยซมอยู่ที่หอมาสองสามวันแล้ว ถึงอาการจะดีขึ้นมาบ้าง แต่เขาก็ยังรู้สึกมึนๆ ไม่ค่อยมีสมาธิจะเรียน เขาเริ่มคิดทบทวนในใจว่าการตัดสินใจของตัวเองนั้นถูกต้องแล้วหรือไม่ที่เลือกลงวิชานอกคณะอย่าง ‘ทรัพย์สินทางปัญญา’ มีรุ่นพี่คนหนึ่งเคยบอกเขาว่าเป็นคลาสสำหรับนักศึกษาที่ไม่ได้เรียนคณะนิติศาสตร์ มีคะแนนเก็บช่วย และยังมีการสอบแบบเป็นปรนัยและอัตนัยผสมกันด้วย เหมือนจะง่ายสะดวกดายกว่าหลักสูตรปกติในสายตาของนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ แต่ภายหลังเขามาประจักษ์ว่าเนื้อหาของมันทั้งเยอะและยาก ไม่อ่าน ไม่เข้าใจ ก็คือไม่ได้

“โอเค วันนี้เราเข้า

ดูแลตัวเองดีๆนะ ปิ่น

หายไวๆด้วย J ”

               นนท์ขยับนิ้วก้อยสัมผัสปุ่ม enter แต่ก็ไม่ยอมกดลงไป นิ้วข้างนั้นสะกิดปุ่มอยู่เป็นเวลานานด้วยความลังเลแล้วเปลี่ยนอิริยาบถเป็นลูบไปลูบมา เขายกนิ้วก้อยออกไปพ้นจากปุ่มดังกล่าวก่อนนิ้วกลางและนิ้วนางจะขยับเข้ามาแทนที่ ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรมากเพราะนิ้วทั้งสองก็ยังคงอาการเดิม

               “โอเค วันนี้เราเข้า

ดูแลตัวเองดีๆละกัน

หายไวๆ”

นนท์ลบข้อความเดิมออกแล้วพิมพ์ใหม่ เขากดenterส่งไปแล้วลงท้ายด้วยสติ๊กเกอร์รูปมือlike

เขาถอนหายใจผ่านมาสก์ปิดหน้าต่างกล่องข้อความลงเข้าไปดูหน้าnews feed ต้องยอมรับว่า Facebook อาจเป็นแหล่งข่าวที่ทุกคนสามารถติดตามความเคลื่อนไหวประจำวันได้เร็วที่สุด เหตุการณ์ต่างๆแทบจะถูกรายงานแบบreal timeทั้งในรูปแบบข้อความ ภาพและวิดีโอ บางคนถึงกับใช้ข้อมูลที่ได้จาก Facebook เป็นแหล่งอ้างอิงข้อมูลซึ่งมีทั้งจริงและไม่จริง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ความจริงนั้นมีอยู่ว่า เรื่องราวต่างๆสามารถแพร่กระจายไขข่าวไปในวงกว้างภายในระยะเวลาอันแสนสั้นได้ด้วย Facebook

“พ่อแม่ร่ำไห้ใจสลาย นักศึกษาม.ดังใจแตกอัพยาดับ”

เพื่อนร่วมคลาสที่นั่งอยู่ข้างหน้าเขานี่เองpostข่าวขึ้นหน้าwallเมื่อห้านาทีที่ผ่านมา ด้วยคำบรรยายแสดงความรู้สึกสั้นๆ “ปลาเน่าตัวเดียว…”

“เจ้าหน้าที่เผย เบื้องหลังนักศึกษาลาเวนเดอร์อาจมีส่วนเอี่ยวค้ายา เตรียมสอบสวนพ่อแม่และผู้เกี่ยวข้องเพื่อขยายผลจับกุม”

นนท์เลื่อนลงมาเรื่อยๆ

“สุดสลดไอดอลนักศึกษา เครียดอัพยาดับอนาถ”

เขาไม่รู้ว่าทุกคนที่เขารู้จักในFacebookนั้นนัดหมายรวมหัวกันปั่นประเด็นนี้ให้เป็นข่าวหรือไม่ เพราะไม่ว่าเลื่อนลงไปลึกเท่าไหร่ก็เจอแต่ข่าวและภาพประกอบเดิมๆซ้ำๆ มีหลายคนโพสทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน

“ความจริงอีกด้านของ U-Idol ที่คุณก็รู้ว่าใครภายใต้หน้ากาก สวยใส เรียนดี กิจกรรมเลิศ”

“เคยกดติดตาม เห็นน้องเขาดังตั้งแต่ม.ปลายแระ ทำดีผักชีโรยหน้า”

“เรียนเก่งเพราะโดปนี่เองอ่ะแกรรรรรรรรรรรรรรรร”

“คือ… วิธีสร้างกระแสแบบอื่นก็มีปะ -.-”

“ข้างนอกสุกใส ข้างในเน่าหนอน”

“เด็กสมัยนี้ไม่ไหว พอไม่มีอะไรเป็นที่พึงพิงก็เข้าหายา ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าก็สอนเรื่องการยึดธรรมเป็นที่พึ่งมาก่อนเป็นพันๆปี และถ้ามันไม่ดีก็คงไม่อยู่มาถึงทุกวันนี้…”

“สงสัยเรียนตกเลยติดยาสร้างกระแส 555+”

“ภูมิใจเหรอวะ ได้ดีเพราะพี้ยา”

นนท์อ่านความคิดเห็นของแต่ละคนที่แสดงอย่างเผ็ดร้อน บางคนได้วิเคราะห์การกระทำของบุคคลในข่าวเป็นฉากๆทั้งในระดับเบื้องหลังและเบื้องลึกราวกับว่าเขานั้นแฝงตัวอยู่ในอากาศล่องล่อยไปได้ในทุกที่เพื่อติดตามเจ้าตัวอย่างใกล้ชิด สิ่งหนึ่งที่เขาสังเกตก็คือ ‘ไอดอลนักศึกษา’คนนั้นแม้จะเซนเซอร์หน้าและเข็มตรามหาวิทยาลัยไว้ แต่ก็ดูออกว่าเป็นนักศึกษาจากม.เขาเอง

บางทีเขาก็เริ่มสนใจเนื้อหาข่าวขึ้นมาเหมือนกัน มันต้องเป็นประเด็นใกล้ตัวที่ใหญ่มากแน่ๆ ไม่งั้นบรรดาfriendsในFacebookเขาคงไม่กระหน่ำแชร์กันขนาดนี้ แต่ด้วยพิษไข้ นนท์รู้สึกปวดตาเกินกว่าจะเพ่งตัวหนังสือเล็กๆเหล่านั้นได้ สุดท้ายเขาตัดสินใจกด refresh หน้า news feed

“แด่พวกออกตัวแรง กรุณาเบรคให้ทัน”

Post บนสุดขึ้นแสดงข้อความพร้อมเนื้อหาข่าว

“เตรียมเก็บเศษหน้าพรึ่บ ข่าวเก่าเล่าใหม่ 2ปีผ่านไป แต่คนไทยยังบ้าจี้”

“สักแต่ว่าแชร์ไป เรียกไลค์แต่ไม่ตรวจสอบ”

บรรดา post ด้านบนของ news feed แสดงข่าวเดียวกัน แต่ด้วยคนละเนื้อหาและอารมณ์วิจารณ์ มีให้เห็นไม่กี่postและแม้จะไม่พรรณาความอะไรมากแต่ก็สื่อความได้ชัดถ้อยชัดคำและตรงประเด็นพอที่จะดึงดูดให้คนอื่นๆเข้ามาอ่าน แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมและกระจายข่าวต่อไปได้มากในวงกว่างเช่นกัน นนท์เลื่อนลงมาเรื่อยๆ เขาพบว่าบางpostที่เขาเห็นก่อนหน้าที่มีคนกดlikeถึงหลักร้อยหลักพันนั้นถูกลบออกไปอย่างรวดเร็ว

“สวัสดีครับนักศึกษา!”

เสียงหนึ่งดังขึ้นหน้าห้อง เป็นเสียงก้องกังวานใสน่าฟังไม่แหลมและไม่ทุ้มจนเกินไป นนท์กดปุ่ม x ปิด Facebook ลงไปโดยไม่อ่านข้อความอะไรต่อ จากนั้นเขาปิดทุกโปรแกรมที่เปิดstandbyไว้แล้วกด sleep เพื่อพับปิดพักเครื่องวางไว้บนโต๊ะว่างอีกตัวข้างเขาแล้วหยิบสมุดกระดาษรายงานพร้อมปากกาขึ้นมาใช้แทน เก้าอี้ที่เขานั่งอยู่นั้น ดูเหมือนจะเป็นที่ประจำไปแล้ว ตั้งแต่นนท์ได้จับคู่ทำรายงานกับปิ่นไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เขากับปิ่นก็ติดต่อพูดคุยกันมากขึ้น ปิ่นกลายเป็นคนที่เขาสนทนาด้วยมากที่สุดในเซคแม้นนท์จะยังรู้สึกไม่ค่อยสนิทใจกับเธอ เพื่อนสองคนที่นั่งอยู่แถวด้านหน้าเขา เขาไม่เคยพูดอะไรด้วยมากไปกว่าคำว่า “หวัดดี” ต่างจากเพื่อนใหม่ในชั้นเรียนอื่นๆที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วยมากกว่านี้

ทุกครั้ง แถวที่เขานั่งกับปิ่นสองคนจะไม่มีคนอื่นมานั่งด้วยเลยซึ่งเขาก็เข้าใจได้ วันนี้จึงเป็นวันที่นนท์มีพื้นที่ส่วนตัวเต็มที่หลังห้อง

“สวัสดีครับ/ค่ะ” นักศึกษาทุกคนยกมือไหว้ ตอบรับเบาๆ อาจารย์หนุ่มค้อมศีรษะรับแล้วยิ้ม เขาเปิดวีดิทัศน์แนะนำตัวเอง

“ผมชื่อ ธนัตถ์ ปราชญ์ตระกูล นักศึกษาที่ไม่ได้มาจากคณะนิติศาสตร์อาจจะยังไม่รู้จักผม ผมได้ทุนไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จบสาขากฎหมายอาญามาครับ ผมเพิ่งกลับมาสอนที่นี่ได้ไม่ถึงสองเดือน วันนี้ผมได้ความไว้วางใจจากคณะให้มาทำให้พวกคุณสามารถเข้าใจเรื่องกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาได้ง่ายขึ้น โดยผมรับหน้าที่ต่อจากท่านอาจารย์ทิชากรที่บรรยายส่วนที่ 1 จบไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว”

อาจารย์หนุ่มเปลี่ยนหน้าslideประวัติตัวเองแล้วบรรยายเรื่องโครงสร้างเนื้อหาคร่าวๆ รอยยิ้มอันดูเป็นธรรมชาติและเปล่งประกายตามสไตล์นักเรียนนอกนั้น ทำเอานักศึกษาสาวหลายๆคนถึงกับเคลิ้ม จ้องมองแต่รอยยิ้มที่ยิ่งกว่ารอยยิ้มนั้น ไม่ได้ตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูด อันที่จริง หากธนัตถ์ อาจารย์หนุ่มผู้นี้จะแต่งเชิ้ตสีขาวกางเกงสแลคดำหรือใส่ชุดลำลองอยู่บ้านธรรมดามานั่งปะปนกับนักศึกษา เขาก็ย่อมกระทำได้อย่างแนบเนียน เขาเป็นอาจารย์หนุ่มที่ศึกษาจบด้วยอายุยังน้อย อาจเป็นเพราะว่าเขาดูแลตัวเองดี หนุ่มหน้าตี๋ทั่วไปอาจจะผิวขาวตรงสเปคใครหลายๆคน แต่ธนัตถ์นั้น ถึงไม่ใช่หนุ่มตี๋ที่หน้าตาดีที่สุด แต่ก็เป็นคนที่ดูดีมีเสน่ห์ที่สุด ณ ขณะนี้ อีกทั้งการแต่งกายดูภูมิฐาน เหมาะสมกับคุณสมบัติและรูปสมบัติย่อมบ่งบอกถึงทรัพย์สมบัติเขาได้เป็นอย่างดี

“สำหรับการบรรยายของผมนั้นอาจจะไม่ลงลึกมากถึงรายละเอียดหรือปรัชญาเบื้องหลังกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา แต่จะเป็นการเหวี่ยงแหแบบกว้างๆ ครอบคลุม แต่ให้ทุกคนเข้าใจข้อความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับตัวกฎหมายและการปรับใช้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการทำงานในอนาคต ส่วนpartของผมไม่มีทำรายงานกลุ่มหรือการบ้านแบบเดี่ยวเก็บคะแนนแบบท่านอาจารย์ทิชากรนะครับ สอบล้วนๆ”

ทุกคนในห้องทำหน้าเซ็ง

“แต่ผมมีคะแนน class participation ให้ 5 คะแนน โดยอาจจะเช็คแบบเรียกชื่อหรือการส่ง quiz”

นักศึกษาเริ่มมีความหวัง

อาจารย์หนุ่มเริ่มบรรยายเนื้อหา นนท์จดตามสิ่งที่เขาพูด สักพัก เขาเริ่มรู้สึกว่าไม่เพียงร่างกายเท่านั้นที่เป็นหวัด หากแต่เป็นลายมือเขาด้วยซึ่งแม้แต่ตัวเองตอนนี้ก็ยังสะดุดเวลาอ่าน เขารู้สึกหนาวเย็นยะเยือก เขาเอามือจับคอตัวเองก็พบว่าอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาใส่กางเกงขายาว เสื้อสองชั้นมีแจ็คเก็ตมิดชิดสวมฮู้ด ปิดหน้ากากอนามัย ไม่น่าจะทำให้รู้สึกหนาวขนาดนี้ได้ นนท์วางมือจากปากกาแล้วเปิดโปรแกรมอัดเสียงในโทรศัพท์แทน เขาปวดเมื่อยเนื้อตัวเกินกว่าจะนั่งจดต่อไป นนท์มองอาจารย์หนุ่มที่กำลังยืนบรรยายอยู่หน้าห้องอีกครั้ง เห็นภาพเขายังยิ้มแย้มแจ่มใสราวกับว่ารอยยิ้มนั่นสามารถสตัฟฟ์ไว้ได้ตลอดกาลแต่ดูมีชีวิตชีวา นัยน์ตาเป็นประกายอันบ่งบอกถึงความเป็นอาจารย์ผู้มีความมั่นใจและไฟแรงกำลังสะกดให้ดวงตาแต่ละคู่และความสนใจของนักศึกษามุ่งตรงมายังเขาทิศทางเดียว ภาพนั้นกำลังดูจางลงเรื่อยๆ เขารู้สึกเหมือนมีหมอกกำลังคืบคลานเข้าปกคลุมห้องช้าๆ ผนังห้องสีขาวสว่างบวกกับความรู้สึกหนาวสั่นเช่นนี้ชวนให้เขานึกภาพตัวเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ

นนท์แข็งใจลุกขึ้นนั่งตัวตรง เขาหยิบกระติกเก็บน้ำร้อนขึ้นมาเทดื่มไปหนึ่งแก้ว เอามือนวดขมับทั้งสองข้างแล้วสั่นศีรษะเพื่อเรียกสติ อาการเพลียจากไข้หวัดยังคงมีอยู่ แต่ความสะลึมสะลือหายไป เขากลอกตาไปรอบทิศขอห้องบรรยายอีกครั้งก็พบว่าหมอกหิมะที่เขาเห็นเมื่อชั่วครู่ไม่อยู่แล้ว เขาเห็นเพื่อนร่วมชั้นกำลังสนุกกับการบรรยายของอาจารย์ธนัตถ์ ทุกคนหัวเราะเฮฮาไม่หยุดราวกับมาดูรายการ standup comedy สด แต่เขากลับรู้สึกว่าไม่สามารถจับใจความสิ่งที่อาจารย์หนุ่มกำลังพูดได้เลย

“11.25 น.”

เขาเหลือบดูนาฬิกา อีกห้านาทีก็จะได้เวลาเบรค นนท์ยกโน้ตบุคกลับมาตั้งข้างหน้าเขาเหมือนเดิม เขาปลุกมันขึ้นมาใช้งานอีกครั้ง

ภาพภาพหนึ่งปรากฏขึ้นหน้าจอ…

เป็นภาพสาววัยไล่เลี่ยกับเขานอนแน่นิ่งกับพื้นในท่าทุรนทุราย ของที่ตั้งอยู่รอบๆร่างกระจัดกระจาย ตาของเธอสองข้างเหลือกขึ้นข้างบนไม่มีแวว เลือดไหลรินจากปากและจมูกลงสู่พื้นห้องกองเป็นหย่อมๆ ในมือยังมีวัตถุขนาดเล็กทรงกระบอกที่ด้านบนยังมีรอยไหม้ไฟติดอยู่ให้เห็น ผิวที่หมองคล้ำและบวมอืดกำลังบอกทุกคนที่จ้องมองดูภาพนี้ว่าเธอเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 24 ชั่วโมง

“เฮ้ย!”

เขาตบหน้าจอด้วยมือซ้ายปิดพับลงกับคีย์บอร์ดอย่างรวดเร็วและแรงจนเพื่อนๆและอาจารย์หันมามอง

“มีอะไรหรือเปล่าครับนักศึกษา?”

ธนัตถ์ถาม นนท์พบตัวเองกำลังยกมือซ้ายขึ้นสูง เขาค่อยๆลดมือลงท่ามกลางสายตาเพื่อนร่วมเซคเล็กๆทุกคู่ที่จับจ้องมายังเขาอย่างงุนงงสงสัย

“ป… เปล่าครับ”

นนท์ตอบ เขาไม่รู้สึกหนาวอีกต่อไป ขณะนี้เขารู้สึกอุ่นร้อนทั่วสรรพางค์กายท่อนบน นนท์ถอดฮู้ดออก เหงื่อหยาดเหล็กหนึ่งหยดทิ้วตัวลงบนโต๊ะ

“นนท์ ”

“ครับ!”

นนท์ตอบรับทันทีที่ได้ยินชื่อ ตามองอาจารย์ธนัตถ์เจ้าของเสียงรอดูว่าเขาจะถามอะไรต่อ

“ผมเช็คชื่อก่อนเบรคน่ะ”

อาจารย์หนุ่มตอบ

“พิมฐา”

เขาเรียกชื่อต่อไป ในไม่กี่อึดใจ สายตาของทุกคนที่หันไปทางนนท์ก็เหนี่ยวนำสายตาอาจารย์หนุ่มไปทางเขาด้วย

“อ… เอ่อ… ไม่สบายครับ”

ธนัตถ์พยักหน้ารับ พลางขีดเขียนบางอย่างลงบนเอกสารตรงหน้า

“บอกเพื่อนคุณอาทิตย์หน้าส่งใบลาด้วยนะ”

สิ้นเสียงธนัตถ์ ไฟในห้องรวมทั้งเครื่องปรับอากาศก็ดับลง ไม่มีใครจะตระหนกต่อสถานการณ์เท่านนท์อีกแล้ว ธนัตถ์ไม่รอช้า เขาเดินไปเปิดประตูให้นักศึกษาเดินออกไปอย่างปลอดภัยก่อนจะตามช่างที่อยู่ห้องถัดไปไม่ไกลนักมาช่วยดูระบบไฟ นักศึกษาสาวคนหนึ่งเดินตามเขาไปติดๆ

นนท์หอบกระเป๋าเดินออกจากห้องอย่างรวดเร็ว เขาไม่รู้ว่าโรคหวัดกำลังเล่นตลกอะไรกับเขา แต่ที่แน่ๆ เขาไม่มีสมาธิจะนั่งเรียนอีกต่อไป การกลับไปพักผ่อนที่หออาจทำให้ระบบประสาทกลับมาทำงานเหมือนเดิม

“เช็คแล้วทุกอย่างปกติดีครับ อาจเป็นแค่ไฟตกชั่วคราว”

ไฟกลับมาติดเหมือนเดิม ช่างยิ้มกว้างให้อาจารย์หนุ่มก่อนจะเดินออกไป

“ขอบคุณครับ”

ธนัตถ์กล่าว เขาเดินไปเปิดคอมพิวเตอร์และเครื่องฉายวีดิทัศน์อีกครั้งก่อนจะเดินมาคุยกับกลุ่มนักศึกษาที่ยังคงอยู่ในห้องช่วงเบรค

“กรี๊ดดดดดดดดดดดด!”

สายตาหนึ่งในนักศึกษาที่นั่งอยู่ในห้องนั้นจับจ้องไปยังจอสกรีนหน้าห้องบรรยายที่กำลังฉายภาพจากไฟล์ ธนัตถ์หันตามไปดูจอสกรีน

รูปชายหนุ่มอายุประมาณสามสิบปีในสภาพที่นอนบนพื้นถนนเหมือนคนไม่กระดูก แขน เข่า ขาหักพับผิดรูปผิดทาง เลือดท่วมตัว ไม่มีใครจำหน้าเขาได้ และก็คงไม่มีใครอยากจำ เพราะทั้งศีรษะนั้นบู้บี้หาสภาพเดิมไม่ได้ รอบๆส่วนนี้ไม่เพียงแต่เลือดที่กองกระกายแต่ยังเจือด้วยสีครีมออกเหลืองนวลของมันสมอง

“ฆาตกรรมอำพราง”

คือหัวข้อที่เขียนไว้เหนือรูปภาพ

นักศึกษาสาวเอามือปิดหน้าให้พ้นจากความสยดสยอง ทุกคนต่างตกตะลึงกับภาพตรงหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธนัตถ์ มันเป็นslideของเขาเองที่เตรียมไว้สำหรับการสอนวิชานิติเวช แต่มันอยู่คนละfolderกัน

....................................................................................................................

“ชนัญญา วันนี้มีธุระอะไร?”

ธนัตถ์เอามือบีบนวดขมับและดวงตาลดอาการเกร็งจากการเคร่งเครียดมาทั้งวัน เขาปิดสวิตช์ไฟที่โต๊ะทำงาน วางมือจาก คีย์บอร์ดและเมาส์คอมพิวเตอร์ หมุนเก้าอี้กลับมาให้ความสนใจกับนักศึกษาสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา

“หนูไม่ใช่เด็กนิตินี่คะ วันนี้เหมือนอาจารย์พูดศัพท์เทคนิคเยอะ พอหนูไม่เข้าใจตั้งแต่ช่วงต้นๆก็ตามไม่ทันเลย หนูกลัวไม่จบสี่ปี”

“ทุกอย่างต้องใช้ความพยายามเพื่อให้ได้มา เรียนนิติปีแรก ผมจะบอกให้ คนอื่นบอกว่าตัวเองเกือบตาย แต่ผมนี่เกือบไทร์” เขาพูดติดตลก

“หนูพยายามแล้วค่ะอาจารย์ แต่ก็ตามไม่ทันจริงๆ วันนี้สไลด์แปลกๆอาจารย์น่ากลัวยังติดตาหนูอยู่เลย”

“เรื่องนั้นผมต้องขออภัยนักศึกษาด้วย เป็นเรื่องขัดข้องทางเทคนิก ส่วนเรื่องบทเรียน ผมว่าคุณควรอัดเทปคำบรรยายของผมในห้องเอาไปเปิดฟังแล้วเขียนสรุปอีกครั้งที่บ้านนะ ถ้ายังมีประเด็นที่ไม่เข้าใจจริงๆค่อยจดมาถามผม”

“หนูเคยทำอย่างที่อาจารย์พูดแล้วจริงๆนะคะ แต่พอเอามาอ่านเอง อ่านเท่าไหร่ก็ไม่เข้าหัว อาจารย์พอจะแนะนำเทคนิคให้เด็กนอกคณะอย่างหนูได้ไหมคะ” ธนัตถ์ถอนหายใจเบาๆ

“คุณชนัญญา ผมไม่เชื่อเลยนะว่าคุณจะทำไม่ได้ คุณก็ผ่านชีวิตมาห’ลัยมาแล้วตั้งสี่ปี เด็กนอกคณะผู้มากประสบการณ์และไวไฟ เอ๊ย! ไฟแรงอย่างคุณ ผมเห็นคุณลงของผมทุกวิชา คุณก็ฟังผมอย่างตั้งใจในห้องทุกวิชา” เขาพูดจบ นักศึกษาสาวทำตาหยาดเยิ้ม

“ก็อาจารย์สอนกว้างไป มันเยอะไปหมดจนหนูจับทางไม่ถูก”

“คุณก็รู้ ปกติผมสอนนักศึกษาในคณะมากกว่า ฉะนั้น เรื่องการสอนเหวี่ยงแหกว้างๆผมอาจไม่ถนัด เรื่องที่ผมทำได้ดีกว่าคงเป็นการ… ลงลึกๆเป็นรายบุคคล” อาจารย์หนุ่มทำหน้าเจ้าเล่ห์

“เหวี่ยงไม่เก่งก็หยอดแทนสิคะ” เธอตอบทันควันด้วยสายตาและน้ำเสียงโทนเดียวกัน อาจารย์หนุ่มพยักหน้า

“อย่างไรก็ดี ถึงที่ผ่านมาคุณจะเข้าผมทุกคาบ เข้าพบผมทุกเย็น แต่ถ้าคุณไม่ขยันให้มากกว่านี้ ผมคงให้คุณผ่านไม่ได้นะ ออม” ธนัตถ์ปลดเนคไทที่ผูกหลวมๆออก ปล่อยกระดุมที่ปกและแขนเสื้อเป็นอิสระ

“เกรดที่ผมให้คุณได้ อย่างมากก็แค่ B ส่วนจะเป็น + หรือ – นั้น ขึ้นอยู่กับความพยายามของคุณแล้วแหละ ยกเว้นเสียแต่ว่าคุณจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและ...ท่วงท่านอกเวลาเรียน”

ออมยกขาซ้ายขึ้นมานั่งไขว่ห้างสูง รอยผ่าของกระโปรงนักศึกษาทรงกระสอบยาวเผยให้เห็นน่องเรียวถึงโคนขาขาวช่วงล่างอันเกลี้ยงเกลา แม้ตลอดวันจะมีแดดแผดเผาเร่าร้อนเพียงใด ขาทั้งสองข้างอันน่าทะนุถนอมนี้ก็ได้รับการดูแลอย่างดีเยี่ยงไข่ในหินภายให้ร่มเงาผ้าฮานาโกะสีดำเบาใส่สบาย เธอสบตาธนัตถ์ แล้วก้มลงกดหน้าจอมือถือบนตัก

“หนูอยากได้แบบยกกำลัง”

ธนัตถ์เปิดดูข้อความในมือถือที่เพิ่งเข้าใหม่สดๆร้อนๆ

“หึหึ” เขาหัวเราะเบาๆ แล้วดึงสายตากลับไปที่ออมที่กำลังเอามือถือขึ้นมาวางบนโต๊ะหลังเสร็จภารกิจ ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ว่าฟีโรโมนมีกลิ่นอย่างไร แต่เธอกำลังสัมผัสได้ถึงมันเต็มๆ

ธนัตถ์ลุกขึ้นจากเก้าอี้หมุนช้าๆ เดินไปปิดไฟในห้องทำงาน สายตาทั้งคู่ยังจับจ้องกันและกันไม่กระพริบ เขาได้ยินเสียงเธอหายใจซื้ดซ้าด ธนัตถ์กำลูกบิดประตูทรงดอกบัวตูมตัดยอดไว้หลวมๆแล้วคลึงเคล้าไปมา ในขณะเดียวกันก็ใช้นิ้วกลางนวดเฟ้นยอดถันลูกบิดเข้าๆออกๆ

               “กึก!”

               เขากดยอดถันลูกบิดให้เข้าที่เป็นการล็อคห้อง พลันออมขนลุกซู่ชูชันมือเท้าเกร็งจิกเบาะเก้าอี้แน่น เธอคราง ลมหายใจอุ่นที่กำลังสาดรดต้นคอของเธออยู่อย่างช้าๆทำเอาโคนขาช่วงบนทั้งสองข้างของเธอถูไถกันไปมา

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา