ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  97.75K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

33) บทที่ ๓๓: เหตุผลที่ไม่ให้ไป

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๓๓

[บรรยายโดยตัวละครหญิง เด็กหญิงสังรศรี วีรสังฆะ]

เหตุผลที่ไม่ให้ไป

                หนูนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่รอแววไพร ว่าวและยุพิน พร้อมกับอ่านหนังสือไปด้วย บรรพตกับธันนะเองก็นั่งอ่านเงียบๆ ด้วย มีบางครั้งที่บรรพตสะกิดหนูให้อ่านเนื้อหาที่น่าสนใจ ซึ่งหนูก็ตอบรับด้วยรอยยิ้มและแสดงความคิดเห็นไปด้วย

                …จะว่าไปธันนะก็ไม่ค่อยพูดกับใครเลย น่าเป็นห่วงจัง

                หนูคิดด้วยความเป็นห่วงและกังวล ต้องหาวิธีช่วยธันนะเสียแล้ว เอาล่ะงั้นเริ่มจากชวนเขาคุยละกัน

                “นี่ธันนะ เราร่วมเดินมาด้วยกันยังไม่ค่อยได้คุยกันเลยเนอะ”

                “อืม” อีกแล้วอะ เขาไม่ค่อยชอบพูดกับใครเลย อ๊ะ! แย่จริง หนูเองก็ไม่ค่อยชอบคุยกับใครเหมือนกัน ไม่น่ากล่าวหากเขาเลย

                “เราเองก็ไม่รู้จักแค่ชื่อ อยากรู้จังว่านายเรียนอยู่โรงเรียนอะไรน่ะ” ธันนะขมวดคิ้วด้วยความรำคาญ หนูอาจจะเสียมารยาทไปหน่อยแต่เพื่อตัวเขาเองในฐานะที่หนูเป็นเพื่อนหนูก็ต้องช่วยเขา

                แม้จะเพิ่งรู้จักกันก็ตาม…

                “โรงเรียนไพสิฐโรจน์วิทยาคมน่ะ เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน ที่ถามเนี่ยตั้งใจจะไปลอบฆ่าใช่ไหม?” ธันนะถามทีเล่นทีจริง ทำให้หนูทำแก้มป่องด้วยความไม่พอใจก่อนจะตบไหล่เขาไปหนึ่งที ใจร้ายจัง! หนูแค่อยากรู้ก็เท่านั้นเองน่ะ

                “ไม่ใช่สักหน่อย!” หนูกล่าวด้วยอารมณ์ที่ขึ้นๆ ลงๆ ในขณะนั้นเองก็เป็นช่วงเดียวกับที่แววไพร ว่าวและยุพินทำความสะอาดเสร็จพอดี หนูเก็บหนังสือใส่กระเป๋าก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหาทั้งสามคนแล้วส่งยิ้มให้

                “เหนื่อยไหมจ๊ะ ขอโทษนะที่ทำให้พวกเธอทะเลาะกันน่ะ” หนูเอ่ยอย่างสำนึกผิด แววไพรยิ้มบางๆ ก่อนจะเข้ามากอดแขนหนูแล้วซบไหล่

                “ไม่ใช่ความผิดของศรีหรอก พวกฉันสิต้องขอโทษที่ทำให้ลำบากใจ” หนูมองแววไพรที่เอ่ยเบาๆ แล้วหันไปมองว่าวและยุพิน จะว่าไปหนูก็ไม่ค่อยได้คุยกับยุพินสักเท่าไหร่เลย จะว่าไปหนูรูสึกตงิดๆ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ อะไรนะ หนูลืมอะไรไป

                เอ๊ะ หรือว่า

                “อะ แววไพร ไม่ได้นะ” หนูเอ่ยด้วยความกังวลก่อนจะดันแววไพรออก เธอทำหน้าฉงนเหมือนไม่เข้าใจว่าหนูกล่าวถึงอะไรเลยถาม

                “อะไรเหรอ?”

                “ตอนนี้ฉันเป็นผู้ชายนะ ทำแบบนี้ไม่ได้หรอก” พอหนูตอบแบบนั้นทั้งสามคนก็เข้าใจ ดูเหมือนแววไพรจะไม่ใส่ใจเลยมากอดแขนหนูอีกครั้ง

                “ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่”

                 กล่าวจบแววไพรก็หอมแก้มหนู หนูเบิกตาโตด้วยความตะลึง ปรกติถ้าตอนเป็นผู้หญิงหนูก็เฉยๆ แหละแต่พออยู่ในร่างชายแล้วเป็นแบบนี้รู้สึกแปลกๆ อย่างไรไม่รู้ ว่าวและยุพินที่เห็นภาพนั้นดูเหมือนจะไม่พอใจ (อันนี้ก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร) ยุพินเลยมากระชากแววไพรแล้วบีบคออย่างแรงโดยที่ว่าวให้กำลังใจ (?) ด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย

                “แค่ก ทำ… อะไร--- ของแก”

                “แกก็น่าจะรู้นะว่าทำไม”

                “นี่พอ---” หนูที่กำลังกล่าวห้ามก็มีอันต้องหยุดเพราะคาตานะเข้ามาก่อน ไม่ทราบว่าหนูตาฝาดไปหรือเปล่าหนูรู้สึกถึงรังสีอำมหิตจากคาตานะ ว่าว แววไพรและยุพินหน้าซีด สงสัยคงเพิ่งรู้ว่าหากทะเลาะกันคาตานะต้องไปฟ้องท่านจารุแน่

                “เอ่อ คาตานะ พวกฉันไม่ได้ทะเลาะกันนะ ก็แค่หยอกเล่นกันเอง เนอะๆ ยุพิน” แววไพรกระแทกศอกใส่ยุพิน เจ้าตัวพยักหน้าเออออเพราะไม่อยากใกล้เส้นตาย เขายิ้มมุมปากก่อนจะก้าวเดินกลับไปนั่งดังเดิม พวกเธอคนถอนหายใจอย่างโล่งอก

                หนูหันไปมองตาม คาตานะเอนกายลงนอนแล้วหลับตา …ทำไมรู้สึกว่าเขาลึกลับจังเลย เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่เป็นผีสางนางไม้ไม่มีผิด แต่… หนูว่าหน้าเขามันคุ้นๆ นะ

                “เหมือนใครนะ…”

                วูบ!

                พลั่ก!

                ระหว่างที่คิดอะไรเพลินๆ จู่ๆ ก็มีลูกบอลลอยมากระแทกศีรษะ หนูกุมศีรษะด้วยความเจ็บปวด น้ำตาเล็ดออกมา หนูก้มไปเก็บลูกบอลเพื่อเตรียมจะโยนไปหาตัวการที่ทำให้ตนเองเจ็บ

                “ตายแล้ว! ศรีเป็นอะไรหรือเปล่า” ยุพินถามอย่างเป็นห่วง แววไพรและว่าวก็มองหนูด้วยความรู้สึกนั้นเช่นกัน หนูยิ้มบางๆ เพื่อให้พวกเธอสบายใจก่อนจะหันไปมองรอบๆ ว่าใครเป็นคนทำแล้วเผอิญสบตากับซีอาห์และพงสณะที่ยืนยิ้ม สังเกตได้ว่าเหงื่อผุดตามใบหน้า …พวกนายเองสินะ

                “พงสณะ! ซีอาห์!”

                “ครับ!”

                “ไม่ต้องมาครับเลย! เล่นยังไงถึงได้มาโดนฉันเนี่ยฮะ!” หนูตะคอกใส่อย่างโมโห พวกเขายิ้มแห้งๆ เหมือนจะกลบเกลื่อนความหวาดกลัว

                “เอ่อ… จริงๆ แล้วเค้าก็ตั้งใจจะเล่นแค่สองคนนะ แต่ดูเหมือนลูกบอลมันจะอยากเล่นสามคนเลยไปโดนตัวเองไง แหะๆ” ระหว่างที่กล่าวเขาก็ค่อยๆ ถอยซีอาห์เลยทำตามด้วย เตรียมจะหนีล่ะสิอ้ายพวกพิเรนท์!

                “งั้นเหรอจ๊ะตัวเอง”

                “จ้ะ”

                “งั้นก็รับไปซะ!!” หนูโยนบอลขึ้นแล้วตบมันให้พุ่งไปหาทั้งสอง โดนใครก็ได้เพราะอย่างไรเสียวันนี้หนูจะต้องเก็บกวาดให้หมด!

                “ว้าก!”

                พงสณะและซีอาห์หนีกันแทบไม่ทัน จะว่าไปแรงของหนูมันก็ไม่ใช่น้อยๆ เลยล่ะ เมื่อก่อนพงสณะก็เคยล้อหนูว่าแรงเยอะอย่างกับช้าง แน่นอนว่าใครได้ยินแบบนี้ก็ต้องไม่พอใจ แต่พอได้สังเกตตนเองแล้วถึงรู้ซึ้งความความแรงของตน (ไม่กล้าโกรธ)

                ตุบ!

                แย่แล้ว! บอลลอยไปหาคาตานะที่นอนอย่างสงบเข้าอย่างจัง

                ได้โปรด อย่าฟ้องท่านจารุเลยนะ

                “หืม?” คาตานะลืมตาพร้อมกับรอยยิ้ม โดนขนาดนั้นยิ้มได้อย่างไรเนี่ย?!

                “อ้าว เล่นอะไรกันอยู่ฤ?” เขาลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆ ก่อนจะก้มเก็บลูกบอลที่กลิ้งเบาๆ ซีอาห์ยิ้มเหยพลางตอบ

                “เอ่อ…”

                ซีอาห์มองหนูดูท่าจะเตรียมฟ้องคาตานะที่ตอนนี้กุมอำนาจไว้ในมือเพื่อดูแลเพื่อนๆ เรื่องที่ฟ้องคงไม่พ้นเรื่องที่หนูโต้ตอบเขาอย่างรุนแรงแต่อาจเพราะหนูส่งสายตาเยือกเย็นไปให้เขาเลยเปลี่ยนคำตอบ อ้าว? ทำไมไม่ฟ้องล่ะ หนูไม่ชอบการที่โดนปิดบังความผิดตนเองนะ

                “ว่าไง?” คาตานะถาม ซีอาห์หลบตาหนูก่อนจะตอบ “ไม่มีอะไรหรอก ข้ากับพงสณะเล่นกันน่ะ แต่เผอิญไปโดนเจ้า… เอ่อ… ขอโทษนะ”

                “ไม่ใช่นายสักหน่อย ฉันเป็นคนทำให้มันโดนคาตานะต่างหาก ---ขอโทษนะคาตานะที่ทำให้เจ็บแล้วรบกวนนายน่ะ” หนูที่ไม่อยากโดนปิดบังความผิดของตนก็เลยเอ่ยแทรก คาตานะหันมามองหนูแล้วยิ้ม

                “มิเป็นไรดอก คราวหลังก็ระวังด้วยล่ะ”

                “ขอบคุณจ้ะ” หนูกล่าวพร้อมกับยิ้มให้เขาซึ่งเขาก็ตอบรับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน คาตานะเอนกายนอนอีกครั้ง หนูมองเขาที่กำลังจัดการให้ตนเองนอนสะดวกจนกระทั่งเขานอนนิ่งๆ นั่นแหละหนูจึงละสายตาจากเขามามองตัวก่อเรื่องเพื่อเตรียมเก็บกวาด

                “ว่าไงจ๊ะ?”

 

                สุดท้ายพงสณะและซีอาห์ก็ได้มานั่งแต่งกลอนให้หนู อันที่จริงหนูโดนบอลแค่นั้นก็ไม่เป็นอะไรหรอก แต่ช่วงนี้อ่านหนังสือเดิมๆ ของตนจึงเบื่อเลยอยากอ่านอะไรใหม่ๆ บ้างน่ะ ซึ่งหนูก็ได้กำหนดให้แต่งกลอนแปด ๕ บท โดยให้มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับขนมไทย แต่ด้วยที่ซีอาห์เป็นชาวจีนเลยแต่งได้ผิดๆ ถูกๆ หนูเลยอนุโลมให้แต่งเกี่ยวกับดอกไม้แทน

                “เสร็จแล้ว!” พงสณะกล่าวอย่างดีใจพร้อมกับวางดินสอลง หนูตบมือให้พลางยิ้มก่อนจะหันไปมองซีอาห์ที่กำลังแต่ง ดูท่าใก้จะเสร็จแล้ว เหลืออีกแค่บทเดียว

                “ข้าก็ด้วย” ซีอาห์ยิ้มพลางมองหน้ากระดาษไปด้วย ยินดีด้วยจ้ะที่แต่งได้

                 เรื่องการแต่งกลอน อุปกรณ์การในการแต่งเป็นของหนูทั้งหมด ด้วยความที่หนูชอบพกสมุดและอุปกรณ์การเขียนไว้จดและวาดสิ่งที่น่าสนใจเป็นแรงบัลดาลใจแต่งนิยายและวาดรูปลงบล็อกในโลกออนไลน์เลยใส่มันในกระเป๋าคู่ใจไปไหนมาไหนด้วย แต่น่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีใครชอบ มีไม่ถึง ๒๐ คนเลย ไม่เป็นไร วาดมาได้เพียง ๘ ปีประสบการณ์เลยน้อย เอ้าๆ พยายามเข้าล่ะตัวหนู

                “แต่งได้ดีจ้ะ ขอบคุณนะ” หนูกล่าวชมทั้งสองคนพร้อมกับส่งยิ้มบางๆ ให้ พงสณะยิ้มแป้น ท่าทางจะดีใจที่หนูชมเขา ก็ไม่แปลกหรอก หนูไม่ค่อยชอบพงสณะเลยไม่ค่อยได้ชมเขา น้อยครั้งนักที่จะกล่าว

                “เป็นไงล่ะ ใครแต่งได้ดีกว่ากัน” ท่าทางผยองในตนของเขาทำให้หนูเบือนหน้าหนี

                “ฉันเองก็ใช่ว่าจะแต่งเก่ง เพราะฉะนั้นบอกไม่ได้หรอก”

                “ง่า…” พงสณะครางอย่างเศร้า ซีอาห์นั่งมองเราสองคนตาปริบๆ ก่อนจะเอ่ย

                “ดูท่าข้าจะเป็นก้างขวางคอสินะ งั้นข้าตัวล่ะ บ๊ายบาย” กล่าวจบก็ลุกขึ้นเตรียมจะไป หนูรีบไปดึงคอเสื้อเขาไว้แล้วดึงกลับมานั่งต่อ

                “ไม่ใช่อย่างที่นายคิดนะ! ฉันกับหมอนี่เราเป็นแค่คู่หมั้นกัน--- อุ๊บ!” หนูหยุดพูดไม่ทัน  เผลอกล่าวถึงเรื่องน่าอายเสียแล้วสิ ซีอาห์ได้ยินเรื่องนั้นก็ตาเป็นเป็นประกาย ….หายนะกำลังมาเยือน

                “จริงรึ! ทำไมถึงเร็วจังเลยล่ะเพิ่งอยู่แค่ประถมเองนะ!”

                “จะจริงหรือไม่จริงที่รู้ๆ ในอนาคตศรีจะมาเป็นภรรยาฉัน” พงสณะเปลี่ยนอารมณ์แล้วเลยกล่าวอย่างมีความสุข หนอย! ฉันไม่เป็นภรรยาแกหรอก

                “มันจะไม่มีวันนั้น!” หนูที่ไม่รู้จะห้ามพวกเขาอย่างไรเลยหนีออกมาจากเรือนพร้อมกับที่ใบหน้าของตนที่แดงระเรื่อ เผอิญกับที่โอฟีเลียและเทสโลเอลเข้ามาพอดี ทั้งสองยิ้มให้หนูโดยที่โอฟีเลียทักก่อน

                “เป็นอย่างไรบ้าง พวกนั้นได้หรือเปล่า?”

                “อื้ม พอแต่งได้จ้ะ” หนูกล่าวพลางยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อนึกถึงสองหน่อนั่น โอฟีเลียที่สังเกตสีหน้าเลยหัวเราะเบาๆ

                “จะว่าไปนี่ก็ใกล้จะ ๖ โมงแล้ว งานปิดเทอมนักเรียนคงจะเริ่มแล้วล่ะ” เทสโลเอลกล่าว หนูมองเธออย่างฉงน

                “มีกี่วันเหรอจ๊ะ งานนี้น่ะ”

                “ ๔ วันน่ะ วันนี้ฉันจะไปรับของที่สั่งจองด้วยล่ะ เอ้อ พูดแล้วก็ไปเลยดีกว่า ปะโอฟีเลีย เราไปขอท่านจารุกันเถอะ” เทสโลเอลจูงมือโอฟีเลียก่อนจะก้าวเดิน ทั้งสองหันมาโบกมือให้หนูด้วย หนูโบกมือตอบก่อนจะก้าวออกจากเรือน

                เดี๋ยวขอไปด้วยดีกว่า…

 

                “ไม่ได้!” ท่านจารุที่กำลังขมักเขม่นกับงานเงยหน้ากล่าวอย่างจริงจัง

                “ขอร้องล่ะค่ะท่านจารุ หนูอยากไปมากเลยค่ะ”  หนูวิงวอนท่านจากใจจริง

                “เจ้าได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนั้นยังมิเข็ดฤๅอย่างไร อันที่จริงเจ้าต้องพักที่โรงพยาบาลหลายอาทิตย์ด้วยซ้ำ แต่เพราะซออยากให้เจ้าได้เล่นกับเพื่อนๆ เพราะกลัวเบื่อถึงได้ขออกมาก หากศัตรูมันมาทำร้ายอีกจะว่าอย่างไร” หนูจุกในใจเมื่อนึกถึงเรื่องนั้น มือเผลอลูบตาข้างขวาที่ถูกพันผ้าพันแผลไว้ น่าแปลก… ทำไมเราโดนขนาดนั้นแต่ยังไม่รู้สึกเจ็บอะไรมากเลยล่ะ

                “ว่าไป ดูท่าเจ้าจะเป็นพวกสายเลือดอมตะสินะถึงมิตายน่ะ โดนขนาดนั้นถ้าสายเลือดปรกติโดนแล้วมิตายก็แปลกแล้วล่ะ” ท่านจารุตั้งข้อสังเกต หนูขมวดคิ้วด้วยความสับสน หมายความว่าอย่างไรที่เราเป็นสายเลือดอมตะ

                “มีอย่างนี้ด้วยเหรอคะ?”

                “มีสิ ในมิติผกายมีการแบ่งมนุษย์ออกเป็น ๒ ประเภท ประเภทที่ ๑ คือสายเลือดปรกติ ประเภทที่ ๒ คือสายเลือดอมตะ ซึ่งเราได้จำแนกประเภทที่ ๑ ออกเป็น ๓ พวก พวกที่ ๑ คือตายได้แต่จะไม่แก่และมีอายุขัยสั้น พวกที่ ๒ คือ ตายได้แต่อายุจะยืนยาว ถ้าไม่มีอะไรมาทำร้ายก็จะตายแบบคนปรกติ พวกที่  ๓ ก็แบบเดียวกับพวกที่ ๒ แต่จะไม่แก่น่ะ”

                “เอ่อ ตายได้แต่อายุยืนยาวนี่มันยังไงเหรอคะ?” หนูถาม

                “ก็คือ สมมติว่าเอามีดมาแทงโดนจุดตายก็จะตายอย่างไรล่ะเหมือนคนในมิติสามัญ แต่ในเมื่อไม่ถูกทำร้ายก็จะมีชีวิตอยู่เป็นร้อยๆ พันๆ ปี บางคนก็อาจจะนานกว่านั้น” หนูฟังท่านอธิบายไปอย่างตั้งใจ ในโลกนี้กว้างจริงๆ มีอีกหลายสิ่งที่น่าตะลึงอยู่ไม่น้อย (ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่โลกของหนูก็เถอะ) ท่านจารุอธิบายต่อ

                “ประเภทที่ ๒ อมตะ แบ่งออกเป็น ๒ พวก พวกที่ ๑ คือไม่แก่ต่อให้อายุมากแค่ไหนก็ตาม พวกที่ ๒ คือแก่ได้ พวกสายเลือดอมตะแม้จะตายไม่ได้แต่ก็ตายได้นะ”

                “หมายความว่าอย่างไรค่ะ?” ไปๆมาๆ คุยนอกเรื่องเสียแล้วสิ

                “พวกอมตะจะตายได้ก็ต่อเมื่อวิญญาณถูกทำลายเท่านั้น โดยผู้ที่สามารถทำลายได้ต้องใช้พลังขั้นสูงมาก จะว่าไปคนประเภทนี้มีมากเลยนะ ๗๐ เปอร์เซ็นต์เชียวล่ะ พวกสายเลือดปรกติมีไม่มากนักหรอก”

                “เอ๊ะ? ทำไมล่ะค่ะ” ฟังแล้วก็อยากรู้มากกว่าเดิม ท่านจารุถอนหายใจเหมือนไม่อยากตอบ แววตาของท่านจริงจัง น้ำเสียงเริ่มหนักแน่น

                “เพราะสงครามในสมัยก่อนน่ะ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา