ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  97.76K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

45) บทที่ ๔๕: ฝนเลือด รูปปั้นและไม้แกะสลัก

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๔๕

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

ฝนเลือด รูปปั้นและไม้แกะสลัก

                อสุราอัญเชิญดาบที่แปลงจากปิ่นปักผมสองอันของตน มันรวมกันเป็นดาบหนึ่งเล่ม เธอเงียบไม่เอ่ยอะไร เท้าก้าวไปด้านหน้าเฉียงเล็กน้อยเพื่อเตรียมวิ่งไปปะทะดาบ คาตานะยิ้มมุมปากเขาตั้งท่าดาบในมือสองเล่ม ข้างขวาคือดาบคาตานะสีดำสลับแดงเข้มอีกเล่มเป็นดาบไทยธรรมดาแต่ลงอาคมไว้แล้ว

                อสุราพุ่งเข้าไปแล้วฟันดาบใส่คาตานะ อีกฝ่ายรับด้วยดาบคาตานะแล้วใช้ดาบไทยฟันร่างเธอจนเปิดเป็นแผลเล็กน้อย ยังดีที่เฉียด เธอถอยหายแล้วรับดาบไทยและดันดาบให้ห่าง

                “รู้ทั้งรู้ว่าศรีมีเลือดของท่าน แต่ทำไมถึงปล่อยให้ศรีตกอยู่ในอันตรายล่ะคะ!” อสุราถามด้วยอารมณ์ที่เดือด คาตานะยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบ

                “ถ้ามัวแต่ปกป้องก็คงยืนหยัดด้วยตัวเองลำบากน่ะ” คำตอบนั้นแทบจะทำให้อสุราลงมือสังหารทีเดียว แต่เธอต้องข่มอารมณ์ไว้เพราะอีกฝ่ายมีเลือดเดียวกับเธอ

                “ตอบแบบนี้ไม่มักง่ายไปเหรอคะ?” เธอถามพร้อมกับชี้ปลายดาบไปทางคาตานะ อีกฝ่ายเลิกคิ้วก่อนจะหัวเราะออกมา

                “หัดดูตัวเองเสียบ้างอสุรา เพียงข้าเข้าไปหาเจ้าด้วยดาบเพียงเล่มเดียวเจ้าก็แพ้แล้ว”

                “อย่าหลงตัวเองให้มากนักเลย!” คราวนี้อสุรากล่าวไม่มีหางเสียง คาตานะยิ้มมุมปาก แววตาของเขาเหมือนสัตว์กระหายเลือด วาววับชั่วครู่เป็นสีแดง อสุราเผลอกลั้นหายใจกับแววตานั้น ทว่าเธอก็ยังทำใจสู้แล้วพุ่งเข้าไปอีกครั้ง

                คาตานะจับดาบไว้แล้วเหวี่ยงมันออกไปแล้วเขยิบมือไปจับข้อมือของอสุราเพื่อรั้งเธอไว้ก่อนจะใช้ดาบไทยแทงเข้าไปตรงช่วงท้อง

                “อึก!!” เธอไม่มีแม้แต่จะรองครวญกับความเจ็บที่เข้ามามาก ร่างนั้นทรุดกับพื้น คาตานะเลียเลือดที่ติดบนดาบพลางแล้วแสยะยิ้ม

                “ข้ามิได้หลงตัวเองเสียหน่อย ข้าพูดเรื่องจริง เช่นเจ้าอีกนานกว่าจะถึงตัวข้า”

                “!!” ดวงตาเกรี้ยวกราดจดจ้องไปที่คาตานะ เด็กชายผมสีเงินไม่ได้หวาดกลัวต่อสายตานั้น เขาออกจะชอบมันเสียมากกว่า

                “และก็… อีกเรื่องที่ข้าอยากจะกล่าว …อสุรา เจ้าน่ะ ยกเลิกความคิดที่จะสังหารแม่ตนเสียเถิด บาปหนักที่สุดคือการสังหารผู้ให้กำเนิดนะ ต่อให้นานสักเท่าใดแม่เจ้าก็จะได้รับผลกรรมเอง”

                “ท่านก็พูดได้สิ! ลองมาเป็นหนูบ้างไหมล่ะ? ชีวิตที่ต้องอยู่กับพ่อแม่จอมปลอมที่ถูกสร้างด้วยตุ๊กตาอาคมมันเจ็บแค่ไหน ความอบอุ่นที่ควรจะมีในครอบครัวก็เป็นของปลอมทั้งนั้น ท่านไม่เข้าใจหรอก!!”

                คาตานะมองเด็กสาวผมหยักศกด้วยความสงสารและเวทนาในคราวเดียวกัน เรื่องที่เธอกล่าวมามันทำให้เขานึกถึงช่วงเวลาที่ต้องทนใช้ชีวิตคู่สามีภรรยา เขาเองก็เคยเจ็บกับความรักจอมปลอม ต้องแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก แต่เพื่อฐานะของครอบครัวเขาก็จำเป็นต้องแต่ง

                “ข้าเองก็เจ็บเช่นเจ้า ข้าต้องแต่งงานกับคนที่ข้ามิได้รัก แต่เพื่อพ่อแม่และคนในครอบครัวที่ข้ารัก ข้าก็ยอม”

                “…”

                สิ่งที่คาตานะกล่าวทำให้อสุราไม่กล้าเอ่ยอะไร เธอลืมไปว่าคาตานะก็เคยเจ็บกับความรักจอมปลอม เธอเผลอกดแผลมากไปจนมันซึมมากกว่าเดิม น้ำตาซึมออกมาแล้วค่อยๆ ไหลจนร่วงสู่พื้นกลิ่นอับ เจ็บใจที่ไม่สามารถทำร้ายได้ รักมากกับคนที่ไม่เคยอยู่เคียงข้างตนเอง   

                “ฮึก… ฮือๆ ฮึก…”

 

                “เป็นอะไรไปเหรอจ๊ะ?” เด็กหญิงในความฝันถามศรี เธอส่ายหน้าให้เพื่อนรักคนแรกในชีวิตก่อนจะตอบ

                “เปล่าจ้ะ”

                “อย่าเลยศรี ยิ่งปิดบังแล้วไม่ได้ระบายออกมันเจ็บนะ” ศรียิ้มบางๆ แฝงไปด้วยความเศร้าให้เด็กหญิงคนนั้น เด็กหญิงผมสีน้ำตาอ่อนประบ่าสวมชุดประโปรงสีขาว ดูบริสุทธิ์ช่างขัดกับบรรยากาศที่เป็นสีดำ

                “ช่วงนี้มีแต่เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นกับฉันน่ะจ้ะ แล้วดูเหมือนว่าผู้คนที่ฉันเพิ่งรู้จักจะมีเรื่องปกปิดฉันอยู่ …เลยระแวงน่ะ”

                “อย่ากังวลเลยนะ” เด็กหญิงคนนั้นกล่าวพร้อมกับลูบใบหน้าเธอด้วยมือขาวผ่องสองข้าง ศรีกุมมือนั้นไว้ด้วยความรู้สึกที่อบอุ่น สัมผัสอ่อนโยนนั้นทำให้เธอแทบจะลืมเรื่องราวที่ผ่านมา

                .

                .

                .

 

                ซ่า… ซ่า…

                ศรีลืมตาเบิกโพลง ตอนนั้นเองที่นึกว่าตนเองตื่นจากฝันแล้วก็คิดผิด เพราะรอบๆ ตัวเธอนั้นเป็นผนังไม้สร้างตามแบบเรือนไทย ตรงที่สูงขึ้นไปนั้นมีหน้ากากผีตาโขนอยู่ ด้านข้างนั้นมีหุ่นกระบอกไทยสวมชุดตามบทบาทของตน อาทิ ยักษ์ หนุมาน นางเงือก ตัวพระ---ตัวนาง ดวงตาที่ทาด้วยสีดำนั้นราวกับจะมองทุกการกระทำของเธอ อีกด้านก็มีร่มบ่อสร้างทาสีเป็นลวดลายสวยงาม ดอกไม้ที่ราวกับสะพรั่งบนผืนผ้าทำให้เธอดูอยู่นาน

                เธอมองไปในระยะที่ห่างจากเธอพอควร ข้างหน้านั้นมีระเบียงที่เป็นทางเดินเพื่อเชื่อมเรือนไทยสองหลัง เธอเดินจนไปถึงระเบียง ราวสะพานนั้นสลักลวดลายกนกอย่างละเอียดมีน้ำฝนเปื้อน …ทว่ามันเป็นเลือด ศรีลองใช้ปลายนิ้วแตะก่อนจะเอามาใกล้ปากแล้วค่อยๆ ลิ้มรสอย่างใจเย็น กลิ่นคาวเหมือนปลาและสนิมเหล็กนั้นทำให้เธอเผลอขมวดคิ้ว

                ศรีเดินไปเรือนไทยอีกฝั่ง คราวนี้มีรูปปั้นนางอัปสร กินรี ไม้สักแกะสลักเป็นรูปหญิงสาวสวมชุดแบบภาคเหนือในสมัยก่อนไหว้ ท่านั้นดูอ่อนช้อยราวกับว่าเป็นคนจริงๆ ผิวไม้มันเลื่อมช่วยทำให้ดูมีชีวิต ลายผ้าเครื่องแต่งกายงดงาม ดุจสตรีสูงศักดิ์ในสมัยก่อน

                เมื่อศรีชื่นชมกับความงามนั้นเสร็จแล้วก็เดินไปดูงานศิลป์อื่นต่อ …ทว่าดวงตาของไม้แกะสลักหญิงสาวกลอกลูกตาไปมองศรี ริมฝีปากที่ทาสีแดงนั้นยิ้มน้อยๆ รูปปั้นกินรีและนางอัปสรก็เช่นกัน

                “หึๆ…”

                “!” ศรีใจหายวาบ เธอรีบหันกลับไปมองด้านหลัง พบกับความว่างเปล่า รูปปั้นและไม้แกะสลักกลับไปเป็นดังเดิม

                …ตายไปซะ ตายไปซะ… หึๆๆ!!”

                .

                .

                .

                “!!” ศรีสะดุ้งตื่น เธอลุกขึ้นพรวดจนว่าวที่นั่งอยู่ด้านข้างตกใจ

                “ท่านพี่ศรี ฝันอันใดฤๅเจ้าคะ?” ว่าวถามพลางเทยาจากขวดลายกระจังใบเทศลงสู่ถ้วย ศรีรับยามาดื่ม กี่ครั้งแล้วนะที่เธอต้องดิ่มยา ศรีนึกด้วยความฉงนและเจ็บใจ ทำไมตนเองถึงอ่อนแอล่ะ

                “เฮ้อ… ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ” สีหน้าที่ซีดของศรีทำให้ว่าวอดเป็นห่วงไม่ได้ เด็กหญิงถักเปียใช้หลังมืออังหน้าผากไม่ถึงสามวินาทีเธอก็รีบชักกลับ

                “ท่านพี่! ตัวร้อนมากเลยนะเจ้าคะ!”

                ว่าวกระวนกระวายจนเผลอไปชนขวดยา ศรีทำท่าจะเข้าไปรั้งตัวเด็กหญิงทว่ามือที่ยื่นจะไปจับนั้นก็ต้องชักกลับไปกุมศีรษะ เธอปวดมากเสมือนมีสากมาทุบและบดขยี้ เจ็บจนร้องครวญไม่ออก ว่าวรีบเข้าไปโอบร่างกายเด็กหญิงผมยาวสีดำเกือบถึงสะโพก ระหว่างนั้นเธอก็ตะโกนให้ใครสักคนพาศรีไปหาแพทย์

                “ศรี!” มณฑาเข้ามาเป็นคนแรก ศรีไอจนแสบคอ รสชาติของเสมหะติดอยู่ในลำคอ เธอกลืนของเหลวสีเขียวข้นลงไป

                “ตายแล้ว! ไข้ขึ้นสูงมากเลย!” หญิงสาวผมลอนหันซ้ายหันขวาเหมือนต้องการอะไร ในระหว่างนั้นจารุก็เข้าไปมาก่อนจะให้ศรีดื่มยา เธอรับมาแล้วดื่มจนหมด

                ศรีไอครู่หนี่งก่อนจะเงยหน้ามองมณฑา ยิ่งมองก็ยิ่งสงสัย ว่านางมีเรื่องอะไรหรือเปล่า ใบหน้าแบบเอเชียผสมตะวันตกนั้นดูเหนื่อยล้า ศรีหลุบตาลงเพราะกลัวว่าถ้ามองนานไปจะเสียมารยาท มณฑาลูบศีรษะเธอก่อนจะถาม ขณะนั้นจารุและว่าวก็มองอย่างเป็นห่วงด้วย

                “ขอบคุณค่ะ ดีขึ้นแล้วค่ะ” ศรียิ้มบางๆ มณฑาลูบผมที่นุ่มลื่นยิ่งกว่าผ้าไหมสีดำยาวเป็นเงางามก่อนจะค่อยๆ ดันกายศรีให้นอนลง

                “นอนเสีย ประเดี๋ยวอาการจะหนักถ้าเธอลุกออกไปไหน”

                “ขอบคุณจริงๆ ค่ะ” ศรีกล่าวอีกรครั้ง มณฑาหยักหน้าก่อนจะก้าวออกจากห้อง จารุเองก็ตามไปด้วย ประตูปิดลง สักพักเพื่อนๆ ของศรีก็เข้ามา

                “ศรี เป็น ‘ไงบ้าง!”

                “ตัวร้อนมากเลย ไปหาหมอไหม?!”

                “ไปทำอะไรมาเนี่ย ถึงได้เป็นไข้?!”

                เพื่อนๆ ถามกันอย่างรวดเร็วจนศรีเกือบจะล้มตัวนอนเพราะทนไม่ไหวกับเสียง ว่าวตีแขนปักเป้าที่กำลังจะถามอย่างหงุดหงิดที่ทำให้คนที่ตนรักอาการหนักกว่าเดิม

                “เงียบๆ หน่อยสิเจ้าคะ ประเดี๋ยวท่านพี่ศรีจะแย่กว่าเดิมนะเจ้าคะ!” คำนั้นทำให้ทุกคนเริ่มเบาเสียง แต่บางคนก็ไม่วายถามต่อ พงสณะจับแขนของศรีมาเช็ดเพื่อลดอุณหภูมิ (ตามจริงเขาก็ไม่ทราบวิธีการเช็ดที่ดีหรอก แต่เพื่อเป็นการป้องกันเขาก็ต้องทำ)

                ศรีมองเพื่อนๆ เถียงกันไปกันมา เธอเผลอนึกถึงความฝันเมื่อไม่นาน

                รูปปั้น… ไม้แกะสลัก… ฝนเลือด…

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา