ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  97.76K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

32) บทที่ ๓๒: สุดท้ายก็จบแบบเดิม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๓๒

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

สุดท้ายก็จบแบบเดิม

                “………………ขี้โกง เจ้าตัดหน้าข้าได้อย่างไรกัน คำนั้นต่างหากที่ข้าต้องเป็นคนพูด” ดอกเข็มรู้สึกว่าใบหน้าตนร้อนผ่าว กลีบเย้าเองก็เป็นไม่แพ้กัน เธอหันไปอีกข้าง ทั้งสองเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนหยุดเดิน

                “มันอึดอัดนะ ข้าอกจะแตกตายอยู่แล้วเนี่ย รอเจ้าพูดข้าคงตายแน่” กลีบเย้าพึมพำ ไม่กล้าสบตากับดอกเข็ม

                “…” ดอกเข็มยิ้มน้อยๆ

                “แต่นั่นมิได้หมายความว่าข้าจะคบกับเจ้านะ ไว้เราโตก่อนค่อยคบหาดูใจกันก็คงมิสาย …แล้วเจ้าก็อย่าลืมความรู้สึกนี้ที่มีต่อข้าล่ะ” ดอกเข็มมองอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู เธอกุมมือของกลีบเย้าไว้เบาๆ แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน

                “มิลืมแน่ ข้าสัญญา เจ้าเองก็ด้วยนะ” กลีบเย้าหรือเม็ดแตงหันมาหาดอกเข็มกระนั้นก็ยังคงหลบตา เธอก้มหน้าแล้วลอบยิ้มบางๆ

                “งั้น… เราไปกันต่อเถิด”

                เม็ดแตงกล่าวจบก็วิ่งตามเพื่อนๆ ไปพร้อมกับดอกเข็ม ทั้งสองวิ่งเร็วกว่าปรกติเพื่อให้ทันคนอื่นๆ

                เกือบครึ่งชั่วโมงทุกคนก็วิ่งมาถึงป่าสุสาน ไม่มีใครเอ่ยอะไรเพราะสังเกตรอบข้างอยู่ เผื่อมีสัตว์อันตรายมันจะได้ไม่ได้ยิน กลิ่นน่าสะอิดสะเอียนจนแทบจะทำให้อาเจียนนั้นคละคลุ้งไปทั่ว หายใจแทบไม่ออก  โอฟีเลียเผลอสำลักเพราะกลั้นหายใจไม่ไหว เทสโลเอลจึงลูบหลังเบาๆ

                “กลิ่นน้ำหนองเหม็นมากเลยแฮะ” ขนมชั้นกล่าวเบาๆ สีหน้าของเขาไม่ดี เฉาก๊วยนึกอะไรได้เลยขำขึ้นมา

                “แต่กลิ่นนายตอนยังไม่อาบน้ำเหม็นกว่านะ ฮ่ะๆ” ใบหน้าขบขันของเฉาก๊วยกระตุกเส้นประสาทขนมชั้นแปลกๆ เด็กชายผมสีส้มเลยจัดการหยิกต้นแขนเฉาก๊วยไปหนึ่งทีอย่างแรง

                “โอ๊ย! อะไรของนายเนี่ย”

                “อย่ามาสำออย! ข้ารู้ว่าแค่นี้มันมิระคายผิวเจ้าดอก แล้วเจ้ายังมีหน้ามาถามอีก น้ำหนองเหม็นกว่าข้าตอนมิอาบน้ำเป็นไหนๆ !” ขนมชั้นเบ้หน้าเมื่อกลิ่นเน่าของน้ำหนองเข้ามา เพื่อนๆ ที่ฟังอยู่อย่างไม่รู้จะทำอะไรต่อก็พากันหัวเราะ

                “ว่าไปขนมชั้นก็ชอบอาบน้ำตอนบ่ายนี่นะ ในวันหยุดน่ะ” ปักเป้ากล่าวกลั้วหัวเราะ ขณะเดียวกันว่าวที่กำลังจะไปหาทุกคนก็ลงมาด้านหลังเขาเงียบๆ ก่อนจะสะกิดไหล่พี่ชายจนเจ้าตัวสะดุ้งเพราะตกใจ

                “มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยยายเด็กบ้า!” ปักเป้าถอยออกมาห่างๆ ว่าวทำตาใสๆ พลางเก็บว่าวไปด้วยแล้วตอบ

                “มีเรื่องแย่แล้วเจ้าค่ะ!” สิ่งที่ตอบกลับมาเป็นคำพูดที่หนักแน่นและกังวลทำให้ปักเป้าที่กำลังจะโวยวายต่อเงียบเพื่อรอฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องของตน

                “มีจระเข้เจ้าค่ะ…” น่าแปลกที่คำพูดนั้นควรจะหนักแน่นกว่านี้ เพราะว่าวคิดว่าเรื่องจระเข้มันก็ผิดปรกติอะไรมาก ทำให้ปักเป้าและคนอื่นที่รอฟังขมวดคิ้ว ซีอาห์ยิ้มพลางเอ่ย                                        

                “ไม่เห็นแปลกเลยนี่ ปล่อยไว้ก็ดีแล้ว ถ้าคิดว่ามันจะทำร้ายคนอื่นก็ไม่ต้องกังวลหรอก ป่านี้ไม่มีใครอยากมาอยู่แล้วล่ะ” บางคนพยักหน้ากับสิ่งที่เขาพูด ซอที่ฟังเด็กๆ คุยกันก็ขมวดคิ้วเพราะติดใจบางอย่าง

                “ประเดี๋ยว ที่ป่านี้มีจระเข้ด้วยเหรอ?” ซอถาม นั่นเองที่ทำให้บางคนที่สงสัยเรื่องนี้ต้องขมวดคิ้วตามไปด้วย รพิถาม

                “หมายความว่าอย่างไรกันครับ?”

                “ป่านี้มิเคยมีจระเข้อยู่ ชาวบ้านสมัยก่อนฆ่าจระเข้ไปแล้วนี่ แม้แต่ลูกก็มิเว้น แล้วมันมาได้อย่างไร?” คาตานะพยักหน้ากับสิ่งที่ซอตอบและเอ่ย

                “เพราะว่าป่านี้ได้ถูกกำหนดว่าให้เป็นที่เก็บศพ ส่วนใหญ่เป็นศพมิมีญาติพี่น้อง เลยฝังไปส่งๆ มิมีการจัดพิธีกรรม ….”

                “…” ทุกคนเงียบเพื่อที่จะรอฟังว่าเขาจะกล่าวอะไรต่อ

                “ฉะนั้น… ป่านี้จึงมีวิญญาณที่มิสงบอยู่มากอย่างไรล่ะ”

                “นี่อย่าบอกนะว่านอกจากเราจะต้องตามหาผู้ลักดาบแล้วยังต้องมาทำเรื่องนี้อีก” โซค่อนเอ่ย เทสโลเอลที่ยืนอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วด้วยความฉงน

                “ผู้ลักดาบ--- อ้อ! เกือบลืมไปเลยนะเนี่ย”

                “ที่ฉันพูดเมื่อกี้เซอาห์เป็นคนเขียนบอกฉันนะ” โซค่อนยิ้มก่อนจะใช้ศอกกระแทกใส่เซอาห์ที่ยืนเงียบๆ …ไม่สิ เขาพูดไม่ได้เลยต้องเงียบ

                “อ้าวเหรอ เกือบลืมไปเลยนะ คำสาปนั่นมันน่าเบื่อจริงๆ” เทสโลเอลยิ้มแห้งๆ ธันนะที่เงียบมานานก็เอ่ยด้วยความสงสัย “คำสาป?”

                “เซอาห์มีคำสาปติดตัวมาตั้งแต่เกิด เขาเลยพูดไม่ได้ จนกว่าอายุจะครบ ๑๘ ปีจึงจะสามารถพูดได้น่ะ” โอฟีเลียตอบแทน ธันนะเบิกตาเพราะตะลึงกับเรื่องของเซอาห์ เด็กชายผมสีชาเชียวยิ้มบางๆ ให้เขา ทำให้ธันนะไม่กล้าเอ่ยอะไร

                “มีอย่างนี้ด้วยเหรอจ๊ะ?” ศรีถามบ้าง “อื้ม ในมิติแห่งนี้มีพลังเวท คำสาปจากเทพเจ้าและปีศาจอยู่เกือบทั่วทุกมุมโลก บางคนมีคำสาปติดตัวมาแต่กำเนิดเพราะทำกรรมไว้เมื่อชาติก่อน บางคนมีก็เพราะไปสู้กับปีศาจแล้วแพ้จึงได้คำสาปมาด้วยน่ะ”

                โซค่อนอธิบายก่อนจะก้าวเดินต่อ ทุกคนเห็นดังนั้นจึงนึกได้ว่าตนเองหยุดเดินมาสักพักจากนั้นก็เดินยกเว้นว่าวที่ลอยตัวขึ้นไป

 

                “ยายว่าวมันไปหาที่เชียงใหม่รึไงเนี่ย นานชะมัด” แววไพรเอ่ยอย่างหงุดหงิดเพราะรอว่าวมาได้สักพักแล้ว ยุพินที่มองจระเข้วนไปวนมาในน้ำก็ชักจะเบื่อและเริ่มมึนเพราะจรเข้มันวนซะจนเธอเห็นมันแยกร่างได้ลางๆ แล้ว

                “นั่นสิ…”

                “มาแล้วเจ้าค่ะ” เสียงของว่าวมาก่อนตัว แววไพรที่เตรียมร่มบ่อสร้างแทงก็รีบลอยตัวด้วยว่าวไปหา

                “ทำไมช้าอย่างนี้ฮะ!”

                “เรื่องของหนู” ว่าวสะบัดหน้าอย่างไม่ใส่ใจ ในขณะที่คนรออย่างแววไพรอารมณ์เดือดขึ้นมา

                “อย่ามาเมินใส่ฉันนะ!”

                “อะไรของพวกหล่อนเนี่ย อยากอยู่กับศรีจนต้องมาแข่งอะไรบ้าๆ บอแล้วเกิดปัญหายังไม่พออีกรึไงกัน” เฉาก๊วยเอ่ยอย่างขบขันเรียกสายตาเกรี้ยวกราดของเด็กหญิงสองคนที่กำลังจะกัดกัน (?) หันไปมอง

                “รู้ได้อย่างไรกัน!/รู้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ!” ทั้งสองถามพร้อมกันด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีแดงเพราะอาย เฉาก๊วยเงยหน้ามองเด็กหญิงที่ลอยตัวอยู่แล้วขำเมื่อนึกถึงเรื่องที่ได้ฟังมาก่อนจะตอบ

                “ฉันไปถามคาตานะมาว่าพวกเธอไปทำอะไรกัน นึ่ถามจริงเถอะ ผู้ชายสมัยนี้แย่จนต้องกินกันเองเลยเหรอ ฮ่ะๆๆๆ” เด็กผู้ชายทุกคน (ยกเว้นเซอาห์) พากันหัวเราะไปด้วย เว้นแต่เด็กผู้หญิงที่ยืนนิ่ง โดยเฉพาะดอกเข็มและเม็ดแตงที่มีเรื่องเดียวกับที่เฉาก๊วยกล่าว

                “ฮึ! แน่นอนอยู่แล้ว ฉันเห็นในละครมีเรื่องที่แย่งผู้ชายกันบ่อย อย่างว่าแหละผู้ชายเกิดยากกว่าเพราะฉะนั้นแบบที่ดีๆ จึงหายาก พวกฉันเลยต้องมากินกันเองไงล่ะ”

                “เห็นด้วยเจ้าค่ะ” ว่าวเอ่ยอย่างเห็นพ้อง ปักเป้าที่เห็นน้องสาวตนเป็นหนึ่งในนั้นก็เหงื่อตก

                “นี่น้องข้าเป็นไปกับเขาด้วยฤๅเนี่ย?”

                ฟ้าเอ๋ย… ประทานผู้ชายมาให้โลกด้วย สาววายสมัยนี้ได้แพร่เชื้อจนกลายเป็นโรคระบาดแล้วครับ

                ปักเป้าเงยหน้ามองน้องสาวที่อยู่เบื้องบน หากในโลกเป็นอย่างที่เขาหวาดจริงๆ เขายอมฆ่าน้องตนเพื่อไม่ให้เชื้อ (?) แพร่ไปกว่านี้

                อ๊ะ มิใช่สิ ต้องเรียกว่าพวกเลสเบี้ยนถึงจะถูก

                เด็กชายสวมเฮดโฟนภาวนาในใจไปด้วย สายตาเหลือบเห็นว่ายุพินลงมากอดกับแป้งมันด้วยความคิดถึงเพื่อนรัก เขายิ้มบางๆ เมื่อเห็นภาพนั้น

                “อีกอย่างนะ คาตานะรู้เรื่องที่ฉันแย่งได้อย่างไรกัน!” แววไพรชี้หน้าคาตานะที่ยืนยิ้มเป็นทองไม่รู้ร้อน เขายักไหล่พลางตอบ

                “ข้าได้ยินที่พวกเจ้าเอ่ยตรงริมคลองน่ะ ตามจริงข้าแอบตามพวกเจ้าว่าหากโดนท่านจารุเทศน์ไปแล้วจะทำอย่างไรต่อ แล้วก็เป็นอย่างที่ข้าคาดไว้จริงด้วย” ความจริงนั้นทำให้ศรีที่สงสัยมาตั้งแต่นั่งเรือพร้อมกันถึงกับมองเขาอย่างตะลึง เด็กหญิงสามคนที่กำลังจะไปแข่งตกปลาทีแรกหันไปมองเขาเป็นตาเดียว ทว่าเด็กชายก็ยังคงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

                “เจ้าบ้าคาตานะ! นี่นายมาแอบฟังคนอื่นเขาคุยกันเพื่ออะไรเนี่ย!!” แววไพรลอยตัวไปหาคาตานะอย่างว่องไวเพื่อที่จะแทงเขาด้วยร่มบ่อสร้าง ทว่าซอก็ได้มาห้ามเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องทะเลาะวิวาท

                “หยุดทั้งคู่เลย ว่าแต่ ว่าว แววไพร ยุพิน พวกเจ้ามาแข่งแบบนี้มิคิดบ้างฤว่าคนอื่นเขาจะเป็นห่วงน่ะ” ซอกล่าวอย่างจริงจังจนเด็กหญิงสามคนก้มหน้าลงอย่างสำนึก ศรีมองอย่างเป็นห่วง จากที่เธอฟังมาเงียบๆ ต้นเหตุของเรื่องมันเริ่มมาจากตนเอง             

                “กลับกันเถิด เรื่องนี้ข้าจะให้จารุจัดการ ส่วนเรื่องจระเข้ก็ปล่อยมันไป” พอได้ยินชื่อจารุเด็กหญิงสามคนก็หน้าซีด ต้องโดนเทศน์อีกแล้วหรือเนี่ย?

                แม้ซอจะค้างคาใจกับเรื่องจระเข้ แต่ในเมื่อมันอยู่ในป่าลึกแบบนี้มันก็คงจะออกไปไหนไม่ไกลนักหรอก

                ก็ขอให้เป็นเช่นนั้น

 

                เมื่อกลับมายังเรือนจารุก็เทศนาว่าว แววไพรและยุพินไปหลายรอบ ในขณะที่พวกเธอใช้ไม้กวาดใบไม้ที่เกือบจะเต็มลานพื้นอย่างน้ำตาตกท่ามกลางสายตาเห็นใจจากเพื่อนๆ โดยเฉพาะศรีที่รอเพื่อที่จะขอโทษพวกเธอ

                เพราะเจ้าคาตานะคนเดียว ชิ!

                แววไพรนึกอย่างเคือง ไว้ทำความสะอาดเสร็จเมื่อไหร่ฉันไปจัดการแน่

                “เอ้าๆ อย่าอู้ล่ะ ข้าจะไปทำธุระต่อ คาตานะ หากเกิดยายพวกเด็กนี่มันทะเลาะกันอีกบอกข้าได้เลยนะ ข้าไปล่ะ” จารุกล่าวจบอย่างไม่พอใจก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้เด็กหญิงสามคนที่รอโอกาสเชือดเขาเข้ามาล้อมทำร้าย

                “คาตานะ! แกมีอะไรจะแก้ตัวไหม!!”

                “กล้ามากนะที่มาแอบฟังพวกฉันน่ะ!”

                “นั่นน่ะสิเจ้าคะ!”

                คาตานะยิ้มพร้อมกับถอยตัวออกมาเขากระโดดไปยืนบนหลังคาเรือนก่อนจะเอ่ย

                “ช่วยมิได้นะที่พวกเจ้ามาทะเลาะตอนที่ข้ากำลังเบื่อๆ อยู่ มาดูสงครามแย่งผู้หญิงก็สนุกดีนะ หึๆ…” คาตานะหัวเราะ เพื่อนๆ ที่นั่งรอพวกเขาเหงื่อตกกันเป็นแถวๆ คงจะมีแต่โซค่อนและซีอาห์เนี่ยแหละที่ยังคงขำราวกับดูการแสดงตลกก็ไม่ปาน

                แววไพรที่หมดอารมณ์จะกวาด (จริงๆ ก็ไม่มีอารมณ์มาแต่แรกแล้ว) ทิ้งไม้กวาดลงกับพื้น ว่าวและยุพินเองก็ด้วย ทั้งสามหยิบอาวุธออกมาเตรียมจะปลิดชีพเด็กชายกวนประสาท แต่ไม่ทันไรเขาก็หายจากบนหลังคาเหมือนไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน

                “อ้ายบ้า!!”

               

                “บทจะเกลียดก็เกลียดซะเจ็บ บทจะรักก็รักซะถึงฆ่าแกง ศรีเอ๋ย… เจ้ามีบุญหรือมีเคราะห์กันแน่เนี่ย แต่ก่อนผู้คนในตระกูลก็รังเกียจพอโตขึ้นมาก็มีแต่คนรัก” เสียงแหบพร่าเอ่ยจากที่พวกศรีอยู่มาไกลเล็กน้อย ชายผ้าถุงสีดำนั้นพลิ้วเบาๆ ริมฝีปากสีซีดนั้นขยับเอ่ยราวกับศพคืนชีพ

                “หึๆ…”

                เจ้าของเสียงค่อยๆ สลายกายเป็นควันสีดำ

                “ก็ดีแล้วล่ะ… พอถึงยามที่ต้องตัดสายสัมพันธ์เจ้าจะได้เจ็บทุกข์ทรมาน หึๆ…!!

               

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา