คำสาปกุหลาบเเห่งรัตติกาล

7.2

เขียนโดย MyWay

วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555 เวลา 13.30 น.

  1 chapter
  6 วิจารณ์
  4,404 อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ภาพวาดปริศนา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ศตวรรษที่ 21

“ไปหาปู่กับย่าที่เยอรมัน!”  ผมทวนคำ นัยน์ตาสีน้ำเงินกระพริบปริบๆ ขณะที่มองดูแม่  แม่นั่งเอนหลังอยู่บนโซฟาตัวโปรดในห้องนั่งเล่นแล้วสบตาผมนิ่ง เพื่อรอคำตอบ

 “แม่ครับ!! ผมไม่อยากไป”                                                                                                                                                 “ไม่ได้!! ลูกไม่ไปเยี่ยมพวกท่านมาสามปีแล้วนะ”  แม่พูดแล้วถอนหายใจเหนื่อยๆ                                                                                 “แม่ก็รู้นิว่าทำไม!” ผมพูด  จะมีอะไรเซ็งไปกว่าการถ่อสังขารจากกรุงเทพไปเยอรมันเพื่อพบคุณปู่สุดเฮี้ยบที่ชอบบังคับให้ผมฟันดาบและยินธนูบ้าๆนั่นอีก  นี่มันสมัยไหนกันแล้ว  ส่วนคุณย่าถึงท่านจะใจดีแค่ไหนแต่ถ้ายังไม่เลิกพร่ำเพ้อถึงประเทศที่ไม่มีอยู่จริงในแผนที่ให้ผมฟังจนหูชาละก็คงจะดีกว่านี้มากเลย

“จ้า  แม่รู้ว่าลูกเบื่อ  แต่ลูกไม่คิดถึงพวกท่านบ้างเลยเหรอ  เมื่อวันก่อนคุณย่าโทรมาบอกว่าอยากเจอหลานชายคนเดียว แล้วลูกจะไม่ไปได้ยังไงกันละ โรมินิก!”

“แม่!! อย่าเรียกชื่อนิยายนั่นสิ ผมไม่ชอบนะ” 

“จะชอบหรือไม่  ชื่อนี้ก็เป็นชื่อที่พ่อตั้งให้นะ!!”  แม่ดุ  ดวงตาสีดำฉายแววไม่พอใจ  เครื่องหน้าทุกส่วนแบบหญิงไทยนั่นแตกต่างจากผมโดยสิ้นเชิง  ผมได้ดวงตาสีน้ำเงินจากคุณพ่อ  ใบหน้าติดไปทางตะวันตกส่วนที่มาของชื่อ โรมินิก  เฮฟาเซีย มาจากตระกูลเก่าแก่ที่มีเชื้อสายราชวงศ์ทางของพ่อ  ผมไม่รู้ว่า เฮฟาเซีย สืบเชื้อสายมาจากสัญชาติใด  แต่บรรพบุรุษของผมก็อาศัยประเทศเยอรมันมาโดยตลอดและลงหลักปักฐานก่อตั้งบริษัทใหญ่โต  แต่น่าเศร้าเพราะคุณพ่อได้จากผมกับแม่ไปเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ตั้งแต่ผมอายุเพียง 1 ขวบ คุณย่าไม่ชอบคุณแม่ที่เป็นหญิงสามัญแต่ท่านก็ไม่ได้ขัดขวางการแต่งงานนี้  แต่หลังจากคุณพ่อจากไป  คุณแม่ก็พาผมออกจากคฤหาสน์มาเช่าบ้านอยู่กันสองคน  ซึ่งได้รับเงินเลี้ยงดูจากคุณปู่คุณย่าเสมอ  สามปีต่อมาแม่แต่งงานใหม่กับคุณพิภพนักธุรกิจชาวไทย เพื่อนเก่าคุณพ่อ  และมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน  พวกเราเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน  ไม่เคยสักครั้งที่จะมีปัญหากันรุนแรง  คุณพิภพเป็นเหมือนพ่อคนที่สองที่ผมรักและเคารพ  ทุกคนคงคิดจริงๆว่าผมเป็นลูกชายแท้ๆของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะใบหน้าที่ไม่มีส่วนใดคล้ายคลึงพวกเค้าเลย

            ชื่อ โรมินิก จึงทำให้ผมรู้สึกแตกต่างออกไป  ผมจึงชอบมากกว่าที่จะถูกเรียกว่า โรม

“ครับ! ผมจะไปเยี่ยมปู่กับย่าสักสองสามวัน”

“ยังไงลูกก็เรียนจบวิศวะแล้วช่วงที่กำลังรอรับปริญญาก็ไปอยู่กับพวกท่านสักเดือนสิ!”

1 เดือน!!” ผมร้อง  จะมีอะไรน่าเหลือเชื่อกว่านี้อีกมั้ย  ผมจะบอกคุณให้ก็ได้ว่าเรื่องนี้มันเปรียบได้กับอะไร  คงจะนึกภาพออกได้ไม่ยากสินะว่าคุณถูกยับโยนเข้าไปในหนังสือนิยายสมันสงครามและเวทมนต์ ที่มีแต่คนแปลกๆอยู่ในคฤหาสน์แปลกๆ ห่างไกลคนปกตินะ “แม่ก็รู้ว่าผมไม่มีทางอยู่ที่นั่นได้เกินหนึ่งอาทิตย์เลยสักครั้ง”

“แต่ครั้งนี้แม่ไม่ยอมแล้วนะ!! คุณปู่อยากให้ลูกไปบริหารธุรกิจต่อ”

“ผมรู้!! ถึงไม่อยากไปไงละ ผมเรียนวิศวะมาก็อยากใช้ความสามารถที่มี  ไม่ใช่เพราะอำนาจคุณปู่”  ผมอ้างแต่นั่นก็มีความจริงอยู่บ้างละนะ

“ลูกก็รู้ว่าลูกเป็นหลานชายคนเดียว  คุณอามีลูกสาวแค่สองคน  ยังไงคุณปู่ก็รอยกบริษัทให้ลูก”

“แต่ผมยังไม่พร้อม” ผมบอกปัด “พรุ่งนี้ผมนัดเพื่อนไปวินด์เซิร์ฟที่ซานดิเอโก  แล้วพ่อก็อนุญาตแล้วใช่มั้ยครับ”  ผมหันไปขอคำยืนยันจากพ่อเลี้ยงที่นั่งเงียบอยู่ข้างๆแม่บนโซฟา  เขาพับหนังสือพิมพ์ในมือแล้วส่งยิ้มใจดีมาให้

“ได้! พ่อไม่ลืมหรอกโรม  แต่ไปหาปู่กับย่าก่อนก็ได้นิ”

“ผมจองไฟร์บินไว้แล้ว”

“ก็ยกเลิกได้!”

“โรม!!”  แม่ขัดขึ้น

“ครับ?”

“อยากได้อะไรมากที่สุด” แม่ถามซึ่งคำตอบของผมก็หลุดจากปากทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

“อิสระ!! ผมอยากไปเที่ยวรอบโลก  ทำอะไรที่มันตื้นเต้นท้าทายความสามารถตัวเองดี”

“ก็ได้จ๊ะ”แม่พยักหน้ารับ  พลางทำสีหน้าครุ่นคิด “แลกกับการไปหาปู่กับย่าหนึ่งเดือนแล้วหลังจากนั้น  ลูกอยากไปไหนอยากทำอะไร  แม่จะไม่ห้ามเลย”

“จริงเหรอครับ? ผมอยากปีนเขาเอเวอร์เรส” ผมโพล่งออกไปนั่นเป็นเรื่องที่ผมอยากทำในอันดับต้นๆ

“อะไรนะ!!” แม่อุทาน เมื่อ ได้ยินคำขอแสนบ้าคลั่งของลูกชายตัวเอง แต่ทำไงได้ละ ผมหลงรัก ความเสี่ยง ซะด้วยซิ

“ปีนเขาเอเวอร์เรสนี่มันอันตรายมากนะลูก  ไปทำอย่างอื่นแทนได้มั้ยแม่เป็นห่วง”

“แม่ครับ! ผมดูแลตัวเองได้” ผมพยายามส่งสายตาอ้อนวอนแบบที่รู้ว่าแม่ต้องใจอ่อน  และครั้งนี้ก็สำเร็จ

“เฮ้อ! ก็ได้แม่อนุญาต  แต่ต้องไปหาปู่ก่อนนะ ”  แม่ถอนหายใจยอมแพ้  ขณะที่ผมลุกขึ้นไปกอดแม่ที่รัก

“ครับ ผมจะไปเก็บของ”

ห้องนอน 

            ผมเปิดตู้เสื้อผ้า  แล้วค้นชุดกับของใช้จำเป็นออกมายัดใส่กระเป๋าเดินทาง  เอาน่าคิดซะว่า  ไปพักผ่อน  บริเวณคฤหาสน์ตระกูลคุณปู่ก็สวยอยู่หรอก ล้อมรอบด้วยป่าเขียวขจี  ดอกไม้และสวนผมไม้เมืองหนาว  ไว้ค่อยไปหาภูเขาแถวนั้นปีนไปพลางๆก่อนก็ได้ (ซ้อมไว้ ก่อนไปเอเวอร์เรส)

พลัว!!

            ประตูห้องนอนถูกกระชากเปิดออกอย่างแรง  ผมหันไปมองที่มาของเสียง  เห็นไอ้คนไร้มารยาทเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่นบนปลายเตียงแถมประตูก็เปิดทิ้งไว้ปล่อยให้บรรดายุงบินว่อนเข้ามาในห้องผม

“ไอ้พรีซ!! ฉันบอกแกว่าให้เคาะประตูก่อนเข้าห้องฉัน”

“อ๋อ…ผมลืม!!”  คำตอบแบบไร้สมองจากน้องชายคนละพ่อทำให้ผมอยากจะเสยมันสักที “พ่อกับแม่เรียกพี่ไปทำไมอ่ะ”

“เรื่องของฉัน!!”

“ก็ผมอยากรู้อ่ะ  คราวนี้จะไปเที่ยวไหนอีก  ให้ผมไปด้วยนะๆ” พรีซพยายามทำสีหน้าอ้อนวอนที่น่าถีบมากกว่าจะน่ารัก  ก็นอกจากมันจะเสือกแล้วยังหน้าด้านอีกด้วย  แต่จะว่าไปถ้าเอามันไปด้วยอย่างน้อยก็ไม่น่าเบื่อ

“ได้!!”  ผมพูด คุณปู่เป็นคนเคร่งครัดกฎระเบียบประจำตระกูลไม่ยอมให้ผมพาเพื่อนไปแน่  แต่พรีซถึงมันจะเป็นคนนอก  แต่ยังไงก็มีศักดิ์เป็นน้องชายผมเพราะงั้น ไปได้ 

“จริงเหรอ?” พรีซถาม  ดวงตาเป็นประกายแบบเด็กๆ(ปัญญาอ่อน)

“เออ!!”

“แล้วเราจะไปไหนกันละ”

“เยอรมัน!!”

ว้าว!! ปีนี้ไปเที่ยวนอกไง๊ 

“อืม…ฉันจะไปหาปู่”

“แว๊ก!!”  น้องชายผมส่งเสียงประหลาดก่อนจะกลิ้งตัวลงจากเตียงเตรียมพุ่งออกจากห้อง  แต่ผมเร็วกว่า  กระโจนไปถีบประตูปิดดังโครม! แล้วกอดอกพิงประตูมองหน้ามัน

“ไม่ต้องตื่นเต้นหรอก  ยังไงแกก็ได้ไปแน่!!”

“ม้ายยยย!! ถอนตัวตอนนี้ทันมั้ย?”

“ไม่ได้!!”

“ไม่ไป!! ปู่พี่ต้องฆ่าผมแน่”  พรีซพูดพลางกลืนน้ำลายเอือกเมื่อเจ็ดปีก่อน  มันไปส่งผมที่คฤหาสน์คุณปู่แล้วเผลอไปทำแจกันเก่าแกแตก  แล้วมันก็โดนสวดยับเยินยาวสองชั่วโมง  และหลังจากวันนั้นมันก็ไม่เคยพูดปู่ของผมอีกเลยและแน่นอนว่ามันไม่คิดจะกลับไปเหยียบที่นั้น

“แกต้องไป!!”  ผมตัดบทแล้วงัดไม้ตายออกมาใช้ ก็แม่ยังงัดได้ผมก็เอาบ้างดิ “คนสมองเรียบไร้รอยหยักอย่างแกเอนท์ติดมหาลัยได้เพราะใครช่วยติวให้”

“พี่!”

“ตอนแกสับรางบรรดากิ๊กๆไม่ทัน แกให้ใครช่วย!!”

“พี่!!” พรีซตอบอ่อยๆ

“ตอนที่แก--”

“เฮ้ย! พอหยุดๆ”  มันรีบยกมือขึ้นห้าม “ให้ผมได้เหลืออะไรดีๆไว้บ้างดิ ทวงบุญคุณขนาดนี้  ใครจะปฎิเสธได้ว่ะ”  พรีซบ่นงึมงำ

“ก็ไม่ต้องปฏิเสธ ไปเก็บของเลยไป!”

“อืม! แล้วจะไปกี่วันละ”

“1 เดือน!!”

“ว๊ากกกกกก !! ผมเฉาตายพอดี”

 

            ผมกับพรีซขึ้นเครื่องบินไปลงที่สนามบินในตัวเมืองของรัฐเล็กๆประเทศเยอรมัน  คุณปู่ส่งคนขับรถสปอร์ตยุโรปคันหรูสีดำมารับ  รถแล่นไปทางตอนใต้ของรัฐ  อากาศเริ่มเย็นชื้นขึ้นเรื่อยๆระหว่างทาง  พรีซนั่งเงียบ  ก้มหน้าเล่นเกมส์ในไอแพทตลอดทาง  ผมมองผ่านกระจกรถที่มีไอเย็นสีขาวเกาะอยู่  เห็นทิวทัศน์สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนจากตึกอาคารเป็นป่าดำ ป่าที่มีต้นสนใหญ่ยืนเบียดเสียดกันแน่นหนาทำให้บรรยากาศรอบข้างดูมืดมัว  ถูกโอบล้อมด้วยทิวเขาสูงชันรถแล่นต่อไปเรื่อยๆ  ความเงียบก็ยังดำเนินราวกับไม่มีที่สิ้นสุดจนกระทั่ง  ดวงตะวันคล้อยต่ำลงรถก็เลี้ยวเข้าไปในถนนส่วนบุคคล ขับต่อไปราวๆ 20 นาที ก็พบสนามหญ้ากว้างใหญ่มีต้นไม้และดอกไม้สวยงามบ่งบอกว่าได้รับการดูแลอย่างดี  ตรงส่วนที่เป็นเนินสูง…. คฤหาสน์เก่าแก่ตั้งเป็นสง่าอยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามเย็น  มันทำให้ผมนึกถึงภาพความทรงจำวัยเด็ก นึกถึง พ่อ!!

 

            รถสปอร์ตแล่นไปหยุดอยู่หน้า            ประตูไม้สักลวดลายอ่อนช้อยแปลกตา  คุณป้าจูโน หัวหน้าแม่บ้านที่ทำงานมานานตั้งแต่ผมยังไม่เกิดกับเด็กสาวรับใช้อีกนับสิบกำลังยืนต้อนรับเราอยู่  พวกเค้าเปิดประตูรถให้ผมกับพรีซก้าวลงมา  เมื่อทุกคนเห็นผมต่างก็ก้มศีรษะทำความเคารพแล้วแยกย้ายกันไปยกกระเป๋าสำพาระของเรา

“ยินดีต้อนรับการกลับมาคะ คุณโรมินิก”  ป้าจูโนทักเป็นภาษาอังกฤษด้วยใบหน้าเรียบเฉยตามแบบฉบับเดิม  ร่างผอมแห้งอยู่ในชุดเครื่องแบบแม่บ้านคือ  กระโปรงยาวสีน้ำเงินและคาดทับด้วยผ้ากัน เปื้อนสีขาว

“สวัสดีครับคุณป้า”  ผมตอบเป็นภาษาเดียวกัน

“สวัสดีคุณพรีซ!”  ป้าจูโนพูดกับพรีซ  มันยืนนิ่งอยู่ข้างผมเล่นเกมส์ในไอแพทอย่างเอาเป็นเอาตาย  ผมใช้เท้าสะกิดมันแรงๆ  พรีซสะดุ้งแล้วเงยหน้าขึ้นมาเจอกับป้าจูโนที่ปรายตามองมันอยู่

“สวัสดีครับ”  พรีซทักแล้วก้มหน้ามองไอแพท  ผมจึงรีบฉวยมันออกมาจากมือพรีซแล้วส่งมันให้สาวใช้คนหนึ่ง

“โห้!! พี่อ่ะ  แล้วผมจะใช้อะไรเบี่ยงเบนความสนใจตัวเองละ”  น้องชายผมโวยวายเป็นภาษาไทย  สายตามันเริ่มโฟกัสไปรอบๆตัวอย่างหวาดระแวง

“นิ่งไว้!”  ผมพึมพำแล้วหันไปฉีกยิ้มหน้านิ่งๆของป้าจูโน

“เชิญทางนี้เลยคะ  คุณท่านกำลังรอพวกคุณอยู่”

            ผมกับพรีซเดินตามป้าจูโนเข้าไปในคฤหาสน์ผ่านโถงทางเดินหรูหราที่ถูกปูพื้นด้วยหินอ่อนสีขาว  ครั้งสุดท้ายที่ผมเห็นทุกอย่างไม่เป็นเช่นนี้  ภายในห้องถูกตกแต่งใหม่ทั้งเครื่องเรือน  ผนัง  หรือแม้แต่หลอดไฟ  ราวกับเนรมิตคฤหาสน์หลังใหม่ที่เหลือเค้าเดิมเพียงน้อยนิด  สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆถูกเปลี่ยนให้ทันสมัยและหรูหราขึ้น  แต่ไฟในคฤหาสน์ยังคงหรี่ให้เหลือเพียงแสงสลัวๆเช่นเดิม  เงาของพวกเราสะท้อนทาบทับผนังขณะเดิน

“คฤหาสน์หลังนี้ประหยัดไฟเหรอครับ”  พรีซโผล่งขึ้นมาท่ามกลางความเงียบด้วยภาษาอังกฤษ

“เปล่าหรอกคะ! คุณท่านชอบความมืด!!” ป้าจูโนหันมาตอบเรียบๆแล้วเดินต่อ ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณปู่ชอบความมืดก็เพราะว่าท่ามกลางป่าไม้และเนินเขา  คฤหาสน์เก่าแก่ที่มีสไตร์การตกแต่งแบบย้อนยุคจะดูมีเสน่ห์มากที่สุดในความมืดและเวลากลางคืนอย่างปฏิเสธไม่ได้เลยแต่คงจะใช้ไม่ได้กับพรีซ  มันเริ่มออกอาการวอกแวกบ่อยขึ้นขณะเดิน  ก็ต้องทำใจในเมื่อน้องชายผมเป็นประเภทไร้ความคลาสิกอารมณ์ที่เข้าถึงคงไม่พ้นคำว่าผี! 

            ป้าจูโนเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูบานหนึ่งแล้วยกมือขึ้นเคาะเบาๆ

ก๊อก!!  ก๊อก!!  ก๊อก!!     

“เข้ามา!!” เสียงทุ้มดังขึ้นจากข้างในห้อง  แม้จะไม่ได้ยินมานานแต่ผมยังจำได้แม่นว่าเป็นเสียงของคุณปู่  ป้าจูโนเปิดประตูแล้วผายมือเป็นการเชิญให้ผมกับพรีซเดินเข้าไป  ก่อนจะปิดประตูตามหลังเรา                                                                                                       

            คุณปู่นั่งเอนหลังอยู่บนโซฟากำลังเชคตารางหุ้นปัจจุบันจากเทคบุ๊ค  ใบหน้ายังเคร่งครึมแบบปกติ  นัยน์ตาสีน้ำเงินสงบนิ่งดูทรงอำนาจบางอย่างที่ชวนให้น่าเกรงขาม  ส่วนคุณย่านอนเอนหลังอยู่บนโซฟาตัวยาวท่าทางผ่อนคลายในมือถือวรรณกรรมคลาสิกเรื่องโปรด  นัยน์ตาสีเขียวใจดีทอดมองมายังผมด้วยความอ่อนโยน  ย่าวางหนังสือลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา ราวกับกลัวว่ามันจะเจ็บก่อนจะลุกขึ้นมาโอบกอดผมแน่น

“โรมินิกของย่า มาแล้ว! ”  คุณย่าพูดด้วยภาษาเยอรมัน ซึ่งคนโง่ๆอย่างพรีซต้องขมวดคิ้วมุ้ย

“สวัสดีครับย่า”  ผมพูดกับย่าด้วยภาษาเดียวกันหลังจากย่าปล่อยผมแล้ว “สวัสดีครับปู่” ผมพูดแล้วยกมือขึ้นไหว้ญาติผู้ใหญ่ทั้งสองตามมารยาทแบบไทยที่แม่เคยสอนมา

“อืม… นั่งสิ”  คุณปู่กล่าว ผมดึงพรีซนั่งลงข้างๆมันรีบยกมือขึ้นไหว้ปู่กับย่าแล้วนั่งนิ่ง

            คุณย่าถามไถทุกข์สุขของผมกับแม่  แล้วก็ให้ผมเล่าเรื่องต่างๆที่ทำตลอดหลายปีที่ผ่านมา  คุณปู่ไม่พูดอะไรมาก  สายตายังจับจ้องแทคบุ๊คอยู่ราวกับไม่สนใจ  แต่ผมรู้ว่าปู่ฟังทุกคำของผมนั่นเหละ  ด้วยความที่พรีซฟังภาษาเยอรมันไม่ออกแล้วมันยังอ่อนด้อยภาษาอังกฤษ  มันจึงขอตัวไปพักที่ห้องพักที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้

“หลานเดินทางมาไกล คงจะเหนื่อยแล้ว”  ย่าพูดขึ้นหลังจากที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าผมอยากจะนอนแล้ว  “ไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวย่าพาไป”

“ครับ!”  ผมลาปู่แล้วเดินตามย่าออกจากห้องนั่งเล่นผ่านห้องโถงสู่บันไดเวียนที่มีราวจับสีทองสลักรวดลายแปลกตา  ถูกปูด้วยพรมสีแดงสดราวกับทางเดินของเหล่า ขัตติยะวงศ์ ระเบียงชั้นสองมีภาพถ่ายบรรพบุรุษของผมตั้งแต่รุ่นแรกที่เป็นผู้สร้างคฤหาสน์หลังนี้ขึ้นมาใส่กรอบทองแขวนตามผนังใต้ภาพเขียนปี  ค.ศ. ระหว่างที่ท่านยังมีชีวิตอยู่จนสิ้นอายุไงและภาพสุดท้ายสิ้นสุดลงที่ภาพคุณพ่อ ซึ่งเดาได้เลยว่าภาพต่อไปเว้นที่ว่างไว้สำหรับผม! ซึ่งไม่เคยต้องการ!

            ผมเดินตามคุณย่าผ่านเข้าไปในโถงเล็กของส่วนที่เป็นห้องพัก  บริเวณผนังติดภาพวาดสีน้ำต่างๆของศิลปินชื่อดังทั้งหมดเป็นภาพทิวทัศน์และสถานที่ที่มีชื่อเสียงแต่แล้วสายตาผมก็ไม่สะดุดลงที่ภาพภาพหนึ่ง มันเป็นภาพบุคคลเพียงภาพเดียวในห้องนี้  สองขาของผมก้าวเข้าไปหาโดยอัตโนมัติ สายตาไล่มองมันช้าๆ

            ภาพนั้นเป็นภาพวาดเก่าแก่ที่สุด  ถูกวาดด้วยสีขาวและดำ  ทำความสะอาดแล้วใส่กรอบเงินแบบทันสมัย หญิงสาวในภาพมีดวงตากลมโตคู่สวยลึกลับ  จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง  เส้นผมยาวสลวยล้อมใบหน้ารูปไข่  เธออยู่ในชุดทรงของราชวงศ์ตะวันตก  สวมมงกุฎบ่งบอกฐานะราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยายที่ไร้ตัวตน  ศิลปินคงจะเก่งมากถึงได้ถ่ายทอดความงามแบบมีเสน่ห์หน้าหลงใหลออกมาได้ชัดเจนขนาดนี้

“สวยมากใช่มั้ย”  คุณย่าถามขึ้นหลังจากเห็นผมนิ่งไปนาน

“ครับ!”  ผมยอมรับ “ย่าได้ภาพนี้มาจากไหนครับ”

“ย่าซื้อมาจากพ่อค้าของเก่าผิดกฎหมายเมื่อต้นปีก่อน  มันเป็นอะไรที่คลาสสิกมาก จนย่าอดไม่ได้ต้องซื้อ”  ย่าตอบพลางทำหน้าเพ้อฝันแบบเวลาที่อ่านวรรณกรรมคลาสสิกของเชกสเปีย

“เธอมีตัวตนจริงๆหรือเปล่าครับ”

“โอ้!! แน่นอนว่ามีสิ เธอคือเจ้าฟ้าหญิงแห่ง เกราซา แต่ย่าจำชื่อเธอไม่ได้หรอกนะ มันยาวแล้วเรื่องนั้นก็นานมากแล้ว  ” ย่าพูดพลางยกมือขึ้นลูบภาพวาดเบาๆอย่างอ่อนโยน

“แห่งอะไรนะครับ?”

“เกราซา” 

“มันมีด้วยเหรอ = =;” ผมถามอย่างไม่เชื่อหู  มันคืออะไรกัน ประเทศ เมือง แคว้น หรือว่ารัฐ

“พูดอะไรอย่างนั้นจ๊ะ”  ย่าถอนหายใจแล้วส่ายหน้านิดๆ “มันยังมีอะไรอีกมากที่หลานสมควรรู้แต่ยังไม่รู้”

“อะไรละครับ?”  คงไม่ใช่ว่าคุณย่ากำลังจะเริ่มเพ้ออีกแล้วนะ

“เออ! เอาเป็นว่านิยายแฟนตาซีก็กลายเป็นเรื่องจริงได้”

นั่น!! เอาแล้วไงละถ้าเป็นงี้ก็เลิกคุยได้เลย  คุณอาจจะคิดว่าผมเป็นหลานที่แย่มาก แต่ด้วยความปรารถนาดี  ผมอยากให้ย่าไปเชคประสารท

“ผมง่วงแล้ว  ขอตัวไปนอนก่อน”  ผมรีบตัดบทแล้วก้มลงหอมแก้มย่าเบาๆ

“ฝันดีครับ”

            ภายในห้องนอนห้องเดิมของผมถูกจัดตกแต่งใหม่ด้วยสไตร์เรียบง่าย  เตียงสี่เสาขนาดบิ๊กไซร์ตั้งอยู่กลางห้อง  ม่านรอบเตียงสีแดงเลือดนกสีเดียวกับผ้าม่านที่ปักดิ้นทองงดงามซึ่งเข้ากับเตียงตู้และโต๊ะที่ทำจากไม้สักขัดเงา  ของเล่นสมัยเด็กของผมยังครบทุกชิ้น  หุ่นยนต์ตัวแรกของผมที่พ่อซื้อให้ตั้งอยู่ในตู้กระจกข้างๆวางตุ๊กตาที่แม่ให้เป็นของขวัญวันเกิดและบรรดาเทพนิยายที่ย่าให้ผมแต่ในบรรดาของสั่งสมไม่มีชิ้นไหนที่คุณปู่มอบให้ผมสักอย่าง  ในความหมายของผมคือเขามักจะให้ผ่านย่า ซึ่งผมก็ดีใจ ผนังห้องแขวนรูปของครอบครัวมี พ่อ แม่ ปู่ ย่า และอา(หญิง) ส่วนใหญ่เป็นภาพของผมตั้งแต่เด็กจนปัจจุบัน  มีรูปพ่อเพียงสองรูปคือตอนที่พ่อแต่งงานกับแม่และตอนพ่ออุ้มผมเมื่อผมยังเล็กมาก

            ผมล้มตัวนอนบนเตียงหลับตาลง ปล่อยให้ความมืดเข้าครอบครองแล้วความเหนื่ออ่อนก็ทำให้ผมหลับไปในที่สุด

            ภาพเหตุการณ์ซับซ้อนก่อตัวขึ้นในหัวผม มันรวดเร็วจนทำให้สับสนว่าผมกำลังมองอะไร หรือว่าอยู่ที่ไหน

            เสียงลมหวีดหวิว… กระทบใบไม้ไหว ป่าไม้สีดำ ขุนเขาเสียงไหลของสายน้ำแต่สิ่งเดียวที่ผมจำได้และเห็นชัดเจนที่สุดคือ  หญิงสาวในภาพวาดเก่าแก่ที่ห้องโถง ผมเห็นใบหน้าเศร้าหมองกำลังมีหยาดน้ำใสๆไหลรินออกมาจากดวงตาของเธอ  ผมพยายามเอื้อมมือเข้าไปหา… ผมอยากช่วยเหลือเธอจากความเจ็บปวดแล้วเสียงกรีดร้อง!! ราวกัยจะขาดใจก็ดึงผมออกจากความฝัน

ตุ้บ!!

            ผมสะดุ้งตื่นเพราะสิ่งมีชีวิตบางอย่างพุ่งกระแทกประตูกระจกที่ระเบียง  ผมยันตัวขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปดึงม่านสีแดงเลือดนกให้เปิดออกก็แค่นกฮูกแก่ๆบินชนกระจกเท่านั้น ผมเปิดประตู  สายลมยามค่ำคืนพัดเข้ามาปะทะใบหน้า  นกฮูกมึนงงพยายามกระพือปีกถี่ๆหาทางออก เพราะแกแท้ๆที่ทำให้ฉันตื่นจากความฝัน  ผมก้มไปอุ้มร่างพองๆของมันขึ้นมาวางบนระเบียง  นกฮูกทรงตัวก่อนจะกางปีกถลาสู่ท้องฟ้ารัตติกาล

            ผมกวาดตามองทิวทัศน์ขุนเขาและป่าสนรอบๆคฤหาสต์ที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดทุกอย่างที่เห็นทำให้ผมไม่อาจไล่ความฝันออกไปจากสมองได้เลย  ภาพน้ำตาที่ไหลช้าๆออกมาจากดวงตาคู่งามฉายความรวดร้าว  จนยากที่ผมจะทำใจให้ลืมแล้วข่มตาหลับ

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา