ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  97.69K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

44) บทที่ ๔๔: ความรักที่ก่อบาป

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

บทที่ ๔๔

[บรรยายโดยตัวละครหญิง เด็กหญิงสังรศรี วีรสังฆะ]

ความรักที่ก่อบาป

                “ธันนะเป็นอะไรไปเหรอจ๊ะ?” หนูถามเขา สีหน้าเศร้าหมองที่เจืออยู่ในความเย็นชามันทำให้หนูอดถามไม่ได้ เจ้าตัวส่ายหน้าก่อนจะตอบ

                “ไม่เป็น ‘ไร หรอก”

                “ถ้าไม่สบายบอกได้นะ” หนูถามเขาไปแบบนั้นเพราะไม่อยากเผลอไปจี้ปมในใจเลยแสร้งทำเป็นว่าเห็นเขาไม่สบาย ธันนะส่ายหน้าแทนคำตอบก่อนจะเดินไป หนูมองตามหลังเขา สังเกตว่าในมือมีดาบอยู่ด้วย เมื่อเขาเดินจนลับสายตาก็เพิ่งนึกได้ว่าตนเองจะถามอะไร

                “เฉาก๊วย ธันนะเป็นอะไรไปเหรอ แล้วไปอยู่ที่ไหนมา?” หนูถามเฉาก๊วยแทน เขาถอนหายใจก่อนจะตอบ

                “ธันนะคิดว่าตัวเองขี้ขลาดเลยไปหลบอยู่ที่ห้องน้ำน่ะ”

                “ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ?”

                “ไม่รู้สิ”

                หนูมองเฉาก๊วยที่ถอนหายใจอีกครั้ง ตอนนี้พวกวิญญาณไม่ค่อยจะมากันแล้ว หนูเงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีที่มีดวงดาวส่องประกาย คล้ายภาพวาดที่ลงสีดำแล้วแต้มด้วยสีขาว เป็นความงดงามที่พิศวงเสียจริง

                ดวงจันทร์ทอแสงละมุนอ่อนโยนผิดกับพระอาทิตย์ที่ทอแสงเร่าร้อนแทบจะแผดเผาให้กลายเป็นธุลี

                “นี่เป็นเพียงการทักทายเล่นๆ นะ” จู่ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงเอ่ยขึ้น หนูรีบหันไปมองแล้วพบว่าเป็นหญิงสวมหน้ากากแบบไทยเมื่อตอนนั้น หนูจดจ้องนางอย่างตะลึง เฉาก๊วยที่ได้ยินด้วยก็เป็นเช่นเดียวกัน เขาอ้ำๆ อึ้งๆ เหมือนจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก

                “ท่าน… ท่านผู้อาวุโส!” เฉาก๊วยเอ่ยออกมา หญิงสวมหน้ากากพยักหน้า คำว่าผู้อาวุโสสามารถเรียกได้กับนายิกาที่มีผู้นำสามคน แต่ในที่นี้นางเป็นถึงผู้ที่มีระดับสูงเท่ากันเลยเรียกได้ เรื่องนี้ว่าวเคยเล่าให้หนูฟังบ้างแล้วเลยไม่ฉงน

                “ที่ท่านพูดเมื่อกี้… หมายถึง”

                “ใช่แล้ว ที่ข้าจะพูดก็คือวิญญาณพวกนั้นเป็นฝีมือข้าเอง”

                “ทำไมถึง…”

                “ข้าแค่อยากทดสอบศรีกับธันนะกเท่านั้น การที่เจ้าจะให้เธออยู่ที่มิติผกายก็ต้องเตรียมฝีมือไว้บ้าง มิติผกายอันตรายยิ่งนัก หากมิฝึกไว้จะแย่เอา”

                “…”

                เฉาก๊วยเงียบไป หนูมองทั้งสองสลับกัน ดูไม่ออกเลยว่าสีหน้าของหญิงสวมหน้ากากเป็นเช่นไร เงาที่อยู่ใต้ขอบที่เปิดให้ดวงตามองเห็นได้ก็บดบังจนมองแทบไม่เห็นตา

                ในขณะที่หนูเหม่ออยู่นั้นหญิงสวมหน้ากากก็เข้ามาประคองใบหน้าของหนู นางขยับหน้ากาก …หนูเผลอกลั้นใจเพราะตื่นเต้นที่คิดว่าจะได้เห็นรูปโฉมจริงๆ ของนาง

                ทว่าไม่ใช่ หญิงคนนั้นขยับให้เห็นเพียงริมฝีปาก นางโน้มหน้าลงมาแล้วจูบตรงแก้มเฉียดกับริมฝีปาก หนูกลั้นใจเพราะทำอะไรไม่ถูก เฉาก๊วยเองที่ทำท่าจะเข้ามาห้ามก็ไม่กล้า ได้แต่ยืนมองอย่างอาลัย

                “เป็นของข้าเถิด… ศรี” หนูมองนางที่ถอยห่างและขยับหน้ากากปิดดังเดิม

                “หมายความว่าอย่างไรคะ?”

                “ไว้เจ้าโตเมื่อใดข้าจะรับเจ้าไปเป็นเจ้าสาว” คำนั้นทำให้หนูมองนางอย่างฉงน เฉาก๊วยที่ทีแรกมีสีหน้าตกใจก็เปลี่ยนเป็นเรียบเฉย

                …นาย รู้อะไรสินะ เฉาก๊วย

                เมื่อกล่าวจบหญิงคนนั้นก็เดินจากไป พร้อมๆ กับที่วิญญาณที่ค่อยๆ เลือนหาย

                หนูมีลางสังหรณ์ว่าชีวิตต่อจากนี้ต้องมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นแน่ …ชาติก่อน ไปทำกรรมอะไรไว้นะ

 

                “สรุปก็คือเป็นฝีมือท่านอาวุโส?” ขนมชั้นถาม หนูพยักหน้าแทนคำตอบ เขาถอนหายใจ ดูเหมือนว่าจะเหนื่อยที่อุตส่าห์สู้กันมา สุดท้ายก็เป็นฝีมือผู้ที่รู้จักกัน

                “ก็คาดไว้ล่วงหน้าล่ะนะว่าต้องไม่ธรรมดา แต่เป็นท่านอาวุโสมันเกินความคาดหมายจริงๆ” ยุพินเอ่ย บรรพตตบศีรษะเด็กหญิงแต่งกายแบบภาคใต้ประยุกต์อย่างหมั่นไส้ (อันนี้ก็ไม่แน่ใจ แต่ดูจากสีหน้าคงจะใช่) หนูยิ้มบางๆ จะขำก็ขำไม่ได้ กลัวจะเป็นการหยาม

                “เทียบกับการ์ตูนอีกสินะ ให้มันได้เยี่ยงนี้สิ!”

                “อ้าว ฉันพูดจริงนี่ หรือเธอคิดว่าไม่ล่ะ”

                “เฮอะ!” แย่จัง ดูเหมือนทั้งสองจะเริ่มไม่ลงรอยกันแล้ว หนูเข้าไปหาทั้งสองพร้อมรอยยิ้ม ยุพินที่เห็นหนูมีสีหน้าเช่นนั้นก็ยิ้มตอบ

                ขนมชั้นส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย สีหน้าของเขาอ่อนล้าและเยือกเย็น หนูอดสงสัยไม่ได้เหมือนกันนะว่าเขาเป็นคนเย็นชาเช่นธันนะหรือเปล่า แต่คงไม่ใช่กระมัง เขาแค่จริงจังมากไปก็เท่านั้น พอรับหน้าที่ของหัวหน้ากลุ่มเลยต้องเคร่งเพื่อไม่ให้แผนผิดพลาด

                …เฮ้อ

 

                หนูกับเพื่อนกลับมาที่มิติผกายแล้ว ส่วนพี่อสุรา (พี่สายเลือดเดียวกับหนู) ก็มาด้วย ซึ่งพี่บอกกับพ่อแม่ว่ามีธุระด่วน อาจจะกลับมาช้ามาก ตอนแรกหนูจะเตือนท่านว่าทำเช่นนี้พ่อแม่ต้องกังวลแน่ ยิ่งหนูหายไปด้วยแล้ว แต่ยังดีที่พี่อสุราบอกว่าเจอหนูแล้ว พ่อแม่เลยต้องจำใจยอม หนูที่ยืนฟังพี่คุยกับท่านทั้งสองก่อนหน้านี้ก็ได้แต่ขอโทษอยู่ในใจหลายๆ ครั้ง

                พอกลับมา หนูก็ไม่พบพี่อสุราแล้ว หนูถามเพื่อนๆ แต่ก็ไม่มีใครรู้ จึงได้แต่ถอนหายใจด้วยความกังวล ตอนนั้นที่มือเผลอไปแตะตาข้างขวาที่บาดเจ็บเมื่อจะลูบผมให้เรียบก็นึกได้ว่าพี่อสุราที่รักหนูยิ่งกว่าอะไรทำไมถึงไม่สงสัยแผลตรงนี้ หรือจะเงียบไว้และไปทำร้ายคนที่คาดว่าทำให้หนูเป็นแบบนี้เหมือนหลายๆ ครั้งที่เคยเป็นมา

                ถ้าย้อนกลับไป ก็มีหลายครั้งที่ท่านทำ พี่อสุราที่เห็นหนูถูกกลั่นแกล้งก็จะกระชากร่างผู้ทำไปทำร้ายร่างกาย พี่รักหนูมาก ขนาดมดสักตัวถ้าเฉียดก็จะเข้าไปกระทืบ หรือมีสุนัขตัวไหนมาไล่กัดก็จะหยิบไม้มาทุบตี

                มีครั้งหนึ่งที่พี่เห็นหนูจะถูกกัดท่านก็เลยใช้ไม้ขนาดใหญ่มาตีขาหน้าข้างขวาจนหัก หนูเห็นภาพนั้นก็ยืนนิ่ง ทำอะไรไม่ถูก ไม่ใช่สาแก่ใจที่มันพิการ แต่สงสารและรู้สึกผิดจนไม่กล้าแม้แต่จะอุ้มมันเพื่อไปรักษาก็ทำไม่ได้ หนูเป็นเหตุให้มันต้องเสียขาไป ร่างกายสั่นเพราะหวาดกลัวพี่สาวสายเลือดแท้ๆ

                พี่เห็นอาการนั้นเลยเข้ามากอดเพราะเข้าใจว่าหนูกลัวมัน แท้จริงแล้วหนูกลัวพี่มากและรักมากในขณะเดียวกัน กลัวที่ทารุณให้มันตายทั้งเป็น รักมากที่ยอมทำบาปเพื่อปกป้องน้องสาวคนนี้

                พี่ไม่เคยยอมใครและไม่เคยแพ้ใคร

                คราวนี้เหตุการณ์ผู้ที่ทำร้ายหนูเป็นพี่มัธยมปลาย ปีเดียวกับพี่อสุรา ตอนนั้นที่หนูเผลอไปทำน้ำหกใส่เพราะสุดขาตนเอง อันเนื่องจากวิ่งเพื่อไปให้ทันนัดที่พี่ให้หนูกลับบ้านพร้อมกันสองคน หนูกล่าวขอโทษพี่พวกนั้น ทว่าพวกเธอไม่ยอม จิกผมหนูแล้วเขม็งตาใส่ หนูจ้องกลับไป หนูสามารถทำร้ายได้แต่ไม่อยากมีเรื่องเลยได้แต่ให้พวกเธอทำแบบนั้น

                ในขณะที่พี่พวกนั้นด่าหนูสารพัด พี่อสุราก็เข้ามาพร้อมกับไม้อันเดิมที่มีตะปูตอกเพิ่มด้วย แววตาอาฆาตที่เยือกเย็นจนหนูไม่กล้าแม้แต่จะหายใจนั้นจ้องไปยังพวกพี่ๆ แต่พวกเธอยังทำใจกล้า ชี้หน้าพี่อสุราแล้วเอ่ย

                ‘หัดสอนน้องแกบ้างนะ วิ่งยังไงไม่ดูตาม้าตาเรือ ดูซิเสื้อฉันเลอะไปหมดแล้ว!’ พี่อสุราไม่สะทกสะท้าน พี่คงจะมั่นใจว่าหนูเป็นคนที่ทำผิดแล้วขอโทษเลยไม่โทษหนู

                ‘ศรี น้องขอโทษหรือยังจ๊ะ?”

                ‘…ขอโทษแล้วค่ะ’ พี่อสุราได้ฟังคำตอบนั้นจึงแสยะยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วเอ่ย

                ‘น้องฉันสำนึกผิดแล้ว พวกแกต้องการอะไรอีกล่ะ?’

                ‘ก็แค่ออยากสั่นสอนว่าให้รู้จักระมัดระวังเสียบ้าง จะได้จำขึ้นสมอง’ พี่คนที่ดูจะเป็นหัวหน้ากลุ่มเอ่ยจบเพื่อนๆ ที่เหลือก็หัวเราะ พี่อสุราแสยะยิ้มมากกว่าเดิม ดวงตานั้นฉายวาววับเหมือนสัตว์ร้าย

                ‘งั้นเหรอ? ในฐานะที่พวกแกมาทำร้ายน้องฉันทั้งๆ ที่น้องฉันสำนึกผิดแล้วคงต้องสั่งสอนให้จำขึ้นสมองด้วยแล้วสินะ’

                ‘แก!”

                ผัวะ!!

                พี่อสุราใช้ไม้ตีไม่ยั้งมือ ด้านที่ปลายตะปูโผล่ก็ทิ่มผิวหนังของพวกพี่ๆ อีกสองสามคนที่จะมาจับตัวท่านก็ต้องถูกเท้าถีบแล้วตามด้วยไม้ตอกตะปูเพิ่ม พี่อสุราตีจนเลือดออกโชก บางคนแขนหัก หนูกลั้นใจและไม่มองภาพนั้น เพียงแค่ได้ยินเสียงไม้กระทบผิวหนังก็นึกภาพออกแล้ว

                ‘ขอโทษน้องฉันเดี๋ยวนี้!!”

                ‘ฉันขอโทษ!!’ พี่พวกนั้นต่างลากสังขารตนไป บางคนไม่ไหวอีกคนที่พอไหวก็ช่วยพยุง สีหน้าหวาดกลัวเหมือนเห็นสัตว์ร้ายทำให้พี่อสุรายิ้มอย่างพอใจ

                ‘กลับกันเถอะจ้ะ’

                และนั้นคือสิ่งสุดท้ายที่พี่เอ่ย จากนั้นเราสองคนก็เดินกลับบ้าน ไม่มีใครเอ่ยอะไรอีก เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้พวกพี่ๆ ไม่กล้ามายุ่งกับหนูและพี่อสุราอีกเลย นับแต่นั้นมา

                ตอนที่หนูกับเพื่อนๆ เข้าไปจะพักในเรือนก็เห็นท่านมณฑาเดินหน้าเคลียดผ่านหน้าไป ท่านไม่ได้เอ่ยอะไร ปล่อยให้พวกหนูจัดการเอาเอง หนูมองร่างในชุดสมัยรัชกาลที่ ๕ อย่างฉงน พอจะเดินต่อหันไปอีกด้านก็พบคาตานะยืนยิ้มแบบไม่แสดงสีหน้า ปากยิ้มแต่แววตาไร้ความรู้สึก หนูเผลอกลั้นใจ ระหว่างนั้นเขาก็เอ่ยขึ้น

                “นี่ มิรีบไปล่ะ เพื่อนๆ จะไปอาบน้ำกันแล้วนะ”

                “จ้ะ ฉันกำลังหาพี่อสุราอยู่น่ะ” หนูหาพี่สาวตนเองก็จริง แต่เหตุผลจริงๆ คือสงสัยว่าท่านมณฑามีอะไรหรือเปล่า คาตานะพินิจหนูก่อนจะพยักหน้าแล้วออกจากเรือนไป

                หนูเตรียมผ้าขนหนูแล้วเข้าห้องน้ำตามไป น้ำอุ่นในอ่างที่เกิดจากการเดือดของไฟทำให้หนูนึกถึงการ์ตูนญี่ปุ่นที่อาบน้ำร้อนแล้วต้องเผาฟืนเพื่อส่งความร้อน หนูพยายามทำตัวให้ผ่อนคลายเข้าไว้แล้วละเรื่องราวต่างๆ ที่นับวันยิ่งเข้ามามากในชีวิต หนูเหลือบเห็นว่าในอ่างมีดอกมะลิอยู่ด้วย มิน่าล่ะ เมื่อกี้ก็ว่าได้กลิ่นหอมๆ

                “ปล่อยฉันไว้คนเดียว ใจร้ายจังนะพวกเธอ” แป้งมันกล่าวอย่างหงุดหงิด หนูยิ้มแห้งๆ ให้ ในแววตาของเธอยามมองหนูไม่มีการตำหนิแต่เป็นแววตาที่หวานเยิ้ม หนูเก้กังๆ กับสายตานั้นก่อนจะลดตัวลงไปใต้น้ำ ได้กลิ้นดอกมะลิมากกว่าเดิม หนูเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นแป้งมันและยุพินจ้องตากัน

                ?

                “ฉันว่าเราคงต้องมีเรื่องคุยกันหน่อยละ”

                “ไม่บอกฉันก็รู้”

                หนูมองทั้งสองสลับกัน ในขณะที่มองเพื่อนผู้หญิงคนอื่นเล่นกันเอาน้ำมาสาดใส่โดยใช้ขัน หนูยิ้มแล้วหัวเราะคิกคักด้วยความขบขัน ขณะเดียวกันก็กังวลไปด้วยกับเรื่องของทั้งสองคน

                “คราวหน้าศรีต้องไปกับฉัน!”

                “ไปกับหนูต่างหากล่ะเจ้าคะ!” หนูที่ละความสนใจจากทั้งสองฟังการสนทนาของแววไพรและว่าวก็เหงื่อตก คาดผิดไป นึกว่าทั้งสองเล่นกันเสียอีก

                เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว พวกเราก็เข้านอน แต่ต้องจัดการกับที่นอนเสียก่อน หนูกับเพื่อนๆ ต้องนอนกับพื้นซึ่งอันที่จริงแล้วท่านมณฑาต้องการจะให้พวกหนูนอนบนเตียง แต่เนื่องจากห้องยังจัดการไม่เสร็จเลยใช้ชั่วคราวไปก่อน แต่อย่างไรเสียคดีผู้ลักดาบ (หรือมีดเนี่ยแหละ) ก็ยังสืบไม่ได้อะไรเลยก็คงอยู่ที่นี่ได้ไม่ถึงเดือนหรอก แบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ

                …จะว่าไป พี่อสุราหายไปไหนนะ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา