"Yes, I do" ปาฏิหาริย์ครั้งสุดท้าย

8.9

เขียนโดย January13

วันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 16.54 น.

  37 ตอน
  25 วิจารณ์
  37.14K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2562 20.46 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

29) 9 สิงหาคม 1945

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     เช้ามืดวันที่ 9 สิงหาคม 1945 พระอาทิตย์ยังไม่ตื่นจากนิทรา ยูทากะมาส่งแฮรี่และนามิที่ท่าเรื่อพร้อมกับพ่อแม่ของนามิ ยูทากะยืนมองนามิและสองผู้อาวุโสร้องไห้ร่ำลากัน เขานึกแปลกใจว่าทำไมนามิต้องเสียใจขนาดนั้น หมอแฮรี่หันมาสั่งเสียยูทากะเป็นอย่างดี ก่อนจะก้าวขึ้นเรือและมองเขาเดินจากไปตามสะพานไม้ที่เชื่อมระหว่างท่าเรือกับชายหาด หมอแฮรี่ครุ่นคิดอย่างหนักว่าเขาควรจะบอกความจริง จึงลงมาจากเรือแล้วรีบวิ่งตามยูทากะมาพรางตะโกนเรียกเขาเอาไว้

     “คุณหมอ ลืมอะไรหรอครับ” ยูทากะหันมาตามเสียงเรียก แล้วเลิกคิ้วถามอย่างประหลาดใจ

     “ฉันหนะนะ ไม่ได้ลืมอะไรหรอก ยูทากะความจริงแล้วที่ฉันต้องย้ายกลับอังกฤษ เพราะฉันได้ยินข่าวที่ไม่ค่อยดีนัก จากแหล่งที่น่าเชื่อถือว่าวันนี้ฝ่ายสัมพันธมิตรจะโจมตีนางาซากิด้วยระเบิดนิวเคลียร์ เหมือนที่ฮิโรชิมาเมื่อสองวันก่อน นายก็รู้ใช่ไหมว่าที่นั่นหนะเสียหายมากแค่ไหน” เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของหมอแฮรี่ ยูทากะถึงกับอึ้งเงียบไป ตอนนี้ในหัวของเขามีแต่ภาพผู้เป็นแม่และคนรักลอยขึ้นมา

     “ถ้านายเปลี่ยนใจจะไปด้วยกัน ก็รีบไปรับคุณคาซูมิมาขึ้นเรือเดี๋ยวนี้เลย ข้าวของอะไรหนะไม่ต้องเก็บมาแล้วเดี๋ยวจะไม่ทันการ ยูทากะนายฟังฉันอยู่หรือเปล่า” หมอแฮรี่น้ำเสียงเป็นกังวล เรียกยูทากะที่กำลังใจลอย

     “เอ่อ คือ ขอบคุณคุณหมอมากนะครับ แต่ผมหนะ...ผมคงไปด้วยไม่ได้จริงๆ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับ ยังไงก็รักษาเนื้อรักษาตัวด้วยนะครับคุณหมอ” เขาให้คำตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นพร้อมโค้งขอบคุณ 

     “ยูทากะ” หมอแฮรี่ไม่เข้าใจกับการตัดสินใจของเขา

     “คุณหมอกลับไปที่เรือเถอะครับ เดินทางปลอดนะครับ ลาก่อนครับ” เขาบอกลาและโค้งอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังวิ่งจากไปอย่างรีบร้อน ในใจคิดทบทวนถึงสิ่งที่คนรักได้ถามไว้เมื่อคืนที่ผ่านมา

     ‘นี่ยูทากะ สมมติว่าพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายที่นายจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ สิ่งสุดท้ายที่นายอยากจะทำก่อนตาย คืออะไรหรอ’

     คำตอบชัดเจนขึ้นมาในใจของเขาทันที...ฮิเดโกะจังรอฉันก่อนนะ...

     ยูทากะวิ่งมาจากท่าเรือซึ่งอยู่นอกชุนชนออกมา ระยะทางค่อนข้างไกล ใจเป็นกังวลถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกลัวตาย แต่เพราะมีบางสิ่งที่อยากจะทำ สิ่งที่ได้แต่ใฝ่ฝันมานาน สักครู่ใหญ่ก็มาถึงบ้านของตัวเอง เขาตรงมายังห้องนอนของผู้เป็นแม่ ก่อนเปิดประตูเข้ามา พบคาซูมิกำลังพับผ้าห่มและที่นอนอยู่

     “อ้าวยูทากะ ทำไมถึงได้เหนื่อยหอบมาขนาดนั้นหละลูก ไปส่งคุณหมอมาเรียบร้อยแล้วสินะ” เธอเอ่ยถาม

     “ครับ” ยูทากะหอบแฮกตอบ แล้วเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรงข้างๆแม่ ก่อนจะเอนตัวลงนอนหนุนตัก

     “อะไรกันจ๊ะ” เธอยิ้มเอ็นดูถามลูกชาย

     “แม่ครับเดี๋ยวเราก็จะได้ไปพบพ่อแล้วนะครับ” ลูกชายที่นอนกอดอกหลับตาอยู่พูดขึ้น

     “หืม?? จริงหรอ ถือเป็นข่าวดีสินะ” คนแม่พูดกลั้วหัวเราะ

     “นั่นหนะสินะ” เขาเห็นด้วย แล้วยิ้มกว้างพร้อมหัวเราะในลำคอเบาๆ

     “แม่ครับ”

     “อะไรอีกหละจ๊ะ” คาซูมิถามอย่างใจดี เธอยังเห็นลูกชายเป็นเด็กตัวเล็กๆเสมอ ยูทากะลุกขึ้นพูดกับแม่ด้วยน้ำเสียงจริงจัง

     “ผมหนะ จะแต่งงานกับฮิเดโกะจังได้ไหมครับ”

     “หืม ฮิเดโกะจังหนะหรอ ได้สิจ๊ะ ทำไมจะไม่ได้หละ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราเข้าไปคุยกับคุณคุมิโกะที่บ้านฟูคูดะกัน ดีไหมจ๊ะ”

     “พรุ่งนี้หนะ...ไม่มีหรอกครับแม่ ไม่มีพรุ่งนี้อีกแล้ว”

     “ว่ายังไงนะ” คนเป็นแม่ยังไม่ค่อยเข้าใจกับคำพูดของลูกชายในทันที แต่พอคิดถึงเรื่องสถานการณ์บ้านเมืองที่อยู่ในช่วงสงครามรุนแรงแบบนี้ เธอก็เริ่มเดาความหมายได้ไม่ยาก คาซูมิคิดว่าลูกชายคงทราบข่าวไม่ดีมาแน่ๆ ถึงได้พูดจาแปลกๆ

     “อืม อย่างนั้นหรอ” เธอเอ่ยแล้วลุกขึ้นไปรื้อบางอย่างในตู้ไม้สีแดงเข้มที่เอาไว้เก็บที่นอน และผ้าห่ม เธอหยิบกล่องไม้สี่เหลี่ยมเล็กๆออกมา ก่อนมานั่งลงที่เดิม ในกล่องนั้นมีภาพถ่ายขาวดำเล็กๆ เป็นภาพที่คาซูมิและสามีถ่ายด้วยกันในวันแต่งงาน และยังมีแหวนทองสองวงที่คล้องอยู่ในสร้อยทอง

     “นี่เป็นแหวนแต่งงานของพ่อกับแม่นะ แม่ยกให้” เธอพูดพรางคล้องใส่คอให้ลูกชาย

     “ขอบคุณครับแม่” เขาสวมกอดแม่ด้วยความดีใจ

     ที่บ้านฟูคูดะ อริสาตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ เธอพึ่งนึกได้ว่ามีสิ่งหนึ่งที่เธอยังไม่ได้ทำ หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เธอก็ทำท่าจะออกจากบ้าน

     “จะไปไหนแต่เช้าหนะ” ซาซาโกะถามตามหลัง

     “อ๋อ ไปตลาดหนะคะ เดี๋ยวจะรีบกลับ อย่าพึ่งออกไปไหนซะหละ รอฉันกลับมาก่อนนะพี่ซาซาโกะ บอกทุกๆคนด้วย” ว่าจบก็เดินออกจากบ้านไป คำตอบของอริสาทำให้คนพี่งง

     “อะไรของเขานะ” ซาซาโกะพรึมพรำ

     อริสาเดินไปตามถนนดินสีน้ำตาลอ่อน มุ่งหน้าไปยังตลาด เธอมองไปรอบๆ ยิ้มบางๆ กับภาพที่คุ้นเคย ชาวบ้านยังคงใช้ชีวิตตามปกติไม่ว่าจะรู้ข่าวเรื่องการประกาศทิ้งระเบิดวันนี้หรือไม่ก็ตาม เธอรู้ดีว่าเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงที่นี่และทุกๆ คนก็จะวอดวายไปพร้อมกัน แต่อริสาไม่ได้รู้สึกหวั่นเกรงอะไรมากนัก เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วยังไงก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้

     “ถ้าฮิเดโกะคือตัวเราเมื่อ 69 ปีที่แล้วจริงๆ เราก็แค่กำลังจะตายอีกรอบก็เท่านั้น” อริสาคิดเล่นๆ หรือไม่บางทีเธออาจตายไปแล้วจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อ 1 อาทิตย์ก่อน ขณะที่ขับรถจากพิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณูเพื่อไปหาเคนอิจิที่ร้านเวดดิ้ง ถึงทำให้เธอมาอยู่ที่นี่ก็เป็นได้

     “คงไม่เจ็บเท่าไหร่มั้ง ก็เราตายไปแล้วหนิ...เฮ้อจะว่าไปแล้วก็น่ากลัวเหมือนกันนะ” เธอพรึมพรำอยู่คนเดียว กำลังนึกภาพตอนที่ระเบิดปรมาณูลูกยักษ์ล่วงลงมาจากฟากฟ้า อริสาผ่านหน้าร้านหนังสือของคริสโตเฟอร์ เห็นเขากำลังปัดฝุ่นและจัดเรียงหนังสือผ่านกระจกบานใหญ่ เลยคิดว่าแวะเข้าไปทักทายนายจ้างร่างท้วมสักหน่อยดีกว่า

     เมื่อได้แหวนแต่งงานของพ่อกับแม่ ยูทากะก็บอกให้คาซูมิแต่งตัวให้สวยที่สุด เพราะวันนี้พ่อจะมารับไปอยู่ด้วยกัน ส่วนตัวเขามีภาระกิจสำคัญที่ต้องรีบไปทำ ยูทากะในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว พับแขนเสื้อถึงศอก ปล่อยชาย กระดุมที่ไม่ได้ติดทั้งแถบเผยให้เห็นเสื้อคอวีสีขาวที่อยู่ด้านใน กับกางเกงสีน้ำตาลเข้มตัวเก่ง เขาวิ่งลิ่วๆ ออกจากบ้าน ตรงมายังบ้านของคนรัก

     “อ้าว ยูทากะรีบร้อนวิ่งมาอย่างนี้ มีเรื่องอะไรหรอ” ซาซาโกะถาม ขณะนำที่นอนออกมาผึ่งบนราวไม้ไผ่หน้าบ้าน

     “พี่ซาซาโกะครับ ฮิเดโกะจังอยู่ไหมครับ” เขาถามพรางหอบแฮก

     “อ๋อ ไม่อยู่หรอก ออกไปตลาดสักพักแล้วหนะ”

     “ไปตลาด ไปร้านหนังสือหรือเปล่าครับ วันนี้วันหยุดไม่ใช่หรอ” เขาถามต่อ

     “เอ่อ ไม่ได้บอกว่าจะไปไหนนะ แต่จะลองแวะไปดูที่ร้านหนังสือก็ได้นะ” คนโตกว่าแนะนำ

     “อ่อ ครับ ขอบคุณมากครับ” เขาบอกลาแล้ววิ่งออกไปอย่างรีบเร่ง

     “รีบอะไรของเขานะ ยูทากะเนี่ย” ซาซาโกะพรึมพรำตามหลัง

     อริสาเข้าไปนั่งคุยกับคริสโตเฟอร์ในร้านหนังสืออยู่พักหนึ่งก็บอกลา และมุ่งหน้าต่อไปยังร้านขายโกศของหญิงชรา เธอตั้งใจจะนำเงินค่าแรงที่สะสมไว้ไปซื้อโกศบรรจุอัฐิให้ทาคาชิ แม้รู้ดีว่ายังไม่มากพอสำหรับโกศหินอ่อนลายเปลือกไม้ที่เธอได้เล็งไว้

     “สวัสดีคะ คุณยาย” เธอทักทายหญิงชราร่างเล็กที่กำลังง้วนกับการปัดฝุ่นสินค้าของตัวเอง

     “อ้าว สวัสดีจ๊ะ หนูนี่เอง” หญิงชราใบหน้ายิ้มแย้มทักทายกลับ

     “คือฉันจะมาซื้อโกศที่จองไว้เมื่อสองสามวันก่อนหนะคะ”

     “อ๋อ ฉันจำได้ว่าอันไหน รอสักครู่นะ” พูดจบหญิงชราก็หายไปในร้าน ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับถุงกระดาษสีน้ำตาล

     “นี่จ๊ะ ของหนู” เธอพูดพร้อมส่งถุงให้

     “แต่ว่า...ฉันมีเงินเท่านี้เองนะคะ” อริสากอบเงินทั้งหมดที่มี ทั้งเหรียญและธนบัตรไว้ในสองมือเรียว ยื่นให้เจ้าของร้านดู

     “ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ เงินนั่นหนะ หนูเก็บไว้เถอะนะ”

     “ไม่ได้หรอกคะ ของซื้อของขาย แค่คุณยายลดราคาให้ฉันก็ดีใจมากแล้ว”

     “ไม่เป็นไรจริงๆจ๊ะ ฉันหนะชอบเด็กกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ รับไว้เถอะนะ ถือว่าเป็นน้ำใจจากคนแก่วัยใกล้ฝั่งอย่างฉัน” เมื่อหญิงชราพูดมาขนาดนี้ อริสาก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ จึงเก็บเงินของตัวเองไว้ เธอรับถุงมา และเอาแต่โค้งขอบคุณอยู่หลายรอบก่อนจะจากไป

     ยูทากะมาถึงร้านหนังสือก็หยุดหายใจหายคออยู่หน้าร้านครู่หนึ่ง ก่อนผลักประตูเปิดเข้าไป

     “อ้าว ยูทากะ มาหาหนังสืออ่านหรอ” คริสโตเฟอร์ทักทาย

     “เปล่าหรอกครับ ผมมาหาฮิเดโกะจังหนะครับ”

     “อ๋อ ฮิเดโกะออกไปพักหนึ่งแล้วนะ เห็นบอกจะไปซื้อโกศบรรจุอัฐิ ที่ร้านทางนู้นหนะ” เขาพูดพรางชี้ไม้ชี้มือบอกทาง

     “อย่างนั้นหรอครับ ขอบคุณมากนะครับ” พูดจบยังไม่ทันจะหายเหนื่อย ยูทากะก็โค้งขอบคุณแล้วรีบร้อนวิ่งออกจากร้านไป ขณะเดียวกันนั้นเองอริสาก็เดินสวนกลับมา แต่ด้วยความที่ตลาดกำลังคึกคัก ผู้คนจอแจ ทำให้เขามองไม่เห็นคนรักที่กำลังสวนกันไปคนละทาง เมื่อเขามาถึงร้านของหญิงชราจึงทราบว่าคนที่เขากำลังตามตัวนั้นได้กลับบ้านไปแล้ว ในใจของยูทากะร้อนรนขึ้นทุกขณะที่กำลังวิ่งกลับไปยังทางเดิม เสียงไอพ้นของฝูงเครื่องบินรบที่อยู่สูงขึ้นไปในอากาศขับผ่านศีรษะ ทำหัวใจของเขาหล่นวูบ จนต้องชะงักฝีเท้า และหยุดแหงนหน้ามองขณะหนึ่ง ก่อนจะรีบวิ่งต่อไปอย่างไม่ละลด...ฮิเดโกะจัง รอฉันก่อนนะ...

     อริสากลับมาถึงที่บ้าน ก็เรียกทุกคนให้มานั่งรวมตัวกันที่ห้องนอน ซึ่งตอนนี้กลายเป็นห้องโล่งๆ เพราะเก็บที่นอน หมอน ผ้าห่มเรียบร้อยแล้ว เธอนำอัฐิของทาคาชิออกจากโหลแก้ว แล้วย้ายมาใส่ในโกศหินอ่อนสีน้ำตาลเข้มลายเปลือกไม้ที่ได้มาก่อนจะนำไปวางไว้หลังตู้หน้าภาพขาวดำครึ่งตัวของนายทหารในชุดเต็มยศ และวางป้ายไม้สลักชื่อไว้ข้างๆ กัน แล้วเดินมานั่งรวมกับทุกคนในครอบครัว

     “คุณพ่อ...คงดีใจนะ” ซาซาโกะพูดเสียงเรียบ

     “นั่นหนะสินะ” ผู้เป็นแม่เห็นด้วย

     “ว้าว พ่อเท่ห์จังเลยฮะ” ฮิคารุชื่นชมพ่อของเขา

     “นั่นหนะสินะ” ผู้เป็นแม่เห็นด้วย

     “มีความสุขจังเลยคะ” อริสาพูดขึ้นบ้าง

     “นั่นหนะสินะ” ผู้เป็นแม่เห็นด้วย

     “นี่พี่คุมิโกะจะพูดแต่ ‘นั่นหนะสินะ’ ไปถึงไหนเนี่ย” จิโร่ถามกวนๆ

     “นั่นหนะสินะ” ลูกๆ ทั้งสามคนประสานเสียงกันล้อเลียนคำพูดของผู้เป็นแม่ เสียงหัวเราะดังขึ้นในบ้านหลังเล็ก อริสามองภาพนั้นรอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้น ไม่รู้ทำไมถึงได้มีความสุขขนาดนี้ ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองและพวกเขากำลังจะตาย เธอคิดไปเองว่าถ้านี่คือปาฏิหาริย์จริงๆ ที่ทำให้เธอย้อนเวลามาอยู่ที่นี่ ปาฏิหาริย์คงไม่ได้ตั้งใจให้เธอมาเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์อะไร เพียงแต่ต้องการให้เธอได้รู้เรื่องราวของตัวเองเมื่อครั้งเป็นฮิเดโกะ แม้ว่าเธอจะจำอะไรเกี่ยวกับตัวฮิเดโกะไม่ได้เลยก็ตาม แต่ว่าจริงๆแล้วปาฏิหาริย์ต้องการอะไรกันแน่นะ...

 

 

***วันเกิดเหตุตามประวัติศาสตร์ คือวันพุธที่ 9 สิงหาคม 2488 (1945) แต่ในเรื่องผู้เขียนสมมติให้เป็นวันอาทิตย์ เพื่ออำนวยต่อการดำเนินเรื่องของตัวละคร ขอโทษมา ณ ที่นี้ หากเป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์คะ

ขอบคุณเพลงประกอบตอนที่ 29

https://www.youtube.com/watch?v=QgaTQ5-XfMM&list=PL61D94D09E866552D

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา