วุ่นนัก เทพพิทักษ์จักรราศี

7.7

เขียนโดย ถังถัง

วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 13.31 น.

  3 บท
  2 วิจารณ์
  6,694 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557 15.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ผมคือ...นายสามตา!

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

   ไม่ว่าอยู่ที่ไหน  ข้าก็จะกลับมา...

 

 

     ถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจ  แต่ข้าคง...  ต้องผิดคำมั่นกับพวกเจ้าแล้วจริง ๆ สินะ สหายผู้อยู่ ณ สุดขอบจักรวาลอันห่างไกล 

 

     ช่างน่าเสียใจที่ข้าไม่อาจกล่าวคำขอโทษหรือแม้แต่คำร่ำลา  แต่ทว่า เพราะนี่คือ หนทางที่ข้าเลือกเองมาตั้งแต่ต้น มาจนถึงบัดนี้ข้าจึงไม่อาจปฏิเสธมันได้

 

     “หยางเจียน  ถึงเวลาชดใช้กรรมของเจ้าแล้ว มีอะไรจะสั่งเสียก็รีบพูดมา!”

 

     ข้าก้มลงใช้นิ้วปาดโลหิตสีแดงฉานที่เปรอะเปื้อนริมฝีปากออก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงห้วนที่เอ่ยเรียกนามเดิมของข้าอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจ อีกทั้งน้ำเสียงยังแฝงไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังเกินกว่าจะพรรณาไม่ต่างจากสายตาแข็งกร้าวที่จ้องมองลงมายังร่างที่ทรุดอยู่กับพื้นดินอย่างหมดสภาพของข้า

 

     เด็กน้อยที่ข้าเคยโอบอุ้มเอาไว้ในอ้อมอก เด็กน้อยที่เคยร้องไห้งอแงร้องเรียกหามารดาด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ วันนี้เติบโตมากเกินกว่าที่ข้าจะคาดถึง กาลเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเสียจริง ๆ

 

     “หึ  เฉินเซียง อย่ามัวแต่พูดมากอยู่เลย สิ่งใดที่ข้าได้กระทำลงไปแล้วจะไม่มีวันเอ่ยคำว่าเสียใจในภายหลังแน่นอน”

 

     ข้าเค้นเสียงเอ่ยตอบพร้อมกับกระอักเลือดออกมาอีกอึกใหญ่  เห็นทีว่าร่างกายของข้าคงไม่อาจจะรับไหวแล้วจริง ๆ  พลังอำนาจของหลิวเฉินเซียง หลานผู้ไม่เอาไหนของข้าในกาลก่อนเวลานี้กลับเพิ่มพูน เมื่อรวมกับขวานเทพ อาวุธทรงอานุภาพในมือ รวมทั้งได้ความช่วยเหลือจากเหล่าสหายเทพและปิศาจที่ล้วนแต่ชิงชังหวังจะกำจัดข้า  เขาจึงกลายเป็นดั่งพยัคฆ์มังกรติดปีกก็ไม่ปาน

 

     ข้ายังคงไม่ละสายตาไปจากร่างของเด็กหนุ่มตรงหน้า หลานชายเพียงคนเดียว พร้อมกับเหล่าสหายเทพปิศาจมากมายที่อยู่ข้างกาย ช่างเป็นภาพที่... 

 

     น่ายินดีอะไรเช่นนี้! 

     เขาไม่ได้ทำให้ข้าผิดหวังเลย  แม้ร่างกายนี้จะเจ็บปวดเหลือคณาแต่มันกลับถูกความยินดีเหลือล้นที่ผุดขึ้นมานั้นสลายไปจนแทบไม่หลงเหลือ  ริมฝีปากของข้าจึงเผลอแย้มรอยยิ้มบาง ๆ ออกไปโดยที่ไม่รู้ตัว ทำให้สายตาของเฉินเซียงยิ่งปรากฎแววขุ่นขวางคล้ายอยากจะแผดเผาตัวข้าให้มอดไหม้มากยิ่งขึ้น

 

     “จนถึงเวลานี้เจ้าก็ยังไม่สำนึกในสิ่งที่กระทำ  ผู้บริสุทธิ์มากมายต้องพบกับความสูญเสีย จากการยึดมั่นในกฎสวรรค์ที่ไร้ความเป็นธรรมนั่น รวมทั้งเทพผู้คุมกฎที่ไร้ซึ่งจิตเมตตาหรือคุณธรรมเช่นเจ้า ข้าจะบอกให้รู้ไว้  ข้าจะช่วยมารดาของข้าออกมาและเปลี่ยนแปลงกฎสวรรค์บ้าบอนั่นซะ แต่น่าเสียดายที่เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นมัน!”

 

     “ดี... ”   ข้าเอ่ยตอบเสียงเรียบคล้ายไม่อนาทรร้อนใจกับความพินาศของตนที่รออยู่ตรงหน้า ก่อนจะค่อย ๆ ใช้แรงกำลังที่เหลืออยู่ทั้งหมดค่อยพยุงตัวเองลุกขึ้นยืนต่อหน้ามัจจุราชที่พร้อมจะประหัตประหารข้าได้ทุกเมื่อแล้วขยับยิ้มเป็นครั้งสุดท้าย “เอาสิ  ข้าพร้อมแล้ว”

 

     ข้าได้ยินเฉินเซียนแค่นเสียงในลำคอแต่กลับไม่ได้มองอีกแล้วว่าเขากำลังทำสิ่งใด  สายตาของข้าเหลือบมองไปบนท้องฟ้าอันกว้างไกล สีสันอันสดใสจากดวงอาทิตย์ ท้องฟ้าสีฟ้าครามปราศจากเมฆหมอก  หากแต่ยังคงมองเห็นเงาแห่งดวงจันทราอยู่ไกลห่างออกไปยังเวิ้งฟ้า

 

     ในที่สุดทุกอย่างก็จะจบสิ้นกันเสียที  ความทรมานนานนับพันปีของข้าในที่สุดมันก็จะได้รับการปลดปล่อย

 

     วันนี้ช่างเป็นวันที่ดี...  ดีเหลือเกิน

 

     ข้าซึมซับภาพความสวยงามนั้นไว้ในใจ ก่อนจะปิดเปลือกตาลง หยดน้ำอุ่นใสไหลรินจากหางตาพร้อมกับเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น  แผ่นดินที่สั่นสะท้านไปทั้งสามภพ  แต่ข้าไม่อาจรับรู้ถึงสิ่งใดได้อีกต่อไปนอกจากแสงสว่างเจิดจ้าที่พุ่งผ่านดวงตาที่ปิดสนิทเข้ามา

 

     “จงทำสิ่งที่เจ้าปรารถนาให้สำเร็จ  เพราะนั่นก็คือสิ่งที่ข้าปรารถนาเช่นกัน”

 

     หัวสมองที่เลอะเลือนของข้าคล้ายได้ยินตนเองขยับริมฝีปากเอื้อนเอ่ยประโยคนี้  ก่อนจะมีอีกเสียงเอ่ยตอบกลับมา เป็นเสียงที่จะว่าคุ้นเคยก็ไม่ใช่ ห่างเหินก็ไม่เชิง

 

     “ถ้าต้องการอย่างนั้นก็ย่อมได้...”

 

     ไม่รู้เป็นเพราะอะไรเมื่อข้าได้ยินเสียงนี้ เส้นขนทุกส่วนสัดของข้าก็พลันพร้อมใจกันลุกตั้งชันอย่างไม่ได้นัดหมาย  หากแต่ยังไม่ทันได้เปิดเปลือกตาเพื่อมองหาที่มาของเสียงนั้น  พื้นใต้ลำตัวคล้ายพลิกกลับกะทันหัน  ส่งผลให้ตัวข้ากระเด้งขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะลอยละลิ่ว กลิ้งม้วนสองตลบและไปจบลงที่พื้นเย็นเฉียบ พร้อมกับอะไรหนัก ๆ บางอย่างฟาดเข้าที่ท้ายทอย เป็นเหตุริมฝีปากได้รับจุมพิตจากพื้นเรียบเย็นเป็นของแถมภายในเวลาชั่วเสี้ยวยาม  ไม่เปิดโอกาสให้ได้ตั้งตัวเลยแม้แต่น้อย

 

     “ทำอะไรของเจ้าเนี่ยฮะ!?”

 

     ข้าตะกายพรวดขึ้นจากพื้น สองมือกุมริมฝีปากที่กระแทกพื้นเข้าอย่างจังพลางพยายามปรือตาหลบแสงจ้าที่ปะทะเข้ามาเต็มที่เพื่อจ้องมองหาตัวต้นเหตุ

 

     “ท่านพี่ที่น่ารัก  ข้าจะทำอะไรล่ะ  ข้าก็ปลุกท่านให้ฟื้นคืนจากนิทราก่อนที่ท่านจะไปทำงานพิเศษสายน่ะสิ ถามได้”

 

 

     “เจ้า!  ยัยน้ำตาลขม!!”

 

     ข้า  เอ๊ย!  ผมยกมือขึ้นชี้หน้าเด็กสาวเจ้าของทรงผมตัดซอยสั้นท่าทางเหมือนทอมบอยในชุดผ้ากันเปื้อน ซึ่งกำลังยืนเท้าสะเอวมองมาด้วยสีหน้าคล้ายสมเพชซะเหลือเกิน แล้วเผลออ้าปากค้างอย่างงุนงงอยู่อย่างนั้น  และนั่นเองที่ทำให้คุณน้องสาวที่น่ารัก ยิ่งเพิ่มระดับสีหน้าจากสมเพชกลายเป็นรังเกียจขึ้นมาทันที

 

     ใช่แล้ว  เด็กสาวคนนี้   มินตรา  หรือ ยัยน้ำตาลขม เป็นน้องสาวของผม   เอ่อ... ชื่อหลังนี่ขอสงวนลิขสิทธิ์ไว้เฉพาะผมเท่านั้นนะ  เพราะถ้าเป็นคนอื่นเผลอเรียกเข้าล่ะก็ ผม ในนามของนายเนตรตรัย คนนี้ก็ไม่อาจจะรับรองในสวัสดิภาพได้เหมือนกัน ว่าจะได้เข้าไปหยอดน้ำข้าวต้มชื่นชมหมอพยาบาลสวยหล่อกันซักกี่วัน

 

     “เป็นอะไรของพี่ฮะ!?  ผีเข้าหรือไงอยู่ ๆ ถึงได้พูดจาประหลาด ๆ ออกมาได้”

 

     ผมไม่ตอบคำถามและยังคงนิ่งมองคุณน้องสาวที่เคารพเดินอ้อมเตียงผ่านตัวผมไปก่อนจะก้มลงเก็บบางอย่างที่พื้นขึ้นมา สีหน้ารังเกียจเปลี่ยนเป็นเข้าใจกระจ่างชัดขึ้นมาทันที

 

     “อ้อ  อ่านนิยายนี่จนหลับไปล่ะสิ  ฝันว่าหลุดเข้าไปอยู่ในยุคไหนล่ะ มังกรหยก จอมยุทธอินทรีย์ หรือชอลิ้วเฮียงจอมโจรขโมยหัวใจ...”

 

     “เปล่า”

 

     ผมปล่อยให้น้องสาวพล่ามจนเสร็จแล้วจึงลุกขึ้น ยื่นมือไปคว้าหนังสือสุดหวงซึ่งผมนอนอ่านจนเผลอหลับไปเมื่อคืน กลับมาไว้ในมือ  บอกตามตรงว่าถึงจะไม่รู้ว่าตัวเองเจอเข้ากับวิธีการปลุกแบบไหนเข้าไป  แต่ที่แน่ ๆ คือมันทำให้สมองผมมึนงงไปไม่น้อยเลยทีเดียว  นี่ถ้าผมสมองเสื่อม หรือเอ๋อรับประทานขึ้นมาล่ะก็ ผมจะให้ยัยน้ำตาลขมรับผิดชอบเลี้ยงดูผมไปตลอดชีวิตซะเลย คอยดู

 

     “เปล่าก็เปล่า...  รีบอาบน้ำซะ   แล้วลงไปกินข้าว ตาลเตรียมไว้ให้แล้ว เร็วด้วยล่ะ วันนี้มีงานพิเศษไม่ใช่รึไง”

 

     ว่าพลางคุณเธอก็เดินโฉบผ่านตัวผมที่ยังคงคลำหัวป้อย ๆ ไปด้วยท่าทางประหนึ่งคุณแม่วัยทองก็ไม่ปาน

 

     สรุปว่า  ยัยน้ำตาล เป็นน้องสาวจริงหรือเปล่าเนี่ย  นับวันทำตัวยิ่งกว่าแม่เข้าไปทุกวัน

 

     ผมได้แต่ขมวดคิ้วทำหน้ามุ่ย มองคุณน้องสาวที่เดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไร  อย่าคิดว่าผมเป็นพวกคนใจเย็นอะไรเลย  เปล่าหรอก  มันก็แค่  ชิน  เท่านั้นเอง

 

     ก็จะไม่ให้ชินได้ยังไง ระยะหลัง ๆ มานี่  ยัยน้ำตาลน้องสาวที่น่ารักใช้วิธีการทำนองนี้ปลุกผมเป็นประจำ คงเพราะได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนนักกีฬายูโดของโรงเรียนเลยเกิดอาการบ้าพลังขึ้นมา

 

     แน่ล่ะ ก็ถึก ทน ไม่หวั่นแม้วันมามากขนาดเพื่อนผู้ชายยังเกรงยกให้เป็นเจ้ใหญ่คุมแก๊งค์หัวโจกขนาดนั้น ถ้าไม่ได้รับเลือกก็แปลกแล้ว  นี่ผมควรจะภูมิใจมั้ยนะเนี่ยที่มีน้องสาวเป็นเจ้าแม่ของโรงเรียน

 

     อืม... ถึงพูดอย่างนี้ก็ใช่ว่าน้องผมจะเป็นคนเกเรอะไรหรอกนะ  เรียนดี  กีฬาเด่น หน้าหล่อ...

 

     อาฮะ!  ฟังไม่ผิดหรอก ยัยน้ำตาลเป็นสาวหล่อเป็นที่กรี๊ดกร๊าดและขวัญใจของสาว ๆ  นี่ล่ะยี่ห้อของน้องผม  แต่มีอีกอย่างที่ไม่มีใครรู้ก็คือ สาวหล่อที่ว่าดันเป็นแม่บ้านแม่เรือนสุด ๆ  พูดก็พูดเถอะนะ น้องสาวคนนี้มีดีทุกอย่างซะจนผมแอบอิจฉา มาเสียอย่างเดียวก็ตรงชอบใช้ความรุนแรงกับพี่เชื้อนี่ล่ะ

 

     ผมมองผ้าปูที่นอนที่ลงมาม้วนกองอยู่ข้างเตียงก็พอจะเดาออกได้ทันทีว่า เมื่อครู่น้องสาวตัวแสบใช้วิธีไหนปลุกพี่ชาย  นี่ถ้าไม่ติดว่าผมไม่ใช่พวกที่ชอบพูดมากล่ะก็ บางทีงานนี้คงมีศึกภายใน (บ้าน) เกิดขึ้นแน่  แต่จะทำยังไงได้ล่ะในเมื่อชีวิตส่วนใหญ่ของผมต้องอยู่ติดบ้านกับน้องสาวตัวแสบในขณะที่คนอื่น ๆ ต่างมีภาระนอกบ้าน  ผมก็ควรจะสร้างสายสัมพันธ์อันดีระหว่างพี่น้องไว้สิจริงมั้ย  นี่พูดจริง ๆ นะ  ผมแค่ไม่อยากให้เกิดความบาดหมางระหว่างพี่น้อง ไม่ใช่ว่าเพราะผมกลัวจะสู้แพ้น้องสาวตัวเองหรอก  อย่าได้เข้าใจผิดทีเดียว

 

     เอาเป็นว่าเรื่องนั้นช่างมันเถอะ  ยังไงก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับชะตากรรมที่มีน้องสาวเป็นยัยน้ำตาลบ้าพลังในขณะที่ตัวเองเป็นแค่พี่ชายแสนจะธรรมดา ผู้รักความสงบยิ่งชีพก็แล้วกัน

 

     ขณะที่พยายามคิดปลงกับตนเองในใจ  ผมก็หันไปวางหนังสือเล่มโปรดไว้ที่หัวเตียง พลางมองดูหน้าปกเรียบ ๆ ที่มีเพียงอักษรจีนตัวสีทองสวยงามเรียงราย  แปลได้ความว่า  พงศวดารห้องสิน   สถาปนาเทวดา เล่ม1*

 

     ไม่ต้องแปลกใจถ้าผมจะอ่านภาษาจีนได้ในเมื่อผมเรียนภาษานี้มาพร้อม ๆ กับภาษาแม่ นั่นก็คือ ภาษาไทย ถึงบรรพบุรุษของผมจะไม่มีเชื้อสายจีนแม้เพียงกระผีกก็เถอะ แต่นับว่าพ่อกับแม่ของผมสายตากว้างไกลไม่เบาที่ให้ผมได้หัดเรียนภาษานี้มาตั้งแต่ยังเล็ก  เพราะตอนนี้มันมีประโยชน์มากทีเดียวสำหรับผม  เอาล่ะ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน  กลับมาที่ เรื่องหนังสือที่วางหราอยู่ที่หัวเตียง...  

 

     คงเป็นเพราะหนังสือเล่มนี้ล่ะมั้งที่ทำให้ฝันแปลก ๆ แบบนั้นได้  นับว่าเป็นความซวยอย่างหาได้ยากในรอบปีจริง ๆ  นอกจากฝันประหลาดที่ชวนให้จิตตกแล้ว ยังมาถูกน้องสาวปลุกซะลอยละลิ่วลงไปกองอยู่ข้างเตียงในสภาพที่น่าอับอายขายหน้าและเสียศักดิ์ศรีของความเป็นพี่สุด ๆ แถมยังถูกหนังสือของตัวเองประทุษร้ายหล่นลงมาฟาดหัวได้ตรงเผงราวกับจับวางซะอีก...

 

     ยังจะมีอะไรที่แย่กว่านี้มั้ยวะไอ้ตรัยเอ๊ย!

 

     ผมจ้องมองตัวอักษรสีทอง ใจพลันหวนนึกไปถึงเหตุการณ์ในความฝัน

 

     น่าประหลาด ที่ความฝันนั้นมันชัดเจนซะจนรับรู้ได้แทบจะทุกความรู้สึก ขนาดว่าตื่นขึ้นมาแล้วก็ยังจำความรู้สึกเหล่านั้นได้ ความเจ็บปวด ความเศร้าโศก ความยินดี  มันยังคงฝังอยู่ไม่หายคล้ายทุกอย่างในความฝันเคยเกิดขึ้นกับตัวเอง ไม่เคยรู้ก่อนเลยว่า คนเราจะสามารถจดจำความฝันได้ ชัดเจนทุกรายละเอียดขนาดนี้  ว่าแต่ทำไมในฝัน ทำไมผมถึงถูกเรียกว่าหยางเจียน  ?  

 

     หยางเจียนนี่มัน  นามเดิมของเทพสามตา เอ้อหลางเสินไม่ใช่เหรอ?

 

     เฮ่ย... คิดไปก็ใช่ว่าจะได้อะไรขึ้นมา  สงสัยคงจะอ่านหนังสือพวกนี้มากไปจนเก็บเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะอย่างที่ยัยน้ำตาลขมว่าแน่ ๆ ประสาทจริง ๆ เลิกคิดอะไรไร้สาระดีกว่า

 

     ผมถอนหายใจ ยกมือขยี้ผมที่ยุ่งเหยิงอยู่แล้วให้ยุ่งมากขึ้นไปอีก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไปทำไมเหมือนกัน ก่อนจะกวาดสายตาไปที่เตียงซึ่งมีสภาพประหนึ่งเจอพายุใหญ่พัดถล่มก็ไม่ปาน  หมอน ผ้าห่มกระจายไปคนละทิศละทาง ซึ่งสาเหตุก็คงมาจากวิธีการปลุกสุดแสนพิสดารที่ผ่านมานั่นเอง

 

     ว่าแต่ เมื่อกี๊ยัยน้ำตาลขม ว่าไงนะ?

 

     ผมขมวดคิ้ว ยังมึนหัวไม่หายก่อนที่สายตาที่กวาดไปทั่วห้องจะไปสะดุดเข้ากับนาฬิกาปลุกที่นอนแอ้งแม้งอยู่ข้างเตียง ซึ่งคาดว่าคงจะมาจากฝีมือของผมเอง แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับ เข็มสั้น ยาวบอกเวลาของมันกำลังชี้ไปที่ เลขแปดและเลขสิบสองอย่างพร้อมเพรียง

 

     เวงล่ะสิตรู!!   สะ...  สายแล้วโว๊ยยย!!

 

     ผมตะโกนก้องอยู่ในใจแต่ไม่ยอมปล่อยให้เสียงเล็ดลอดออกมาให้ใครได้ยิน ก่อนจะลอกคราบตัวเองอย่างรวดเร็ว แล้วโกยอ้าวเข้าห้องน้ำด้วยความเร็วแสง  ลืมทุกสิ่งทุกอย่างหรือแม้แต่ฝันประหลาดนั้นไปเสียสนิทในเวลาชั่วเสี้ยวลมหายใจ.

 

 

.............

 

 

     “เฮ้ พี่สามตา!”

 

     เสียงตะโกนลั่นหน้าบ้านทำเอาผมเผลอกำเบรคจักรยานจนเกือบหน้าทิ่ม  ยังดีที่พอตั้งตัวได้ไม่อย่างนั้นเช้านี้คงมีเหตุการณ์น่าขายหน้าเกิดขึ้นซ้ำเป็นครั้งที่สองแน่  แถมครั้งนี้ยังต่อหน้าธารกำนัล  หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ บรรดาคนข้างบ้านที่ตกใจเสียงเรียกของน้องสาวผมจนต้องโผล่หน้าออกมาเยี่ยมชมเจ้าของเสียงดังทำลายโสตประสาทนั่นล่ะ

 

     “อะไรของเธอ พี่รีบนะ  แล้วก็เมื่อไหร่จะเลิกเรียกพี่แบบนั้นซักที”

 

     “ก็จนกว่าพี่จะเลิกเรียกตาลว่า ยัยน้ำตาลขมนั่นล่ะ  พี่ชายสามตา”

 

     ผมมองดูสีหน้ายิ้ม ๆ อย่างเป็นต่อของน้องสาวแล้วแอบฉุนอยู่ในใจ  อันที่จริงผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรเรื่องคำเรียกแบบนี้หรอกนะ  ก็ในเมื่อชื่อผม มันแปลว่า สามตา  หรือผู้ที่มีตาที่สาม  จริง ๆ นี่

 

     ถ้าถามว่าทำไมผมถึงได้ชื่อแปลกพิสดารไม่เหมือนใครนี่ล่ะก็  คงต้องถามแม่ผมแล้วล่ะ  แต่ทางที่ดีผมแนะนำว่าอย่าถามเลยจะดีกว่า  เพราะคำตอบที่ได้อาจจะทำให้คุณรู้สึกสับสนในชีวิตไปอีกนาน  แน่นอนล่ะ ก็ผมเป็นผู้มีประสบการณ์ผ่านช่วงเวลาแบบนั้นมาแล้ว  อืม..ผมควรจะเล่าให้ฟังหน่อยจริงมั้ย

 

     และนี่คือที่มาของชื่อผม  โปรดใช้วิจารณญาณในการรับฟัง  นี่ไม่ใช่คำเตือนแต่ถือเป็นการบอกกล่าวเอาไว้ล่วงหน้าก็แล้วกัน  เผื่อจะได้ไม่มีใครมาว่าผมว่าบ้าและไร้สาระเอาทีหลัง...

 

     จำได้ว่าในเช้าวันที่สดใสเมื่อหลายปีก่อน ขณะที่เรานั่งอยู่ด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูก ปราศจาก  กอขอคองอจอ เพราะพี่ชายกับน้องสาวตัวแสบออกไปข้างนอก อยู่ ๆ ผมก็อุตรินึกสงสัยขึ้นมา

 

     “แม่ครับ  ทำผมถึงชื่อเนตรตรัยล่ะครับ?” 

 

     “เพราะลูกมีสามตาไงล่ะ”  แม่ผมตอบเรียบ ๆ ทั้ง ๆ ที่สายตายังคงง่วนกับนิตยสารในมือ  ท่าทางดูไม่ออกเลยว่ากำลังจริงจังอยู่

     เอาล่ะ... คงต้องมาทำความเข้าใจกันหน่อยแล้วว่าถึงปกติแม่ผมเป็นคนที่อารมณ์ดีมาก  แต่ก็มีความจริงจังเข้าขั้นระดับยอดเยี่ยมและมักไม่เคยพูดล้อเล่นดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจถ้าผมจะแสดงท่าทางตกใจจนออกนอกหน้าไปบ้างที่ได้ยินแม่บอกอย่างนั้น

 

     “ฮะ!  ว่าไงนะครับ!?”

 

     “ก็เพราะลูกมีตาที่สาม  อยู่ตรงนี้ไง”  พ่อที่นั่งอยู่ชิดกับผมยกนิ้วชี้ขึ้นมาจิ้มที่หน้าผากผมแรง ๆ หนึ่งทีจนผมเกือบหน้าหงายพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ 

     และก็ต้องอธิบายอีกเช่นกันว่าคุณพ่อของผม ท่านก็มีอารมณ์ขัน เข้าขั้นจนอยากส่งเสริมให้ไปตั้งคณะตลกเลยทีเดียว  พ่อกับแม่ผมนี่เรียกได้ว่าเป็นคู่ที่เข้าล็อคลงตัวสุด ๆ เลยก็ว่าได้  แต่นั่นไม่ค่อยเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไหร่  เอาเป็นว่าคำพูดของพ่อก็ไม่ช่วยให้ผมรู้สึกกระจ่างชัดมากยิ่งขึ้นมากนัก นอกจากเพิ่มความมึนงงไปอีกหลายระดับเท่านั้น

 

     “เอ่อ...  นี่พ่อกับแม่กำลังล้อผมเล่นใช่มั้ยเนี่ย?”  ผมถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจ

 

     “ไม่รู้สินะ  เอาเก็บไปคิดเป็นการบ้านก็แล้วกัน  เดี๋ยวพ่อกับแม่ต้องออกไปแล้วล่ะ นัดลูกค้าเอาไว้น่ะ  เย็นนี้จะกลับมาให้ทันกินข้าวนะ”  แม่ผมวางนิตยสารในมือลง พลางยกข้อมือขึ้นมองหน้าปัดนาฬิกา  ก่อนจะเดินเข้ามาและก้มลงจุ๊บหน้าผากผมเบา ๆ ในขณะที่พ่อยีหัวผมจนมันยุ่งเหยิงหมดสภาพแล้วจึงเดินออกจากบ้านไป  ทิ้งผมให้ใบ้รับประทานอยู่ตรงนั้นห้านาทีถึงเรียกสติตัวเองกลับมาได้

 

     และตั้งแต่ตอนนั้นผมก็ตัดสินใจได้ในทันทีว่าจะไม่พูดเรื่องชื่อของผมกับพ่อแม่อีก  เพราะฉะนั้นผมจึงไม่รู้ว่าที่พ่อกับแม่ผมพูดนั้นมันจริงเท็จหรือเป็นเรื่องล้อเล่นตลกร้ายยังไงกันแน่มาจนบัดนี้

 

     เอาล่ะ  กลับมาที่เหตุการณ์ปัจจุบัน  ผมกำลังเผชิญหน้าอยู่กับน้องสาวสุดหล่อของผมอยู่ที่หน้าบ้าน แถมแม่คุณยังยกมือขึ้นดันจักรยานของผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อยไปง่าย ๆ อีกด้วย

 

     “แล้วมีอะไรอีกล่ะ  เดี๋ยวพี่สายนะ”

 

     ผมมีนัดตอนสามโมงเช้า  ก็งานพิเศษที่ยัยน้ำตาลขมว่านั่นแหละครับ  ถึงบ้านผมจะถือได้ว่ามีฐานะพอสมควร  แต่เราก็อยู่กันอย่างพอเพียงตามพระราชดำรัสของในหลวงเป๊ะ  ช่วงนี้เวลาว่างของผมเลยรับจ๊อบเป็นล่ามนำนักท่องเที่ยวชาวจีนท่องเที่ยวกรุงเทพฯ  แถมด้วยเป็นไกด์ไปด้วยในตัว

 

     บางทีถ้าผมเรียนจบนี่อาจจะเป็นงานในอนาคตที่ผมคิดจะทำอย่างจริงจังก็ได้  ส่วนกิจการและธุรกิจส่วนตัวที่พ่อแม่ผมทำ ก็ยกให้พี่ชายที่กำลังเรียนต่ออยู่ที่ต่างประเทศกับยัยน้ำตาลขมไปซะ  ยังไงผมก็ไม่ได้สนใจมากมายอยู่แล้ว  และดูจากผลการเรียนที่พอไปวัดไปวาได้ของผม มีหวังผมคงได้บริหารธุรกิจของพ่อกับแม่ล่มจมซะเป็นแน่แท้ยิ่งกว่าแช่แป้ง เผลอ ๆ จะโดนญาติโกโหติการุมยำเอาซะเปล่า ๆ

 

     “เอ้า... นี่ข้าวกล่อง ข้าวเช้าไม่ยอมกินเดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก ช่วงไหนมีเวลาก็รีบกิน ๆ เข้าไปล่ะ”  ยัยน้ำตาลว่าพลางยื่นส่งกล่องข้าวมาตรงหน้าผม

 

     “ขอบใจนะ”  ผมมองอย่างอึ้ง ๆ แล้วขยับยิ้มพลางเอื้อมมือไปรับ  นี่ล่ะข้อดีอีกอย่างของน้องผม ถึงปากจะพูดจากวนโมโหแค่ไหน  แต่ก็คอยห่วงใยใส่ใจคนรอบข้างตลอด

 

     “โอ้โห...  สองพี่น้องมาสวีทหวานอะไรกันหน้าบ้านแต่เช้าเนี่ย”

 

     เสียงกวนประสาทอีกเสียงที่ดังทะลุกลางปล้องนั่น  ยังไม่ต้องหันไปมองผมก็รับรู้ได้ทันทีเลยว่าเป็นใคร

 

     “ไอ้ป้อง  หุบปากห่วย ๆ ของแกไปเลย”  ผมหันไปกระแทกเสียงใส่อย่างไม่เกรงใจในทันที

 

     “อะไรเล่า  ก็ฉากเมื่อกี๊นี้มันดูเหมือนพระเอกนางเอกในหนังเกาหลีกำลังส่งยิ้มให้กันเลยล่ะ  แต่แกเป็นนางเอกนะเว๊ยไอ้ตรัย ฮ่า ๆ”

 

     ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่กล้ามล่ำ สมกับเป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัย ผู้มีนามกร ว่าไอ้ป้อง  หรือ นายปิยะ  ฉายา ไอ้กะปิจอมกวน เพื่อนบ้านและยังเป็นเพื่อนสนิทของผมมาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ เดินเข้ามาใกล้  แถมวางมือลงบนไหล่พลางหัวเราะใส่หน้าผม  เล่นเอาซะโมโหจนถ้าผมมีหนวดมันคงกระตุกไปหลายรอบแล้ว

 

     “เพ้อเจ้อ อะไรของแกวะ ฉันไม่สนุกด้วยนะเว้ย  นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องรีบไปล่ะก็ฉันกับแกวันนี้ต้องมีเคลียร์”  ผมบอกฉุน ๆ อย่างไม่มีเก็บอาการ

 

     “ขยันจังน๊า  วันหยุดก็ยังทำงานพิเศษอีก เก็บเงินไว้แต่งสาวหรือไง?”

 

     นี่ล่ะนิสัยส่วนตัวของเจ้าเพื่อนของผม  กวนอารมณ์ผมเป็นงานอดิเรกไม่รู้ผมทนคบมาได้ยังไงเป็นสิบปี

 

     “พี่ป้อง  แล้ววันหยุดทั้งทีพี่ไม่อยากไปที่ชอบที่ชอบกะคนอื่นเค้าบ้างเหรอ?”

 

     ผมหลุดหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ในขณะที่เจ้าเพื่อนซี้ทำหน้าเหวอได้อย่างเสแสร้งจนน่าถีบ

 

     “โอ๊ะ  น้องตาล  เล่นแรงนะเนี่ย  ที่ชอบของพี่ก็อยู่ข้าง ๆ น้องตาลไงล่ะ”  ว่าพลางเจ้าตัวก็ขยับกระแซะเข้าไปใกล้น้องสาวหน้าหล่อของผมอย่างเนียน ๆ แต่ในสายตาพี่ชายอย่างผม มองยังไงมันก็ไม่เนียนเลยซักนิด

 

     “ตาล จัดการได้ไม่ต้องเกรงใจนะ”  ผมหันมาทางน้องสาวตัวเองพลางบอกเสียงเรียบ ไอ้เพื่อนจอมกวนที่แก้นิสัยไม่หายทั้งที่รู้อยู่ว่าต้องเจอกับอะไรมันก็สมควรโดนแล้ว

 

     น้ำตาลพยักหน้าอย่างว่าง่ายพลางยกมือขึ้นม้วนแขนเสื้อด้วยท่าทางข่มขู่...  ให้ตายเถอะ  ดูไปดูมาทำไมน้องสาวผมมันถึงได้ดูแมนยิ่งกว่าผู้ชายอีกนะเนี่ย  ถึงว่าล่ะสิ  สาว ๆ ถึงได้ติดตรึม... นี่โลกใบนี้มันเป็นอะไรไปแล้วนะ

 

     “เฮ่ย  เดี๋ยวก่อนสิ  จะไม่ถามก่อนรึไงว่าฉันมาทำไม”

 

     เมื่อเห็นท่าทางเอาจริงของนักกีฬายูโดตัวแทนโรงเรียนที่รู้ไส้รู้พุงกันดีอยู่แล้วว่ามีความโหดอยู่ในระดับไหน  เจ้าเพื่อนตัวดีถึงได้ยอมอ้อมวกกลับมาเข้าเรื่องจริงจังในที่สุดแต่ตอนนี้ผมชักไม่มีอารมณ์ด้วยแล้ว

 

     “จำเป็นด้วยเรอะ?”

 

     “จำเป็นรึเปล่าไม่รู้  แต่วันนี้วันเกิดแกไม่ใช่รึไง  ฉันเลยจะมาถามว่าอยากได้อะไรเป็นของขวัญฉันจะได้ซื้อให้ถูก  ไม่งั้นฉันก็ไม่รู้จะซื้ออะไรให้แกว่ะ”

 

     คำพูดของมันทำให้ผมมึนงง ลืมเรื่องเสียอารมณ์ไปชั่วขณะ  แล้วนิ่งไป 5 วิ จึงได้หลุดคำพูดออกมาได้

 

     “เอ๋  วันนี้วันเกิดฉันเหรอ?”   สาบานเลยว่าผมจำอะไรแบบนี้ไม่ได้จริง ๆ

 

     “ก็เออสิวะ  คนอะไรลืมแม้กระทั่งวันเกิดตัวเอง”

 

     “แล้วเธอทำไมไม่บอกพี่”   ผมหันไปไล่เลียงกับคนใกล้ตัวทันที  ยัยน้ำตาลทำหน้าเซ็งเล็ก ๆ ก่อนจะตอบเสียงเนือย

 

     “เย็นนี้พ่อกับแม่กะจะเซอร์ไพรส์พี่ไง  แต่ตอนนี้คงไม่เซอร์ไพรส์แล้วล่ะ”

 

     สายตาเอาเรื่องของน้องสาวที่ส่งไปยังเพื่อนร่วมก๊วนเล่นเอามันเหงื่อตก ทำให้ผมรู้สึกสงสารจนต้องตัดสินใจห้ามทัพด้วยตนเองก่อนจะเกิดศึกขนาดย่อมหน้าบ้าน

 

     “เอ้อ..  เอาล่ะ ๆ  ฉันยังไงก็ได้ทั้งนั้น  แต่ตอนนี้ต้องรีบไปแล้วว่ะ”  ผมก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ เกือบลืมไปเลยว่ากำลังรีบ

 

     “ตอนเย็นรีบกลับมาด้วยล่ะ  พ่อกับแม่เตรียมของขวัญไว้ให้ พี่ต้องถูกใจแน่ รับรองเลย”

 

     “จริงดิ  โอเค  งั้นไปก่อนนะ”  ผมว่าพลางโบกมือลาสองคนที่ยืนส่งผมอยู่หน้าบ้าน แล้วปั่นจักรยานคู่ใจออกไปอย่างรวดเร็ว

 

     ถ้าผมรู้ว่า การหันหลังจากไปของผมในครั้งนี้จะเป็นการจากไปที่ยาวนานจนไม่สามารถคาดเดา  ผมก็คงหันกลับไปซึมซับภาพความทรงจำดี ๆ ทุกอย่างเอาไว้  แต่ในเมื่อไม่มีผู้ใดล่วงรู้อนาคตได้  ผมจึงได้แต่ส่งยิ้มและพาตัวเองให้ห่างไกลจากสถานที่ที่ผูกพันออกมา มุ่งหน้าสู่เส้นทางที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตนเองจะต้องประสบ  แต่เมื่อชะตาได้กำหนดก็คงไม่มีใครสามารถอาจหาญปฏิเสธมันได้.

 

 

............................

 

 

          ในที่สุด... ในที่สุดข้าก็ตามหาท่านพบจนได้...  นายท่าน

 

     เสียงลึกลับเจือแววยินดีดังขึ้นในมุมอับมุมหนึ่งในหมู่บ้านจัดสรรอันใหญ่โตกว้างขวางของผู้มีอันจะกินซึ่งสามารถมองเห็นบ้านหลังงามของสองพี่น้องที่ใช้เป็นสถานที่สนทนาเมื่อครู่ได้อย่างชัดเจน พร้อมกับเงาร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีดำสนิทปรากฎขึ้นราวกับภูติผี

 

     “นับว่าความสามารถในการดมกลิ่นของเจ้าไม่เลวสมเป็นราชาสุนัขแห่งสามภพจริง ๆ นะ เห่าฟ้า”

 

     เสียงทุ้มต่ำพร้อมกับร่างเลือนรางในอาภรณ์ราวกับหลุดออกมาจากปกหนังสือ นิยายจีนโบราณที่เป็นหนังสือแนวโปรดของชายหนุ่มที่เพิ่งปั่นจักรยานผ่านไปโดยมองไม่เห็นสิ่งผิดปกติใด ๆ  ไม่รับรู้ว่ามีเจ้าของใบหน้าคมคาย อีกทั้งดวงตาคมประดุจอินทรีย์ผงาดกำลังจับจ้องราวกับอยากจะแผดเผาร่างของตนให้สิ้นซาก

 

     “หึ  ไม่นึกเลยนะว่าจะมาอยู่ในสถานที่ที่ห่างไกลเช่นนี้  เมื่อก่อนก็ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน  มาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เว้น ช่างเป็นคนที่น่ารังเกียจเสียจริง”

 

     “หุบปากของเจ้าไปซะเฉินเซียง!  หลานอกตัญญูอย่างเจ้าไม่มีสิทธิ์พูดจาล่วงเกินนายท่าน ถ้าหากไม่เพราะองค์เง็กเซียนทรงขอร้องด้วยตนเองล่ะก็  ข้าไม่มีวันนำเจ้ามาหานายท่านแน่  คนอย่างเจ้ามันสมควรตายซักหมื่นครั้งถึงจะสาสมกับสิ่งที่เจ้าทำกับนายท่านของข้า”

 

     เห่าฟ้า สุนัขเทพในร่างมนุษย์หันมาขึ้นเสียงใส่ทันทีที่ได้ยินประโยคที่ออกจากปากของชายหนุ่มอีกคน  พร้อมกับส่งสายตาเป็นประกายดังสุนัขกระหายเลือดไปให้  แต่ชายหนุ่มนาม เฉินเซียง กลับมีท่าทีราวกับไม่รู้สึกรู้สา หรือไม่รู้สึกทุกข์ร้อนใด ๆ เลยกับสายตาที่พร้อมจะฆ่าเขาได้ทุกเมื่อเยี่ยงนั้น

 

     “อ้อ... ถ้าข้าสมควรตายหมื่นครั้ง นายของเจ้าก็คงจะสมควรตายเป็นแสนครั้งกระมังกับการที่ได้เอาชีวิตของผู้บริสุทธิ์ไปมากมาย  เพียงเพราะการใช้อำนาจเกินควรของเทพผู้คุมกฎ...”

 

     “เจ้าไม่เข้าใจ  ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย”  แม้จะถกเถียงกันมาเป็นพันครั้ง แต่เห่าฟ้าก็อดไม่ได้ที่จะต้องกลับมาถกในเรื่องเดิม ๆ กับคนผู้นี้อีก

 

     “ถ้าเช่นนั้นก็บอกมาให้ข้าเข้าใจสิ ว่านายของเจ้าไม่ได้เป็นอย่างที่ข้าพูด  ก็เห็นกันอยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร  ชีวิตที่สูญเสียไปมากมายต่อให้เขาตายเป็นแสนครั้งยังไม่พอชดใช้  ถ้าไม่เห็นแก่แม่ของข้า และสายสัมพันธ์ทางสายเลือด ข้าคงสลายวิญญาณไม่ให้มีหนทางไปผุดไปเกิดได้อีกเลยด้วยซ้ำ นี่นับว่าข้าปรานีมากแล้ว”

 

     ชายหนุ่มยังคงยืนยันและเชื่อมั่นในความคิดของตนเองอย่างไม่สั่นคลอนเช่นเคย  ยังผลให้ผู้ฟังแค่นหัวเราะออกมาเบา ๆ

 

     “จองหองพองขนไปเถอะ เฉินเซียง แล้ววันหนึ่งเจ้าจะเสียใจที่ทำอย่างนี้  ข้าจะบอกให้รู้เอาไว้ว่า หากไม่มีนายของข้า  สามภพคงได้อยู่ไม่เป็นสุขอย่างแน่นอน เหล่ามารปิศาจคงจะเหิมเกริม กำเริบเสิบสาน  ดูอย่างตอนนี้  ที่นายท่านจากมาเพียงไม่นานก็เกิดเรื่องกับเซียนเซิงเซียว  หากสามภพต้องเกิดหายนะ  นั่นมันก็เป็นเพราะเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”

 

     “เจ้าให้ความสำคัญกับนายของเจ้ามากเกินไปเสียกระมังเห่าฟ้า  สวรรค์ปราศจากนายเจ้าก็ยังมีเหล่าเทพเซียนอีกมากมาย จะมีมารปิศาจตนใดกล้าเหิมเกริมได้”

 

     ชายหนุ่มนาม เฉินเซียงเชิดหน้าเอ่ยต่ออย่างท้าทาย  ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังลืมไปแล้วจุดประสงค์อันแท้จริงของตนเองที่มาเยือนยังที่แห่งนี้นั้นคือสิ่งใด

 

     “เจ้าอย่าลืมไปสิ เฉินเซียง  ต่อให้มีเทพเซียนมากมาย ทุกคนก็ล้วนแต่มีภาระ  และอำนาจหน้าที่อยู่ในขอบเขต  นายข้าคือจอมทัพของแดนสวรรค์ มีหน้าที่โดยตรงในการปราบปรามกำราบเหล่ามาร  ที่สามภพอยู่อย่างสงบสุขมาช้านานก็เป็นเพราะพวกมันล้วนเกรงกลัวนายข้า  และถ้าหากนายข้าไม่มีความสำคัญจริงอย่างว่า  เจ้าจะต้องเหยียบย่างมายังผืนแผ่นดินของเทพต่างแดน ผ่านห้วงเวลาที่ห่างไกลเหลือประมาณเช่นนี้หรือ?”

 

     เห่าฟ้าว่าพลางเหยียดยิ้มเมื่อมองเห็นเฉินเซียงได้แต่กัดกรามแน่นเพราะไม่อาจสรรหาคำพูดมาหักล้างข้อเท็จจริงของเขาได้

 

     “ขอให้เป็นเช่นนั้นเถอะ เวลานี้เจ้าก็เห็นแล้วว่านายเจ้าอยู่ในสภาพเช่นใด  ข้าไม่เห็นว่าเขาจะมีความสามารถใดที่จะตามหาเซียนเซิงเซียวทั้ง 12 พบได้”

 

     “ความสามารถนั้นมีแน่  แต่ก่อนอื่นเราต้องพาเขากลับไปยังแดนสวรรค์เสียก่อนที่กงล้อกาลจักร**จะเริ่มหมุนอีกครั้ง  ถ้าพลาดครั้งนี้ข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าจะนำเจ้ามาสู่ห้วงเวลาที่ถูกต้องนี่ได้อีกครั้ง”

 

     “แล้วเหลือเวลาอีกนานเพียงใดกว่าที่กงล้อกาลจักรจะนำพาเรากลับไป”  เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของคู่สนทนา เฉินเซียงจึงตัดสินใจเลิกต่อความ

 

     “อีก 2 ชั่วยาม***”  เห่าฟ้าตอบเรียบ ๆ แต่สีหน้ากลับมีร่องรอยของความกังวลปรากฏขึ้น

 

     “ว่าอย่างไรนะ!?”

 

     เฉินเซียงขมวดคิ้วคิดอยากจะโต้คารมกับสุนัขเทพตนนี้ต่อที่ไม่ยอมบอกให้มันเร็วกว่านี้ ซ้ำยังชวนเขาปะทะคารมอยู่นานสองนาน  แต่เมื่อคิดถึงเวลาที่เหลือน้อยนิดแล้ว เขาจึงตัดสินใจคิดถึงปัญหาเฉพาะหน้ามาก่อน  ชายหนุ่มหมุนตัวให้ร่างกายสลายกลมกลืนไปกับสายลมเพื่อติดตามคนที่เขาต้องการ  ในขณะที่ เห่าฟ้าได้แต่เพียงสายหน้าน้อย ๆ ให้กับความดื้อรั้นของหลานชายนายเหนือหัว  แล้วค่อยแปลงร่างกลับเป็นสุนัขตัวเขื่องกระโจนออกไปอย่างรวดเร็วปานลมพัดไม่แพ้กันในทันที

 

 

..................

 

* พงศาวดารห้องสิน  พงศาวดารที่เขียนขึ้นในยุคศตวรรษที่ 16 (สมัยราชวงศ์หมิง)เพื่อเล่าเรื่องราวแนวอิงประวัติศาสตร์ในยุค 1046 ปีก่อนคริสตกาล (สมัยราชวงศ์ซาง)

 

**  กาลจักร  หมายถึง  กงล้อแห่งกาลเวลา

 

*** หนึ่งชั่วยามจีน เท่ากับ สองชั่วโมง

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา