"Yes, I do" ปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้าย

8.9

เขียนโดย January13

วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.54 น.

  37 ตอน
  25 วิจารณ์
  37.15K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2562 20.46 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

31) ไว้อาลัย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     หญิงงสาวร่างเล็กในชุดกางเกงยีนส์สีซีด กับเสื้อยืดสีขาวคอกลมแขนสั้นแบบเข้ารูป ก้าวเดินฉับๆอย่างคล่องแคล่วบนทางฟุตบาทข้างตึกสูง พรางจิบกาแฟร้อนที่บรรจุในแก้วกระดาษขนาดเล็กอย่างระวัง ก่อนจะเดินเลี้ยวเข้ามายังภายในตึก ประตูกระจกเปิดอย่างอัตโนมัติ เธอเดินผ่านหน้าเคาน์เตอร์ที่พนักงานกำลังวุ่นวายกับการรับโทรศัพท์แจ้งเหตุฉุกเฉิน บุรุษพยาบาลเข็นเตียงผู้ป่วยแทรงหน้าเธอ โดยมีญาติอีกโขยงใหญ่ร้องห่มร้องไห้วิ่งตามไป บรรยากาศโดยรอบดูวุ่นวาย หญิงสาวกดลิฟต์ที่กำลังจะปิดลงแล้วรีบแทรกตัวเข้าไป ไม่นานก็มาถึงชั้นที่พี่สาวของเธอพักรักษาตัวอยู่ นิชนกมาหยุดยืนหน้าห้องผู้ป่วยเดี่ยวห้องหนึ่งก่อนผลักประตูเปิดออกอย่างเต็มแรง ซึ่งปกติเธอมักจะเป็นคนทำอะไรคล่องแคล่ว โผงผาง เสียงดัง ต่างจากพี่สาวแบบคนละขั้ว ทันทีที่เดินเข้ามาเห็นเตียงผู้ป่วยว่างเปล่า มีเพียงผ้าห่มที่กองอยู่ยับๆ ดวงตาคมก็เบิกโพลง

     “พี่สา!!!!” เธออุทานอย่างตกอกตกใจ รีบวางแก้วกาแฟลงบนโต๊ะกินข้าวกลมๆ ที่อยู่ใกล้กันนั้น ก่อนมองหาพี่สาวทั่วห้อง นิชนกเหลือบเห็นประตูระเบียงเปิดอยู่จึงวิ่งไปดูด้านนอก มือเกาะรั่วระเบียงแล้วก้มมองลงมาที่พื้นซึ่งสูงลิบ

     “ยัยนิช” เสียงที่คุ้นเคยร้องเรียกให้นิชนกหันกลับไปมอง พี่สาวของเธอในชุดผู้ป่วยสีเขียวอ่อนเดินออกมาจากห้องน้ำมองหน้าเธออย่างงงๆ

     “หาอะไรอยู่หนะ” อริสาถาม

     “โหยจะหาอะไรหละ ก็หาพี่นั่นแหละ นี่พี่ตื่น เอ๊ยฟื้น เอ่อ...จะเรียกว่ายังไงดีหละ ช่างเถอะ เอาเป็นว่าพี่กลับมาแล้ว ฉันดีใจที่สุดเลย” น้องสาวเข้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยงอย่างดีอกดีใจ

     “อะไรจะขนาดนั้นยัยน้องคนนี้ เหมือนตอนกลับจากออสเตเรียตอนเรียนจบใหม่ๆอย่างงั้นแหละ” พี่สาวแซว

     “หูย ดีใจกว่านั้นอีกนะ ทั้ง ฉัน พ่อ แม่ แล้วก็พี่เคนกับครอบครัว กินไม่ได้นอนไม่หลับเลยนะรู้ไหม” นิชนเล่า

     “หลังจากอุบัติเหตุรถชน พี่เป็นอะไรร้ายแรงอย่างนั้นหรอ”

     “ไม่ได้เป็นอะไรเลย แค่ข้อเท้าพลิก แต่ว่าไม่ยอมฟื้น คุณหมอก็หาสาเหตุไม่ได้ นอนให้น้ำเกลือมาเป็นอาทิตย์ นี่พ่อกับแม่พึ่งบินกลับไทยไปเมื่อวันก่อน บอกว่าจะไปหาหลวงพ่อที่เลื่อมใสปรึกษาเรื่องพี่หนะ”

     “โห ขนาดนั้นเลยหรอ จริงด้วยสิ แล้วบาทหลวงที่พี่ขับรถชนหละ เขาเป็นยังไงบ้าง” อริสานึกถึงชายปริศนาที่เจอครั้งแรกที่โบสถ์อุราคามิ จำได้ว่าวันที่เกิดอุบัติเหตุเธอขับรถชนเขาอย่างจัง

     “บาทหลวงอะไรกัน ไม่มีนะ พี่ไม่ได้ขับรถชนใคร ชนเสาไฟต่างหาก ขับรถยังไงเนี่ย” น้ำเสียงตำหนิปนเป็นห่วง

     “หะ?? จริงหรอ?? ตะแต่ว่า...” อริสากลอกตาอย่างครุ่นคิด ถึงจะผ่านมาหนึ่งอาทิตย์เธอก็ยังจำเหตุการณ์นั้นได้ดี

     “พี่สา พี่สา” นิชนกเรียกพี่สาวที่ยืนเหม่อ เมื่อเห็นว่ายังไม่ได้ผล เลยเปลี่ยนมาเป็นเขย่าตัวแรงๆให้รู้สึกตัว

     “ห๊ะ??? อะไรนะ” อริสาสะดุ้ง หันไปเห็นสายตาจับผิดของน้องสาว

     “มีอะไรที่ฉันยังไม่รู้อย่างนั้นหรอ..หืม??” คนน้องถาม

     “ปะปะเปล๊า อะไรของแกเนี่ยนันนิช” อริสาบ่ายเบี่ยง แล้วเดินลากเสาถุงน้ำเกลือกลับไปนั่งที่เตียงผู้ป่วย

     “อะไรกัน เราไม่มีความลับต่อกันไม่ใช่หรอ ฉันจะโกรธแล้วนะ” นิชนกแสร้งงอน เพราะรู้ว่ามุขนี้ใช้ได้ผลทุกครั้งเวลาที่เธองอแงจะเอาอะไรจากคนในครอบครัว

     “นี่ยัยนิช” อริสาสะกิดไหล่น้องสาวที่นั่งกอดอกหันหลังให้ ก่อนจะส่ายหัวอย่างยอมแพ้

     “อะอะ เล่าก็ได้ แต่ต้องสัญญาก่อนนะว่าจะไม่หัวเราะ แล้วก็จะไม่ไปเล่าให้ใครฟัง” เธอกำชับ

     “อือๆๆ” น้องสาวหันกลับมายักหน้าอย่างใคร่รู้ อริสาใช้เวลานานเป็นชั่วโมง กว่าจะเล่าเรื่องราวประหลาดที่เกิดขึ้นให้น้องสาวฟังตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อได้ยินเรื่องราวนั้นนิชนกก็เงียบอึ้งไป

     “โห นี้มันไซไฟว์มากเลยนะ ฉันว่า...หัวพี่กระแทกแรงไปหรือเปล่า” พูดจบก็หัวเราะดังลั่น

     “ยัยนิชไหนบอกจะไม่หัวเราะไง นี่มันไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะ” อริสาว่าพรางตีแขนน้องสาวเบาๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เสียงหัวเราะเบาลง

     “ฮ่าๆๆ โอ๊ยท้องแข็งไปหมดแล้วนะ ฮ่าๆๆๆ” นิชนกกุมท้องพรางขำยกใหญ่ เห็นดังนั้น อริสาจึงเอื้อมไปเปิดลิ้นชักที่โต๊ะข้างๆเตียงผู้ป่วย แล้วหยิบดอกอาจิไซกลีบสีชมพูที่เริ่มช้ำออกมา

     “ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่พี่หมดสติไป มีใครเอาดอกอาจิไซมาเยี่ยมพี่ไหม”

     “อืม ไม่มีนะ ดอกอาจิไซใครเขาจะเอามาเยี่ยมไข้กันหละ พี่เคนก็ซื้อแต่กุหลาบขาวมาเปลี่ยนตลอด” นิชนกหยุดหัวเราะชั่วคราวก่อนหันมาตอบ

     “แล้วดอกอาจิไซนี่มาจากไหน” อริสายื่นดอกไม้สีชมพูดอกเล็กให้น้องสาวดู นิชนกเงียบไปก่อนเงยหน้ามามองพี่สาว

     “เอ่อ...นั่นสิ มาได้ยังไง แต่ว่าเรื่องที่พี่เล่า มันก็ดูไม่น่าจะเป็นไปได้อยู่ดี” นิชนกหมดอารมณ์หัวเราะ เธอกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก

     “เห็นไหมหละ บางอย่างเราก็หาคำอธิบายไม่ได้”

     “พี่กำลังจะบอกฉันว่า เรื่องราวของยูทากะสอดคล้องกับคำพูดของบาทหลวงแปลกหน้าอย่างนั้นหรอ”

     “ไม่รู้สิ แกคิดว่าไงหละ” คนพี่ย้อนถาม

     “ถ้าให้เดาแบบมโนสุดๆเลยนะ ยูทากะนี่แหละคือเนื้อคู่ของพี่ที่บาทหลวงบอกว่ายังไม่มาเกิด และที่เขายังวนเวียนอยู่เพราะพิธีแต่งงานระหว่างพี่กับเขาไม่สมบูรณ์” นิชนกเดา

     “แต่พี่คงทำอะไรไม่ได้แล้ว...” อริสาพูดเสียงเศร้าพรางมองดูดอกไม้กลีบเล็กๆในมือ น้องสาวขยับเข้ามาใกล้ลูบหลังให้กำลังใจ

     “นี่ยัยนิชพาพี่ไปสวนสันติภาพหน่อยสิ”  

     “ไปทำไมตอนนี้ พิธีรำลึกจบไปตั้งนานแล้ว” น้องสาวบอก

     “เอาเถอะน่าพาพี่ไปหน่อย”

     “จะไปได้ยังไง คุณหมอยังไม่อนุญาตเลย”

     “แต่พี่ไม่เป็นอะไรแล้วนี่นา นะๆๆ พาไปหน่อยนะ” อริสาเริ่มอ้อนบ้าง

     “แหม ก็ได้ๆ งั้นเดี๋ยวฉันไปตามคุณหมอมาดูอาการก่อน ถ้าคุณหมออนุญาตฉันจะลงไปเคลียร์ค่าใช้จ่าย จริงด้วยสิฉันโทรไปบอกพ่อกับแม่ก่อนดีกว่า พี่ก็อย่าลืมโทรหาพี่เคนด้วยหละ อ่ะนี่โทรศัพท์ของพี่” น้องสาวล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าสะพายแล้วส่งให้ ก่อนลุกก้าวฉับๆ ออกจากห้องไป อริสาเลื่อนทัชสกรีนโทรศัพท์ดูเบอร์ของคนรัก แต่ไม่ได้โทรออก ในใจเอาแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องยูทากะ...จะทำยังไงเพื่อจะได้พบเขาอีกครั้ง???....

     สักครู่นิชนกก็กลับมาพร้อมนายแพทย์เจ้าของไข้อริสาพร้อมกับพยาบาลสาวหนึ่งคน นายแพทย์หนุ่มลองทดสอบและตรวจดูอาการต่างๆก็พบว่าอริสาไม่ได้มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด ซ้ำยังแข็งแรงไม่เหมือนคนที่นอนให้น้ำเกลือมาเป็นสัปดาห์ เขาจึงยอมเซ็นต์อนุญาตให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้ นิชนกลงไปจัดการเรื่องค่ารักษาพยาบาลแล้วกลับโรงแรมเพื่อไปเอารถที่เคนอิจิให้ยืมขับเพื่ออำนวยความสะดวก คันเดียวกันกับที่อริสาขับไปชนเสาไฟ ซึ่งหลังจากอุบัติเหตุวันนั้นเขาก็ส่งรถเข้าศูนย์ทันที สภาพรถจึงใหม่หมดจรดไม่มีรอยขีดข่วน ระหว่างที่รอน้องสาวมารับอริสาก็จัดการอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย

     การเดินทางจากโรงพยาบาลมายังสวนสันติภาพใช้เวลาพอสมควรกว่าจะถึงก็เกือบเย็น สวนสันติภาพมีต้นไม้น้อยใหญ่นานาชนิดร่มรื่น ตรงกลางมีบ่อน้ำพุขนาดใหญ่ แสงอาทิตย์ส่องกระทบไอน้ำฟุ้งเป็นประกาย ผู้คนเริ่มหลอมแหลมรอบบริเวณนั้น สองสาวเดินไปเรื่อยๆ ผ่านบ่อน้ำพุไปเป็นทางเดินยาว สองข้างทางมีรูปปั้นต่างๆ ที่แสดงถึงความรักและสันติภาพ อริสามาหยุดยืนอยู่ที่ปลายทาง หน้ารูปปั้นสีฟ้าขนาดใหญ่ เป็นชายร่างกำยำ มือขวาชี้ขึ้นฟ้าหมายถึง ระเบิดปรมาณู มือซ้ายที่กางออกไป หมายถึง สันติภาพจงเกิดขึ้นตลอดกาลดวงตาของรูปปั้นปรือ และเหลือบมองลงมาด้านล่าง ตรงจุดที่คนยืนอยู่พร้อมยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก ด้วยใบหน้าอ่อนโยน และท่านั่งที่ขัดสมาธิบนแท่นแค่ข้างเดียว อีกข้างตั้งเข่าไว้ หมายถึง การพร้อมที่จะลุกขึ้นช่วยเหลือชาวโลกตลอดเวลา ซึ่งจุดนั้นเองเป็นจุดที่ประกอบพิธีลำรึกช่วงสายที่ผ่านมา

     “แด่ทุกคน” เสียงเล็กสั่นเครือกล่าวไว้อาลัย มือเรียววางช่อกุหลาบขาวที่ฝากนิชนกซื้อมาวางลงหน้ารูปปั้น อริสารู้สึกถึงความสูญเสียอย่างไม่สามารถอธิบายได้ ไม่เพียงครอบครัวฟูคูดะ แต่รวมถึงยูทากะด้วย เธอคงไม่โอกาสได้พบเขา และทำให้พิธีแต่งงานสมบูรณ์เพื่อปลดปล่อยเขาจากการวนเวียนในภพภูมิของคนตายได้...มองไม่เห็นหนทางจริงๆ...

     นิชนกเห็นอาการเศร้าสร้อยของพี่สาว จึงเอื้อมมือมาแตะไหล่อย่างส่งกำลังใจ แม้ว่าเรื่องราวที่อริสาเล่าให้ฟัง ดูจะห่างไกลความเป็นจริง แต่นิชนกมั่นใจว่าพี่สาวสติสัมปชัญญะครบถ้วน ไม่ได้เพ้อเจ้อแน่นอน

 

ขอบคุณ

http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2009/08/E8163808/E8163808.html

http://youtu.be/g3SoosI4zWQ by ตองพี

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา