หงส์ปีกหัก

-

เขียนโดย กันตพงศ์

วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.01 น.

  5 ตอนที่ 1
  0 วิจารณ์
  9,186 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557 20.33 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ตอนที่หนึ่ง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
     ตอนที่หนึ่ง
 
คืนนี้ฝนตกหนักกว่าทุกคืนที่ผ่านมา เสียงฟ้าร้องฟังดูน่ากลัวกว่าผิดปกติกว่าทุกวัน ช่วงเวลาอันน่าเศร้าที่เกิดขึ้นในตระกูล กิตติวาทิน ผ่านพ้นไปแล้วถึงสิบสามปี แม้ว่าช่วงเวลาอันน่าเศร้าสลดจะยาวนานเพียงใดจนสามารถรักษาเยียวยาบาดแผลของใครหลายคนได้แต่ไม่ใช่เธอคนนี้ที่ยาวนานเพียงไรเวลาก็มิได้เยียวยารักษาหัวใจให้ดีขึ้นมาเลย เฉิดโฉม หญิงสาวที่วัยล่วงเลยเข้าสู่เลขห้าแล้ว แต่ความงามไม่ได้เลือนหายไปจากใบหน้ารูปไข่ ถึงเธอจะเศร้าทุกข์เพียงใดดวงหน้าอันงดงามก็ยังสวยงามเด่นชัดไม่เสื่อมคลาย
ท้องฟ้าแปรปรวนเช่นนี้หากเมื่อสิบสามปีก่อนเกิดเหตุที่ไม่คาดฝันนำพาเฉิดโฉมจมอยู่กับวังวนแห่งความโศกเศร้า เธอยังคงมองออกไปนอกหน้าต่างนั่งบนเก้าอี้โยกมือทั้งสองกำกรอบรูปชายอันเป็นที่รักและเด็กน้อยตากลมอ้วนพลี เรื่องที่เกิดขึ้นต่างสะเทือนใจทุกคนในครอบครัวตระกูลกิตติวาทินรวมไปถึงคนงานในบ้านอย่างชมนาถคนรับใช้เก่าแก่ของเฉิดโฉมที่ไม่ต่างอะไรกับผู้เป็นนาย แต่ชมนาถมีความแกร่งกว่ากันมากคล้ายมีภูมิคุ้มกันชีวิตที่ดีมาแล้วจากประสบการณ์ของตัวเธอเอง บ่อยครั้งที่เฉิดโฉมทุกข์ตรมเธอจะเป็นอีกหนึ่งผู้ที่คอยปลอบประโลม
“คุณต้องหักห้ามใจไว้บ้างนะคะ เรื่องราวร้ายๆ เมื่อหลายปีก่อนมันผ่านมาแล้ว อย่างลืมนะคะ ตอนนี้คุณคือผู้ที่ดูแลกิจการและทุกสิ่งทุกอย่างของตระกูลกิตติวาทินทั้งหมด” ชมหมายถึงกิจการผลิตเสื้อผ้าสำหรับเด็กมูลค่าหลายร้อยล้านที่ ทรงกรม สามีสุดที่รักและตัวเธอเองใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตสร้างมันขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงทั้งสองจึงเป้นคู่ทุกข์คู่ยากโดยแท้
“ชมใครจะห้ามได้ต่อให้เวลาผ่านไปนานเท่าไรมันก็ไม่สามารถลบเลือนความทรงจำไปจากใจฉันได้หรอกคนทั้งคน” เฉิดโฉมพูดทั้งน้ำตา แต่ด้วยความหวังดีของคนสนิทโฉมเองก็ไม่ลืมที่จะห่วงใยคนใกล้ชิดเช่นชมนาถ
“ฉันต้องขอบใจเธอมากนะชม ถ้าไม่มีชมที่คอยปลอบใจคอยอยู่เคียงข้างฉันในเวลาแบบนี้ ฉันก็เหมือนไม่มีใครแล้วจริงๆ” ผู้เป็นนายได้แต่นั่งตัดพ้อ ชมนาถเห็นเป็นเช่นนี้ความผูกผันและห่วงใยพยายามจะบอกโฉม
“มีสิคะ ทำไมจะไม่มีใครที่เห็นใจคุณนอกจากฉันยังมีอีกคนอย่าลืมสิคะ”
เฉิดโฉมปาดน้ำตาที่ไหลลงมาที่ข้างแก้มแล้วยิ้มฟังอย่างเข้าใจ
“คุณธุชอย่างไรละคะ เธอรักคุณราวกับคุรเป็นแม่ของคุณแท้ของเธอเลยทีเดียว” ธุ๙ที่ชมนาถพูดถึงนี้คือ ธุชธราลูกชายบุญธรรมที่เฉิดโฉมรับมาอุปการะเลี้ยงดูจากชุมชนแออัดระแวกนั้นเมื่สิบสามปีก่อน
เฉิดโฉมพลันคิดขึ้นได้ “จริงสิ ฉันลืมไปเสียสนิท ฉันต้องของโทษชมมากนะที่ทำให้ต้องเป็นห่วงกับความอ่อนแอของฉันที่ทำให้ลืมเรื่องราวดีๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตจนหมดสิ้น นับว่าเป็นโชคของฉันที่เดียวที่ได้มีเธอ มีลูกที่น่ารักแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของฉันก็ตาม ทุกคนต่างช่วยฉันให้หลุดพ้นจากความทุกข์ แต่หลายครั้งที่ฉันกับอดไม่ได้ที่จะคิดถึงมันขึ้นมาอีก” อย่างที่เฉิดโฉมพูดเธอมักปลีกตัวคนเดียวทุครั้งเมื่อหลายครั้งที่เวลาฝนพร่ำความหลังอันแสนเศร้ามักย้อนกลับมาทำร้ายความทรงจำอันงงามทุกครั้งไป
เสียงฝีเท้าของใครบ้างคนกำลังเดินขึ้นมาอย่างปราดเปรียวดั่งว่าในใจมีจุดมุ่งหมายที่จะมาพบใครบางคนที่ตนตั้งใจจะพบจริง เสียงของฝีเท้าก้าวน้อยๆ หยุดลงตรงหน้าประตูห้องเฉิดโฉม ก๊อก ก๊อก เฉิดโฉมที่คลายจากความหมองเศร้าหันไปมองประตู
ชมนาถนั้นรู้ได้ทันทีแม้ได้ยินแค่เสียงฝีเท้า
“คงหิวจนทนไม่ไหว ถึงได้รีบมาตามคุณแม่ถึงห้อง” ชมนาถยิ้มเห็นแล้วอดไม่ได้ที่เฉิดโฉมหรือโฉมที่คนที่สนิทเท่านั้นที่จะเรียกได้ ยิ้มไปตามกัน
“รีบไปเถอะจ้ะชม”
“คุณแม่ครับ ทำไมถึงยังไม่ลงไปทานข้าวอีกละครับ” ชายหนุ่มที่มีแววเจ้าคารม มีรูปร่างสันทัด ใบหน้ากลมได้รูป ผิวขาว หยุดยืนอยู่หน้าที่มืดสนิทไม่มีไฟแสงลอดออกมา
“สองคนนี้แปลกนั่งคุยกันเข้าไปได้ที่มืดๆ ไฟก็ไม่เปิด” หนุ่มน้อยบ่นออกมาจนสองคนได้ยิน
จนชมนาถอดที่จะพูดไม่ได้ว่า “แหม่ดูทำเข้าพูดออกมาซะ” ก่อนที่จะยิ้มรับกันทั้งสองคนแม่ลูกที่เห็นชมนาถทำเสียงเช่นนั้น “กำลังจะเดินไปเดี๋ยวนี้และจ้ะ” เฉิดโฉมกล่าวด้วยท่าทางทีสุภาพแม้แต่กลับลูกตัวเอง
“ผมให้คุณป้าชมขึ้นมาตามคุณแม่ที่ห้อง” ชายหนุ่มพูดจบประโยคเสร็จเงียบเพราะสะดุดตรงที่คำที่ตนว่า “มาตามคุณแม่” สำหรับเขาแล้วมีนถือเป็นคำที่ไม่สุภาพเลยที่เรียกกลับผู้มีพระคุณ เฉิดโฉมดูออกว่าลูกของตนนั้นเป็นคนเช่นไรเพราะธุชธราเป็นคนที่คิดเล็กคิดน้อยมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกแล้ว
“คิดมากน่ะพ่อลูกชายคำพูดเล็กๆ น้อยๆ ยังเก็บเอามาคิดได้” แม่ผู้อ่อนโยนอย่างเฉิดโฉมต้องคอยปลอบประโลมเขาอยู่เป็นครั้งคราว
“แต่จริงๆ ถ้าจะพูดให้ถูกต้องพูดว่ามาเรียนคุณแม่ให้ลงมารับประทานอาหาร” ชายหนุ่มยังคิดอยู่เช่นนั้น ธุชธราเป็นคนสงบเสงี่ยมเจียมตัวเสมอต้นเสมอปลายนับตั้งแต่เข้ามานับเชื้อสกุลกิตติวาทิน เขาไม่ลืมว่าตนเป็นใคร มาจากไหน มีชาติกำเนิดอย่างไร ฉะนั้นไม่ว่าจะทำอะไรต้องรู้จักเกรงใจแล้เคารพเฉิดโฉมผู้มีพระคุณเลี้ยงดูตนไว้เหนือหัว
“แค่นี้เองน่ะลูกจะ ตาม หรือ เรียก ก็ไม่ต่างกันหรอกจ้ะคิดมาก” เฉิดโฉมยิ้มตอบความคิดของชายหนุ่มไม่มีใครจะงดงามเท่านี้อีกแล้วงามทั้งกายทั้งใจอย่างเฉิดโฉม นับเป็นบุณเท่าไรที่ได้มาอยู่ใกล้ชิดนับญาติกับที่เพรียบพร้อมอย่างผู้หญิงคนนี้หาไม่มีอีกแล้ว
 
ห้องรับประทานอาหารของบ้านกิตติวาทินใหญ่โตเสียยิ่งกระไร ภายในห้องรับทานอาหารมีงดงามหรูหราวิจิตรไม่ต่างจากห้องทานอาหารของบ้านผู้มีอันจะกินทั่วไป กลางห้องมีโต๊ะกลมไม้แบบจีน ทั้งเก้าอี้และโต๊ะฝั่งมุกต่างเป็นของชั้นดีที่ส่งตรงมาจากเมืองจีนบนโต๊ะอาหาร ณ ตอนนี้เต็มไปด้วยอาหารทั้งคาวหวานที่มีมากมายหลายหลากเพียงพอที่จะให้คนทั้งสี่คนแห่งตระกูลกิตติวาทินได้หาความสำราญกันทุกอย่างดูจะพอเพียงที่ให้ความสุขกับคนในบ้าน แต่จะใช่กับสองคนแม่ลูกนี้หรือไม่ที่รอทานอาหารมานานนับชั่วโมงคนแม่นั้นนิ่งครึมไม่พูดจา แต่แววตานั้นกลับเต็มไปด้วยความหงุงง่านร้อนร้นอยากจะไปให้เสียพ้นจากตรงนี้ เธอไม่สามารถแสดงออกใดๆ ได้เลยไม่ใช่ว่าเธอพูดออกมาไม่ได้ แต่เธอต้องเก็บมันเอาว้เพราะเอรู้ตัวดีว่าคนแบบเธอเป็นคนเช่นไรและไม่ต้องการที่จะให้ใครรู้ว่าเธอคิดอะไรแสดงออกทางสายตาว่าเป็นคนที่ร้ายลึกอย่างน่ากลัวที่สุด อีกคนชัดเจนทั้งการแต่งกายที่จัดจ้านเกินเด็กสาว วาจาเผ็ดร้อนเกินอายุ แววตาท่าทางร้ายกาจแม้เพียงไม่แสดงออกหากเกินทีสุดทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมหลุดกระโจนราวคบบ้าคลั่งพร้อมทำร้ายทุกคนที่ไม่อยู่ในสายตา ความเงียบที่ยาวนานชักทำให้หญิงสาวทนไม่ไหว
“นานแล้วนะ ทำไมยังไม่ลงมาอีก” น้ำเสียงบอกแววตายิ่งทำให้รู้ว่าเป็นคนเช่นไรชัดเจน
“เป็นอะไรของเขานะ ร้องไห้ร้องห่มจะเป็นจะตายเห็นมาแต่เล็กจนโตเก็บตัวคนเดียวอยู่ในหห้องท่าทางจะประสาท” สิ้นคำว่าประสาท สายตาที่จับจ้องสองแม่ลูกอยู่นานแล้วก็ลุกวาวขึ้นไม่ใช่ด้วยความอยากรู้แต่เพราะความโกรธ
“ระวังปากไว้บ้างนะ สาหรี” ผู้เป็นแม่กล่าวเตือนพร้อมปลายตามองไปที่เคาว์เตอร์ที่ทำหารด้านหลังแทนที่จะกล่าวเตือนลูกด้วยเหตุผลที่ว่า การนินทาเป็นสิ่งไม่ดีไม่พึงที่คนทั่วไปจะพึงกระทำกลับเตือนแบบเยียดๆกระแทกกระทันคนที่อยูด้านหลังที่กำลังเช็ดถูจานชาม “หน้าต่างมีหูประตูมีช่องระวังไว้แถวนี้ เยอะซะด้วยสิ” โครมเสียงถาดดังมาจากด้านหลัง ผู้เป็นลูกได้ยินดังนั้นก็คิดว่าสาวใช้อย่างเขียดจะลองดียั่วโมโห
“เสียงดังโครมครามลองดีหรอ นังเขียด” สาวน้อยแพดเสียงใส่สาวใช้ที่กำลังแกล้งทำหน้าปำเป่อ
“เปล่าคะมันหลุดมือ ขวัญอ่อนจริงๆ เลยนะคะคุณหนู” สาวใช้ตอบกลับ
“ไม่ต้องมาตีหน้ามึน ฉันรู้แกจงใจจะทำให้ฉันกับแม่ตกใจ สันดานอย่างแก่นังขี้ข้า” สาหรีด่ากราดอย่างไม่ลดละ
ตั้งแต่อยู่อาศัยมาในบ้านหลังนี้ไม่เคยมีใครด่าสาวใช้หรือคนงานในบ้านว่าขี้ข้า คำนี้เป้นคำต้องห้ามที่ทุกคนในบ้านจะไม่กล่าวล่วงเกินคนที่ยามมาทำงานแลกเงิน ที่สำคัญทั้งเฉิดโฉมและสามีผู้ล่วงลับต่างเห็นเหมือนกันว่าทุกคนในบ้านล้วนต่างเท่าเทียมกันจึงไม่ควรเรียกคนที่มาทำงานที่บ้านของกิตติวาทินว่าเช่นนั้น
“ทำไมพูดอย่างงี้ละคะ” สาวใช้ถามกลับดูว่าเธอจะมีน้ำโหหนือโมโหนิดเพราะมันสะกิดตรงคำว่าขี้ข้า
“แล้วแกจะทำไมละ” สาวน้อยสวนกลับ
สาวใช้ได้ยินดังนั้นเห็นว่าเหลืออดแล้วเพราะแม่คุณสาหรีเธอพูดเช่นนี้มาหลายครั้งแล้วลับหลังคุณแม่ใหญ่หรือเฉิดโฉม “ก็ไม่อะไรหรอกคะ ต่อหน้าคุณใหญ่ก็ไม่เห็นเก่งกล้าขนาดนี้เลย อ่อ” เสียงยั่วประสานกลับคุณหนูจนเกือบทำให้สาหรีเหลืออด ก่อนสาวใช้จะกล่าวตอกกลับแรงๆ ว่า “หรือว่าคุณแม่ของคุณจะไม่สอนคะ เอ๊ะหรือว่าลืมสอน”
สาหรีที่เหลืออดแล้วไม่ทนต่อไปรีบแจ้นปรี่ตรงไปยังสาวใช้พร้อมง้างกางมือออกหวังจะตบหน้าซะฉาดใหญ่ให้นังคนนี้มันได้สำนึก เสียงของสาวใหญ่ข้างพูดกับลูกสาวดังๆ ให้อริได้ยินชัดๆ ว่า
“สาหรี ฉันบอกให้หยุด” ดวงตาทั้งคู่ของเธอน่ากลัวยิ่งนักจนสาหรีเงียบไปทันที
“แกนี้อย่าลดตัวลงต่ำไปมีเรื่องกับขี้ข้าได้ยังไง” ผู้แม่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน สาวใช้คู่กรณีได้ฟังอย่างนั้นก็ได้แต่เพียงก้มหน้าแต่หน้าที่ก้มก็ไม่ได้ความว่าใจเธอจะก้มลงตามด้วย เธอเพียงแต่เห็นแก่คุณผู้หญิงที่กำลังเดินมาข้างหลังที่หล่อนเห็นอยู่ไม่ไกลจากห้องอาหารโดยที่แม่ลูกคู่นี้ต่างไม่รู้ตัวว่ามีใครอีกสามคนกำลังเดินเข้ามาแล้วได้ยินทุกสิ่งอย่างทีเธอลูกอย่างชัดเจน
“ไงละนังเขียดเงียบไปเลย” สาหรีทำหน้าเย้ยเขียด นังเขียดเพียงได้แต่เงยหน้าขึ้นมาดูเป็นพักๆ ไม่กล้ามองตรงไปเพราะมีคุณแม่บ้านอย่างชมนาถมองจ้องอย่างเอาเรื่อง
“ดีแล้วให้มันได้เจียมกะลาหัวไว้บ้างที่มันอาศัยอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะใคร” ผู้แม่พูดไปอย่างไม่ใคร่จะรู้ตัวเองว่าตนก็เป็นเพียงผู้อยู่อาศัยคนหนึ่งเท่านั้นมิได้มีอภิสิทธิ์อะไรเลยที่จะกล่าวต่อว่าอย่างสาดเยเทเสียเช่นนี้กับใครๆ ได้
“หรอจ๊ะ” เสียงอ่อนหวานหลุดออกจากปากของหญิงนางหนึ่งที่หยุดยืนฟังได้ครู่หนึ่งแล้ว สองแม่ลูกหันกลับไปที่ต้นเสียงถึงกับผงะ เมื่อรู้ส่าตนเสียงนั้นคือเฉิดโฉมที่ตอนนี้ไม่เหลือคราบน้ำตาที่เปื้อนใบหน้าเมื่อครูจนหมดสิ้นเป็นเฉิดโฉม หนือคุณผู้หญิง หรืออีกอย่างที่คนงานมักเรียนเธอคือ คุณใหญ่ เพราะคุณทรงกรมเจ้านายผู้ล่วงลับมีภรรยาสองคนนองจากเมียเอกอย่างเฉิดโฉมแล้ว ทรงกรมยังมีอนุภรรยาที่ไม่ใคร่จะเปิดเผยตัวต่อสาธารณะอย่าง ลาวัณ
ลาวัณได้แต่เงียบไม่ได้เงีบยทั้งเสียงแต่สีหน้าแววตากลับสงบไปด้วยอย่างหน้าแปลกใจที่ดูราวกับว่าเมื่อครู่ที่ต่อว่ากันฉาดใหญ่ๆ นั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง เฉิดโฉมไม่ได้ว่ากล่าวอะไรลาวัณเพราะเธอเองก็เข้าใจดีแลดูออกว่าลาวัณผู้นี้เป็นคนอย่างไรนับตั้งแต่อยู่ในบ้านในฐานะภรรยาอีกคนหนึ่งของสามี
“ถ้าไม่มีอะไร...ก็ทานอาหารกันดีกว่า” คุณผู้หญิงของกิตติวาทินกล่าวกับทุกคนที่อยู่ในบ้านพร้องเพรียงกันในห้องทานอาหาร
“ฉันต้องขอโทษเธอสองแม่ลูกด้วยนะที่ทำให้รอนานจน...อย่างที่เห็น” เฉิดโฉมละไว้ในฐานที่เข้าใจ ลาวัณและสาหรีหน้านิ่งไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในใจของสองแม่ลูกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงกับสีหน้าที่ปรากฎอยู่ ณ ตอนนี้
เฉิดโฉม ณ เวลานี้ถือว่าเป็นประมุขใหญ่ของบ้านที่มีอำนาจสิทธิ์ขาดแต่เพียงผู้เดียว เธอรู้ตัวดีว่าเธอเองควรทำตนเช่นไรเห็นเป็นที่เคารพและอยู่ปกครองผู้คนในบ้าน ทุกคนในบ้านต่างรักและเคารพเฉิดโฉมมิใช่แต่เพียงว่าเป็นคุญผู้หญิงหรือผู้มีอำนาจสิทธิ์ในบ้านและกิจการของกิตติวาทินตามพินัยกรรมที่สามีผู้ล่วงลับจะจากไปเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำเรียกว่า การวางตัวต่อหน้าผู้คนจรรยาที่มี ทำให้เฉิดโฉมต่างเป็นที่เกรงอกเกรงใจในพระคุณของเธอทั้งสิ้นไม่ใชเรื่องแปลกที่บรรดาคนงานทั้งในบ้านนอกบ้านจะเชื่อฟังเธอ
“วันนี้มีแต่ของชอบของลูกทั้งนั้นเลยนะจ้ะ” เฉิดโฉมปฏิสัมพันธ์กับลูกชายอย่างอ่อนโยนพลางมองอาหารบนโต๊ะ หนุ่มน้อยยิ้มรับ ลาวัณเห็นท่าทางของสองแม่ลูกสิ่งที่อยู่ในใจไม่อาจสามารถแสดงออกได้ ทั้งทางสีหน้าท่าทาง เห็นแล้วยิ่งเกลียดความผูกผันของแม่ลูกช่างคู่นี้น่าหมั้นไส้สิ้นดี ใจลึกๆ ของเธออย่างจะเดินไปด่าทอ ตบตีเฉิดโฉมแต่ก็ไม่อาจสามารถที่จะกระทำได้เธอเป็นเพียงผู้ตาม เป็นคนในบ้าน และที่สำคัญเป็นได้แต่เพียงข้าเก่าเต่าเลี้ยง คำว่า ข้าเก่าเต่าเลี้ยง คำๆ นี้ ยิ่งนึกยิ่งแค้นยิ่งหนักไม่รู้ว่าจะสรรหาคำในเอื้อนเอยออกได้ทุกอย่างมันซุ่มเสมือนเพลิงที่พร้อมจะลุกไหม้เผาได้ทุกอย่างแม้แต่ตัวของเธอเอง
 
“มันเป็นแต่เพียงลูกที่เก็บมาเลี้ยง ไม่รู้จะเอาอกเอาใจอะไรมันนักหนา” ลาวัณกอดอกแน่น ในแววตามีแต่ความชิงชัง “นั้นสิคะ แล้วทำไมคุรแม่ถึงได้ไม่ชอบทั้งคุณม่ใหญ่กับพี่ธุชแกด้วยละคะ” ลูกสาวถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“ก็ไอ้ ลาวัณนิ่งไปนิดเกือบจะหลุดทั้งคำเต็มๆ ว่าไอ้ ธุชธรามันเป็นเด็กที่คุณแม่ใหญ่เก็บมาเลี้ยง” สาหรีไม่ใคร่แปลกใจ นับแต่เกิดมาเธอก็รู้อยู่แล้วว่าธุชธราเป็นลูกบุญธรรมของคุณแม่ใหญ่
“คุณแม่จะจงเกลียดจงชังอะไรเขานักหนาละคะ” หญิงสาวยังไม่เข้าใจในความเกลียดที่มีของมารดา
“นังลูกโง่” ลาวัณเสยหัวลูกพร้อมสบถว่า
หยิงสาวยืนงงไม่เข้าใจการกระทำ “คุณแม่ทำยังงี้ทำไมคะ”
ลาวัณคลายความข้องใจของลูกสาว “แกรู้ไว้ด้วยนะว่าการที่มันเข้ามาอยู่ในบ้านนี้ แกคิดหรอว่านังเฉิดโฉมมันจะรับมันมาอยู่เลี้ยงไว้ดูเล่นเฉยๆ นะ” ลาวัณเริ่มเดือดขึ้นมาก่อนที่จะเข้าเรื่องที่เธอต้องการจะบอกลูกสาว
“นังนั้นมันอาจจะยกสมบัติให้มันก็ได้”
“ไม่มีทาง” สาหรีค้าน ลาวัณแปลกใจในคำพูดลูกสาว “แกรู้ได้ยังไงว่าไม่มีทาง”
“คุณแม่อย่างลืมนะคะ ก่อนคุณพ่อท่านเสียท่านได้ทำพินัยกรรมเอาไว้” สาหรีทำท่าประหนึ่งตนรู้มากกว่าใคร
ลาวัณละเหี่ยใจ “เรื่องนั้นใครๆ ก็รู้”
“ก็นั้นนะซิคะ จะกลัวอะไรอย่างไงซะสมบัติมันก็มาถึงเราบ้าง” สาหรีผยองขึ้นมา
ลาวัณละเหี่ยใจหนักเข้าไปอีกเมื่อเห็นลูกสาวของตนเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นซึ่งต่างจากความคิดของตน
“แกคิดว่ามันจะได้กันซะเท่าไรกันเชียวไอ้สมบัติอะ” มารดากระตุ้นให้บุตรสาวฉุดคิด
“คิดหรอว่าจะได้มาง่ายๆ การที่มีเด็กอีกคนหลังจาก...ไปแล้วมันจะไม่ได้ยังงั้นหรอ” เสริมต่อ “คือฉันจะอธิบายยังไงให้แกเข้าใจดี” สาหรีตั้งใจฟังสิ่งที่มารดาพยายามบอกกันหล่อน
“แม่ใหญ่แกเขาก็มีลูกใช่ไหม ลูกที่เกิดกับเมียเอกอย่างมัน มันก็ต้องได้สมบัติต่อจากพ่อจากแม่มันถูกไหม” สาหรีเริ่มครุ่นคิดสิ่งที่มารดาพูด “และการไม่มีลูกมาแต่แรกแล้วมามีอีก แทนที่แกจะได้แต่เพียงผู้เดียวกับกลายเป็นว่ามีคนอื่นที่ไม่ใช่ลูกได้จากแกไป” หญิงสาวที่ตั้งใจมารดาพูดคิดได้ว่า
“เอ่อ...แต่คุณแม่คะ พี่ธุชมาอยู่ในบ้านเราหลังจากการเสียของคุณพ่อแล้วนะคะพินัยกรรมคงไม่ได้ระบุไว้หรอกคะ คิดมากเปล่าคะคุณแม่”
“เด็กที่ตายหรือลูกที่รับมาเลี้ยงมันมีค่าไม่ต่างกัน เด็กนั้นมันตายไปตั้งนานแล้ว สมบัติทั้งหมดมันก็ต้องตกที่แม่มัน” เด็กที่ลาวัณพูดถึงคือหนูเบญจวรรณบุตรสาวที่เสียชีวิตแล้วของเฉิดโฉม “ในเมื่อแม่มันได้ครองส่วนใหญ่ทั้งหมดนังแม่มันก็ต้องยกให้ลูกมันไม่ถูกหรือยังไง” คำพูดที่ออกมาจากปากลาวัณทำให้รู้ถึงสิ่งที่เรียกว่า สันดานอันแท้จริงออกมาความอยากละโมบ ยากได้ใคร่มีในสิ่งที่เหนือการกำหนด ทำให้ลาวัณดูเป็นคนร้ายกาจร้ายลึกอย่างน่ากลัวของคนงานในบ้าน ยังดีที่บุตรสาวของเธอยังมีความยับยั่งชั่งใจในการคิดชั่ว
“มันไม่ใช่ของเราแล้วคุณแม่อยากได้มาทำไมละคะ” หญิงสาวฉุดคิดในสิ่งที่ควรรู้
“นังลูกโง่ แกคิดว่าพ่อแกมีสมบัติมากมายขนาดนั้นเลยหรือยังไง” มารดาสบถอีกคำรบหนึ่ง จนผู้เป็นแม่พาลไปเรื่องๆ ที่ลูกสาวไม่อยากให้ผู้เป็นแม่พูดถึง
ลาวัณเรียบเฉยเงียบไปครู่ “แกนะใกล้แล้วนะ”
สาหรีไม่เข้าใจว่าที่มารดาพูดหมายความถึงเรื่องใด
“ใกล้อะไรหรอคะคุณแม่”
“จะสอบอยูแล้วนี่แกยังลืมเลยหรอ” ลาวัณจริงจัง
สาหรีหัวเราะเพราะแลเห็นว่าการสอบมิใช่เรื่องสำคัญ
“โอ้ย...อีกตั้งอาทิตย์หนึ่งอ่านทันอยู่หรอกคะคุณแม่” หญิงสาวดูชิวๆ กับการอ่านหนังสือสอบจนมารดาชักหมั่นไส้ “หรอ...โง่ๆ อย่างแกหัดเจียมกะลาหัวบ้างเถอะนังหรี” ลาวัณเฉดหัวลูกสาวอย่างไม่ใยดีก่อนจะต่อว่าอีกเป็นการใหญ่ “วันๆ ไม่ทำอะไรเอาแต่นั่งแต่งหน้าแต่งตัวมันคงได้ดีขึ้นมาหรอกนะ” ก่อนถอนหายใจส่ายหน้าไปมา
“อย่ามายืนเกะกะจะไปไหนก็ไป๊”
เมื่อเห็นลูกสาวยืนนิ่งไปผู้เป็นแม่พายมือ “แกจะไปไหนก็ไปเถอะ” สาหรีเดินออกไปปิดประตูห้องอย่างเงียบที่สุดบ่นพึงพ่ำคนเดียว “จะอะไรกันนักหนาเรื่องแบบนี้” หญิงสาวผู้เบาปัญญาอย่างสาหรีคงไม่เข้าใจในสิ่งที่แม่ของเธอเองต้องการเกิดมาเป็นแค่ลูกอนุภรรยาจะทำอย่างไรให้คนในบ้านกิตติวาทินเห็นความสำคัญและมีตัวตนของเธอและลูกในบ้านได้มากไปกว่าการที่จะเห็นลูกตั้งใจเรียนมีความคิดความอ่าน ความหวังของลาวัณเลือนลางเพราะแม่ลูกสาวตัวดีไม่ได้นำพาความตั้งใจดีของแม่เลยแม้แต่อย่างเดียวเป็นจริงดั่งคำที่แม่ต่อว่าสาหรีทุกคำเธอผู้เป็นลูกเองจะทำอะไรนอกจากยืนฟังในสิ่งที่แม่บ่นพูดจนนานวันก็ชาชินไป บางครั้งอยากมีคนที่เห็นใจเข้าใจตัวเธอบ้าง ตัวสาหรีเองลึกๆ ก็รู้เจตนาดีของแม่ที่อยากให้ลูกอย่างเธอได้ดีเพื่อให้คุณแม่ใหญ่เธอเห็นใจเห็นคุณค่าในตัวเธอบ้างมีตัวตนเป็นที่ยอมรับของคนในบ้าน
ลาวัณเองก็คิดเช่นเดียวกับผู้เป็นลูกแต่ไม่รู้ว่าจะแสดงออกไปอย่างไรก้ได้ต่อว่าเตือนสติในแบบของเธอเพื่อลูกสาวเอาแต่ใจจะคิดได้ บางครั้งเธอเป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียวคิดร้ายก็อยากให้มีใครสักคนมาคอยปลอบประโลมหรือคอยว่ากล่าวตักเตือนเธอเองไม่ให้คิดร้ายหรือโมโหกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นกับคนในบ้านเรื่องของเธอกับลูกที่มีปากเสียงกับสาวใช้อย่างนังเขียดเหมือนนึกย้อนคิดกลับไปเธอยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปอีกไม่ใช่เพียงคุณเฉิดโฉมเธอจะเห็นและได้ยินที่แสดงถึงกมลสันดานตัวตนของเธอคนเดียวไม่แต่เห็นของลูกในข้อนี้ทำให้เธออับอายมาก ยิ่งนึกย้อนกลับไปอีกยิ่งหดหู่เมื่อก่อนนี้เธอชื่นชมความฉลาดเฉลียวของเด็กหญิงสาหรีที่แก่นแก้วจอมซนจนมองข้ามหัวคนอื่น เหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นกับเธอจนเป็นจุดเริ่มต้นของความสงบเสงี่ยมภายนอกผิดแผลกไปจากภายในที่มีแต่ความชิงชังต้องการที่จะเอาชนะ
เมื่อหนึ่งภาคการศึกษาที่ผ่านมาสาหรีถือว่าเป็นเด็กเรียนดีมาโดยตลอด
“ว่ายังไงเกรดเทอมอลังการไหมลูก” ลาวัณหยอกลูกสาวจนสาวใช้อ้วน ดำ ต้นห้องของเธอเองอย่างนังอึ่งอ่างอดกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
“อู๊ย...คุณหนูของอ่างทำได้อยู่แล้วละค่ะ” แม่สาวต้นห้องอวยกันสุดฤทธิ์จนพาลเอานังเขียดที่นั่งข้างๆ แบะปาก
ได้ยินอย่างงั้นเด็กสาวสาหรีก็ยืนนิ่งเทาไปไม่พูดไม่จา
“ขอแม่ดูหน่อยนะ” ลาวัณยิ้มรับลูกสาว ยื่นมือหยิบสมุดรายงานผลคะแนนที่ลูกสาวกำไว้แน่นมือ
“เอะกำแน่นเชียวมันมีอะไร” ลาวัณเริ่มเอะใจ เทอมนี้คงมีอะไรเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน และที่แน่นอนยิ่งกว่าคือต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่
“แกปล่อยมือให้ฉันดูเดี๋ยวนี้นะ” ลาวัณเริ่มมีอารมณ์รุนแรงแต่สาหรีก้นิ่งเงียบก้มหน้าก้มตา ลาวัณเห็นเป็นโอกาสจึงดึงสมุดออกมาจากมือลูกสาวได้ ลาวัณรีบเปิดอ่านพลัน
“สามสิบ” ลาวัณตกใจจนสาวใช้อย่างอึ่งตื่นตัว “สามสิบ” ลาวัณหน้าแดงโกรธจัดจนไม่อดรนทนไม่ได้หยิบไม้เรียวที่อยู่ซ่อนไว้หลังตู้ที่เธอเอาไว้ใช้ตีเพื่อกำราบความซนของลูกสาว มาบัดนี้มันกลับถูกใช้เป็นที่ระบายความอยากได้ใคร่ดีของแม่ เวลาผ่านไปแต่ความเจ็บช้ำในหัวใจของหญิงสาวที่ไม่อาจบอกผ่านผู้เป็นแม่ได้ด้วยคำพูด หากบอกได้เธออยากจะบอกว่า “แม่รู้บ้างไหมที่หนูสอบๆ ไม่ได้เพราะหนูทำไม่ได้แต่หนูอยากให้แม่ใส่ใจหนูมากกว่านี้ก็เท่านั้น” แค่เหตุผลส่วนหนึ่งที่สาหรีอยากจะพูด แต่ถ้ามากกว่านี้แต่พูดไม่ได้ คิดไม่ได้ไม่ใช่หญิงสาวโง่เขลาเกินกว่าจะคิดแต่มันคิดมันพูดไปแล้วน้ำที่มีอยู่ท่วมท้นเต็มอกจะไหลทะลักออกมาทางตาสองข้างก็เท่านั้น

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา