บันทึกรักข้ามเวลา <ตีพิมพ์ สนพ.ปริ๊นเซส สถาพรบุ๊ค>

9.8

วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 17.20 น.

  20 บทที่
  3 วิจารณ์
  30.82K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 มีนาคม พ.ศ. 2559 04.12 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บทที่ 1 สุดเอื้อมมือผีเสื้อตัวน้อย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

นิยายเรื่องนี้ แต่งครั้งแรกเมื่อวันที่ 1/2/2558

เว็ปเด็กดี : ลิ้งค์ http://my.dek-d.com/pinkalice/


ได้รับการตีพิมพ์ สนพ.ปริ๊นเซส ในเครือสถาพรบุ๊คส์ ไม่อนุญาติให้ทำซ้ำ คัดลอกทุกกรณี หากพบเห็นทางเราจะดำเนินคดีตามกฏหมาย อาญาโดยไม่มีข้อยกเว้น

ภาคต่อจาก : บันทึกองค์หญิงจำเป็น

ติดตามตอนต่อไปที่ : http://my.dek-d.com/dekdee/writer/view.php?id=1300956

 

 

บทที่ 1

สุดเอื้อมมือผีเสื้อตัวน้อย

 

พวกเจ้าเคยไล่ตามผีเสื้อหรือไม่ สุดปลายทางของผีเสื้อที่ไขว่คว้าคือสิ่งใด เพียงความว่างเปล่า...หรือผีเสื้อตัวน้อยในอุ้งมือ? แต่โชคชะตาของข้าเริ่มหมุนช้าๆจากปิ่นปักผมเพียงอันเดียว เหมือนพรหมลิขิตของสวรรค์ เหมือนการชักใยของใครสักคน ข้าผู้ย้อนเวลามาได้นับเดือนจึงเขียนบันทึกเล่มนี้ขึ้นเพื่อจารึกไว้เป็นอักษร ให้ทุกสิ่งตราตรึงในหัวใจ...ไม่ลืมหายไปตามกาลเวลา

มาเริ่มบทแรกของบันทึกเล่มนี้กันเถอะ...

 

มืดมากที่นี่มืดจนผิวขาวๆของฉันยังส่องออร่าไม่ออก

“ใจร้ายนัก! ท่านเป็นเซียนเทพมีอิทธิฤทธิ์มากมายแค่เพียงคำบอกลาก่อนตายของคนรักยังไม่ให้ข้าฟัง! ข้ายังสาวยังแซ่ยังไม่แต่งงานด้วยซ้ำเป็นมนุษย์ไร้ประโยชน์ที่ยังไม่สืบพันธ์ก็ตาย! ข้าจะฟ้องเง็กเซียนฮ่องเต้ให้เซียนเทพที่ทำกับข้าเช่นนี้รับโทษสาสม!"

ฉันชี้นิ้วต่อว่าไปทั่วในความมืด หวังให้มีเซียนเทพใดได้ยินและมีแสงสว่างมารับวิญญาณฉันไป แต่กลับไม่มีแสงใดให้เห็นแม้แต่น้อย น่ากลัว...น่ากลัวมาก ไม่เหมือนในหนังสือนิยายที่พอตายจู่ๆก็มีแสงสีขาววาบมาแล้วพาวิญญาณเช่นฉันไปดื่มน้ำแกงยายเมิงเพื่อลบความทรงจำจากนั้นก็ต่อแถวเพื่อรอรับการเกิดใหม่อีกครั้ง

ฉันเริ่มกลัวมากขึ้นเรื่อยๆนี่มันผิดปกติชัดๆ หวังว่าจะไม่ติดอยู่ที่นี่ไปตลอดกาลใช่ไหม? การไม่ได้เกิดใหม่เป็นสิ่งที่วิญญาณล้วนหวาดกลัวทั้งนั้นและตอนนี้ฉันก็กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนสมบูรณ์แบบคงจะใจเย็นนั่งรอฟ้าฝนคงไม่ใช่แน่! สองขาออกเดินไปมั่วซั่ว

พลั๊ก!

ดูเหมือนจะชนอะไรเข้า...

“โอ๊ย!...นังหนูเจ้าชนคนแก่แบบข้าได้อย่างไร มองไม่เห็นข้ารึ!”

มองซ้ายมองขวา เสียงขุ่นเคืองนี่มาจากไหนกัน? มันมืดไปหมดมืดจนมองอะไรไม่เห็นแม้แต่น้อย แต่เมื่อลองมองลงไปข้างล่างถึงได้เห็นแสงนวลเหลืองเหมือนแสงจันทร์หนึ่งปรากฏขึ้นพร้อมกับหน้าลุงแก่ตัวเล็กๆคนหนึ่ง แวบแรกฉันตกใจจนผงะถอยหลังเมื่อเห็นหน้าคนลอยค้างในความมืดเหมือนภูติผีวิญญาณ แต่พอพิจารณาจากสถานการณ์หลังความตายแล้วฉันจะกลัวพวกเดียวกันอีกทำไม? จึงระงับสติแล้วเพ่งมองลุงแก่ดีๆเลยค้นพบว่าใบหน้าลุงแก่คล้ายโยดาในเรื่องสตาร์วอร์สไม่มีผิด ต่างตรงที่โยดามีดาบเลเซอร์ส่วนลุงแก่มีไม้เท้าอันเล็กๆอันหนึ่งพร้อมกับแสงไฟที่อยู่บนไม้เท้าอันนั้นนั่นแหละ และด้วยความสูงของแกคงทำให้ขาฉันเตะแกเข้าอย่างจัง เพราะตัวแกเตี้ยเท่าตอไม้ถูกโค่น ดูจากสำเนียงการพูดยังแปลกประหลาดเหมือนหลุดมาจากยุคเฟิงโบราณยังไงหยั่งงั้น

ฉันจ้องหน้าลุง ลุงจ้องฉันกลับ แล้วเอาไม้เท้าตีเข่าฉัน

“โอ๊ย!”

ฉันก้มลงกุมเข่าตัวเองเบาๆ ซวยจริงๆนอกจากจะถูกทิ้ง โดนรถชน ไม่ได้ยินคำบอกลาคนรักก่อนตายแล้วยังมาโดนคนแก่เอาไม้เท้าตีเข่าให้เจ็บเล่นอีก ตายแล้วยังโดนทำให้เจ็บ เรียกได้ว่าซวยซ้ำซวยซ้อนจนสมบูรณ์แบบ

“ดวงชะตาเจ้าช่างโชคร้าย”

จู่ๆไม้เท้าเล็กๆของแกก็ชี้ขึ้นมาตรงหน้าฉัน ทำให้แสงส่องวาบบนหน้าฉันคนเดียว สภาพตอนนี้เลยเหมือนตำรวจจับโจรมาเค้นคำตอบในห้องสืบสวน

“ห๊ะ! นี่ยังไม่แย่พอรึไง ไหงลุงมาทายดวงฉันงี่เง่าแบบนี้!”

ยังไงทันเกิดใหม่ก็โดนทำนายชีวิตโลกหน้าได้บรมห่วยแบบนี้มันน่าโมโหนัก! ลุงโยดา...อืม...ฉันขอเรียกแกแบบนี้แล้วกัน ลุงโยดาส่ายหัวช้าๆถอนหายใจเบาๆสายตาเห็นอกเห็นใจฉันเอามากๆเหมือนเมื่อครู่ฉันโดนรถชนแล้วไม่มีรถพยาบาลมารับ

“เจ้าโชคชะตาร้ายแต่ก็ยังโชคดีนัก!”

“โชคร้ายแล้วจะโชคดีได้ยังไง!” ฉันเถียง

“ดวงชะตาเจ้าได้เป็นถึงบุปผาคู่บัลลังก์ แต่อุปสรรคช่างมากมายจนเจ้าไม่อาจนับได้”

ฉันเบ้ปากมองลุงโยดา หรี่ดวงตาคู่กลมโตของตัวเองลง อะไรของลุง...ดูท่าแกจะเพี้ยน คนแก่ก็แบบนี้มักพูดจาเลอะเลือนไปทั่ว นี่มันยุคไหนแล้ว? ฉันจะไปเป็นดอกไม้ของกษัตริย์องค์ไหนได้!

“ลุงมารับฉันช้าแล้วยังจะพูดทำนายโลกหน้าฉันซี้ซั้วอีกหรือไง? คิดว่าฉันจะอารมณ์ดีที่ลุงทายว่าเป็นฮองเฮาแล้วลืมเรื่องที่ลุงมารับวิญญาณฉันช้าใช่ไหม? ฝันไปเถอะ!” ฉันจ้องหน้าลุงโยดาเขม็ง ส่วนลุงแกก็เอาแต่หรี่ตาจ้องหน้าฉันกลับ สายตาเหมือนมองคนสติไม่เต็ม “ลุงต้องชดใช้เวลาเกิดของฉันที่เสียไปด้วยการให้ฉันได้ยินคำบอกลาของคนรักเดี๋ยวนี้!”

ฟิ้ววววววววววววว!

เหมือนมีลมพัดไปวูบหนึ่ง แกไม่รับมุกฉันแถมไม่กลัวคำขู่สักนิด ลุงโยดาเบือนใบหน้าหนี ไม่ใส่ใจคำขอแม้แต่น้อย เคาะไม้เท้าลงพื้นสองทีเหมือนฉันจะพูดสิ่งใดก็ไม่มีผลกับแก

โป๊ก! โป๊ก!

“ว๊ากกกกกกกกกก!!!”

เป็นเพราะไม่ได้เตรียมใจฉันเลยตะโกนดังลั่น จู่ๆพื้นดินก็ทะลุหายไปแสงสีขาวที่เฝ้ารอมานานปรากฏขึ้น ตอนนี้ฉันกับลุงโยดาหล่นลงไปที่ไหนสักที่ช้าๆ รอบตัวฉันเป็นสีขาวสะอาด รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอลิซหลงมาในโพรงกระต่ายแต่ข้างๆกลับไม่ใช่กระต่ายน้อยน่ารักนี่สิ...ไม่นานรอบข้างก็ปรากฏแสงสีทอง ก้อนเมฆและสายรุ้งขึ้นอย่างช้าๆ ฉันและลุงโยดาลอยละล่องก่อนจะตกลงบนปุยเมฆเบานุ่มสีชมพูอ่อน

“ที่นี่สวยจริงๆ”

มองรอบข้างอย่างตกตะลึง หน้าก้อนเมฆมีบัลลังก์ใหญ่และใครบางคนนั่งอยู่บนนั้น ดูแล้วน่าจะเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้เจ้าสรวงสวรรค์แห่งนี้ เขามีใบหน้ารูปไข่สวยงดงามกึ่งหญิงกึ่งชาย แต่พอมองผู้หญิงมากมายที่คอยปรนนิบัติอยู่ มุมปากฉันก็กระตุกทันที เซง...แม้แต่บนสวรรค์ยังมีการนอกใจกันเกิดขึ้นได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับโลกมนุษย์เบื้องล่างนั่น คิดแล้วแค้นใจลึกๆที่ตัวเองต้องตายเพราะแฟนนอกใจไปมีหญิงอื่น

“ท่านผู้นั้นเรียกเจ้ามา ตามมาเถิดนังหนู”

ฉันเดินตามลุงโยดาไปอย่างว่าง่าย เจ้าของบัลลังก์เพียงชายตามองมาเมื่อฉันเดินมาหยุดหน้าบัลลังก์ สีหน้าเขาก็ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ ลุงโยดารีบก้มตัวลงประสานมือคารวะ ฉันที่ไม่รู้เรื่องพิธีใดเลยได้แต่ยืนเอ๋ออยู่จนเมื่อลุงโยดาดึงมือลงถึงได้สติเลยคุกเข่าลงพื้นปุยเมฆตามแก วาดมือไม้เงอะงะก้มลงคารวะเทพผู้นั้นจนหัวมิดหมอกควัน

“ซูหลิน! เจ้ากล้ามากที่บังอาจท้าทายอำนาจข้า!”

เสียงเรืองดังขึ้นราวเสียงคำรามของพยัคฆ์ ฉันไปท้าทายอำนาจใครตอนไหนกัน? จึงเงยหน้าขึ้นขมวดคิ้วแน่นเพราะความงุนงง สายตาเหม่อลอยมองปุยเมฆน้อยใหญ่ครุ่นคิดหาคำตอบไปเรื่อย ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ตัวเองเผลอไปท้าทายเซียนเทพเข้า ทวนคิด...หรือจะเป็นตอนไปทัศนศึกษาแล้วเผลอไม่เคารพเทพองค์หนึ่งในศาลเจ้าเพราะท้องเจ้ากรรมดันอยากกินไอศกรีมรถเข็นที่ผ่านหน้า? เรื่องเพียงแค่นี้ทำให้ฉันต้องโทษท้าทายเทพเจ้าเข้างั้นหรอ?

หยุมหยิมจริงๆให้ตายสิ...

“เจ้าบอกเพราะข้าไม่ให้เจ้าฟังคำสั่งเสียคนรัก เจ้าจึงกล้าบังอาจขึ้นข้อต่อรอง หวังทูลเรื่องนี้ให้เง็กเซียนฮ่องเต้ทรงทราบ!” เมื่อเห็นว่าฉันคงนึกไม่ออกแน่ชายตรงหน้าจึงพูดขึ้นตัดบท

“อ๋อ!”

ฉันร้องออกมาหันหน้ามองเซียนเทพผู้นั้น ใบหน้าบูดบึ้งนั่นกำลังจ้องฉันอย่างแค้นเคือง ดูท่าเขาไม่ใช่เง็กเซียนฮ่องเต้แต่เป็นเทพองค์หนึ่งผู้ขีดชะตาชีวิตฉันให้ตายโดยไม่ทันได้ยินคำกล่าวสุดท้ายของเสี่ยวหมิง ว่าแล้วน่าโกรธเอาเสียจริงๆในเมื่อเขาไม่ได้เป็นเง็กเซียนงั้นฉันก็ไม่เกรงใจอีกต่อไป จึงลุกขึ้นชี้หน้าว่ากล่าวเขาทันที

“ท่านใจร้าย! เป็นถึงเซียนเทพแต่กลับไม่ให้ข้าฟังคำกล่าวนั่น!”

ฉันเผลอพูดศัพท์เก่าโบราณตามพวกเขา อย่างว่าเข้าเมืองใดควรทำตามกฎบ้านเมืองนั้น ลุงโยดาหันมองฉัน สีหน้าแกซีดขาวเหมือนเห็นฉันเป็นผีแล้วลุงแกเป็นคน เอาไม้เท้าตีขาห้ามปรามทันที แต่พอเห็นประกายวาบโทสะในดวงตาฉันแกก็ยอมแพ้ร่นถอยไปดื้อๆ อย่างเช่นที่ใครสักคนได้ว่าไว้ ยามสตรีโกรธอย่าได้ยุ่งจะดีที่สุด เซียนผู้นั้นหรี่ดวงตาสีแดงเพลิงลง ก้าวเท้าลงจากบัลลังก์โอ่อ่าของเขาแล้วเข้าประชิดตัวฉัน รวบนิ้วมือที่ชี้ใบหน้าเขาไว้ในมือตน หมุนตัวฉันเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนทำให้ตัวฉันเขยิบเข้าใกล้จนลมหายใจเขาแทบรดลงแก้ม

“หากเจ้าได้ยินคำกล่าวของคนรัก เจ้าอาจขอบคุณข้าก็เป็นได้”

ฉันหนาวไปทั้งหัวใจเมื่อได้ยินคำเตือนนี้ ไม่ได้รู้สึกใจเต้นตามท่าทางของเขาแม้แต่น้อย ใบหน้าเขาลดลงช้าๆก่อนจะปล่อยตัวฉันออกจากอ้อมแขน ดูเหมือนคำพูดของเสี่ยวหมิงจะทำร้ายจิตใจฉันจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต มันอาจจะเป็นจริงตามที่เขาว่าเพราะแววตาของเสี่ยวหมิงที่มองมานั้นคงกล่าวคำพูดเชือดเฉือนได้อย่างไม่รู้สึก ฉันควรปล่อยวางตั้งแต่มองท่าทีเปลี่ยนไปของเขาครั้งนั้น เป็นฝ่ายบอกเลิกเขาแล้วเดินออกมาจากชีวิตผู้ชายอย่างสง่างาม ไม่น่าเลือกผิดปล่อยให้ตัวเองโง่งมอยู่นับเดือน รอปาฏิหาริย์ให้เขากลับมาเป็นเสี่ยวหมิงคนเดิมเหมือนแรกคบ หนีความเศร้าเข้าหาหนังสือหลอกตัวเองไปวันๆ

คิดดูดีๆหากเป็นเช่นที่เซียนผู้นี้ว่า...เซียนเช่นเขาถือได้ว่ายังเมตตาฉันอยู่มิใช่หรือ?

“ข้า...” ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ ในเมื่อตายแล้วจะกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก “ท่านอยากให้ข้าไปที่ใดก็ตามใจท่านเถอะ...”

ฉันยอมแพ้แล้วจริงๆในชาตินี้ ยอมรับชะตาห่วยแตกของตัวเองแล้วเชื่อฟังเซียนหนุ่มตรงหน้า น้ำตาเอ่อล้นอีกครั้งจนไหลออกมาเป็นสาย ลุงโยดาเงยหน้ามองฉันจากด้านล่างในมุมสูง อาจเห็นหน้าตาน่าเกลียดพิลึกเอาแกเลยส่ายหัวช้าๆพลางพูดปลอบ

“ท่านเทพอัคคีวิหกเรียกเจ้ามาเพื่อให้คำขอของเจ้าเป็นจริง”

ฉันหันขวับมองคนตรงหน้าทันที ลุงโยดาแกหมายความว่าอย่างไร? ว่าแต่นี่คือเทพอัคคีวิหกหรอเนี่ย! มิน่าดวงตาเขาถึงได้มีสีแดงเพลิงสุกสว่างเช่นนั้น! ตำแหน่งเขาถือว่าใหญ่โตบนสวรรค์ไม่น้อยเลยนะ!

“ข้าไร้มารยาทแล้ว...อภัยข้าด้วย”

ฉันกล่าวขอโทษเพราะรู้สึกผิด แต่เขากลับไม่ใส่ใจแล้วพูดต่อ

“ตามเนื้อดวงเจ้าแล้ว เจ้าไม่มีเนื้อคู่ในชาตินี้แม้เพียงสักคน”

ฉันอ้าปากค้าง หายสงสัยทันทีว่าทำไมเมื่อคบใครเขาก็ทิ้งฉัน ทั้งที่หน้าตาฉันก็ไม่ได้ขี้เหร่ จัดได้ว่าน่ารักเหมาะกับยุคสมัยแถมหน้าที่การงานยังดี ใครๆต่างบอกว่าฉันน่าจะแต่งงานตั้งแต่เรียนจบด้วยซ้ำไม่น่าเชื่อว่าจะอกหักซ้ำแล้วซ้ำแบบนี้! คำพูดนี้เหมือนทั้งด่าทั้งชมในเวลาเดียวกันแต่ฉันก็ได้แต่ฝืนยิ้มรับมันอย่างขมขื่นหวังลึกๆว่าเสี่ยวหมิงจะเป็นคนทำลายคำพูดเหล่านั้นด้วยการขอฉันแต่งงาน แต่ตอนนี้มันกลับพังทลายไปแล้วพร้อมๆกับชีวิตของฉัน

คิดแล้วก็ทำหน้าตายใส่ทุกสิ่ง หันหน้าฟังเทพอัคคีวิหกกล่าวทำนายอะไรที่มันอาจแย่กว่า เพราะหากชาติหน้าไม่มีคู่จะได้ทำใจเสียตั้งแต่ยังไม่เกิด

“ชะตาเจ้าผูกไว้กับคนผู้หนึ่งซึ่งอยู่ห่างไกลจากโลกที่เจ้าอยู่นัก ข้าจึงให้โยดาผู้ส่งดวงวิญญาณพาตัวเจ้ามาหา”

“ห๊ะ!”

ฉันอ้าปากค้าง ไม่ใช่เพราะตกใจที่ตัวเองจะผูกชะตาเข้ากับใครแต่ไม่คิดว่าลุงโยดาแกจะชื่อโยดาจริงๆ

ลุงแกชื่อโยดาจริงๆด้วยแหะ! ว้าว!

“โยดาจะพาเจ้าไปบ่อน้ำโลกหน้า ข้าช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้ ชะตาต่อจากนี้เจ้าเป็นผู้เลือกแล้ว ถึงหนทางจะลำบากแต่เจ้าจะได้พบเนื้อคู่ของเจ้า”

หรี่ตามองเซียนเทพผู้สูงศักดิ์ หรือที่ฉันบ่นว่ายังไม่ทันแต่งงานก็ตายก่อน เทพอัคคีวิหกถึงช่วยฉัน? หรือแท้จริงแล้วเขาเพียงช่วยเพราะกลัวฉันฟ้องเง็กเซียนฮ่องเต้กันแน่? แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามที่ทำให้ฉันได้เกิดใหม่ในโลกที่มีใครสักคนผูกด้ายแดงไว้คู่กัน ฉันก็ถือว่ามันเป็นพรจากสวรรค์อย่างหนึ่ง

ลุงโยดาใช้ไม้เท้าเกี่ยวเสื้อฉันให้ออกเดินแต่ฉันกลับชะงักตัวหันหลังก้มคราวะขอบคุณเทพอัคคีวิหก

“ขอบคุณท่านมาก”

เขาหันดวงตาสีเพลิงมาหา ยิ้มน้อยๆที่มุมปากพลางพยักหน้าให้เบาๆทีหนึ่ง ที่กล่าวว่าเซียนเทพทุกองค์ล้วนหน้าตาเหนือมนุษย์คงจะเป็นจริงเพราะรูปหน้าของเซียนอัคคีวิหกเช่นเขางดงามจนหาสิ่งไหนมาพรรณนาเทียบไม่ได้ เอาเป็นว่าเขาเหมือนชายงามแต่กลับดูเรืองอำนาจในตัวเอง

“เจ้า...” จู่ๆเขาก็พูดขึ้นแล้วหยุดไป “...อย่าได้เลือกผิดอีก” แววตานั้นดูห่วงใยอาทรน้อยๆ หรือเป็นฉันที่คิดมากไปเองก็ไม่อาจรู้ได้

ฉันขมวดคิ้วสงสัยแต่ยังไม่ทันถามสิ่งใด ร่างสีแดงของเขาก็สยายปีกขนนกเปลวเพลิงออกมาแล้วโผบินไปลับตา งดงามจนเป็นภาพที่คงจดจำไปทั้งเสี้ยวชีวิตในโลกนี้ เพราะหากไปโลกหน้าฉันคงไม่เหลือความทรงจำใดแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเลือกผิดอีกหรือไม่ฉันก็ไม่อาจล่วงรู้ได้อยู่ดี แต่หากตายอีกครั้งคงมาหาเขาและกล่าวว่า ขอบคุณท่านมาก หรือ ข้าทำผิดเช่นเดิมอีกแล้วขออภัยท่านด้วย แต่ไม่ว่าชะตาโลกหน้าจะเป็นอย่างไรฉันถือว่าการเริ่มต้นใหม่เป็นเรื่องน่ายินดีเสมอ

ฉันเดินตามลุงโยดา บ่อน้ำที่ต้องโดดลงไปเกิดเป็นสีชมพูประกายเงิน สวยงามระยิบระยับตา โลกหน้าจะเป็นยุคไหน? เป็นยุคต่อจากนี้? หรือ...อนาคตไปอีกไกลหรือไม่? ไม่อาจรู้

ฉันมองหน้าลุงโยดาอยู่พักหนึ่ง แกหรี่ตามองฉันทั้งสงสารทั้งอิจฉาเล็กๆเพราะหนึ่งคือชะตาฉันที่แกล่วงรู้และทำนายออกมา สองคือฉันได้ไปเกิดอีกครั้งโดยไม่ต้องต่อคิวเกิดเหมือนดวงวิญญาณอื่นๆซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ส่งวิญญาณหรือยมทูตไม่อาจได้รับชั่วชีวิต ลุงโยดาเลยมองฉันสายตาเปี่ยมความเสียดายที่ไม่ได้ไปเกิดเสียเอง

“เอาหล่ะข้าจะนับถึงสามแล้วเจ้าโดดเลยนะ” ลุงโยดารีบพูดไม่มองใบหน้าฉันที่พยักพเยิดตอบด้วยซ้ำ

“หนึ่ง” ฉันเตรียมตัวก้าวขาขึ้นขอบบ่อ

“สอง” ก้มหน้าจนก้นโด่งไปด้านหลัง

“พลั่ก! ตุ้ม!!!!”

“แล้วสามเล่า!!!”

ฉันโวยวายกล่าวทวงนับสามจากลุงโยดา เป็นเพราะใจฉันกลัวจึงยังไม่กล้าโดดตามจำนวนนับของลุง แต่แกยังไม่ทันนับคำว่าสาม ไม้เท้าเล็กๆของแกก็ตีก้นฉันทำหน้าคะมำลงบ่อ

“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!”

ดูเหมือนลุงโยดาจะขี้เกียจมองฉันได้รับชีวิตใหม่จึงเร่งแม้เพียงเสี้ยววินาทีก็ยังดี ฉันเหมือนอลิซอีกครั้ง ล่องลอยไปในอากาศ พลันเห็นเส้นของยุคต่างๆปรากฏขึ้น เป็นยุคของแต่ละยุคบนโลกใบนี้ แล้วโลกใหม่ของฉันมันยุคไหนละ? แล้วตัวฉันจะค่อยๆหดเล็กเป็นทารกไหม? ฉันจะลืมทุกอย่างเลยหรือเปล่า? น่าเบื่อตายถ้าต้องเป็นแบบนั้น...

ตุบบบ!

เหมือนจะหล่นบนเตียงนุ่มๆจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อฉันเกิดใหม่! มันควรจะเป็นท้องแม่มากกว่าเตียงนอนนะ? ว่าแต่ทำไมความทรงจำยังอยู่ครบ...หรือลุงโยดาจะลืมให้ฉันกินน้ำแกงยายเมิงลบความทรงจำ! มองเพดาน มีแต่ไม้วาดลายสลักสีสันสวยงามถ้าเช่นนั้นฉันอาจกลายเป็นเด็กทารกแรกเกิดในเปล ว่าแต่...ทำไมโลกใหม่ถึงได้มีลายไม้ฉลุพาดไปมาเป็นทรงโบราณคร่ำครึแบบนี้กัน?

“มันได้ผล มันได้ผล!”

เสียงชายแก่ดังอยู่ข้างฉัน เมื่อหันไปมองก็พบชายหญิงวัยกลางคนกำลังจ้องหน้ามา ดูเหมือนตัวฉันจะไม่ได้หดลงแถมยังเอียงคอได้แสดงว่าไม่ใช่ทารกแรกเกิดแน่นอน! ว่าแต่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย?? มองสถานการณ์แปลกประหลาดโดยรอบพวกเขาสวมเสื้อผ้ายุคโบราณ คนหนึ่งดูเหมือนเป็นขุนนางอีกคนแต่งตัวมีฐานะ และกำลังทำพิธีอะไรสักอย่างกันอยู่ เพราะมันมีทั้งธูปเทียนและกระดาษสีแปะรอบๆเตียงที่ฉันนอน

บวงสรวง? แขนขาขาด! เริ่มคิดไปต่างๆนาๆจนหน้าซีด

ก้มลงลงสำรวจตัวเอง ตัวไม่ได้หดเล็กเป็นทารก เพียงแต่นิ้วมือหดลงเล็กน้อยทำให้รู้ว่าตนกำลังอยู่ในวัยที่เด็กลงกว่าความเป็นจริง กระจกมือบานหนึ่งถูกยื่นมาให้ตรงหน้า ฉันไม่สนว่าใครนำมาให้ รีบส่องมองใบหน้าตนทันที ดูเหมือนใบหน้าฉันจะอ่อนเยาว์ลงเป็นใบหน้าของฉันเองเมื่อตอนอายุสิบสองสิบสาม อ่อนเยาว์ยังไงก็ดีกว่าแก่หงอกฉันจึงโล่งใจในข้อนี้ แถมความทรงจำอยู่ครบย่อมเป็นความเมตตาจากเทพอัคคีวิหกที่ให้โอกาสฉันได้เลือกเดินชะตาในโลกนี้เพื่อไม่ให้ทำผิดซ้ำสองหรือไม่ก็เพราะความสับเพร่าของลุงโยดาที่ลืมพาฉันไปลบความทรงจำ แต่เรื่องนี้ช่างมันเถอะ...

สิ่งที่น่าสนใจกว่าก็คือคำตอบของการมาเจอชายหญิงสองคนนี้นี่แหละ...

“ท่านเทพอัคคีวิหกส่งบุตรีมาให้เรา!”

ชายแก่ที่สวมชุดขุนนางกำลังกอดหญิงอ้วนที่ฉันคาดว่าเป็นภรรยาเขาแน่ๆอยู่ในอ้อมอก พลันน้ำตาใสของคนทั้งคู่ไหลออกมาเมื่อมองใบหน้าฉัน ให้ตายสิ! เทพอัคคีวิหกทำอะไรได้บ้าบิ่นชะมัดส่งฉันมาทั้งๆแบบนี้เลยหรอ! หรือเขาอยากให้ฉันข้ามช่วงชีวิตน่าเบื่อในวัยเด็กไป เลยส่งฉันมาทั้งแบบนี้

“ในที่สุด...ในที่สุด...สกุลเยี่ยก็ไม่สิ้นสกุลแล้วฮื้อออ”

ชายแก่ร้องไห้โฮออกมา เขาผละออกจากอ้อมกอดภรรยาและเดินตรงมาทางฉันที่ร่นถอยเพราะตื่นตระหนก

“ท่านทั้งสองเป็นใครกัน!?”

ฉันเริ่มเล่นไปตามบท พูดด้วยสำเนียงโบราณ ถามคนแปลกหน้าทั้งสอง เขยิบเข้ามุมหนึ่งในเตียงไม่ยอมให้ใครแตะต้องตัว

“ข้าชื่อเยี่ยลู่ซือเป็นขุนนางขั้นสามแต่ไร้ซึ่งบุตรธิดาจึงได้บวงสรวงเทพอัคคีวิหกเพื่อขอบุตรธิดาสืบสกุล นับแต่นี้ข้าคือบิดาของเจ้าแล้ว” เขาอธิบายเหมือนเป็นเรื่องปกติในขณะที่หญิงอ้วนเริ่มปริปากพูดบ้าง

“เยี่ยลี่เซียนข้าคือมารดาเจ้า” ฉันอ้าปากค้างชื่อตัวเองถูกเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ “นี่คือพิธีลับจากคัมภีร์โบราณแม้จะเป็นการบวงสรวงแต่หากเจ้าไม่มีชะตาเกี่ยวข้องกับพวกเรา เราก็ไม่สามารถขอเจ้ามาได้ ดังนั้นสิ่งนี้คือโองการสวรรค์ เจ้าจึงเกิดมาเพื่อเป็นบุตรีของเรา ห้องนี้มีเพียงเราสามคนเท่านั้น พิธีนี้คือพิธีลับเมื่อเจ้าเกิดมาทุกคนจะรู้จักเจ้าเสมือนเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของสกุลเราตั้งแต่แรก วันพรุ่งนี้จะมีเพียงเจ้าคนเดียวที่จำเหตุการณ์เหล่านี้ได้ ข้าทั้งสองคงจำมันไม่ได้แล้ว”

นางใส่ข้อมูลมาเต็มสมองเบลอๆของฉัน ฉันประมวลผลข้อมูลทันที ดูเหมือนจะถูกยัดเยียดชื่อ ยัดเยียดสกุลและได้พ่อแม่มาเป็นที่เรียบร้อย รู้ว่าตัวเองชื่ออะไรในโลกนี้และมีฐานะระดับไหน แต่ไม่รู้ว่านี้คือโองการอะไรของสวรรค์ รู้แค่ว่ามันเริ่มมหัศจรรย์จนเกินจะตามทัน

“แต่ข้าเป็นหญิง! จะสืบสกุลให้ท่านทั้งสองได้อย่างไร?”

ฉันถามพวกเขาไปตรงๆ

“อีกไม่นานจะมีการคัดเลือกสาวงามเข้าวัง หากเป็นเจ้าซึ่งน่าตางดงามเช่นนี้คงผ่านไปได้ไม่ยากนัก...” แม่ของฉันกำลังใช้สายตาพิจารณาความงดงามของฉันและเริ่มหันไปทางพ่อของฉัน “แต่ท่านพี่...นางคงต้องฝึกกิริยาเสียใหม่...” ดูนางกลุ้มใจไม่น้อยเมื่อพูดถึงเรื่องฝึก ก็แน่ละฉันดูไม่เป็นกุลสตรีเท่าไหร่ในสายตาพวกเขา นอกจากท่าทางเหมือนตุ๊กแกเกาะติดกำแพงเตียงฉันยังทำหน้าเหย่เกใส่ มีกุลสตรียุคนี้ที่ไหนเขาทำกันบ้างเล่า? ถึงพวกนางจะตกใจก็ได้แต่นั่งก้มหน้านิ่งรอคำอธิบายในท่าทีสำรวมทั้งนั้น

“ทำตามเจ้าว่าก่อนที่พวกเราจะลืมจนสิ้น” ท่านพ่อของฉันเดินออกไปนอกประตู แม้ในห้องจะไม่มีใครแต่เมื่อพ้นประตูไม้กลับมีหญิงรับใช้คอยเปิดประตูและรับคำสั่ง “ผิงเอ๋อจัดการทำความสะอาดห้องนี้ พาคุณหนูลี่เซียนของเจ้าไปดูห้องของนางและเปลี่ยนเสื้อผ้านางให้เรียบร้อย”

ดูเหมือนจะไม่มีใครสงสัยในตัวฉันตามที่ท่านแม่ว่า ฉันกลายเป็นคุณหนูสกุลเยี่ยมีตัวตน หน้าตาและเป็นที่รู้จักแม้ตอนนี้จะไม่มีความทรงจำวัยเด็กหลงเหลืออยู่แต่ดูเหมือนทุกคนจะรู้จักฉันราวกับว่าฉันกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้โดยสมบูรณ์ เสมือนมีคนวาดตัวฉันเติมลงในโลกอีกใบ คงเป็นฝีมือของเทพอัคคีวิหกเป็นแน่!

ผิงเอ๋อเป็นสาวใช้ นางกำลังเดินตรงมาทางฉันและก้มลงอยู่ข้างๆตัวตอนนี้จะว่าอย่างไรดีละ? สถานการณ์เป็นเจ้าคนนายคนแบบนี้ฉันไม่ชินเท่าไหร่...

“คุณหนู...ผิงเอ๋อจะพาคุณหนูไปดูห้องนอนใหม่นะเจ้าค่ะ นายหญิงเพิ่งให้คนซ่อมแซมเสร็จวันนี้เอง” ผิงเอ๋อยิ้มให้เป็นมิตร “ผิงเอ๋อไม่เห็นคุณหนูลี่เซียนมาสามวัน ผิงเอ๋อรู้สึกร้อนใจมาก วันนี้เมื่อได้เห็นหน้าคุณหนูอีกครั้งผิงเอ๋อถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่” ผิงเอ๋อร้องไห้กระซิกออกมาแล้ว ใบหน้านางจัดได้ว่าน่ารักจิ้มลิ้ม ดวงตากลมโตมองได้เรื่อยๆไม่รู้จักเบื่อ ท่าทางบอบบางเหมือนสาวน้อยไร้เดียงสาไม่สู้คน อาจเป็นเพราะนางเรียบร้อยจนเกินไป

“ผิงเอ๋อ ข้าอยากรู้ว่าคนอื่นกล่าวถึงข้าเช่นไรในสามวันที่ข้าไม่อยู่” ฉันลองถามเพื่อความแน่ใจว่าไม่ใช่แค่คนในบ้านนี้เท่านั้นที่รับรู้การมีตัวตนของฉัน ไม่เช่นนั้นอาจมีคนหาว่าสติวิกลเอาได้

“ท่านอ๋องน้อยเก้าหลิ่งถิงถามถึงคุณหนูทุกสามชั่วยามพอๆกับที่ใต้เท้าจวี๋จวินฉีมาก่อกวนที่จวนของเรา”

ถึงจะไม่รู้จักพวกเขาสักคนแต่ฉันก็พยักหน้าเออออกับนางไปตามน้ำ

“อ๋อออออ ข้าเข้าใจแล้ว”

ผิงเอ๋อยิ้มให้ เดินนำฉันไปที่ห้องนอน ห้องสวยทีเดียว...โทนสีของม่านเตียงและผ้าปูเป็นสีส้มสว่างดูสบายตา ข้างๆมีแจกันดอกไม้ประดับอยู่หัวนอน ข้างในเป็นดอกเหมยฮวาดอกไม้โปรดของฉัน ฉันรีบวิ่งไปหยิบมันไว้ในมือ สูดดมกลิ่นหอมจากดอกไม้ ในยุคของฉันดอกเหมยฮวาแถวบ้านหาดูได้ยากจริงๆเพราะฉันอยู่ในเมืองที่เร่งรีบทุกวันการสูดดมดอกไม้แบบนี้จึงเป็นสิ่งที่ฉันถวิลหาที่สุด “ฮ่า....หอมจริงๆ” ฉันหลับตาเพลิดเพลินกับกลิ่นดอกไม้จนลืมไปว่าผิงเอ๋อกำลังมองอยู่ เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเจอสายตาอึกอักของนางเข้า

“ถ้าคุณหนูชอบ ผิงเอ๋อจะปักแจกันให้ทุกวันนะเจ้าค่ะ” ผิงเอ๋อเป็นคนฉลาดเลยพูดแบบนี้ออกมา ทำให้ฉันไม่เขินมาก ฉันยิ้มให้นาง

“ขอบใจเจ้ามาก”

“เจ้าค่ะคุณหนู”

ฉันตบไหล่นางเบาๆอย่างเป็นมิตร เดินควงดอกเหมยฮวาในมือเล่น เตะเท้าวนไปรอบๆห้อง จู่ๆผิงเอ๋อก็ประชิดตัวฉันสองมือนางประคองเสื้อชุดหนึ่งไว้ ตรงมาถอดเสื้อฉันออกราวกับเป็นเรื่องปกติ

“นายท่านสั่งผิงเอ๋อให้เปลี่ยนชุดให้คุณหนูเอ่อ...” ผิงเอ๋อมองเสื้อยุคฉันอยู่ตั้งนานแล้ว นางมองมันราวกับเสื้อผ้าที่ฉันสวมไว้พิลึกพิลั่นจนขัดตานางเอาเสียมากๆ “ผิงเอ๋อรู้ว่าคุณหนูชอบหาชุดต่างแคว้นมาใส่...แต่คุณหนูใส่ชุดแคว้นเรางดงามที่สุด” นางพยายามพูดโน้มนาวพลางจับมือฉันออกจากอก ฉันยกมือป้องไว้ทันทีรีบพูดเสียงรัวพลางส่ายหัว

“ไม่ต้อง ไม่ต้อง ข้าเปลี่ยนเองได้!”

มือปิดร่างตัวเองไว้แน่นหนา หยิบเสื้อจากมือนางมาด้วยความระแวง ลืมไปเลยว่าในยุคนี้ตั้งแต่บรรดาคุณหนูขึ้นไปก็ไม่มีใครทำอะไรเองสักอย่างแม้กระทั่งเปลี่ยนเสื้อผ้า ฉันเดินเข้าฉากไม้กั้นในห้อง แม้ผิงเอ๋อจะยืนเศร้าค้างงันอยู่ตรงนั้น ให้ตายสิ...ไม่ชินจริงๆหากจะถูกคนเพิ่งพบหน้าครั้งแรกจับถอดเสื้อเปลี่ยนล่อนจ้อน

“ผิงเอ๋อเปลี่ยนชุดให้คุณหนูตั้งแต่เล็ก...แต่คุณหนูกลับไม่ให้ผิงเอ๋อทำ หรือคุณหนูของผิงเอ๋อจะเติบโตกว่าวันวานแล้ว...”

เสียงนางแว่วมาตัดพ้อ ฉันเหลือบตามองนางผ่านช่องฉลุ นางกำลังก้มหน้าลงอย่างโดดเดี่ยว เหมือนแม่ที่พบว่าลูกตัวเองเปลี่ยนไปไม่สนิทกันดั่งแต่ก่อน ฉันในตอนนี้ที่กำลังเจอปัญหาการผูกปมผ้าแต่ละชั้นจึงเดินออกมาจากฉากกั้นในสภาพชุดรุ่ยร่ายมาหานาง

“ผิงเอ๋อเจ้าช่วยมัดให้ข้าใหม่ที...”

ทำหน้าเบื่อโลก ชุดแต่ละชั้นทั้งใส่ยากและผูกยากไม่นึกว่าแค่ใส่เสื้อจะวุ่นวายได้ขนาดนี้สมควรแล้วที่เหล่าคุณหนูควรมีใครสักคนช่วยผูกเสื้อให้พวกนางในแต่ละวัน ตอนนี้ยิ่งผิงเอ๋อรัดมันแน่นเท่าไหร่ฉันยิ่งรับรู้ได้ถึงความทรมานของเสื้อผ้ายุคนี้ นอกจากจะหลายชั้นแล้วมันยังไม่ใช่เสื้อสำเร็จรูปที่แค่รูดซิปแล้วปิดได้ แต่ทุกส่วนต้องมัดเป็นระเบียบพิธีการ ตรงข้ามกับใบหน้าของผิงเอ๋อที่ยิ้มแป้นออกมา นางมีพลังเหลือล้นในการช่วยฉันใส่เสื้อผ้าและจับฉันนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งก่อนจะทำผมให้ฉันทีละส่วน ผมฉันส่วนหนึ่งจึงถูกปล่อยยาวตามธรรมชาติคงไว้ซึ่งวัยเดียงสาและอีกส่วนหนึ่งถูกมัดขึ้นไปอย่างประณีตรวมกับเชือกเส้นเล็กๆหลากสี ทำให้ผมดำสนิทของฉันดูมีสีสันมากขึ้นหน่อย ส่วนที่มัดสูงถูกปักด้วยปิ่นหยกสีส้มแดงเข้าชุด มีอัญมณีสีแดงอยู่ตรงปลาย ห้อยเส้นสายสีทองสวยงาม

มองตัวเองในกระจก ตอนนี้ได้กลายเป็นคนในยุคอดีตเต็มตัวทั้งทรงผมและเสื้อผ้า นึกไม่ถึงว่าเวลาตนใส่ชุดโบราณจะงดงามเหมือนคุณหนูมีตระกูลกับเขาบ้าง ผิงเอ๋อมองฉันด้วยความภาคภูมิใจประหนึ่งฉันเป็นผลงานชิ้นเอกของนาง

“คุณหนูของผิงเอ๋อสวยที่สุดในแคว้นฉีเลยเจ้าค่ะ!”

ฉันมองหน้านางที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆก่อนจะหัวเราะแหะๆเพราะเขินกับคำชมไร้เดียงสาต่อหน้าของคนยุคนี้ สวยที่สุดในแคว้นฉีแสดงว่าหน้าตาฉันก็โดดเด่นในยุคนี้เหมือนกัน น่ายินดี! น่ายินดี! ไม่มีหญิงสาวคนไหนไม่ภูมิใจที่นางเกิดมาสวยหรอก หึหึ!

ว่าแต่นางพูดว่าอะไรนะ? แคว้นฉี! หนึ่งในเจ็ดแคว้นที่ยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์เฟิง!

“เจ้าพูดว่าแคว้นฉี!”

ฉันทำตาโตหันไปตะโกนใส่หน้านาง พลางเขย่าไหล่ทั้งสองข้าง

“จะ...เจ้าค่ะ”

ผิงเอ๋อมีสีหน้าตกใจ มองฉันด้วยความกลัว แต่ฉันกลับตกใจกว่า ไม่นึกว่าจะได้ย้อนเวลามาเกิดเป็นคนยุคประวัติศาสตร์เฟิงที่ตนอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ใครครองราชย์บัลลังก์ตอนนี้!” ใจฉันสั่นสะท้านหากเป็นก่อนศึกต้าจิ๋นการที่สวรรค์ส่งฉันมาอาจมีความหมายก็เป็นได้

“ปีที่ห้ารัชศกของจักรพรรดิหยางเฟิ่งแห่งราชวงศ์หมิงเจ้าค่ะ...”

ผิงเอ๋อก้มตัวคุกเข่าลงทันทีที่พูดจบเป็นเพราะทั้งหวาดกลัวอาการแปลกๆของฉันและหวาดกลัวโทษเอ่ยพระนามจักรพรรดิ ฉันอ้าปากค้าง เป็นจริงหรือนี่! ฉันกำลังอยู่ในประวัติศาสตร์ที่ตัวเองร่ำเรียนมาหรือเนี่ย!!!

“คุณหนูทำผิงเอ๋อกลัว...คุณหนู...”

นางเงยหน้ามองฉันทั้งตัวสั่นเทา ฉันจึงรีบประคองตัวนางขึ้นจากพื้นทันที

“ไม่มีอะไร...”

ถึงจะพูดไปแบบนั้นแต่ข้างในกำลังร้อนราวไฟลน ฮ่องเต้หมิงหยางเฟิ่งผู้ครองราชย์บัลลังก์แคว้นฉีในช่วงศึกสงครามสามแว่นแคว้น พระองค์เป็นหนึ่งในฮ่องเต้แห่งสงครามตะวันออก แม้รบชนะหลายครั้งแต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดเพราะพระองค์จะตายในสนามรบ! ฉันปรับสีหน้า...นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หากสวรรค์กำหนดให้ฉันเป็นคนของแคว้นฉี ฉันจะไม่ยอมให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแน่! เพราะหลังจากการสวรรคตของพระองค์แผ่นดินฉีจะร้อนเป็นไฟจนกว่าฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ได้อีกครั้ง กว่าจะถึงช่วงนั้นแผ่นดินฉีจะอดอยากแร้นแค้นมากแค่ไหน...แค่คิดฉันก็ส่ายหน้าไม่ยอมรับทันที

“ผิงเอ๋อ...ท่านแม่บอกข้าว่าจะมีการคัดเลือกสาวงามเข้าวังหลวงใช่หรือไม่?”

ฉันหันหน้าไปหานาง ในหัวคิดหาลู่ทางเข้าใกล้จักรพรรดิหมิงให้เร็ววันมากที่สุด เพื่อเตือนพระองค์ถึงผลร้ายในวันข้างหน้า แม้จะยากลำบากเช่นชะตาที่ถูกเบื้องบนกำหนดไว้แต่นี่คงเป็นเพียงบททดสอบแรกของสวรรค์ที่ส่งฉันมาในโลกนี้เท่านั้น

“เจ้าค่ะ...”

ผิงเอ๋อพูดเสียงค่อยมองแววตามันปลาบของฉันเหมือนเห็นอาหารชามโตวางอยู่ตรงหน้า แต่ดูจากท่าทางเกรงกลัว นางคงคิดว่าฉันไม่อยากเข้าร่วมการคัดเลือกเป็นแน่

“เยี่ยม! ข้าจะเข้าวังหลวง!” ฉันยืดตัวกอดอก ผิงเอ๋อถึงยิ้มออกมา

“คุณหนูคิดได้แล้วใช่ไหมเจ้าค่ะ! ผิงเอ๋อดีใจแทนนายท่านทั้งสองจริงๆที่คุณหนูยินยอมใจเข้าร่วมการคัดเลือกครั้งนี้!” นางปรบมืออยู่ข้างๆฉันแล้ววางสีหน้าเศร้าหมองลง “หากคุณหนูไม่มีความสุข ถึงถูกทางการบังคับให้เข้าวังคัดตัว คุณหนูคงเป็นทุกข์...” ฉันมองหน้าเปี่ยมทุกข์ของนาง เฮ้อ...คนรับใช้ยุคนี้ก็แบบนี่ทั้งนั้น ห่วงเจ้านายยิ่งกว่าชีวิตตัวเองเสียอีก

“เจ้าสบายใจได้ผิงเอ๋อข้าย่อมมีชีวิตเป็นสุขในวังหลวง!” ฉันยกยิ้มขึ้นก่อนจะมีความคิดดีๆผุดขึ้นในสมอง “ข้าจะไปข้างนอก จู่ๆก็ชักอยากเห็นประตูวังใกล้ๆแล้ว!” แน่นอนว่าอุตสาห์มาถึงที่นี่และมีเป้าหมายชัดเจนตั้งแต่อายุน้อย ฉันต้องเริ่มสำรวจเมืองนี้ให้ฉ่ำตาเสียก่อนแล้วคิดหาแผนต่อไป สองขารีบวิ่งออกไปนอกประตูห้องก่อนจะหยุดเท้าเมื่อเสียงผิงเอ๋อดังมา

“คุณหนูเจ้าค่ะรอผิงเอ๋อด้วยเจ้าคะ!”

นางรีบร้อนเดินตามออกมา

เมื่อมองไปรอบๆจึงเห็นบรรดาคนรับใช้ในเรือนของตัวเอง ดูท่าต้องขอบคุณเทพอัคคีวิหกที่ส่งฉันมาในตระกูลร่ำรวย เรื่องเงินทองปากท้องจึงหมดไปหนึ่งอย่าง ชีวิตต่อจากนี้มีคนคอยรับใช้มากมายทั้งชายและหญิง อยู่ที่นี่ฉันคงสบายไปทั้งชาติแน่ๆ

“วังหลวงไปทางไหน” ฉันหันถามนาง

“ทางซ้ายเจ้าค่ะ” นางชี้นิ้วออกไป หอบแฮ่กๆพลางพูดออกมา เดินตามฉันที่ลดฝีเท้าลง ค่อยๆก้าวเท้าออกจากจวนตัวเอง ถึงอย่างไรนางก็อายุมากกว่าซ้ำยังเป็นห่วงเป็นใยฉันตลอดเวลา นางอยู่ในฐานะข้ารับใช้คนสนิทของฉันอย่างเห็นได้ชัด ฉันจะใจร้ายวิ่งไม่ทิ้งฝุ่นให้นางตามเหนื่อยหอบเล่นก็เย็นชาไปหน่อยกระมัง

แคว้นฉีกว้างใหญ่กว่าที่คิด เมืองหลวงชิงฉวนจึงคึกคักไปด้วยผู้คนมากมาย ในยุคของจักรพรรดิหมิงหยางเฟิ่ง พระองค์ทรงฟื้นฟูแคว้นให้อู้ฟู่ทั้งเงินทองและกำลังรบ เปิดการค้าขายนอกแคว้นอิสรเสรี เศรษฐกิจในชิงฉวนจึงครึกครื้นจนเป็นศูนย์กลางท่ารับส่งของ บรรดาชาวบ้านมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสอิ่มเงินตำลึงถ้วนหน้า อย่างว่า...ประชาชนเป็นสุขบ้านเมืองย่อมเติบใหญ่ได้ไม่ยาก ช่างเป็นแคว้นที่เหนือการคาดเดาในความคิดของฉัน ตอนนี้มาเห็นกับตามิใช่เพียงตำราคงตอบคำถามทุกอย่างได้ดีที่สุด ดีใจจริงๆที่ได้เห็นทุกอย่างในประวัติศาสตร์ตรงหน้าเช่นนี้

“ฮ่า! แคว้นฉีช่างดีเสียจริง!”

ฉันมองไปรอบๆตื่นตาตื่นใจกับทุกสิ่งรอบตัว เดินเข้าไปหากลิ่นหอมๆของซาลาเปาโบราณขนาดแท้ข้างทาง ท่านลุงซาลาเปากวักมือเรียกลูกค้ากระเป๋าหนักแบบฉันอย่างไว

“คุณหนูๆ อย่าหาว่าคนแก่อย่างข้าโม้เลย! แต่ซาลาเปาของข้าอร่อยที่สุดในแคว้นฉีแล้ว” ท่านลุงทำหน้ายิ้มแย้ม แต่ถึงไม่พูดแบบนั้นฉันก็อยากกินจะแย่อยู่แล้วล่ะ!

“ข้าเอาอันนี้ แล้วก็อันนี้ อ่อ! ท่านลุงใบนี้ด้วย” สายตาจ้องมองซาลาเปา นิ้วมือชี้ซาลาเปาหลากรส ผิงเอ๋อมองท่าทางตะกละตะกลามของฉัน จ่ายเงินแทนแล้วช่วยหิ้วซาลาเปาลงห่อผ้าที่นางเตรียมมาไว้ในมือ ผิงเอ๋อดูเหมือนจะเตรียมพร้อมหิ้วของให้ฉันด้วย ช่างรู้ใจเสียจริง!

“อร่อยจัง!”

ฉันอุทานเสียงดังทำเอาชาวบ้านที่เห็นท่าทางการกินน่าอร่อยของฉันสนใจยกใหญ่ พวกเขามุงร้านซาลาเปาท่านลุงมากขึ้น พริบตาเดียวซาลาเปาก็ขายดิบขายดีจนท่านลุงมือเป็นระวิง

“ขอบคุณคุณหนู ซาลาเปาข้าขายดีเพราะท่านแท้ๆ”

คุณลุงเก็บซึ้งซาลาเปาพลางขอบคุณ ทำให้รู้สึกสุขใจขึ้นมาเสียดื้อๆ ยิ้มพลางพูด

“ไม่เป็นไรๆ เพราะซาลาเปาท่านลุงอร่อยที่สุดในแคว้นฉีจริงๆ!”

ฉันยิ้มกว้างออกมา ก่อนที่ตัวจะถูกเอี้ยวไปด้านหลังเพราะถูกมือดีกระตุกปิ่นออกจากศีรษะ ฉันรีบหันไปทันที ส่งสายตาอาฆาตไปที่เจ้าโจร แกเล่นผิดคนซะแล้ว! คนอย่างคุณหนูลี่เซียนเช่นฉันวิชาป้องกันตัวไม่แพ้ใครแน่นอน!

“ขโมย!!! คุณหนูของข้าโดนขโมยปิ่นปักผม! ใครก็ได้ช่วยจับที!”

ผิงเอ๋อตะโกนลั่น

ชายชุดสกปรกมอซอวิ่งสุดฝีเท้าไม่คิดชีวิต หลายคนพยายามวิ่งตามโจรไป อีกหลายคนแหวกทางออกเมื่อโจรวิ่งผ่าน ฉันมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างโกรธขึง มาโลกนี่เพียงไม่กี่ชั่วยามก็เจอโจรเข้าเสียแล้ว...ความซวยจะตามข้ามภพข้ามชาติอะไรปานนี้! หรือคำทำนายของลุงโยดาจะเป็นจริง สองขาออกวิ่งตามโจรไป เห็นแบบนี้ฉันก็เคยเป็นนักวิ่งสมัยประถมนะ! ถึงจะแค่ประถมก็เถอะ...

“หยุดเดี๋ยวนี้! ข้าบอกให้เจ้าหยุด! แฮ่กๆ!”

เมื่อรู้ว่าร่างกายตอนนี้ไม่ได้พลิ้วปลิวลมเหมือนตอนประถม จากตะโกนให้เจ้าโจรหยุด กลายเป็นฉันหยุดหอบหายใจเสียเอง ชุดนี้อึดอัดคับตัวจนวิ่งแทบไม่ได้ ครั้นจะใช้วิชาป้องกันตัวที่ร่ำเรียนมาก็คงไม่ทันการ แต่การถูกใครสักคนหยามหน้าขโมยของดื้อๆก็ไม่ใช่ฉันอีก จึงพยายามอีกครั้ง คราวนี้วิ่งสุดฝีเท้าแต่ท่าทางยังคงเหมือนเด็กน้อยไล่ตามผีเสื้อ

เจ้าโจรเลี้ยวตัวเข้าไปทางซ้าย ทะลุซอกตรอกออกไปอีกทาง ถนนข้างหน้าว่างเปล่าไร้ผู้คนจนน่าฉงนใจ ชาวบ้านล้วนแหวกทางให้เจ้าโจรและฉัน ทำไมจู่ๆทุกคนถึงได้ใจดำไม่ช่วยกันสักคน! เฮ้อ! คิดว่ามายุคนี้ผู้คนจะมีน้ำใจกันแท้ๆ และแล้วทหารลาดตระเวรในชุดเกราะได้ยืนเรียงรายปิดกั้นทาง แต่เป็นฉันกับเจ้าโจรที่หลุดเข้ามาในทางเดินโล่งโจ้ง

เกิดอะไรขึ้น...หรือพวกเขามาจับโจร? เพราะมีทหารกลุ่มหนึ่งวิ่งไล่ตามพวกฉันมาอีกที ปากตะโกนบางสิ่งไม่หยุดพร้อมๆกันจนฟังไม่เป็นภาษา ปิ่นปักผมถูกชูขึ้น เจ้าโจรวิ่งหน้าตื่นเมื่อฉันเริ่มวิ่งไล่ทันพร้อมทหารกลุ่มนั้น แต่คราวนี้ฉันมีเหล่าทหารลาดตระเวนเป็นผู้ช่วย หึ! เจ้าไม่รอดแน่เจ้าโจรเอ๋ย!

 

 อัพครั้งแรก : 3/2/58 รีไรท์ : 7/2/58

สวัสดีเจ้าค้า!!!

เสี่ยวหมิงมาแล้วเจ้าค้าาาาา! เหม่ยอยากให้ฮูหยินเห็นความหล่อเฮียหมิงแกบ้างเลยเอารูปมาลง สำหรับแม่นางน้อยของเราหรือลี่เซียน (หรือฮูหยินจะมโนเป็นตัวเองเหม่ยก็ไม่ห้าเจ้าค่ะ คิคิคิ) ก็ได้เข้ามาสู่ภพของเฮียหยางแล้ว ว่าแต่เมื่อสองคนนี้เจอกันจะเป็นเช่นไรหนอ?????อย่าลืมตามมาเชียร์เฮียได้ในตอนหน้าเลยเจ้าค่ะ! วันนี้เหม่ยขอสลบเหมือดเช่นเดิมนะเจ้าคะ! =[]=" คร๊อกกกกกกกกกกก!!!

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา