ทอฝันสุดสายรุ้ง

10.0

เขียนโดย Jeremiiz

วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 เวลา 02.07 น.

  12 บท
  12 วิจารณ์
  18.47K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

10) ชาติกำเนิด

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ ๑๐ 

          ชาติกำเนิด 

 

          ทอฝันยอมตอบตกลงที่จะส่งขนมของตัวเองไปวางขายที่หน้าร้านกาแฟของภาวิต โดยที่ทุกคนก็คอยเป็นแรงเชียร์แรงใจ ให้ขนมของเธออร่อยติดปากของทุกคน อันความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมาทั้งหมดจะได้มลายหายไปเป็นความปลาบปลื้มใจเข้ามาแทน

 

          “หนูวรรณพาเรามาที่นี่ทำไม?”

            “สวยมั้ยล่ะ?”

            ทอฝันมองไปรอบๆ ห้องอย่างพิจารณา ไม่ค่อยเข้าใจว่าหนูวรรณกำลังต้องการอะไร เพราะจู่ๆ ก็รบเร้าอยากจะพาทอฝันเข้ากรุงเทพฯ โดยไม่ได้บอกผู้ใหญ่ที่บ้านสักคนเดียว

            เธอพาทอฝันมายังคอนโดหรูที่เพิ่งสร้างเสร็จแถวๆ มหาวิทยาลัย และเปิดห้องห้องหนึ่งให้เข้าไปราวกับเป็นเจ้าของเสียเอง ซึ่งภายในห้องนั้นกูตกแต่งสวยงามมากเสียจนทอฝันไม่กล้าจะเดินเหยียบย่างกายเข้าไป

            “สวยดี แต่ว่าทำไมเหรอ? แล้วหนูวรรณเข้ามาที่ห้องนี้ได้ยังไง หนูวรรณนอนที่นี่เหรอ?”

            “แหม ถามเป็นชุดเชียวนะทอฝัน ใจเย็นๆ  สิ เราจะได้ตอบถูก”

            “ก็สงสัยนี่นา”

            “ที่จริงห้องนี้เป็นของเพื่อนเราน่ะ แต่ว่าตอนนี้เขาไปเรียน”

            “เจ้าของห้องไม่อยู่แล้วเข้ามาได้ยังไง”

            “ก็เมื่อคืนมีปาร์ตี้กัน เราก็เลยได้นอนค้างที่นี่น่ะ มันสุดยอดมากๆ เลยนะ กับการได้นอนในที่ที่สวยๆ แบบนี้ ดีกว่านอนที่หอโทรมๆ นั่นเป็นไหนๆ”

            ทอฝันเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ

            “เพื่อนๆ ในกลุ่มของหนูวรรณ ล้วนมาอยู่ที่นี่กันหมด มีก็แต่หนูวรรณเท่านั้น ที่อยู่หอโกโรโกโสกว่าใครเพื่อน”

            “ก็แล้วยังไงกันล่ะ เราไม่ได้เหลือกินเหลือใช้อย่างคนอื่นเขานี่นา”

            “แต่หนูวรรณอาย!”

            หนูวรรณตะโกนใส่หน้าทอฝันอย่างอัดอั้น

            “เพื่อนบางคนที่ไม่สนิทก็มองหนูวรรณด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม”

            คงเหมือนกับที่ลูกพีชมองทอฝันในคราวนั้นกระมัง...

            “พวกเขาคิดว่าหนูวรรณไม่มีเงิน”

            “ถ้าพูดตามตรงแล้ว ก็เป็นเรื่องจริงนะหนูวรรณ”

            “แต่ว่าเมื่อก่อนไม่เป็นแบบนี้นี่ สมัยก่อน ตั้งแต่อนุบาลยันประถม... หนูวรรณเรียนโรงเรียนเอกชนที่ค่าเทอมแพงมาตลอด คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร”

            “มันเปลี่ยนไปแล้วหนูวรรณ จะไปยึดติดอะไรแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ เศรษฐกิจในครอบครัวของเราตอนนี้มีแต่ทรง ไม่ทรุดลงไปก็ดีแค่ไหนแล้ว”

            “ทอฝันไม่ต้องมาพูดสอนหนูวรรณหรอก ยังไงหนูวรรณก็เชื่อว่าบ้านเราไม่ได้ยากจนข้นแค้นถึงขนาดที่คนอื่นจะมาดูถูกได้ ทอฝัน... ช่วยพูดกับคุณพ่อเรื่องนี้ให้หน่อยสิ หนูวรรณรู้ดีกว่าถ้าพูดไปคุณพ่อต้องไม่เห็นด้วยแน่ๆ”

            “ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ?”

            “ก็ตอนนี้ทอฝันทำอะไรก็ได้ใจคนทั้งบ้านไปหมดแล้ว จะพูดจะทำอะไรก็มีคนเชื่อถือไว้วางใจ ผิดกับหนูวรรณ แค่กระดิกเท้าก็ยังโดนว่าเลย นะ... ทอฝันนะ อีกตั้งหลายปีกว่าหนูวรรณจะเรียนจบ หนูวรรณทนอับอายไม่ไหวหรอก”

            หนูวรรณขอร้องทอฝันด้วยสายตาอ้อนวอนแทบจะประนมมือขึ้นไหว้เสียด้วยซ้ำ ทอฝันจึงจำต้องตบปากรับคำไปอย่างเสียไม่ได้

            “ถ้ายังไง เราจะลองพูดให้ก็แล้วกันนะ”

            “จริงๆ นะทอฝัน”

            “อื้ม”

 

            “ว่าไงนะ! เดือนละหมื่นสอง”

            “ค่ะคุณพ่อ หนูวรรณรู้สึกไม่ปลอดภัยที่จะอยู่หอพักเดิมน่ะค่ะ ส่วนที่ใหม่นี้ เขาจะเน้นเรื่องความปลอดภัยและสะดวกสบายเป็นพิเศษ ซึ่งคิดดูแล้ว มันก็น่าจะดีนะคะ กับการที่ให้หนูวรรณไปอยู่นอกบ้านตามลำพัง เพิ่มเงินตรงส่วนนี้เพื่อให้ทางเราอุ่นใจขึ้นได้”

            “แต่ว่าเพิ่มจากเดิมตั้งหลายเท่าตัว มันจะไม่มากเกินไปหน่อยหรือทอฝัน กว่าหนูวรรณจะเรียนจบ เราต้องเสียเงินกับตรงนั้นไปตั้งเท่าไหร่ แล้วไหนจะเรื่องค่าเล่าเรียนจิปาถะอื่นๆ อีกล่ะ”

            “หนูจะทำงานให้หนักขึ้นค่ะคุณพ่อ”

            “แค่นี้ทอฝันก็ไม่ได้พักไม่ได้ผ่อน จนไม่มีเวลาไปอ่านหนังสืออยู่แล้วนะ ห่วงตัวเองซะบ้างเถอะ นี่ก็... หนูวรรณคงรบเร้าให้มาพูดแทนล่ะสิ”

            “เอ่อ คือ...”

            “ช่างเถอะ อย่าเก็บเอามาคิดให้รกหัวเลย ยังไงก็เป็นไปไม่ได้หรอก พ่อจะไปคุยกับหนูวรรณเอง”

            “คุณพ่อคะ...”

            ไม่ทันที่ทอฝันจะได้ร้องทักท้วงอะไร สิทธิกรก็ผลุนผลันออกจากห้องครัวไป เห็นท่าที่ของคุณพ่อเป็นแบบนั้นแล้ว ทอฝันก็รู้สึกใจไม่ดีเลย

 

            ทอฝันไม่รู้ว่าหลังจากคุณพ่อคุยกับตัวเรื่องที่พักใหม่ของหนูวรรณแล้วท่านไปที่ไหนต่อ แต่พอกลับเข้ามาในห้องหนูวรรณก็มีท่าทีมึนตึงไม่ยอมพูดยอมจา

            “จะกลับหอที่กรุงเทพเมื่อไหร่”

            “...”

            “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ไม่มีเรียนเหรอ?”

            “...”

            “ไม่สบายรึเปล่าหนูวรรณ?”

            “หยุดพูดมากซะที น่ารำคาญ!”

            “...!”

            ทอฝันตกใจหน้าเสียกับการตวาดลั่นของหนูวรรณ

            “หนูวรรณ...”

            “เธอเป็นใคร แล้วเราเป็นใคร ถึงแม้คุณย่า คุณพ่อ คุณแม่ จะรักเธอไม่ต่างไปจากลูกแท้ๆ อย่างฉันก็เถอะ เพราะคิดเพ้อฝันไปว่าพวกท่านรักเธอมากกว่าก็เลยอยากจะกำจัดเราให้ไปพ้นทางรึไง บ้านนี้จะได้ตกเป็นของเธอเพียงคนเดียวน่ะ”

            “หนูวรรณเป็นอะไรไปน่ะ ทำไมถึงพูดอะไรแบบนี้”

            “อย่ามาทำเป็นตีหน้าซื่อนะ เพราะเธอไปฟ้องคุณพ่อว่าฉันไม่รู้จักฐานะตัวเองแล้วคิดอยากย้ายหอพัก คุณพ่อก็เลยมาต่อว่าเราว่าฟุ้งเฟ้อโอ้อวด สมใจเธอแล้วล่ะสิ”

            “ไม่ใช่อย่างนั้นนะ หนูวรรณ”

            “เอาเลย เชิญเลย ให้มันรู้กันไปว่า คนที่ถูกเก็บมาเลี้ยงข้างถนนอย่างเธอ จะได้ทุกอย่างของบ้านนี้ไปจริงๆ เพราะมีเธอ... เราถึงเป็นคนที่น่าเบื่อหน่ายน่ารำคาญสำหรับทุกคน ทำไมเธอต้องเข้ามาอยู่ที่นี่ด้วย! อย่าสำคัญตัวเองผิดหน่อยเลย ว่าจะเป็นลูกของคุณพ่อคุณแม่และหลานของคุณย่าจริงๆ นะ...”

            ทอฝันยืนนิ่ง สะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา คำพูดของหนูวรรณเปรียบเสมือนมีดที่กรีดลึกเข้าไปในหัวใจ มันทั้งเจ็บทั้งแสบราวกับถูกทาทับด้วยเกลือเค็ม

            ทอฝันตัดสินใจเดินออกมาจากห้องพร้อมกับน้ำตาที่หลั่งออกมาด้วยความสมเพชตัวเอง ใช่แล้ว... เธอไม่ใช่ลูกสาวบ้านนี้จริงๆ นี่นา เธอเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่ถูกเก็บมาเลี้ยง หลังจากที่ต้องสูญเสียและพลัดพรากจากคนในครอบครัวไป แม่... ยาย... พ่อ... และพี่สาว...

ตอนนี้เธอเหลืออยู่เพียงคนเดียวบนโลกใบนี้ แต่กำลังใจที่ทำให้เด็กน้อยยืนหยัดจนเติบใหญ่มาได้ก็เพราะกำลังใจของครอบครัวนี้เช่นกัน ครอบครัวที่ให้โอกาส ความรัก ความไว้วางใจ จนเธอตกเป็นทาสบุญคุณอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งทอฝันเองก็ไม่ได้คิดว่าทุกคนจะต้องรักเหมือนลูกเหมือนหลานในไส้จริงๆ หากแค่เพียงรับเลี้ยงให้ที่กินที่หลบฝนเท่านั้นเธอก็สำนึกบุญคุณล้นเหลือแล้ว แต่ในเมื่อทุกคนให้ความรักความอบอุ่นมาอย่างนี้แล้ว จะปฏิเสธออกไปได้อย่างไร เป็นความผิดของเธอจริงๆ อย่างนั้นหรือ?

            เมื่อได้ยินหนูวรรณพูดอย่างนั้นแล้ว ก็ให้นึกย้อนไปถึงต้นกำเนิดตัวเอง ที่ไม่ได้อยู่ดีกินดีเหมือนคนอื่นๆ เขา หนำซ้ำหน้าของแม่ก็ยังไม่เคยเห็น ครอบครัวไม่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเลย ถึงคราวจะได้อยู่ดีกินดีเหมือนคนอื่นๆ ก็มีคราวที่จะต้องเป็นไป สุดท้ายก็ต้องมาพรากจากพี่สาวสุดที่รักไปโดยไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร หากแต่ในอนาคตความหวังหนึ่งเดียวของทอฝัน คือการตามหาพี่ทอป่านและแม่ให้พบ จากนั้นก็จะมาอยู่ร่วมกันอีกครั้งพร้อมหน้าพร้อมตาในวันที่เธอตั้งหลักชีวิตได้ เธอจะเลี้ยงแม่และพี่สาวด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง แต่ทว่า... ฝันนั้นจะได้เป็นจริงรึเปล่าก็ยังไม่รู้ มันช่างริบหรี่เหลือเกิน..

“ทอฝัน... มานั่งทำอะไรตกนี้ล่ะลูก มืดๆ ค่ำๆ ยุงมันจะกัดเอานะ”

“เอ่อ ค่ะ หนูกำลังจะเข้าไปค่ะ”

ทอฝันตอบกลับพร้อมหลบหน้าหลบตา

“ทำไมดูแปลกๆ ไปล่ะ หือ?”

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”

“ไม่สบายรึเปล่า?”

“ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะคุณย่า”

“ทอฝัน... มีอะไรก็บอกย่ามาตรงๆ เถอะนะ”

หญิงชรายื่นมือเข้าช่วยด้วยความเป็นห่วง

“คุณย่าคะ... หนูจะได้ออกไปจากบ้านนี้ไปโดยไม่ต้องมีความรู้สึกผูกพันเมื่อไหร่กันคะ”

“อะไรนะ นี่หนูอยากจะไปจากที่นี่งั้นเหรอ? ทำไมล่ะทอฝัน ที่นี่มันเลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ?”

ทอฝันส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะตอบออกมา

“ไม่ใช่ค่ะคุณย่า ที่นี่ดีกับหนูมาก มากซะจนหนูไม่กล้าเดินออกไปจากที่นี่โดยไม่ที่ยังไม่ได้ตอบแทนอะไร หนูคิดว่าซักวัน จะต้องออกตามหาพี่สาวและแม่ให้พบ จากนั้นก็จะรับทั้งสองมาอยู่ด้วย ซึ่งเวลานั้น หนูคงจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว...”

“นั่นสินะ ย่าลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปสนิท ลืมไปว่าวันนึง ทอฝันก็จะต้องมีทางเดินเป็นของตัวเอง คงจะต้องเลือกตัดสินใจและเลือกทำในสิ่งที่ต้องการในซักวัน...”

“...”

“เอาเถอะ... ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก ทุกคนในบ้านจะคอยเป็นกำลังใจให้กับหนูนะ”

“ขอบคุณค่ะคุณย่า...”

“เมื่อสักครู่ย่าได้ยินเสียงหนูวรรณตะโกนโหวกเหวก มีเรื่องอะไรกันรึเปล่า?”

“เอ่อ... คือว่า...”

“ต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ มากับย่าเถอะ”

ยังไม่ทันไร สุนทรีก็ลากตัวหลานสาวกลับเข้าไปในห้องในนั้นหนูวรรณกำลังนอนคลุมโปงอยู่บนเตียง

“เมื่อกี๊ใครกันนะที่ตะโกนแวดๆ จนลั่นบ้าน แป๊บเดียวก็ง่วงหลับไปซะแล้วเหรอ?”

“คุณย่า!”

หนูวรรณเลิกผ้าห่มออกมาพร้อมจ้องมองคนที่รู้ทันอย่างหงุดหงิด

“ด่าได้ยินและรับรู้เรื่องหมดทุกอย่างแล้วล่ะหนูวรรณ”

“แน่ล่ะ ทอฝันคง...”

“ไม่ใช่ทอฝันมาฟ้องย่าหรอก ก็บอกแล้วว่าย่าได้ยินและรับรู้ด้วยตัวเอง... อยากไปอยู่หอพักใหม่ใช่มั้ยล่ะ”

“...”

หนูวรรณหน้างุ้มงอไม่ตอบรับใดๆ

“ไม่ใช่ว่าทอฝันไปฟ้องพ่อหรอกนะ กลับกันยังช่วยพูดแต่เรื่องดีๆ ให้ด้วยซ้ำไป แต่ร้อยทั้งร้อย แค่ได้ฟังครั้งเดียวก็จับไต๋ได้ทันทีว่าหนูวรรณน่ะต้องการอะไร ทอป่านเขาเป็นคนโกหกและปกปิดอะไรไม่ค่อยจะได้เรื่องอยู่แล้ว คราวหลังก็อย่าไหว้วานให้ทำอะไรแบบนี้อีกล่ะ จะเสียอารมณ์ไปเปล่าๆ”

“คุณย่าอ่ะ!”

“หึๆ ย่าเข้าใจว่าสังคมวัยรุ่นตอนนี้มันเป็นอย่างไร ก็คงไม่ต่างจากสมัยก่อนๆ เท่าไหร่หรอกล่ะมั้ง ที่คนมีก็ชอบอวดของที่ตัวเองมี และดูถูกคนอื่นที่ไม่มีเหมือนกับตัว เป็นค่านิยมที่ผิดมหันต์เลยจริงๆ เชียว พลอยทำให้ไอ้คนที่ไม่มีพลอยอยากมีอยากได้ไปด้วย แล้วยังไงกันล่ะ เป็นเหตุจูงใจให้เกิดความโลภ ฉะนั้นแล้วก็จะหูอื้อตาบอดไม่รู้ผิดรู้ชอบ ขอให้ได้มีได้ใช้เหมือนคนอื่นๆ แม้ว่าจะได้มาโดยขัดต่อศีลธรรมก็ตาม เป็นปัญหาสังคมที่เรื้อรังกันไปทุกที”

“...”

“จริงอยู่ แต่ก่อนน่ะเราเคยมี เคยได้ใช้แต่ของดีๆ แต่ทุกวันนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว เพราะหนูวรรณไม่เคยสนใจเรื่องในครอบครัวมาแต่ไหนแต่ไร ถึงไม่รู้ความลำบากในครอบครัว ไม่ยอมจมง่ายๆ คิดว่าเงินหาเมื่อไหร่เท่าไหร่ก็ได้เหมือนแต่ก่อน เพราะตัวเองไม่ได้เป็นคนหาเงินเอง ทางด้านนี้น่ะ ทอฝันเขารู้ดี แต่ก็ไม่เคยปริปากบ่นหรือเรียกร้องใดๆ ย่าได้ต้องการจะเปรียบเทียบหลานทั้งสองคน เพียงแต่พูดให้เห็นถึงความแตกต่าง หนูวรรณก็หลานย่า ทอฝันก็หลานย่า แม้ย่าจะเก็บมาจากข้างถนนก็เถอะ”

หนูวรรณสะอึกไปทันทีที่เจอคำนี้

“แต่ทอฝันก็ทำให้ย่ายอมรับในตัวของเขาได้ ไม่น่าชื่นชมกว่าหรือ แทนที่จะต่อว่าต่อขานให้เจ็บช้ำน้ำใจ น่าจะพินิจพิจารณาตัวเองให้ดีเสียก่อนว่าเคยทำตัวให้มีคุณค่าสมแก่การเรียกร้องใดๆ บ้าง ตอนนี้ก็เห็นมีแต่ทอฝันที่ทำงานหาเงินงกๆ เสียสละทุกอย่างเพื่อนหนูวรรณและคนในครอบครัว หนูวรรณยังไม่รู้สำนึกบุญคุณ กลับไปด่าเสียๆ หายๆ ให้ทอฝันต้องเสียน้ำตา ย่าว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเลยนะ หนูวรรณคิดว่ายังไง”

หนูวรรณนิ่งไป ใช้ความคิดทบทวนสิ่งที่คุณย่าพูด

“ค่ะ... หนูวรรณผิดไปแล้วค่ะคุณย่า”

“สิ่งที่หนูวรรณควรทำจริงๆ คือขอโทษทอฝันซะ และต่อไปนี้ก็ให้ระลึกอยู่เสมอว่าจะไม่ทำอะไรแบบนี้อีก”

“ค่ะ... ทอฝัน... เราขอโทษเธอจริงๆ นะ ตอนนั้นเราคงโกรธจนหน้ามืดตามัวไปหน่อย ต่อไปเราจะไม่ทำอย่างนั้นอีกแล้ว ไม่เรียกร้องอะไรอีกแล้ว”

“จ้ะหนูวรรณ เรายินดีเสมอ”

หนูวรรณยิ้มอย่างดีใจ ก่อนจะโผเข้ากอดทอฝันโดยที่เธอเองยังไม่ทันตั้งตัว

หนูวรรณไม่ใช่คนร้ายกาจอะไร แต่เป็นเด็กผู้หญิงที่ค่อนข้างเอาแต่ใจคนหนึ่งเหมือนเด็กที่ถูกตามใจตั้งแต่เล็กๆ จากพ่อหรือแม่แบบบ้านอื่นๆ โชคยังดีที่เธอเป็นคนเข้าใจอะไรง่าย เรื่องนี้จึงจบลงด้วยดี

หากแต่ก็ทำให้ทอฝันยิ่งเจียมเนื้อเจียมตนหนักขึ้นไปอีก และก็เริ่มมีเป้าหมายในชีวิตชัดเจนขึ้นทีละนิด... ทีละนิด...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา