ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  97.65K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

123) นิทานหลอกคนเรา : ช็อกโกแลตที่ละลายในหน้าร้อน (๑)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

นิทานหลอกคนเรา

ช็อกโกแลตที่ละลายในหน้าร้อน กับลูกกระสุนปืนที่ฝังในศพ องก์ที่ ๑

 

ว่าด้วยเรื่องที่ผู้เล่าจะเกริ่นก่อน

 

                “ที่เราต้องมีความทุกข์ ก็เพื่อเวลามีความสุขจะได้ยิ้มกว้าง ๆ อย่างไรล่ะ”

                หญิงสาวผิวขาวซีดผมยาวสีดำสนิทใส่ผ้าแถบสีเดียวกัน นุ่งผ้าที่คาดเข็มขัดหลวม ๆ มีลูกกระสุนเรียงไปตามเส้น ขาเรียวยาวใส่รองเท้าบู้ทหนังสีดำเลยเข่ามาหน่อย ตรงต้นขามีแถบคาดซองใส่ปืนอยู่ นางกำลังใช้นัยน์ที่ตาขาวเป็นสีดำกรอบตากรีดอายไลเนอร์ มองตุงหลากสีหลายผืนซึ่งกำลังปลิวไปตามสายลม ได้กลิ่นดอกไม้หอม ๆ ที่ใส่สักการบูชาจาง ๆ

                วันที่ ๑๕ เมษายน เป็นวันพญาวันหรือวันเถลิงศก ซึ่งเป็นวันที่นิยมถวายตุงกัน การถวายตุงมีความเชื่อว่าหากล่วงลับไปแล้ววิญญาณจะได้ยึดเกาะพ้นจากนรกขึ้นสู่สวรรค์ กระนั้นหญิงผู้ที่กำลังมองตุงนิ่ง ๆ ก็อดคิดไม่ได้ว่าอย่างน้อยหากเป็นคนที่ทำกรรมชั่วก็คงแค่พ้นนรกไม่นานเท่าไหร่ นางไม่ค่อยรู้หรอกเรื่องความเชื่อของคนภาคเหนือ แต่ก็ไม่ได้คิดลบหลู่อะไร เพราะมันเป็นความศรัทธาอันบริสุทธิ์ของผู้ที่เชื่อ

                เดิมทีปัจจุบันนางก็ย้ายจากประเทศไทยไปอาศัยที่ต่างประเทศนานแล้ว เลยไม่ค่อยคุ้นชินกับบรรยากาศแบบนี้ แต่มันก็ทำให้นึกถึงเรื่องเก่า ๆ เหมือนกัน

                และส่วนใหญ่มันเป็นความทรงจำที่เจ็บปวด

                พอภาพในวันวานจะหวนกลับมา หญิงสาวก็ก้าวเท้าออกจากตรงนั้น แม้จะเป็นช่วงฤดูร้อนอากาศก็เย็นสบาย พอมาตอนนี้นางก็รู้สึกว่าตนเองคิดถูกจริง ๆ ที่ไม่ได้ไปที่ภาคกลาง เพิ่งกลับมาที่ประเทศไทยไม่ทันไรก็ถูกแดดเผา แค่คิดก็รู้สึกว่าเหมือนตนเองเป็นผีดูดเลือดแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนเช้านางเข้าไปสักการพระพุทธรูปและฟังธรรม จะว่าไปวันนี้นางก็รีบตื่นเช้ามาตักบาตรกับนายิกาประจำจังหวัดเชียงใหม่ ที่มีชื่อว่า พินทุ แน่นอนว่าเจ้าตัวเป็นคนเชิญชวนให้นางกลับมา

                ในตอนบ่ายจะเป็นช่วงที่ไปขมาญาติผู้ใหญ่ และขอขมาลาโทษ แต่พวกนางเองก็เป็นคนเฒ่าคนแก่ที่หน้าตายังเยาว์วัย พ่อแม่ญาติพี่น้องก็ลาจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่ว่าจะด้วยสิ้นอายุขัยตายดี หรือถึงแก่กรรมในสงคราม คงจะเหลือพี่น้องไม่กี่คนกระมังที่ยังคงอยู่

                “สงกรานต์นี้มิไปหาน้องเจ้าฤ?”

พอเดินไปพลางคิดอะไรเรื่อยเปื่อยก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น นางหยุดเดินเผอิญกับที่อยู่หน้าจุดหมายปลายทาง ซึ่งก็คือวัดร้างที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครดูแลแล้ว หน้าทางเข้ามีหญิงสาวในชุดปกสูงแขนยาวทับด้วยสไบ ผมยาวที่รวบเป็นหางม้าสูงมีปิ่นใบไหวประดับกับดอกพญาเสือโคร่ง คอประดับด้วยสร้อยทรงจันทร์เสี้ยวสีเงิน มือถือร่มบ่อสร้างที่ทอดเงาลงมาบดบังใบหน้างามครึ่งหนึ่ง ริมฝีปากแย้มยิ้มยากจะเดาความหมาย

                “บุษราคัมน่ะฤ” นางถามทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ “จะมีใครอีกเล่า สายเลือดเพียงคนเดียวของเจ้า” พินทุตอบพลางย่างเท้าเข้ามา “น่าเห็นใจน้องเจ้า มีพี่แต่เจ้าตัวกลับไม่มาเยี่ยม”

                “มันคงมิทำให้นางเหงาตายดอก ข้าได้ข่าวมาว่านางมีลูกบุญธรรม ตอนนี้คงลืมข้าไปแล้วกระมัง” น้ำเสียงของนางแม้เรียบเฉย แต่พินทุที่รู้จักกับคน ๆ นี้มาหลายร้อยปีก็รู้ว่าลึก ๆ แล้วอีกฝ่ายก็เหงา แต่จะให้ทำตัวดีใจเป็นเด็ก ๆ ก็คงไม่เข้ากับเจ้าตัว อย่างน้อยที่สุดพินทุก็คิดว่าขอแค่น้องสาวมีความสุข อีกฝ่ายก็หายเป็นห่วงแล้ว

                “ช่วงนี้พวกนายิกาชั้นต้น ๆ เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว” จู่ ๆ พินทุก็เปลี่ยนเรื่อง อีกฝ่ายเพียงชำเลืองตามองแล้วถาม “เจ้าว่ากระไรนะ?”

                “ข้าว่าเจ้าน่าจะรู้แล้วนะ ทั้ง ๆ ที่เรื่องของแก่อย่างเรามันจบไปก่อนปี ๒๕๕๐ แล้วแต่ไฉนพวกนายิกาชั้นต้น ๆ ถึงเพิ่งเริ่มเคลื่อนไหว คดีลักมีดก่อนหน้านี้ก็จบง่ายเกินไป มิคิดว่าคนร้ายถูกพวกนางชักจูงให้ลงมือฤ?” พินทุก้าวเดินไปรอบ ๆ คู่สนทนากอดอกแล้วมองไปทางอื่น

                “ข้าน่าจะเป็นฝ่ายพูดมากกว่านะเรื่องนี้ เจ้าเองก็ดูใกล้ชิดกับพวกนางมากที่สุดแล้วนี่”

                “พิกุล เจ้าก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน” พินทุเรียกนามของอีกฝ่ายเหมือนจะย้ำเตือน “แต่ก็จริงอย่างที่เจ้าพูด ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่อยากไปก้าวก่ายนักดอก ไม่ว่าจะเป็นพวกนายิกาชั้นต้น หรือสุพินทุตะตินายิกาเช่นเรา”

                “ไม่ก้าวก่าย? พวกสอดรู้สอดเห็นเช่นเจ้าน่ะเรอะ?” พิกุลแดกดันข้อเสียของอีกฝ่าย เจ้าตัวไหวไหล่แล้วตอบ

                “นั่นเป็นการกระทำให้ฐานะผู้ชมที่นั่งดี ๆ ต่างหากเล่า” นายิกาประจำจังหวัดเชียงใหม่หมุนตัวพร้อมกับร่ม เป็นช่วงเดียวกับที่พวกนางสังเกตว่าเวลาล่วงเลยมาจนเย็นแล้ว ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงเข้าสู่นิทรา สายลมอ่อน ๆ พัดโชยพร้อมกับใบไม้แห้งและดอกไม้บนต้นบริเวณนี้ สไบของพินทุพลิ้วกลางอากาศ

                …สุริยะทอแสงสีส้มแดงวาบ เป็นประกายเจิดจ้าเพียงเสี้ยวซึ่งพ้นร่มของพินทุวูบหนึ่ง ฉากหลังคือนภาสีส้ม แดง ชมพู และสีม่วงที่ไล่ไปราวกับหวนถึงความหลัง…

                …และเข้าสู่โหมโรง

                “หนังใหญ่ข้าก็ชอบ วรรณกรรมก็อ่าน ลิเกข้าก็ยิ่งชอบ แต่ละครชั้นดีคือชีวิตเราต่างหาก เจ้าก็รู้นี่” พิกุลมองร่างนั้นซึ่งประดุจดั่งเทพอัปสร ใบหน้างามหมดจดไม่แพ้กันของพิกุลเริ่มเปลี่ยนสีหน้า ก่อนที่ริมฝีปากที่ทาลิปสติกสีแดงสดจะขยับ

                “ถ้าเช่นนั้นแล้วเจ้าชอบฝ่ายไหนล่ะ?”

                สุพินทุตะตินายิกา ฤ นายิกาชั้นต้น ๆ

                ราวกับดวงตาบอกเช่นนั้น พินทุคลี่ยิ้มอย่างรู้ใจก่อนจะตอบ

                “แต่ถ้าให้พูดตามจริงข้าก็ไม่ได้ชอบฤๅเกลียด เพราะโลกนี้ไม่มีคนเลวกับคนชั่ว เพราะฉะนั้นถ้าให้เลือกเข้าข้างใครล่ะก็ ข้าก็มิเลือก”

                เพราะคนเลวก่อนหน้านี้อาจเป็นคนดี

                คนดีก็อาจเคยเป็นคนเลว

                สถานการณ์ที่บีบคั้นให้ทำชั่วปกป้องคนที่รัก

                การหลอกตนเองทำให้ดีทั้ง ๆ ที่ใจยังมีมลทิน

                “จิตใจคนเรามันมีชั่วเลวปน ๆ กันไปมิมีที่สิ้นสุด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็น่าจะรู้นี่ ว่าการแบ่งฝ่ายในละครมันก็แค่หลอกคนว่า การหลุดพ้นจากความชั่วก็คือการฆ่าอีกฝ่ายที่เป็นเช่นนั้น ทั้ง ๆ ที่ตนเองนั่นแลน่ากลัวที่สุด และไม่ต่างอะไรจากอีกฝ่าย คนเราไม่มีกิเลสก็มิอาจพ้นจากมันได้”

                พิกุลรู้สึกว่าตอนนี้ใจตนเองว่างเปล่า

                “ ‘ฆ่าเพื่อปกป้องคนที่รัก’ เรื่องเช่นนี้เจอบ่อยใช่ไหมล่ะ? แต่ถ้าคิดอีกมุมหนึ่งอีกฝ่ายไม่มีอะไรที่ต้องปกป้องเลยฤ? สุดท้ายก็แค่ความเห็นแก่ตัวของตนเอง”

                แต่ก็เพื่อความอยู่รอดด้วย

                พิกุลเหมือนได้ยินคำนั้นแว่ว ๆ

                สิ่งที่เราว่าปัจจัยในชีวิตของคนเรา มันมีอีกมากเลยนะ

                พิกุลหลับตาพักหนึ่งแล้วลืมขึ้น ก่อนจะถาม

                “ถ้าเช่นนั้นแล้ว เจ้าอยากเป็นคนที่รัก ฤๅ อยากจะเป็นคนที่ถูกรัก?”

                เนิ่นนาน… ท้องฟ้าบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินแล้ว ดวงตาสองคู่สบกันเหมือนจะหาคำตอบในใจของตนเองและอีกฝ่าย

                “ข้าก็เคยถามตนเองเช่นกัน”

 

                กึก

                เสียงช็อกโกแลตหักดังขึ้นเบา ๆ ทำลายความเงียบยามรัตติกาล บนหลังคาเรือนไทยที่หน้าจั่วมีกาแล พิกุลกำลังทอดสายตามองท้องฟ้าที่พร่างพราวไปด้วยดวงดาว พลางนั่งไขว่ห้างทานช็อกโกแลตที่ดูเหมือนว่านางจะเสพติดมันเข้าให้แล้ว

                พอมาคิดดู นางเองก็สงสัยว่าตอนนี้ตนเองทำอะไรอยู่ และทำมันเพื่ออะไร คำตอบน่ะมีแน่ แต่ความจริงในใจตนคืออะไรล่ะ? ตอนที่คุยกับพินทุนางก็รู้สึกได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังปลงชีวิตตนเองอยู่ …มีชีวิตยืนยาวจวบจนปัจจุบันก็หาได้รู้ซึ้งรสชาติที่แท้จริงไม่ นับวันนานเข้าไปโลกที่เป็นอยู่ก็แปรเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ

                หรือจริง ๆ แล้วเพียงแค่เราพอกับสิ่งที่เห็นก็ไม่ต้องแคลงใจอะไรอีก?

                “แต่คงจะแปลกพิลึกถ้าโลกเราไม่มีสีดำ”

                ไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ พิกุลลุกขึ้นแล้วยื่นมือข้างขวาที่สวมถุงมือเปิดนิ้วคลุมมือไม่มิดสีดำออกไปยังท้องฟ้า ตรงแขนก็มีปลอกสีดำคาดด้วยเข็มขัดสั้นสองเส้น ส่วนมือข้างซ้ายที่ใส่ถุงมือสีดำยาวถือช็อกโกแลต

                “ณ โลกที่ที่ห่างไกลอีกหลายล้านปีแสง พระพุทธองค์ซึ่งรู้แจ้งทรงสถิตอยู่ ณ แห่งหนใด”

 

 

 

 

--------------------------------------------------------------------

สวัสดีค่ะ ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะที่หายไปนานเป็นปี ...ก็ไม่มีคำแก้ตัวอะไร อย่างที่เคยแจ้งในช่วงบทแรก ๆ แล้วว่าเรื่องนี้หนูลงที่เว็บเด็กดีด้วย และจะเพิ่มที่เว็บนั้นเสียส่วนใหญ่ วันนี้เลยมาเพิ่มบทพิเศษ และหนูอาจจะหายไปนานอีกเนื่องจากจะปรับปรุงเรื่องนี้ครั้งใหญ่ เพราะหนูรู้สึกว่าที่แต่ง ๆ มาความสมเหตุสมผลมีน้อยมากน่ะค่ะ

และตอนพิเศษบางตอนที่มีความลับความตัวละครเช่น พินทุ เปิดเผย หนูจึงวางแผนเปิดขายในระบบออนไลน์ที่เว็บเด็กดีค่ะ

ขอบคุณค่ะ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา