บันทึกรักข้ามเวลา <ตีพิมพ์ สนพ.ปริ๊นเซส สถาพรบุ๊ค>

9.8

วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 17.20 น.

  20 บทที่
  3 วิจารณ์
  30.83K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559 04.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) อบอุ่นราวแสงอาทิตย์ เจิดจ้าดั่งดวงตะวัน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 2

อบอุ่นราวแสงอาทิตย์ เจิดจ้าดั่งดวงตะวัน

หัวใจข้าสั่นไหวไม่เป็นตัวเองแม้เพียงสักครั้ง ยามชิดใกล้บุรุษผู้นี้ ใจข้ากลับสะท้านเสียงดัง ราวมันทะลุออกจากอกได้ แต่ท่านกลับมีเพียงใบหน้านิ่งเฉยทั้งน้ำเสียงอ่อนโยนและสัมผัสแผ่วเบา มือท่านดั่งตะวันฉายแสง แต่หัวใจกลับเย็นยะเยือกราวน้ำแข็ง แต่ข้ายังคงไม่กลัวความหนาวเย็นนี้ อาจหาญยืนมือเข้าไปใกล้และสัมผัส โดยไม่รู้ว่าหากค้นพบความในใจนั้นแล้ว...ตัวข้าจะได้สิ่งใดตอบแทน

 

รอบข้างพลันวุ่นวาย เมื่อถนนว่างโล่งเมื่อครู่มีทัพม้าวิ่งเร็วจนฝุ่นตลบอยู่ข้างหน้า ฉันจึงสะกิดอะไรใจบางอย่างทันที หากคาดเดาไม่ผิดนี่ต้องเป็นขบวนเสด็จของใครสักคนแน่เพราะนอกจากจะมีทหารม้ายังมีนางกำนัลร่วมครึ่งสายตาเดินติดตามอยู่ แต่ฉันไม่อาจะประมาณฐานะคนผู้นั้นว่าสูงใหญ่เท่าไหร่จากสายตา เจ้าโจรมัวแต่หันหลังมองฉันจึงไม่ทันระวังม้าสองตัวที่นำหน้าขบวนมา ตอนนี้เพิ่งเข้าใจคำว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็ครั้งนี้ ทั้งฉันและเจ้าโจรเบิกตากว้างพร้อมกัน ร่างเจ้าโจรถูกเท้าม้าชนเข้าอย่างจังส่วนฉันได้แต่เอาสองมือขึ้นป้องหน้า หยุดฝีเท้าดังกึก

“ฮี่!!!”

เสียงม้าดังลั่นถนนเพราะตกใจกลัว บุรุษทั้งสองยื้อตัวม้าไว้แม่นยำ เท้าม้าจึงเพียงกระแทกเจ้าโจรล้มกลิ้งไปอีกทาง เลือดเจ้าโจรไหลเป็นจุดเพราะมีบาดแผลแต่ไม่อันตรายถึงชีวิต

ความกลัวทำให้ขาสั่น ร่างทั้งร่างอ่อนยวบไปกองกับพื้น เพราะอีกเพียงไม่กี่คืบคงโดนแรงกระแทกฝีเท้าม้าตามไปด้วย หากไม่เป็นเพราะชาติก่อนถูกรถชนจนความรู้สึกเจ็บยังชัดเจนราวเกิดขึ้นเมื่อหลายวินาทีก่อนฉันคงไม่กลัวมากขนาดนี้ สองมือกอดตัวเองแน่นจนทั่วร่างสั่นสะท้าน ก้มหน้านิ่งทั้งหัวใจเต้นโครม

“จับตัวเจ้าคนถ่อย!”

เสียงน่ายำเกรงเสียงหนึ่งออกคำสั่ง ดูเหมือนจะเป็นบุรุษตรงหน้าที่กำลังนั่งอยู่บนหลังม้าเขาตบสีข้างม้าเบาๆเพื่อปลอบมัน ตอนนี้รอบข้างวุ่นวายไปหมดแต่ไม่มีใครกล้าทำอะไรฉันแม้แต่คนเดียวอาจเป็นเพราะทุกคนเห็นฉันเป็นสตรีทั้งยังสวมชุดกระโปรงลายวิจิตรเกินหญิงชาวบ้านธรรมดา ชุดเสื้อผ้าในยุคนี้ล้วนบ่งบอกได้ตั้งแต่ฐานะ เงินทองในกระเป๋าจนถึงอำนาจความสำคัญในวังหลวงทั้งสิ้น หากคิดทำการสิ่งใดจึงต้องมองตั้งแต่ภายนอกลงไปภายใน

“ขวางขบวนเสด็จฝ่าบาทพวกเจ้าคิดว่าตนมีกี่ชีวิต!”

อีกคนพูดเสียงเรียบแต่เย็นชาอยู่เหนือศีรษะฉัน ดวงตาพลันเบิกกว้างทันที รีบก้มหน้าลงเพราะเกรงกลัว ไม่นึกว่าตนเข้าไปขวางขบวนเสด็จของจักรพรรดิหมิงหยางเฟิ่งเข้า ถึงฉันย้อนเวลามาแต่รู้กฎข้อนี้ดี โทษครั้งนี้จึงเท่ากับตาย! สายตาหันมองร่างเจ้าโจรพร้อมๆกับเสียงตะโกนร้องขอชีวิตของเขาดังขึ้นอย่างน่าสงสาร

“ข้าน้อยผิดไปแล้ว! ข้าน้อยเพียงต้องการเงินเลี้ยงดูลูกเมีย”

ที่แท้เจ้าโจรเพียงอยากได้ปิ่นปักผมของฉันไปขายกิน หากฉันรู้คงไม่วิ่งไล่ตามเขามาแบบนี้เผลอๆจะให้เงินตำลึงเขาเพิ่มด้วยซ้ำ อดอยากเป็นเช่นไรไม่อาจรู้แต่สภาพมอมแมมไร้ทางสู้ทั้งเนื้อตัวสั่นเทาไม่ต่างจากฉันนัก สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าในยุคอดีตหากฐานะต้อยต่ำสภาพจะเป็นเช่นไร ชีวิตคนเหล่านี้จึงไม่ต่างจากมดมอดตัวหนึ่ง ไร้แม้กระทั่งฐานะและชีวิต คิดจะขยี้ให้ตายก็ทำได้ไม่ยากเย็น

“เจ้าคนชั้นต่ำสกปรกริอาจกล้าขวางทางเสด็จองค์จักรพรรดิ นำตัวมันไปประหาร!”

               “ไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย! ไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย!”

               สถานการณ์เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ เจ้าโจรตะโกนร้องขอชีวิตลั่นถนน ถูกขุนพลลากตัวไปให้พ้นทางเสด็จ น้ำตาเขาไหลออกเป็นสาย ฉันสูดหายใจลึก ยิ่งมองยิ่งไม่อาจทนได้ ฉันเป็นเจ้าทุกข์ควรได้ตัดสินเขาเพียงผู้เดียว โทษทัณฑ์เขามีเพียงขวางขบวนเสด็จแต่ถึงขวางแล้วมีใครบาดเจ็บเล่า? คนบาดเจ็บก็มีเพียงเขาเท่านั้น อีกอย่างบุรุษทหารม้าทั้งสองก็มีไหวพริบพอจะดึงม้าไม่ให้ตัวเองไถลตกลงพื้น ในเมื่อไม่มีใครเป็นอะไรแท้ๆแต่ทำไมกลับมอบความตายให้คนไร้ทางสู้ ฉันรู้ดีว่าในยุคโบราณสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นเป็นธรรมชาติธรรมดา แต่ฉันเป็นคนยุคใหม่ไม่อาจทนต่อสิ่งที่เจอต่อหน้าได้จริงๆ!

“หยุดเสีย!”

ฉันตะโกนเสียงดังลั่น เงยหน้าขึ้นเผชิญกับเขา บุรุษผู้นั้นหันมองฉันตามเสียงเรียกสีหน้าเขาน่ากลัวจนฉันอดสั่นไม่ได้ เขาโดดลงจากหลังม้าท่าทางชำชาญเป็นอย่างดี เดินมาก้มลงมองหน้าฉันในระยะสายตา บุรุษผู้นี้มีเรือนผมสีดำมรกตแปลกตายากพบเห็น แต่การที่ฉันมาโลกนี้ได้ก็นับได้ว่าอัศจรรย์มากแล้วกับแค่สีผมของเขาคงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใดอีก ดวงหน้าเขางดงามขัดอุปนิสัยและน้ำเสียง คิ้วเรียวเชิดขึ้นอย่างโกรธขึง ดวงตาสีน้ำตาลหันไปที่ร่างเจ้าโจร สีหน้าเขายังคงเรียบเย็นอยู่ ยกมือห้ามเหล่าทหารให้หยุดมือลง

“หยุด!”

เหล่าขุนพลจึงค้างงันอยู่ตรงนั้นพร้อมร่างเจ้าโจรที่ถูกปล่อยทรุดลงพื้น สายตาเขาขอบคุณฉันยกใหญ่ หัวใจฉันเต้นแรงด้วยความกลัว ไม่รู้ว่าคนตรงหน้ากุมอำนาจใดบ้างในมือ แต่ฉันยังคงทำใจกล้าไม่ลดสายตากับคนตรงหน้าแม้แต่น้อย ดูจากอายุเห็นได้ชัดว่าคงมากกว่าฉันภูมิฐานราวสิบเจ็ดสิบแปดเห็นจะได้

“เป็นสตรีที่ใจกล้านัก”

อีกบุรุษท่าทางสุขุมกว่าลงมายืนอยู่ข้างคนแรก เขามองฉันด้วยสายตาวาบประหลาดใจ ยุคสมัยนี้มีสตรีใดกล้าขัดคำสั่งบุรุษยิ่งเป็นบุรุษที่นำหน้าขบวนเสด็จฮ่องเต้แถมนางยังร้องขอโทษตายแทนผู้อื่นอีก สตรียุคนี้มีหน้าที่เพียงนั่งนิ่งไม่ต่อปากต่อคำจะทำสิ่งใดล้วนแล้วแต่บุรุษนำหน้า แต่ฉันกลับอาจหาญมีปากเสียงกับพวกเขาทำฝีปากกล้าทั้งที่เนื้อตัวสั่นเทา ท่าทางนี้หากสังเกตก็คงเห็นไม่ยาก บุรุษท่าทางสุขุมจึงจับพิรุธฉันได้ ยกยิ้มมุมปากพลางพูดขึ้น

“ท่านอ๋องสาม...นางเป็นเพียงสตรี ถึงใจกล้าแต่ยังคงเป็นแค่ลูกนกน้อยในฤดูหนาวเท่านั้น”

สายตาฉันที่จับจ้องบุรุษผู้แรกทันทีพลันประกายวาบในดวงตา อ๋องสาม! หรือจะเป็นอ๋องสามหมิงเฟิงเหอพระอนุชาของฮ่องเต้หมิงหยางเฟิ่ง! ฉันจ้องหน้าเขาไม่ละสายตาเพราะอีกเพียงไม่กี่ปีเป้ยเล่อ*ผู้นี้จะถูกสังหารด้วยพิษธนู พระองค์เป็นอ๋องหนุ่มผู้ทำสิ่งใดบุ่มบ่าม แม้เฉลียวฉลาดสติปัญญาไม่ด้อยกว่าพระเชษฐาแต่ความสุขุมมิได้มีเท่า จึงทำบางสิ่งผิดพลาดจบชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย ความรู้สึกนี้ทำให้ฉันจุกแน่นในลำคอ การรู้อนาคตไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นักหากฉันทำได้เพียงมองเห็นพวกเขาตายจากไปทีละคน

ฉันก้มหน้าลงนิ่ง น้ำตาไหลลงช้าๆ จู่ๆก็รู้สึกแย่จนต้องหลั่งน้ำตา เห็นใครบางคนโดนขีดเส้นตายล่วงหน้าทำให้ฉันสะเทือนใจไม่น้อย คำพูดหนึ่งของเทพอัคคีวิหกวนเวียนในสมอง บางครั้งการไม่รู้สิ่งใดคงดีเสียกว่า

“คุณหนูบาดเจ็บตรงไหนเจ้าค่ะ? คุณหนูไม่ควรบุ่มบ่ามแบบนี้ คุณหนู....”

ผิงเอ๋อเพิ่งวิ่งตามฉันมาทัน ตอนแรกนางนั่งลงตามฉัน ลนลานจับเนื้อตัวตบฝุ่นบนชุดให้แต่เมื่อยกไหล่ฉันเพื่อสำรวจมองใบหน้า นางกลับหยุดถามเสียดื้อๆเป็นเพราะเห็นน้ำตาของฉันที่ก้มซ่อนอยู่ เสียงนางสั่นไหวจนไม่ทันสังเกตว่าเบื้องหน้าคือใคร จนเมื่อหันไปเจอขบวนเสด็จนางจึงคุกเข่าทั้งสีหน้าไร้สี โขกศีรษะลงพื้นหลายที ผิงเอ๋อ...ในสายตาเจ้ามีเพียงข้าบนถนนหรือไรกัน...

“โปรดอภัยให้คุณหนูเยี่ย! โปรดอภัยให้คุณหนูเยี่ย! เอาชีวิตข้าน้อยไปแทนนางเถิด”

ฉันเงยหน้ามองผิงเอ๋อ น้ำตาหยดหนึ่งหยดลงพื้นจนเปียกชุ่ม อ๋องสามชะงักนิ่งเมื่อเห็นดวงตาระรื่นของฉัน เขาพยายามพูดสิ่งใดอยู่นานแต่กลับไม่มีเสียงใดรอดออกมาซักคำ อ้ำๆอึ้งๆเหมือนไม่ชินน้ำตาสตรี

“ท่านอ๋องสามท่านทำนางร้องไห้เสียแล้วบุรุษที่ดีไม่ควรทำสตรีเสียน้ำตา ท่านไม่ควรวางสีหน้าเย็นใส่นางเช่นนี้”

ดวงหน้าอ๋องสามยังคงเรียบเฉยเช่นเดิมแต่แววตาแข็งกร้าวนั่นอ่อนโยนลงจนเห็นได้ชัด สายตามองฉันด้วยความรู้สึกผิดยิ่งแต่ก็ไม่รู้จะปลอบอย่างไร จะวางมือลงไหล่ก็มิกล้าแตะต้อง จะพูดขอโทษก็เอ่ยได้ไม่เต็มปาก กล้าๆกลัวๆอยู่เช่นนั้นจนต้องหันไปถามความเห็นคนข้างตัว

“ท่านแม่ทัพใหญ่อี้...”

อ๋องสามเรียกเขาเสียงเบา แต่ฉันกลับหันมองหน้าบุรุษสุขุมผู้นั้นอีกครั้ง แม่ทัพใหญ่อี้หลี่จวิน! ไม่นึกว่าขวางขบวนเสด็จเพียงครั้งเดียวกลับได้พบอีกบุรุษผู้ชาญชัยในสงครามเช่นเขา พระสวามีขององค์หญิงหมิงเหม่ยหลิงพระกนิษฐภคินีขององค์จักรพรรดิ อ๋องสามลุกขึ้นขยับกายค้นบางสิ่งในสาบเสื้อแต่ยังไม่ทันหยิบสิ่งใดส่งให้ ได้มีเสียงร้องเตือนรับเสด็จดังขึ้น

“ฝ่าบาทเสด็จ!”

ผู้คนรอบข้างต่างก้มลงชิดพื้น เหล่าขุนพลคุกเข่าพร้อมเพรียงจนมีเสียงเกราะกระทบเป็นแถบทาง ฉันรีบก้มศีรษะลงตามไม่กล้าเงยหน้าแม้แต่น้อย ไม่คิดว่าเพียงวันเดียวที่ได้มาถึงโลกนี้จะได้พบพระพักตร์รวดเร็ว เป็นเพราะไม่ได้เตรียมใจจึงตื่นเต้นชอบกล

“ฝ่าบาท”

เป็นเสียงอ๋องสามดังขึ้น

“มีเรื่องอันใด”

               แค่น้ำเสียงพระองค์ยังทรงอำนาจเรืองรองจนทำให้ฉันแทบไม่หายใจ หากฉันมองพระพักตร์ตัวจะสั่นเทิ้มแค่ไหน สิ่งนี้ทำให้ฉันไม่กล้าแม้แต่ขยับกายเงยหน้า ได้แต่ก้มงุดติดพื้นดิน หายใจถี่เพราะจังหวะการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ

“เจ้าคนชั้นต่ำขวางขบวนเสด็จทำให้กระหม่อมเกือบตกม้า...ซ้ำยังมีคุณหนูสกุลเยี่ยเข้าขวางไว้ สตรียุคนี้ชักใจกล้าไม่ต่างจากบุรุษเข้าไปทุกที...”

ดูท่าอ๋องสามยังคงหัวเสียไม่น้อย น้ำเสียงเขาลุกโชนโทสะแต่คำที่กล่าวถึงฉันกลับเบาเสียงลงเรื่อยๆ หากฟังผิวเผินเหมือนเขากำลังพร่ำบ่นผู้เดียวเสียมากกว่า

ฉันถอนหายใจยาว ขอโทษท่านพ่อท่านแม่ที่คิดให้ฉันกอบกู้ตระกูลเพราะตอนนี้ฉันได้ทำให้ชื่อเสียงสกุลเยี่ยแปดเปื้อนเสียแล้ว ผิงเอ๋อยื่นมือมากุมมือฉันไว้ เหลือบตามองใบหน้ากันและกันลอดระหว่างมือ เป็นเพราะโทษตายของเราทั้งสองได้ถูกกองตรงหน้าเพียงเอื้อม หรือเกิดใหม่ไม่ทันไรฉันต้องระหกระเหินเป็นวิญญาณร่อนเร่อีกครั้งกัน? แต่ครั้งนี้คงดีหน่อยเพราะผิงเอ๋อคงติดตามฉันไปแม้จะเป็นโลกหน้าก็ตาม ไม่ต้องเหงาเหมือนคราวก่อน

“พวกเจ้าจะทำเช่นไรกับเจ้าคนชั้นต่ำ”

น้ำเสียงพระองค์ไม่อาจคาดเดาจิตใจได้เพราะนัยน้ำเสียงเรียบเย็นจนผิดปกติ

“เจ้าคนต่ำช้าต้องโทษประหาร ส่วนนาง...ฝ่าบาทนางเป็นเพียงสตรี อีกทั้งเป็นคนสกุลเยี่ย...ข้า...”

เสียงอ๋องสามลดลงเรื่อยๆอีกครั้ง เพราะฉันเป็นสตรีอีกทั้งยังเป็นคุณหนูสกุลเยี่ย หนึ่งในขุนนางราชสำนัก เพียงแค่ได้ยินชื่อสกุลพวกเขาที่เป็นอ๋องและแม่ทัพคงจดจำได้ไม่ยากเย็น การจะลงโทษประหารฉันทันทีพวกเขาก็ไม่อาจทำได้เต็มเหมือนคนจรเช่นเจ้าโจร หรืออีกนัยหนึ่งอ๋องสามผู้นี้คงพยายามร้องขอชีวิตฉันกับพระองค์ แต่เขาก็ยังไม่อาจหาญพอต่อรองเพราะน้ำเสียงที่เงียบลงเห็นได้ชัดว่าหวาดกลัวพระองค์มากแค่ไหน

แม้กระทั่งในฐานะเป้ยเล่อยังมิกล้าร้องขอชีวิต แล้วฉันจะมีสิทธิใดเอ่ยปากเรียกร้อง ผิงเอ๋อเนื้อตัวสั่นเทาเงยหน้ากล่าวขึ้นทั้งน้ำตา

“ฝ่าบาทโปรดอภัย! ฝ่าบาทโปรดอภัยให้คุณหนูเยี่ยด้วยเพคะ!”

“พวกเจ้าหุบปาก! กล้าดียังไงร้องขอชีวิตต่อหน้าพระพักตร์”

เสียงดัดจริตสูงของขันทีดังสอดขึ้น ตอนนี้มีเพียงความเงียบงันปกคลุมไปทั่ว

ผิงเอ๋อ...ฉันคงคาดเดานางผิด ขนาดองค์จักรพรรดินางยังกล้าร้องขอชีวิตแทน นางไม่ใช่ตายแทนฉันได้เท่านั้นแต่ความภักดีของนางกำลังช่วยฉันเพื่อให้มีชีวิตโดยไม่สนตัวนางเอง ฉันเงยหน้าขึ้นแต่สายตายังก้มมองพื้น ตีสีหน้าเรียบเฉยยอมรับชะตา

เคยตายมาแล้วชาติหนึ่งจะกลัวสิ่งใดอีกเล่า?

“ผิงเอ๋อ...เรื่องนี้เจ้าไม่เกี่ยว”

“คุณหนู!” นางเขย่าตัวฉันแล้วร้องไห้โฮออกมา ฉันปาดน้ำตาเมื่อครู่ทิ้งลง มองนางแล้วส่ายหัวพลางยิ้มให้ก่อนจะก้มลงคารวะผู้ครองแผ่นดิน

“ฝ่าบาท...ลี่เซียนขอกล่าววาจาล่วงเกินพระองค์ หากแต่มิใช่การร้องขอชีวิตตน เพียงแค่เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเท่านั้น”

แม้เสียงฉันจะราบเรียบราวไม่รู้สึก แต่เนื้อตัวกลับสั่นสะท้านไปทั้งร่าง จิตใจเต้นระส่ำระส่ายเมื่อมองชายเสื้อและรองเท้าสีทองของพระองค์ที่ยังไม่ขยับแม้แต่น้อย ความหวังดูเหมือนจะริบหรี่ลงเรื่อยๆ หรือแม้แต่พูดยังไม่มีโอกาสเล่า?

“ว่ามาสิ”

รออยู่นานจึงมีเสียงอนุญาตดังขึ้นกังวาน น้ำเสียงนี้ถึงแม้จะเย็นราบแต่กลับอบอุ่นใจอย่างน่าประหลาด น้ำลายที่กลืนดังเอื๊อกเมื่อครู่หยุดลง ดูเหมือนหายใจได้ทั่วท้องสะดวกขึ้น

“ทูลฝ่าบาท...โจรชั้นต่ำผู้นั้นขโมยปิ่นปักผมของหม่อมฉันเพียงเพราะต้องการเลี้ยงดูครอบครัว อีกทั้งแม้ขวางขบวนเสด็จได้รับโทษตายแต่ยังไม่มีใครบาดเจ็บ จะมีก็เพียงตัวเขาเท่านั้น เหตุสุดวิสัยเช่นนี้ข้าเองก็มีส่วนผิดเพราะพวกเราเผลอวิ่งไล่กันไม่มองทาง...”

“ไร้การอบรม! สตรีที่ไหนออกความเห็นยืดยาวกล้าขอชีวิต!”

ยังไม่ทันพูดจบขันทีคนเดิมได้พูดต่อว่าฉัน แต่เพียงไม่นานเขากลับเงียบปากลงเพราะคำไม่กี่คำ

“สี่กงกง เราต้องการฟังนาง”

“พะยะคะ...” น้ำเสียงเขาสลดลง ดูเหมือนฝีเท้าจะก้าวถอยห่างออกไปด้วย

“พูดต่อได้”

พระองค์เพียงพูดแต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนเป็นคำสั่งที่ต้องทำตาม สูดหายใจลึกอยู่ครู่ รวบรวมความกล้าอีกครั้ง เฮ้อ...ฉันต่อรองกับใครได้มากมายแต่พอเจอพระองค์ความเก่งกาจกลับหายไปเสียดื้อๆ

“ทูลฝ่าบาท...ยังไม่เพียงโจรผู้นั้นแต่ผิงเอ๋อนางไม่เกี่ยวข้องแม้แต่น้อย ลี่เซียนขอให้พระองค์ไว้ชีวิตคนทั้งสองได้หรือไม่”

พูดจบใจก็เต้นตุ้มๆต่อมๆ เป็นเวลานานที่ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาจนฉันหวั่นใจ พักใหญ่ปลายเสื้อสีทองได้สะบัดชายขึ้นน้อยๆพร้อมขาของพระองค์ที่ก้าวเดินไปทางโจรผู้นั้น

“ฝ่าบาท!”

เจ้าโจรส่งเสียงสะอึกสะอื่นไม่กล้ากล่าวคำใดออกมาอีก ฟังแล้วน่าเวทนาใจ ตามบันทึกที่เคยอ่านจักรพรรดิหมิงหยางเฟิงทำการสิ่งใดเด็ดขาด ความคิดยากคาดเดาเหมือนสายลมกลางทะเลทรายที่อาจเป็นเพียงลมธรรมดาพัดพาให้เย็นใจหรืออาจมีพายุลูกใดซุกซ่อนอยู่จนพังทลายทุกสิ่ง ฉันจึงไม่อาจหยั่งถึงพระทัยของพระองค์ในขณะนี้ได้ว่าพระองค์จะลงโทษตายคนตรงหน้าหรือฟังเหตุผลฉันแล้วปล่อยเขาไป

“ชีวิตคนมีค่าเหนือสิ่งอื่นใด”

น้ำเสียงพระองค์โกรธขึงไม่น้อยหรือพระองค์หมายถึงชีวิตของอ๋องสามและท่านแม่ทัพใหญ่กัน? ฉันหันมองเหตุการณ์ตรงหน้า เบี่ยงสายตาเล็กน้อยไม่กล้าเงยสบพระพักตร์เต็มตา

“ลงโทษโบย ความผิดขโมยสิ่งของไม่อาจให้อภัยได้”

ฉันนิ่งอึ้งไป...หรือการร้องขอชีวิตเขาครั้งนี้จะเป็นการเพิ่มโทษให้เจ้าโจรก่อนโทษประหาร ในใจจึงรู้สึกผิดนัก

“อ๋องสามเร่งหางานให้ชายผู้นี้ อย่าเห็นชีวิตคนไร้ค่าเพียงเพราะขวางขบวนเสด็จเรา”

“ขอบพระทัยฝ่าบาท! ขอบพระทัย...ฮึก”

เจ้าโจรหลั่งน้ำตายินดี พ้นโทษตายอีกทั้งยังได้งานเลี้ยงดูครอบครัว ฉันคลี่ยิ้มออกมา ไม่นึกว่านอกจากจะทรงปรีชาสามารถแต่ยังทรงมีพระเมตตาอีกด้วย

สายตามองแผ่นหลังพระองค์ ฝ่ามือเรียวขาวขยับมาให้เห็น ขุนพลผู้หนึ่งหยิบปิ่นปักผมของฉันวางบนถาดขึ้นถวาย จากนั้นครู่หนึ่งที่กายพระองค์แน่นิ่งราวคิดสิ่งใดอยู่ ก่อนเดินเข้ามาชิดข้างฉัน เอ่ยถามทั้งน้ำเสียงวาวอำนาจแต่กลับอบอุ่น

“เป็นปิ่นปักผมของเจ้าหรือ คุ้นตาเรานัก”

ฉันไม่รู้จะตอบสิ่งใดเพราะไม่รู้ประวัติปิ่นผมนี้แม้แต่น้อย ได้แต่นิ่งอึ้งไปอยู่นาน ผิงเอ๋อดูร้อนรนเมื่อนางเห็นฉันไม่พูดจึงชิงตอบคำถามแทน

“ทูลฝ่าบาท ปิ่นปักผมของคุณหนูเยี่ยเป็นของสืบทอดตั้งแต่สกุลเยี่ยเรารับใช้จักรพรรดิองค์ก่อน นายหญิงให้คุณหนูเยี่ยปักมันไว้อวยพรให้นางโชคดีเมื่อถึงวันเข้าคัดเลือกสาวงามครั้งนี้เพคะ...”

ฉันทวนคำพูดผิงเอ๋อพลางครุ่นคิด เพิ่งรู้ว่าสกุลเยี่ยมีอำนาจในวังหลวงด้วยเช่นกันเพราะใครบางคนในตระกูลได้รับใช้ฮ่องเต้ มิน่าเล่า...อ๋องสามผู้นั้นเลยไม่กล้าแตะต้องลงโทษตายฉัน

“หากจำไม่ผิดจักรพรรดิองค์ก่อนได้มีพระสนมเยี่ยผู้หนึ่ง พระองค์ทรงมอบปิ่นปักผมหยกแดงอำพันไว้ให้นาง” เสียงพระองค์หยุดไปก่อนจะดังขึ้นอีกครั้ง สายพระเนตรช่างสังเกตละเอียดรอบคอบตั้งแต่วัยเยาว์ ไม่แปลกใจแม้แต่น้อยที่บัดนี้พระองค์ได้เป็นพระจักรพรรดิองค์ต่อไป “เป็นเพราะกลีบม้ากระแทกเมื่อครู่ เส้นสายสีทองจึงแตกออกเป็นเสี่ยงมองแล้วเสียดายนัก...”

ฉันหันมองเส้นสีทองของปิ่นหยกที่แตกหักอยู่บนเบาะรองนุ่ม ไม่นึกว่าจะทำของสำคัญเสียหายเข้า ไม่น่าใจร้อนด่วนทำจริงๆ

ทุกเสียงเงียบสงบลงจนได้ยินเสียงลมพัดเบาข้างหู จู่ๆมือหนึ่งได้เข้าใกล้ใบหน้าจนฉันร่นตัวถอยไปตามสัญชาติญาณ แต่มือนั้นกลับรวบคางยึดแน่นให้อยู่นิ่ง ปักปิ่นลงมวยผมแผ่วเบา

“สิ่งนี้คงทดแทนใจเจ้าได้ อวยพรให้เจ้าโชคดี”

น้ำเสียงอ่อนโยนจนใจเผลอไหวตาม จึงรู้ว่ามือผู้ใดกำลังแฉลบออกผ่านนวลแก้ม เพียงแค่พระองค์ปักปิ่นลงผมหัวใจกลับเต้นตึกตักไร้สาเหตุแต่มันมิได้มาจากความหวั่นเกรงแม้แต่น้อย แต่หัวใจที่ถูกทำร้ายของฉันกลับเต้นได้อีกครั้งอย่างน่าประหลาด

“เจ้าร้องขอชีวิตทุกคนแต่กลับไม่ร้องขอชีวิตตนเองแม้แต่น้อย บางครั้งเจ้าควรคิดถึงตัวเอง อย่ามุทะลุให้มากนัก”

“ลี่เซียนจะจดจำ ขะ...ขอบพระทัยฝ่าบาท...”

ฉันก้มหน้าคารวะเสียงเบา ลืมไปเสียสนิทว่ายังไม่ได้ร้องขอชีวิตตน เมื่อเหลือบตาขึ้นจึงเห็นรอยยิ้มบางบนพระพักตร์ ใบหน้าแดงฉานทำให้ท่าทางฉันเหมือนคนไม่เคยผ่านความรักมาก่อน ดูไร้เดียงสายิ่งต่อหน้าพระองค์ ฉันหลุบตาลงต่ำไม่กล้ามองพ้นจมูกหรือดวงตาพระองค์แม้แต่น้อย ใจเต้นแรงเหมือนสาวน้อยแรกแย้มเพิ่งเจอรักแรก ผ่านความรักมามากมายแต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่ไม่กล้ามองใครเต็มตา

เหตุใดพระองค์ถึงได้ยิ้มกัน? เพราะเหตุใด...

ฉันครุ่นคิดจนเสียงส่งเสด็จดังเรียกสติ เงยหน้าขึ้นช้าๆมองแผ่นหลังสีทองเดินจากไปจนลับตา เรือนร่างพระองค์เดินขึ้นรถม้าไปแล้ว อ๋องสามจับตัวฉันที่นั่งนิ่งให้ลุกยืนแล้วยัดผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งลงมือให้ เขยิบตัวฉันออกให้พ้นทางเสด็จพร้อมม้าสีขาวของเขา

“ข้ามีเวลาไม่มาก สิ่งนี้แทนคำขอโทษที่ทำให้เจ้าร้องไห้ หากมีเรื่องใดเดือดร้อนยื่นผ้าผืนนี้หน้าประตูวัง ข้าจะไปหาเจ้าทันที”

ฉันไม่ได้ฟังเขาพูดแม้แต่น้อย เพราะสายตายังคงจับจ้องเพียงเงาร่างองอาจสูงศักดิ์ผ่านตัวในระยะประชิด หากไม่มีม่านกั้นคงได้เห็นพระพักตร์เต็มสองตานี้ แต่ครานี้คงได้เห็นเพียงเงารางๆผ่านม่านกั้น จะมีจักรพรรดิพระองค์ใดจิตใจอ่อนโยนนุ่มนวลได้เช่นนี้อีก...แม้เด็ดขาดแต่กลับผ่อนปรนมีเหตุผล รักราษฎรของพระองค์ทุกคนไม่เว้นแม้แต่ชนชั้นต่ำต้อย มอบโอกาสให้ผู้คนมีชีวิตต่อไป เป็นจักรพรรดิที่สูงเอื้อมดั่งเซียนเทพทั้งจิตใจและฐานะอย่างแท้จริง...

“ขอบพระทัยอ๋องสาม”

ผิงเอ๋อพูดแทนฉัน จับตัวฉันกดลงน้อยๆคารวะ ฉันถึงได้สติอีกครั้ง อ๋องสามมองฉันไม่ถือสาแต่กลับมองว่าฉันกำลังติดตากับสิ่งใดอยู่ เขากระโดดขึ้นหลังม้า หันมองอยู่ครู่ด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกก่อนจะควบม้าตามขบวนเสด็จไป ฉันหยิบปิ่นปักผมลงมาดู ปลายพู่ห้อยเส้นสายสีทองกลับกลายเป็นเชือกไหมเส้นหนึ่งผูกไว้กับหยกสีฟ้ารูปดอกเหมยฮวา

“เหมยฮวา...” ฉันพึมพำเสียงเบา ในใจเหมือนมีบางสิ่งสั่นไหวอยู่ในนั้น รอยยิ้มประดับบนใบหน้า...โชคชะตาหรือไม่ ที่ทำให้ฉันได้พบพระองค์เช่นนี้

มือกุมปิ่นปักผมไว้แนบอก ตอนนี้ฉันรอคอยเพียงวันคัดเลือกสาวงามที่กำลังมาถึงเท่านั้น

“ลี่เซียนเจ้ากำลังทำพ่ออายุสั้นลง...เฮ้อ”

เสียงถอนหายใจของท่านพ่อดังอยู่ข้างหน้าต่าง ท่านยังคงเหม่อลอยมองทิวทัศน์เพราะคิดไม่ตกเรื่องฉันแม้บางครั้งจะหันมาจับจ้องปิ่นปักผมบนศีรษะบ้าง เป็นเช่นนี้สลับไปมาอยู่หลายครั้ง

“ลี่เซียน...สตรีในวังควรใจกล้าในเรื่องที่ควรและไม่ควรใจกล้าในเรื่องที่ไม่ควร”

ท่านแม่กุมมือฉันพลางพูดสั่งสอน ใจกล้าในเรื่องที่ควรคืออยู่นิ่งเพื่อรอบางสิ่งออกดอกออกผล ไม่ควรใจกล้าในเรื่องที่ไม่ควรคืออย่าได้หลงทำสิ่งใดให้ตัวเองสุ่มเสี่ยงอันตราย ในวังหลวงสตรีไม่ได้ไร้เดียงสา พวกนางตะเกียดตะกายคว้าจุดมุ่งหมายเพียงหนึ่งเดียวคือตำแหน่งฮองเฮาสตรีข้างกายจักรพรรดิ หากได้ใจพระจักรพรรดิใต้หล้าคงอยู่ในเอื้อมมือนางได้ไม่ยากเย็น การคัดเลือกสาวงามเข้าวังหลวงล้วนแล้วแต่เป็นการส่งบุตรีตระกูลผู้ดีเข้ามาเสริมอำนาจให้ตระกูลทั้งสิ้น ท่านแม่และท่านพ่อถึงได้เป็นห่วงฉันเมื่อรู้ว่าดอกเหม่ยฮวาบนปิ่นปักผมได้มาได้อย่างไร

“นายท่าน...นายหญิง...แค่นี้คุณหนูก็ตกใจมากแล้ว”

ผิงเอ๋อพูดขอร้องแทนฉันที่ถูกทำโทษคุกเข่าอยู่กลางห้อง หัวเข่าเจ็บแปลบจากการกดทับหลายชั่วยาม นางปรี่เข้าหาร้อนรนเพราะเริ่มทนดูเงียบๆไม่ไหวอีกต่อไป จับแขนฉันพลางพูดเสียงเบา

“เจ็บไหมเจ้าค่ะ...”

เป็นเพราะเมื่อครู่ไม่ได้สำรวจเนื้อตัวจึงไม่รู้ว่าตอนล้มลงกระแทก มือและแขนมีรอยช้ำแดงอยู่หลายจุด ผิงเอ๋อเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นจึงรีบทำแผลให้ทันทีที่กลับเข้าเรือน

“ผิงเอ๋ออย่าให้ท้ายลูกข้าเสียคน!”

ผิงเอ๋อก้มหน้าสลดไป แต่ดูเหมือนท่านแม่จะเริ่มเห็นอกเห็นใจฉันแล้วขอร้องแทน

“เป็นเหตุสุดวิสัย ท่านพี่อย่าได้โกรธนางนานนักเลย”

“ฮูหยิน...” ท่านพ่อลดเสียง ใบหน้าดูเหนื่อยล้า “ข้าเพียงกลัวนางใจกล้าเกินสตรี หากเข้าวังหลวงจะนำภัยแก่ตัวเอง” สายตาท่านพ่อมองมาที่ฉันห่วงใย ขนาดพวกเขายังไม่ลืมว่าฉันไม่ใช่ลูกที่แท้จริงพวกเขายังรักฉันขนาดนี้ หากพรุ่งนี้พวกเขาลืมเรื่องราวทั้งหมดจนสิ้นเห็นฉันเป็นลูกแท้ๆในอกพวกเขาจะรักฉันมากขนาดไหน

“ท่านพ่อ...ลี่เซียนขออภัย”

ฉันก้มโค้งลงชิดพื้น ได้ยินเสียงถอนหายใจของท่านพ่อดังขึ้นน้อยๆ ตามมาด้วยแรงหนึ่งประคองตัวให้ขึ้นนั่ง

“เจ้ายังต้องปรับตัวอีกมากนักแต่อย่าได้ทำเช่นนี้อีก”

ฉันก้มหน้ารับคำ

“ลี่เซียนจะจดจำ” ท่านพ่อยิ้มน้อยๆแล้วหันไปตามเสียงประตูที่ถูกเปิดขึ้น ขันทีสองคนเดินเข้ามาในเรือน คนหนึ่งกางแผ่นกระดาษสีทองในมือออกอ่าน อีกคนถือถาดสีทองยกไว้ เห็นสีทองแล้วฉันใจคอไม่ดีเท่าไหร่นักเพราะรู้ว่าใครที่สามารถใช้สีนี้ได้

“ฝ่าบาทมีพระราชสาสน์ถึงคุณหนูสกุลเยี่ย”

ท่านพ่อมองหน้าฉันสีหน้าซีดขาวปรากฏให้เห็น ระหว่างคิ้วขมวดแน่นเพราะเกร็งเครียดรีบเดินไปคุกเข่าหน้าประตู ท่านแม่ตามมาติดๆ ใบหน้านางร้อนใจเห็นได้ชัด หรือฝ่าบาทเพียงคาดโทษฉันไม่ลงอาญาต่อหน้าประชาเพื่อเป็นการไว้หน้าสกุลเยี่ย จากนั้นจึงค่อยส่งสาสน์อาญามาทีหลังกัน? แย่แล้วสิ!

“สองสิ่งนี้เจ้ารับไว้”

จดหมายฉบับหนึ่งถูกยื่นมาให้พร้อมขวดเล็กๆขวดหนึ่ง

อะไรกัน? ฉันตีสีหน้างงงวยก่อนจะถูกผิงเอ๋อกระทุ้งมือใส่จึงคารวะกายลงพื้นทันที

“ลี่เซียนน้อมรับพระบัญชา”

พวกขันทีจากไปแล้ว ฉันยังคงนั่งอยู่กับที่คลี่จดหมายในมือออกอ่านรวดเร็ว เหงื่อกาฬไหลซึมมือ ท่านพ่อท่านแม่รีบเดินเข้ามามุงดู มีเพียงผิงเอ๋อที่ร่นถอยไปยืนให้กำลังใจห่างๆ นางรู้มารยาทเป็นอย่างดีไม่คิดจะสอดสายตาอ่านเนื้อความจดหมาย

“ยาขนานดีทาเพียงสี่ครั้งแผลจะหาย”

ฉันคลี่ยิ้มทันทีที่อ่านจบ ก้อนหินหนักถูกยกออกไป ยื่นจดหมายในมือให้ท่านพ่ออ่านคลายกังวลพลางมองดูขวดยาในมือ ไม่นึกว่าพระองค์จะสังเกตเห็นแผลของฉันทั้งยังทรงมีความห่วงใยมอบให้ ฉันรีบแกะจุกไม้ออกป้ายขี้ผึ้งทาลงแผลตน ยาชั้นดีขนานแท้ทีเดียว เพราะมันไม่ได้แสบร้อนแต่กลับเย็นสบายเหมือนมีน้ำเย็นๆห่อคลุมรอบปากแผลไว้

“เฮ้อ...ข้าจะหัวใจวายตาย แต่ตายเท่าไหร่ก็ตายไม่ได้” ท่านพ่อทิ้งตัวลงเก้าอี้ไม้ พิงพนักอย่างอ่อนแรง ดูท่าจะใช้เรี่ยวแรงไปกับการสั่นเกรงราชสาสน์ตรงหน้าไปจนสิ้น ท่านแม่ขมวดคิ้วแน่น รินน้ำชาในมือให้ท่านพ่อดื่ม

“ฝ่าบาทมีพระกรุณาต่อเจ้านักลี่เซียน”

“คุณหนู...ผิงเอ๋อจะช่วยท่านทาแผล!”

ผิงเอ๋อกระตือรือร้นรีบคว้ามือมาหยิบขวดยา แต่ฉันกลับชะงักมือถอยไม่ให้นางแตะต้องขวดนั้นแม้แต่น้อย ท่านแม่จึงหัวเราะเสียงเบาทั้งที่ผิงเอ๋อยังทำสีหน้างุนงง

“นายหญิง...คุณหนูใจร้ายกับผิงเอ๋อขึ้นทุกที!”

นางฟ้องท่านแม่พลางค้อนตาใส่ฉัน แต่ท่านแม่กลับปัดมือไม่ถือสาแล้วพูดหยอก

“ผิงเอ๋อเจ้าไม่ดูใบหน้าของคุณหนูเจ้าหรือไรกัน? ใบหน้านางแดงเช่นนั้นเป็นเพราะขวดยาของฝ่าบาทนั่นแหละ”

ผิงเอ๋อหันหน้าขวับมาหาแต่ยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านแม่กล่าวอยู่ดี

“หรือคุณหนูจะเป็นไข้! นายหญิง!”

ท่านแม่ส่ายหน้าจนใจเมื่อนางยังไม่รู้ความหมาย เดินมาทางฉันพลางป้องมือพูดเสียงเบาข้างหู “ลี่เซียนเก็บรักษาขวดยาเจ้าให้ดีเชียว!”

“ท่านแม่!”

ฉันหันใบหน้าร้อนวูบไปหานาง ดูเหมือนว่าสตรีย่อมเข้าใจสตรีด้วยกัน นางจึงรู้ว่าฉันกำลังรู้สึกสิ่งใดอยู่

เอ่อ...ยกเว้นผิงเอ๋อไว้แล้วกันนะ

คืนแรกของการอยู่ในฐานะเยี่ยลี่เซียน ฉันนั่งมองดวงจันทร์สุกสกาวที่ระเบียงผู้เดียว อดีตยังคงทำใจฉันเจ็บปวดเพียงแค่นึกถึงใบหน้าเสี่ยวหมิงหัวใจฉันพลันถูกบีบจนแน่น มือหนึ่งกุมอกตนไว้ ใจเหมือนมีดอกไม้ดอกหนึ่งเหี่ยวเฉารอวันตายตามกาลเวลา แต่แล้ววันนี้...ใครบางคนเผลอพลั้งมือรดน้ำให้ดอกไม้ในใจฉันเติบโตขึ้นอีกครั้งโดยที่พระองค์ไม่รู้ตัว

ฉันเปิดแขนเสื้อออกมองฝ่ามือตนและรอยแผลที่ถูกทาขี้ผึงไว้ คิดได้ว่าหากเก็บอดีตไว้ในมือฉันคงไขว้คว้าอนาคตสดใสไม่ได้ ตอนนี้ฉันเลือกก้าวเดินไปข้างหน้าแล้ว ไม่อาจลากความหลังให้ชุดเปื้อนฝุ่นได้อีกไม่เช่นนั้นทางที่ฉันก้าวจะเต็มไปด้วยขี้เถ้าสีดำไม่ใช่กลีบดอกไม้ดั่งที่ต้องการ ตัดสินใจทิ้งเรื่องเลวร้ายไว้ในโลกก่อนแม้ยังไม่รู้ว่าทางที่ฉันเลือกเดินต่อไปข้างหน้าจะถูกต้องหรือไม่

ตั้งแต่ที่ฉันมาถึงโลกนี่จุดมุ่งหมายคืออยากเข้าใกล้พระองค์เพียงเพราะต้องการกล่าวเตือนอนาคตให้พระองค์ล่วงรู้ แม้ไม่รู้ว่าจะยากเย็นกับการอธิบายให้พระองค์ฟังหรือไม่ ฉันเพียงอยากเป็นสนมเพราะเป็นเพียงวิธีเดียวที่สามารถเข้าหาพระองค์ได้มากที่สุดและหากทำทุกสิ่งลุล่วงตัวฉันคงไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว

แต่ตอนนี้ความรู้สึกหนึ่งได้เกิดขึ้นในหัวใจการที่ฉันเข้าใกล้พระองค์ครั้งนี้จึงเป็นเพียงเพราะอยากหันมองพระพักตร์พระองค์อีกครั้งให้เห็นเต็มตา ฉันไม่อาจพูดได้เต็มปากว่ารักเพราะความรักต้องใช้เวลาเพาะบ่มมากโข แต่ตอนนี้ฉันเพียงอยากเห็นแววตาพระองค์เท่านั้น เพียงเท่านั้นที่ฉันอยากมอง แม้อาจมองได้ในระยะใกล้...หรือระยะใกล้เช่นวันนี้ก็ตาม

“สายพระเนตรจะอบอุ่นหรือไม่...”

มือจับปิ่นปักผมหมุนเล่น ดอกเหม่ยฮวาที่ฉันชอบ โชคชะตาที่กำลังก้าวข้ามเข้าไปพร้อมหัวใจดวงหนึ่งของตน คำทำนายจะเป็นจริงหรือไม่...ฉันจะได้เป็นบุปผาของพระองค์จริงหรือ? เงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง ดวงดาวคืนนี้ช่างมองเห็นได้ใกล้ราวเอื้อมมือก็คว้าไว้ได้ คลี่ยิ้มบางระบายบนใบหน้า หากคำทำนายเป็นจริงก็คงดีไม่น้อยทีเดียว...

รุ่งเช้าฉันปักปิ่นลงมวยผม ต่อไปนี้มันคงติดตัวไปทุกหนทุกแห่ง ผิงเอ๋อผลักประตูเข้ามาหา เตรียมสำรับวางให้ดูวุ่นวายแต่เช้า ฉันมาโลกนี้ความคิดแรกคือคิดว่าคืนแรกคงนอนมืดค่ำและตื่นสายเพื่อการพักผ่อนสันหลังยาว โลกอดีตไม่วุ่นวายเหมือนอนาคตการนอนหลับยาวเป็นสิ่งที่น่าทำมากที่สุด แต่เช้านี้ฉันดันตื่นตั้งแต่ฟ้าไม่ทันสางยิ่งกว่าวันทำงานเสียอีก ที่เป็นเช่นนี้เพราะเมื่อคืนเอาแต่คิดมากจนนอนไม่หลับ เพียงแค่ได้ยินเสียงนกน้อยร้องทักตาฉันก็สว่างสดใส

“คุณหนูจำวันนี้ได้หรือเจ้าค่ะ?”

ฉันขมวดคิ้วขึ้น วันนี้ทุกคนรวมทั้งท่านพ่อท่านแม่คงไม่มีใครจำเหตุการณ์มหัศจรรย์ของตัวฉันได้อีกแล้ว ว่าแต่วันนี้คือวันอะไรทำไมนางถึงได้รีบเร่งเช่นนี้กัน? เมื่อผิงเอ๋อจัดสำรับในมือเสร็จนางจึงเงยหน้ามองเสื้อผ้าฉัน คิ้วเรียวเลิกขึ้นน้อยๆ

“ดูเหมือนคุณหนูจะลืมจริงด้วย! ผิงเอ๋อนึกว่าคุณหนูตื่นเช้าเพราะจำวันนี้ได้เสียอีก...นายท่านและนายหญิงล่วงหน้าไปอวยพรแล้ว นายท่านทั้งสองสั่งผิงเอ๋อให้รีบพาคุณหนูไปไวๆ”

นางพูดพลางวิ่งไปหอบชุดกระโปรงหลายตัวมากองบนเตียง คัดเลือกชุดเข้าตามาไว้ในมือ

“อะไรของเจ้า...” ฉันมองหน้านางสงสัย

“คุณหนู...วันนี้วันเกิดของท่านอ๋องน้อยเก้าหลิ่งถิงไงเจ้าค่ะ!” นางยิ้มร่าพลางจับตัวฉันที่กำลังคืบข้าวขึ้นยืน อ๋า....ฉันยังกินไม่เสร็จเสียหน่อย! แต่ฉันก็มิได้โวยวายเพียงแค่ส่งเสียงออกมาเล็กน้อยแล้วคาบซาลาเปามาไว้ในปาก มันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ไม่หกเลอะเทอะทั้งยังอิ่มท้อง

“อ๊ะ! อ๊ะ!”

ฉันหมุนตัวตามแรงมือนาง ถูกจับถอดเสื้อตัวออกรีบเร่งแล้วใส่เสื้อคลุมสีสันสดใสเกินงามลงไปแทน ดูไปดูมาเริ่มเหมือนกระถางดอกไม้เดินได้เข้าไปทุกที สีเสื้อฉูดฉาดจัดจ้านจนชอบกล

“จวนสกุลเก้ายังมีอาหารโปรดคุณหนูอีกเยอะแยะเลยเจ้าค่ะ แต่ถ้าคุณหนูไม่เปลี่ยนกระโปรงสวยๆอาจทำให้ท่านอ๋องน้อยขบขันเอาง่ายๆเชียวนะเจ้าค่ะ!”

นางทำตาลุกวาวไม่ยอมแพ้ ฉันจึงสะกิดใจในความสัมพันธ์ของตนกับท่านอ๋องน้อยผู้นี้ ดูเหมือนจะมีการแข่งขันระหว่างเรามิตรสหาย แต่มันไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่นักหากเขาเป็นหญิงไม่ใช่ชาย ดูท่า...เรื่องนี้คงจะไม่ธรรมดาเสียแล้ว!

“ทำไมเขาต้องหัวเราะชุดที่ข้าใส่ด้วย?”

“คุณหนูอย่านึกว่าผิงเอ๋อไม่รู้เลยเจ้าค่ะ...” นางยิ้มแหย่ๆก่อนจะพูดต่อ “ความจริง...ผิงเอ๋อ...แอบเห็นคุณหนูโดนท่านอ๋องน้อยหัวเราะร่วนในวันเกิดปีก่อนของคุณหนูเพราะของขวัญที่ท่านอ๋องน้อยมอบให้เจ้าค่ะ”

“ของขวัญ?” ฉันเลิกคิ้วขึ้นพร้อมๆกับที่ผิงเอ๋อพยักหน้าแรงๆ

หึ! หึ! ดูเหมือนยุคนี้จะมีผู้ชายขี้แกล้งอยากลองดีกับฉันเข้าเสียแล้ว

“เขาแกล้งอะไรข้า”

ฉันถามต่อ

“ท่านอ๋องน้อยบอกว่าคุณหนูใส่ชุดกระโปรงไม่ทันสมัยต้องมีลายผ้ามากกว่านี้เลยมอบชุดกระโปรงให้คุณหนูเป็นของขวัญ ท่านอ๋องน้อยสั่งคุณหนูเปิดหีบของขวัญกับมือเองในสวนหลังจวนของพวกเรา ตอนนั้นมีเพียงแค่คุณหนูกับท่านอ๋องน้อยสองคนส่วนผิงเอ๋อก็อดเป็นห่วงคุณหนูไม่ได้เลยตามมาแอบดู พอคุณหนูเปิดออก...” เสียงของผิงเอ๋อเงียบไปฉันจึงหรี่มองนางตาเขียวขู่ นางจึงพูดอีกครั้ง “พอเปิดออก...สีต่างๆที่ถูกใส่ไว้ข้างในได้พุ่งออกมาเลอะใบหน้าและชุดคุณหนูเหมือนมีกลไกใดซ่อนอยู่ในนั้น ท่านอ๋องน้อยหัวเราะร่วนไม่ยอมหยุดบอกว่าในที่สุดคุณหนูก็มีชุดลายทันสมัยกับคนอื่นบ้างแล้ว...”

ผิงเอ๋อยิ้มแห้งๆมาให้ ถึงแม้จะไม่ได้โดนเสียเองแต่ในใจกลับร้อนพรึบพรับบอกไม่ถูก ในเมื่อเขาแกล้งฉัน ถึงเขาจะเป็นถึงท่านอ๋องน้อยอะไรก็ตามฉันก็จะเอาคืน!

“ผิงเอ๋อ!”

“เจ้าค่ะ?”

“ข้าจะแวะไปซื้อของขวัญให้ท่านอ๋องน้อยก่อนไปจวนสกุลเก้า”

“ของขวัญ...? แต่...ท่านหญิงเตรียมไว้ให้แล้วนี่เจ้าค่ะ?”

ผิงเอ๋อมองฉันงุนงงแต่ฉันกลับจ้องนางเขม็ง

“ท่านอ๋องน้อยเก้าหลิ่งถิงผู้นี้ต้องได้ของขวัญพิเศษจากข้าไม่เหมือนใครอย่างแน่นอน!”

สายตาฉันประกายวาบจนผิงเอ่อกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ นางเตรียมตัวไม่นานฉันจึงได้ขึ้นรถม้ากับเขาเป็นครั้งแรก ผิงเอ๋อให้คนขับรถม้าไปในสถานที่ๆฉันบอกไว้เพื่อหาของขวัญให้ท่านอ๋องน้อยผู้นี้อย่างสมฐานะ นางเดินตามอยู่ข้างรถม้า ส่วนฉันก็เอาแต่นั่งนิ่งทั้งยิ้มเย็น

ว่าแล้ว...เรามาพนันกันหน่อยปะไร? ว่าวันเกิดปีนี้ของท่านอ๋องน้อยเก้าหลิ่งถิงชุดใครจะทันสมัยกว่ากัน...หึ!

อัพครั้งแรก : 3/2/58 รีไรท์ : 7/2/58

สวัสดีเจ้าค้า!!!

เจอเฮียเฟิ่งซักทีนะเจ้าคะ! เหม่ยก็กำลังเร่งสปีดอัพนิยาย ตอนนี้ก็อัพรัวๆเอาซะจริงๆ ฮูหยินก็เริ่มติดตามเฮียๆกันแล้ว เหม่ยรู้สึกดีใจมากเจ้าค่ะ ที่เหล่าฮูหยินยังไม่หายไปไหน เฮียเฟิ่งได้เป็นฮ่องเต้หนุ่มแล้ว และหัวใจเฮียก็แปรเปลี่ยนไปแม้ความอ่อนโยนจะยังอยู่ เหม่ยก็ขอให้ฮูหยินเอาใจช่วยหนูลี่เซียนของเราให้เอาชนะใจเฮียได้ ! เช่นเดิม...ฮูหยินจะท็อกอะเบ๊าท์อะไรกับเหม่ยก็ได้เลยเจ้าค่ะ! ว่างแล้วเหม่ยจะมาตอบท้ายบทแบบนี้ แต่หากรักชอบจะเม้นหรือโหวตเหม่ยก็ไม่ว่านะเจ้าคะ คิคิคิปล. ใครจะมโนว่าตัวเองเป็นนางเอกเหม่ยก็ไม่ว่าอีกเช่นเดิมเจ้าค่ะ! (ทำตามฮูหยินสบายใจเถิดดด คึคึคึคึคึ)

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา