ราชันบุปผาไหว้ศพ (ฉบับร่าง)

8.9

เขียนโดย snowred

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เวลา 22.30 น.

  123 บท
  32 วิจารณ์
  97.76K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558 17.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) บทที่ ๑๐: บ้านพักใกล้ลำธารผีสิง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๑๐

[บรรยายโดยผู้ประพันธ์]

บ้านพักใกล้ลำธารผีสิง

                “สวัสดีครับ ครูจำผมได้ไหมครับ”

                เด็กชายผมสีน้ำตาลอ่อนสวมแว่นเอ่ยกับอรัญญิก เด็กหญิงสองคนยืนด้านหน้านางทั้งสองคน เด็กชายผมสีเขียวแก่เหมือนชาเขียวนมแต่งกายตามแบบประเทศชิลี[1]ยืนอย่างสงบ

                เด็กชายผมสีดำถักเปียหน้าตาเหมือนผู้หญิงสวมชุดแบบประเทศจีนถือถุงกระสอบด้วยท่าทีเหนื่อยๆ

                ส่วน เด็กหญิงผมสีน้ำตาลแก่ผิวขาวจัดสวมชุดระบายลุกไม้สีแดงคลี่พัดสีแดงไปมา

                เด็กหญิงผมสีม่วงหยักศกยาวสวมชุดแบบคาวบอยตะวันตกยืนยิ้มร่าเหมือนเจอเรื่องสนุก

                เด็ก ๕ คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าทั้งสองทำให้อรัญญิกเกือบจะตกจากรถฯ เพราะคาดไม่ถึง

                “ข้าจำได้ แต่ทำไมพวกเจ้าถึง---” หญิงสาวถักเปียตอบแล้วถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปไปด้วยความสงสัย

                “ครูคาดีน่าให้ผมมาน่ะครับ ผมเองก็ยอมมาเพราะว่าอยู่แต่ห้องพักมันเบื่อๆ และครูอรัญญิกล่ะครับ” เด็กชายผมสีน้ำตาลอ่อนบอกนางเหมือนจะรู้ว่านางจะถามอะไรแล้วถามกลับ นางตอบ “จะไปที่กรุงเทพฯ นะซี แล้วนี่พวกเจ้ามากันเพียงเท่านี้หรือโซค่อน?”

                “เปล่าครับ พวกที่เหลือมันไปที่กรุงเทพฯ กันหมดแล้ว พวกผมที่มาช้าเลยต้องตามไปทีหลัง ตอนนี้เงินของพวกผมมันหมดบางคนก็ลืมเอามาเลยคิดว่าจะโบกรถให้ช่วยไปส่งหน่อย …คือ ครูอรัญญิกครับ ถ้าเกิดสงสารเด็กตาดำๆ คนนี้ได้โปรดช่วยพาพวกผมไปด้วยได้ไหมครับ นะครับ…”

                เด็กชายสวมแว่นเจ้าของนามโซค่อนบอกอรัญญิก

                “นะคะ คุณครู” เด็กหญิงสวมชุดสีแดงถือพัดเอ่ยวิงวอนต่อนาง สายตาที่ราวกับจะประกายวิบวับๆ อย่างน่าสงสารนั้นสยบใจนางได้ อรัญญิกเอ่ยแบบยอมแพ้ต่อสายตา

                “ก็ได้ๆ แต่…”

                “แต่อะไรหรือคะ” เด็กหญิงผมหยักศกสีม่วงถามบ้าง นางตอบ “หลังเสร็จธุระของพวกเจ้า จ่ายเงินค่าโดยสารมาด้วยล่ะ”

                “อ๋า ไม่ได้นั่งฟรีเหรอครับ” เด็กชายถักเปียเอ่ยอย่างอาลัย นึกว่าจะได้นั่งโดยที่ไม่ต้องเสียเงินสักอีก เซ็ง

                อรัญญิกพยักหน้า เด็กชายผมยาวถักเปียเอ่ยถามขึ้น “คุณครูครับ แล้วคุณครูไปทำอะไรที่กรุงเทพฯ เหรอครับ”

                “ก็---”

                “ไปสืบหาคนร้ายน่ะ” ดินขาวเอ่ยแทรกพร้อมกับชะโงกศีรษะมามองเด็กต่างชาติที่พูดภาษาไทยได้ เด็กชายสวมแว่นเบิกตากว้างอย่างใคร่รู้ เขาถาม “คนร้ายนี่มันทำคดีอะไรไว้ล่ะ”

                “ลักดาบแห่งราชวงศ์น่ะสิ” คราวนี้เฉาก๊วยยืนหน้ามาพูดบ้างเป็นด้านเดียวกับเด็กหญิงสวมชุดสีแดงโบกพัดสีแดงไปมา เด็กหญิงคนนั้นยิ้มมุมปากก่อนจะถาม “นี่ขนมดำ เจ้าก็มาด้วยรึ”

                “ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าขนมดำเลยยายกุหลาบเน่า”

                “ข้าไม่ใช่กุหลาบเน่านะ!” เด็กหญิงคนนั้นแวดใส่เฉาก๊วย เด็กชายผมทรงนักเรียนทำหน้าเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ระหว่างนั้นซอก็พูดขึ้น

                “ทุกคนบนรถลงมาก่อน ข้าจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักกัน”

                 เอ่ยจบทุกคนก็เดินลงมา ศรีภาวนาในใจไม่ให้สะดุดเท้าเหมือนคราวเมื่อไปสำนักดาบอีก ในระหว่างที่เธอนั่งบนรถเทียมม้า เธอรู้สึกเหมือนลืมอะไรบางอย่างไปแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ ศรีและธันนะพลัดกันแนะนำตัวกับเพื่อนใหม่ต่างประเทศซึ่งพวกเขาก็แนะนำตัวอย่างเป็นมิตร

                ในตอนนั้นเองก็มีเสียงหนึ่งตะโกนลั่น

                “ช่วยรอด้วยเจ้าค่ะ ท่านซอ ท่านอรัญญิก!”

                เสียงฝีเท้ามาดังขึ้นต่อเนื่องพร้อมกัน ทุกคนตะลึงกับร่างสามร่างบนตัวม้า ดอกเข็มอ้าปากเหมือนจะถามแต่ก็หุบ ศรีเมื่อเห็นแล้วก็นึกได้แล้วว่าตนเองนั้นลืมอะไรไป

                ว่าว แววไพรและปักเป้ายังไม่ได้ขึ้นรถเทียมม้ามา!

                ตึก!

                เมื่อม้าวิ่งมาถึงปักเป้าก็เอ่ยตัดพ้อดัง

                “ใจร้าย! ไม่เห็นมีใครรอพวกข้าบ้างเลย อ้ายเฉาก๊วย! ทำไมเอ็งถึงไม่บอกท่านซอกับท่านอรัญญิก!!”

                “เฮ้ย! ไหงมาลงที่ฉันล่ะ ไม่ใช่ฉันคนเดียวนี่ที่ไม่รอ น่ะๆ อ้ายขนมชั้นก็ด้วย” เฉาก๊วยรีบแย้งขึ้นก่อนจะตวัดนิ้วชี้ไปทางเพื่อนๆ ขนมชั้นสะดุ้งแล้วพูด

                “นี่ๆ ปักเป้าพูดแบบนั้นก็ถือว่าเป็นความผิดของเจ้าสิ มาโทษข้าได้ไง” กล่าวจบสายตาของขนมชั้นและเฉาก๊วยก็ปะทะกันจนเม็ดแตง ดอกเข็ม ศรีและพงสณะยังเหมือนเห็นประกายพลังงานบางอย่างที่คุกรุ่น

                “ศรีไม่รอฉันอะ” แววไพรตัดพ้อบ้างแต่เอ่ยกับศรี เด็กหญิงเกล้ามวยผมผงะเล็กน้อยแล้วพูดแก้ตัว

                “ฉะ ฉันไม่รู้ว่าเธอจะไปด้วยน่ะจ้ะ ขอโทษจริงๆ นะแววไพร”

                “ไม่เป็นไร ศรียอมรับ ฉันก็โอเคแล้วล่ะ” เด็กสาวผมประบ่ายิ้มยินดีก่อนจะลงจากตัวม้าแล้วโผเข้ากอดศรี ทั้งสองต่างกอดกันแน่นซะจนธันนะถึงกับเหงื่อตกทีเดียว ยายแววไพรมันคิดกับศรีเกินเพื่อนหรือเปล่าเนี่ย?

                “แล้วหนูล่ะ ไม่เห็นมีใครสนใจเลย…” ว่าวที่รู้สึกว่าตนเองถูกลืมประท้วงขึ้น ศรีค่อยๆ ดันแววไพรออกแล้วเอ่ยพลางยิ้ม “สนสิจ๊ะ ขอโทษนะที่ลืม”

                “รักท่านพี่ศรีที่สุดเลย!” ว่าวรีบลงจากหลังม้าเข้ากอดศรี ศรีรู้สึกว่าตนเองจะขาดอากาศเข้าไปทุกทีๆ ปักเป้าละจากการถกเถียงกับเพื่อนชายสองคนไปถามว่าว “อ้าว ไหงวันนั้นน้องยังบอกว่ารักพี่อยู่นี่?”

                “ก็ท่านพี่ช้าน่ะ เลยทำให้น้องมาสายเนี่ย” ว่าวเบือนหน้าหนีแล้วซุกเข้ากับลำคอของศรี แววไพรที่ถูกแย่งของเล่น (?) หายใจฮึดฮัดไม่พอใจก่อนจะกระชากร่างว่าวออกมา “ศรีเป็นของฉันนะ เพราะฉะนั้นอย่ามายุ่ง!”

                “หน้าไม่อายว่าเป็นของท่านพี่ ท่านพี่ศรีเป็นของหนูต่างหาก ท่านพี่แววไพรเทียบกับหนูไม่ติดดอก แบร่!” เด็กหญิงถักเปียแลบลิ้นใส่ แววไพรกระทืบเท้าทีหนึ่งก่อนจะชี้หน้า

                “ช่างกล้านะยะ! แกนะแก!!”

                “แน่จริงก็เข้ามาสิ ฮิๆ”

                “ฮึ แน่อยู่แล้ว เตรียมตัวตายได้เลย”

                “พอเถอะ ว่าว แววไพร” ศรีรีบแยกทั้งสองห่างจากกัน ทั้งสองต่างสะบัดหน้าใส่กันและกัน ศรีรู้สึกเพลียกับสองคนนี้จริงๆ ซอที่ดูเด็กๆ พูดคุยมาสักพักแล้วพูดขึ้น

                “หยุดก่อน รีบขึ้นรถฯ เถิดประเดี๋ยวจะไม่ทันการ”

                “ค่ะ ท่านซอ ท่านอรัญญิกคะ จะคิดเงินค่าโดยสารจริงๆ เหรอคะ” เด็กหญิงผมสีม่วงหยักศกถามอรัญญิกที่จับสายบังเหียน นางยิ้มมุมปากพลางถามแทนตอบ “แล้วเจ้าเคยเห็นข้าพูดเท็จฤ?”

                “ม่ะ ไม่เคยค่ะ” เด็กหญิงเอ่ยเสียงสั่น นางหัวเราะเบาๆ ขณะนั้นทุกคนก็ทยอยขึ้นรถเทียมม้าทีละคนทีละคน เด็กหญิงผมสีม่วงขึ้นเป็นคนสุดท้าย เมื่อทุกคนขึ้นกันครบแล้วอรัญญิกสะบัดสายบังเหียนก่อนจะเริ่มเคลื่อนรถต่อ

 

                “ทุกคนไปกันหมดแล้ว ทีนี้บอกข้ามาสิว่ามีเรื่องอันใดที่ทำให้เจ้าโกรธข้า?”

                พินทุถามปักษธรในห้องของนาง

ปักษธรมีเรื่องอยากจะถามพินทุตั้งแต่วันที่นางยิงธนูด้วยพลังวิญญาณระดับสูงทำลาย  แต่ด้วยเรื่องที่นางต้องการจะบอกนั้นไม่อยากให้ใครทราบจึงเก็บไว้ถามหลังจากที่เด็กๆ อรัญญิกและซอไปแล้ว

                ปักษธรเม้มริมฝีปากก่อนจะเอ่ย

                “ทำไมเจ้าถึงปลดผนึกออกล่ะ”

                “ผนึก? อ๋อ เจ้าศรีมันน่ะฤ หึๆ ข้าอยากเห็นพลังของมันอย่างไรล่ะ”

                “เจ้าทำเรื่องที่ไม่ควรได้อย่างไร พลังของศรีใช่ว่ามันจะน้อยนัก” ปักษธรมีสีหน้าเคร่งเคลียดต่างจากพินทุที่ยิ้มร่านึกสนุก พินทุเอ่ย “ฮ่ะๆ น่าขันจะตายหากได้เห็นใบหน้าที่เหมือนอสุรกายของศรี แถมพลังของดาบที่จำแลงเป็นปิ่นปักผมอีกข้าอิจฉาในตัวมันจริงๆ”

                “หากวันใดวันหนึ่งมันเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นมาล่ะ ทำไมเจ้าไม่ปล่อยไว้เฉยๆ แล้วส่งศรีกลับไปล่ะ”

                “เจ้าจำมิได้ฤปักษธร สงครามมันยังไม่จบนะ มิเช่นนั้นศรีและมันจะยังมีจิตอาฆาตจนทำให้สวรรค์ส่งมาเป็นร่างเดียวกันฤ …ปักษรเอ๋ย… มนุษย์เรามันหลีกหนีกรรมไม่พ้นดอกนะ สงครามระหว่างสยามและอังกฤษที่มีเรื่องไม่ลงรอยกันอยู่แล้วเพราะมันสองคนมีเรื่องบาดหมางกันอย่างไรล่ะ ทำไมมิให้มันต่อสู้ให้จบไปภายในชาตินี้ ข้าล่ะเบื่อเต็มทนแล้วกับการที่ดูศรีและมันเกื้อกูลต่อกัน ---แต่ข้าเชื่อว่าจะต้องมีสักวันที่อีกร่างจะออกมาแล้วสังหาร”

                คำตอบนั้นทำให้หญิงสาวผมสีครีมถึงกับหายใจไม่ออก ไม่สิ ต้องเรียกว่าไม่กล้าผ่อนลมหายใจยังดีซะกว่า นางเม้มริมฝีปากมากขึ้นจนเปลี่ยนเป็นกัดเลือดไหลประปราย

                “ไม่… ข้าไม่เอาอีกแล้ว กับชีวิตมากมายที่ได้ผลกระทบจากการต่อสู้ที่ไม่มีวันจบสิ้น อัคคีที่เผาทุกสิ่งเป็นเถ้าข้าไม่อยากเห็น…”

                อยากว่าใจแทบขาดแต่เรี่ยวแรงหายไปเมื่อนึกถึงอดีตที่นางมิอาจลืม ทำได้เพียงพูดเสียงเบาสั่นๆ ไฟที่เผาบ้านเรือน ศพนับไม่ถ้วนนอนกับพื้นในหนองเลือด บางศพถกตัดศีรษะ บางคนก็ถูกหอกแทงลงลำคอ พินทุนึกถึงภาพอันแสนเศร้านั้นด้วยความเคลิบเคลิ้มเหมือนกับระลึกอดีตที่หอมหวาน นางยิ้มเยาะก่อนจะถามปักษร

                “ข้าขอถามเจ้าบ้างละกัน เมื่อวันนั้นเจ้าเห็นข้ากับศรีด้วยฤ?”

                “ใช่… ข้าเห็น…”

                “หึๆ แต่ดาบก็เปลี่ยนไปเยอะเลย ขนาดเล็กลงเรียวกว่าเดิมด้วย”

                “…”

                “ข้าไม่พูดแล้วก็ได้” พินทุทราบดีว่าปักษธรต้องควบคุมอารมณ์อย่างลำบาก

                …นางรอคอยที่สงครามมันจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ใครเป็นฝ่ายมีชัยหรือปราชัยนั่นก็ไม่ใช่ปัญหาของนาง            

                ---แต่---

                นางหวังว่าถ้าเกิดสงครามครั้งนี้จบ ทั้งสองจะได้หมดสิ้นหมดกรรมเสียที…

                หลังจากตายไปสิ่งที่รออยู่ก็คือนรก

                นางรู้ดี… กรรมใดใครก่อคนผู้นั้นต้องชดใช้ หากไม่สามารถละกิเลสและชดใช้ได้หมดสิ้นก็ไม่อาจนิพพานได้

                นั่นแหละคือความทุกข์ของมนุษย์

                .

                .

                .

 

                อรัญญิกตัดสินใจที่จะเช้าบ้านพักซึ่งเป็นเรือนทรงไทยภาคกลางโดยการใช้เงินของนาง ซอและนักเรียนต่างชาติจ่าย เนื่องจากอรัญญิกคาดว่าจะอยู่ไม่นานจึงเช่าบ้านราคาถูกๆ แน่นอนว่ามันจะต้องเก่าและมีสิ่งไม่เอื้ออำนวยมาก อย่างจะอาบน้ำก็ต้องไปตักน้ำมาอาบหน้าที่นี้เป็นของกลีบเย้าและดอกเข็มทั้งสองไม่ได้ขัดอะไรกลับกลายเป็นว่าดีใจจะได้แอบเล่นสาดน้ำกันหยอกล้อแล้วแก้เบื่อด้วย

                ทั้งสองเดินมาในทางที่รกไปด้วยหญ้าและต้นไม้ที่แห้งตาย ท้องฟ้าที่มืดนั้นห่อหุ้มให้ทุกสิ่งลางเลือน ดวงจันทร์ประกายแสงอ่อนโยนน่ามอง กลีบเย้าพึมพำด้วยสีหน้าที่เรียบและสงบพลางมองดวงจันทร์

                “งดงาม… เด่นสง่าท่ามกลางหมู่มวลดารา”

                “ดวงจันทร์น่ะฤ?” ดอกเข็มถามก่อนจะหันหน้ามาหากลีบเย้า เม็ดแตงพยักหน้าแล้วตอบ “ใช่”

                หลังจากเธอตอบทั้งคู่ก็เดินมาถึงลำธารพอดี น้ำใสเปลี่ยนเป็นสีดำเพราะสะท้อนสีท้องฟ้ายามกลางคืน เงาดวงจันทร์ไหวเป็นคลื่นเบาๆ ดอกเข็มยิ้มพลางค่อยๆ กุมมือเม็ดแตงแล้วบีบเบาๆ

                “ดวงจันทร์งดงามจริงๆ นั่นแหละ …แต่ในสายตาข้าไม่มีอะไรจะงามเกินกว่าเจ้าแล้วล่ะ”           คำพูดนั้นทำให้เม็ดแตงรู้สึกหน้าร้อนผ่าว เธอเบือนหน้าหนีด้วยความเขินอายแล้วพูดเบาๆ อย่างเคือง

                “บ้า… อย่ามายอข้าเลย มีเรื่องที่ไม่ดีจะพูดกับข้าล่ะสิ?”

                “ใช่ที่ไหนกันเล่า ที่ชมไม่ได้หวังอะไรสักหน่อย”

                ดอกเข็มเอ่ยอย่างขัน เธอเอ็นดูเม็ดแตงที่มีท่าทีเขินอายกระสับกระส่ายแม้จะเป็นยามรัตติกาลแล้วแต่เธอก็ยังมองเห็นได้อยู่ดีแถมชัดอีกต่างหากอาจด้วยเพราะเธอเป็นคนใชนชนเผ่าที่บางครั้งก็ต้องเร่ร่อนแล้วอยู่ใกล้กับธรรมชาติจึงต้องฝึกตัวให้ล่าสัตว์หรือทำอะไรก็แล้วแต่ที่จะเป็นการมีชีวิตอยู่ต่อไป

                ซึ่งเรื่องนี้เม็ดแตงก็ทราบดีเพราะการเป็นคนในชนเผ่านั้นมักจะถูกละเลยจนเผ่าพันธุ์เริ่มสูญหาย…

                ดอกเข็มเปลี่ยนจากกุมมือเป็นโอบเอวกลีบเย้า เด็กหญิงชนเผ่าเย้าถลึงตาใส่จนเด็กหญิงชนเผ่าไทแสกกลั้วหัวเราะ

                “เจ้านี่น่ารักๆ จริง” ดอกเข็มทำท่าจะหอมแห้มกลีบเย้าอย่างอดใจไม่ไหวกับความน่ารักนั่น กลีบเย้ารีบผละออก ขณะนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้น …เป็นเสียงร้องไห้ที่โหยหวนฟังดูน่าเวทนาดังก้องไปทั่ว ดอกเข็มมีท่าทีระแวง เธอถามกลีบเย้า

                “เจ้า… ได้ยินเหมือนข้าใช่หรือไม่”

                “ใช่ …เสียงวิญญาณ… งั้นฤ?”

                ฮือ… ฮือๆ…

                ได้ยินเสียงดังขึ้นต่อเนื่อง ดอกเข็มจึงท่องคาถาอัญเชิญหอกประจำเผ่าส่วนกลีบเย้าก็หยิบลูกธนูจากกระบอกที่สะพายด้าหลัง เธอง้างสายธนูตรึงกับลูกศรพลางสวดคาถาเพิ่มพลังวิญญาณธาตุไฟสายลมรวมเป็นธาตุผสม ดอกเข็มเองก็ใส่พลังวิญญาณลงไปด้วยเป็นธาตุน้ำ

                ฟึ่บ!

                ฟุ่บ!

                มีบางอย่างผ่านหน้าไปไม่ไกลนัก ดอกเข็มเห็นดังนั้นจึงขว้างหอกโจมตีใส่แต่ทว่ามันลอยผ่านไป

                “ธาตุน้ำพวกวิญญาณมันไม่ค่อยกลัว ให้ข้าจัดการเองดีกว่า” พลังธาตุน้ำเป็นสิ่งที่พวกวิญญาณไม่ค่อยกลัวเว้นแต่บางชนิดที่จะใช้จัดการได้ ต้องพลังธาตุไฟสิที่จะใช้จัดการได้ยกเว้นวิญญาณธาตุน้ำอย่างพราย กัปปะ

                กรี๊ด!!!...

                เสียงกรีดร้องที่โหยหวนนั่นทำให้ทั้งสองหวาดผวา…

                .

                .

                .

                เม็ดแตงและดอกเข็มไปตักน้ำ ด้วยเหตุนั้นทุกคนจึงขึ้นมาพักผ่อนรอทั้งคู่บนเรือนซึ่งมีฝุ่นเขรอะไปหมด ทุกคนจึงลงมือทำความสะอาดให้พออยู่ได้เพราะพวกเขาอยู่ไม่นาน ระหว่างนั้นมีเสียงประตูเคาะดังขึ้น

                “เป็นอย่างไรบ้างคะ พออยู่ได้ไหม?” เจ้าของผู้ที่ให้เช่าเปิดประตูเข้ามาถาม เป็นหญิงวัยกลางคนแต่งหน้าเข้มจนดินขาว ปักเป้าและธันนะเผลอทำปากเบ้ออกมากระทั่งพวกเขาถูกสายตาดุจากอรัญญิกก่อนที่นางจะยิ้มให้หญิงคนนั้นอย่างเป็นมิตร

                “พอได้ ว่าแต่ท่านมีเรื่องอะไรอีกฤๅไม่ มาถึงที่ห้องข้าคิดว่าคงไม่ได้ถามเรื่องนี้อย่างเดียวดอกกระมัง”

                “ใช่ค่ะท่านอรัญญิก แต่เรื่องนี้ท่านจะเห็นว่าอย่างไรก็ตามแต่ท่าน”

                “หมายความว่าอย่างไร?” อรัญญิกขมวดคิ้วฉงนซอเองก็สงสัยเหมือนกัน เด็กๆ เลิกคุยกันหันมาฟังอย่างสนใจ หญิงวัยกลางคนลงนั่งพับเพียบก่อนจะพูด

                “เรื่องคืออย่างนี้ค่ะ เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้วมีคู่รักที่เพิ่งจะแต่งงานกันมาพักที่ห้องข้างๆ ห้องของท่านไม่ไกลนัก”

                “อืม ว่าต่อสิ”

                “ค่ะ พออยู่สามวันได้คู่รักสองคนนั้นก็ทะเลาะกันแรงมาก ดิฉันได้ยินพวกเขาด่าทอกันดังมากเลย จนกระทั่งฝ่ายชายออกไปทำงานฝ่ายหญิงก็…”

                “…?”

                “ฆ่าตัวตายค่ะ”

                “เจ้าพอจะทราบไหมว่าทำไมถึงทะเลาะกัน” อรัญญิกถาม ทุกคนตั้งใจฟังอย่างหวาดกลัว ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร เงียบกันหมดยกเว้นอรัญญิกและหญิงคนนั้นพูดกัร

                “ดิฉันไม่ทราบค่ะ แต่คาดว่าฝ่ายชายคงจะแอบมีชู้เพราะคนที่อาศัยห้องข้างๆ ได้ยินตอนทะเลาะกัน ---คนที่พบศพบอกว่ามีศพลอยน้ำที่ลำธาร ผู้ที่พักอยู่แถวๆ นี้บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเหมือนเห็นใครบางคนยืนอยู่หน้าลำธารเกือบทุกวันเลย พอดิฉันทราบข่าวนี้เลยย้ายไปอยู่อีกจังหวัดใกล้ๆ น่ะค่ะ”

                คำตอบนั้นทำให้อรัญญิกหน้าซีด …ลำธาร นั่นมันที่ๆ กลีบเย้าและดอกเข็มไปตักน้ำนี่!

                “ลำธาร… ตรงแถวไหน!” นางถามอย่างร้อนรน หญิงคนนั้นตอบ “หลังเรือนนี้ไม่ไกลค่ะ”

                “ถ้างั้น… ก็แย่แล้ว!” หญิงสาวผมยาวถักเปียอุทานออกมา ศรีขมวดคิ้วก่อนจะถาม “อะไรแย่เหรอคะ”

                “กลีบเย้าและดอกเข็มนะซี! สองคนนั้นไปตักน้ำที่ลำธารนั่น!!”

                “เราต้องรีบไป ตอนนี้เป็นยามรัตติกาลแล้วโอกาสสูงที่จะมีวิญญาณออกมา” ซอบอกกับทุกคน พอพวกเขาได้ยินดังนั้นจึงรีบยืนขึ้นแล้วเดินอย่างร้อนรนออกไป ปักเป้าหันหน้าไปบอกกับหญิงวัยกลางคน

                “ขอตัวไปก่อนนะครับ”

 

[1] การแต่งกายของประเทศชิลี คือ ชายสวมเสื้อคลุมหรือผ้าผืนใหญ่แบบที่ใช้ห่มไหล่ปิดทั้งสองด้านคล้ายกับชุดคาวบอยและเม็กซิโก สวมหมวกสีดำหรือน้ำตาลกับใส่รองเท้าบูทหรือรองเท้าหนังสีดำ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา