[B2ST/Beast] Dream Story รักนี้ให้นาย...เจ้าชายอสูร

8.9

เขียนโดย Kreota

วันที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 เวลา 00.14 น.

  87 ตอน
  86 วิจารณ์
  97.49K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2557 22.21 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

74) [Episode 6 :: Lie Lover] # Chapter 6

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

Episode 6 Lie Lover

:: Chapter 6 ::

 

            [Kikwang : Talk]

            “สาวนิรนามบุกเดี่ยวหอบีสท์!”  โยซอบอ่านหัวข้อข่าวที่พาดหัวตัวโตๆ หน้าโฮมเพจของทุกเว็บไซต์อย่างตื่นเต้น “รูปแกตอนล้มหน้าเหวอมากเลยอ่ะ ฮ่าๆๆๆ”       

            เออ!! เอาเข้าไป ไม่โดนทับน้องชายเหมือนฉันบ้างให้มันรู้ไป!!! -////-

            “ว่าจะไม่ให้เป็นเรื่องใหญ่แล้วนะเนี่ย”  ดูจุนบ่นขณะที่ยืนอ่านข่าวกับโยซอบ พวกเราเพิ่งจะคุยกันแหม็บๆ ว่าจะปล่อยปลายฝนไปจะไม่ตามหาและไม่แจ้งตำรวจ แต่สงสัยจะปิดไม่มิดซะแล้ว

            “พวกนายเป็นไงกันบ้าง”  เภตราเปิดประตูพรวดเข้ามาในห้องพร้อมกับเมมเบอร์อีก 5 คนของเธอ

            “ไม่มีใครเป็นไรหรอก แต่กีกวังน่ะหนัก ฮ่าๆๆ”  ดูจุนรีบรายงานแฟนตัวเองเสร็จสรรพพร้อมกับทับถมผมอีกคน U_U

            “ยัยผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกันคะ ทำไมกล้าขนาดนี้”  วิลล่าถาม

            “นั่นสิ แฟนคลับรึเปล่า”  ณัชถามเพิ่มเติม

            “ก็...ไม่รู้สิ ไม่แน่ใจว่าใช่แฟนคลับไหม เพราะถ้าแฟนคลับคงไม่ทำแบบนี้หรอก”  ผมบอก ผมรู้แค่ว่าเขาเป็นช่างภาพและโดนพวกทวงหนี้ไล่ล่าเธออยู่ นอกนั้นผมก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับปลายฝนเลยเพราะทุกอย่างที่เธอบอกมันเป็นเรื่องโกหกทั้งนั้น มีแค่ 2 เรื่องแรกนั่นแหละที่พอจะเชื่อได้เพราะว่าผมเห็นอย่างนั้นจริงๆ

            “ไม่แน่นะคะ อาจจะเป็นเหมือนยัยชอนแอก็ได้ใครจะไปรู้”  วิลล่าพูด

            เออว่ะ! ขนาดเป็นแฟนคลับแท้ๆ ยังส่งเลือดพร้อมคำขู่มาให้ดงอุนถึงหอเลยนี่นา -_-;

             “ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าต้นตอของภาพมาจากไหน เพราะขืนปล่อยไว้แบบนี้ไม่ดีแน่”  จุนฮยองเสนอ

            “แต่เท่าที่เห็น เมื่อเช้าปลายฝนก็มาคนเดียวนะ ไม่น่าจะมีใครตามมาด้วย”  ดูจุนบอก

            “ปลายฝน? ใครอ่ะ”  หยาถาม

            “ช่างภาพที่ของขวัญเล่าให้ฟังไง ที่เข้ามาหลังเวทีตอนที่พวกฉันไปแจกลายเซ็นน่ะ”  จุนฮยองบอก

            “อ๋อ จำได้แล้ว วิลล่าเคยเจอ”  วิลล่าร้องขึ้นมาอย่างคิดได้

            “ฉันว่าเรื่องนี้มันไม่น่าจะใช่เรื่องบังเอิญนะ เพราะว่าถ้าคนบังเอิญผ่านมาเจอตอนที่กีกวังชนกับปลายฝนพอดีภาพมันไม่น่าจะชัดเจนขนาดนั้น แต่นี่มันชัดเกินไป”  เฝ้าฝันตั้งข้อสังเกต จริงสินะมันเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้นเองเป็นไปไม่ได้ที่ภาพจะชัดแจ๋วแบบนี้นอกจากว่า...จะตั้งกล้องรอถ่ายอยู่แล้ว!

            “ใช่...แล้วก็มีเรื่องข่าวของวิลล่ากับดงอุนอีก ถึงสองคนนี้จะไม่ค่อยระวังตัว แต่ภาพที่ออกมาบางภาพมันส่วนตัวเกินกว่าที่คนนอกจะแอบถ่ายได้ ฉันว่า...มันต้องมีใครจับตาดูเราอยู่แน่ๆ”  เภตราพูดขึ้นมาอีกคน

            “แล้วก็มีอีกหลายเรื่องนะที่ฉันคาใจอยู่ แต่ยังไม่ได้เล่าให้ฟัง”  เฝ้าฝันพูดต่อ ทำให้ทั้งห้องเงียบไป

            ที่ผ่านมาตั้งแต่เรื่องของวง Troy จบไป แทนที่เราจะได้อยู่อย่างสงบสุขแต่มันกลับมีเรื่องให้ต้องปวดหัวตลอด บางทีผมก็สงสัยเหมือนกันว่ามันเป็นปีชงของบีสท์กับลัสตี้รึเปล่าที่เจอแต่เรื่องแย่ๆ แต่คิดไปคิดมามันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว จะชงทุกปีเลยรึไง =_=

            “งั้น...เราจะทำไงดีคะ”  วิลล่าถามขึ้นมาทำลายความเงียบ

            “งั้นเราต้องหาปลายฝนให้เจอ แล้วถามเธอให้รู้ไปเลยว่าเธอเข้ามาตีสนิทกับพวกเราทำไม แล้ววันนี้เธอมากับใครบ้าง”  ผมเสนอ เพื่อนในห้องเงียบไปสักพักก่อนที่จะเริ่มวางแผนตามหาปลายฝน แต่ดูเหมือนว่าเรื่องตามหาคนเนี่ยมันไม่ใช่เรื่องยากเลย เพราะว่าเรามีคุณหนูซอฮยอนอิน แฟนของไอ้จุนฮยองอยู่ทั้งคน

            เราโทรไปบอกของขวัญเพียงแค่ 30 นาทีเท่านั้น เราก็รู้พิกัดของปลายฝน เธออยู่ที่ริมแม่น้ำฮันครับ ผมทึ่งเธอจริงๆ ภาพตัวเองโชว์หราอยู่เกือบทุกเว็บยังกล้าไปนั่งในที่สาธารณะแบบนั้นได้

            ผม จุนฮยองและของขวัญออกเดินทางทันที โดยที่คนอื่นๆ เขาจะไปรอกันอยู่ที่บ้านของขวัญก่อน ที่จริงผมก็ไม่อยากมาเท่าไหร่นะเพราะว่าเรื่องเมื่อกลางวันมันยังทำให้ผมจุกไม่หาย แต่ก็ต้องมาเพราะว่าพวกนั้นเขาไปกันเป็นคู่ๆ และผมมีมารยาทพอที่จะไม่ไปเป็นก้างของพวกนั้น ผมเลยเลือกที่จะมากับจุนฮยองดีกว่าเพราะว่านอกจากของขวัญแล้วก็ยังมีคนของของขวัญอยู่ประมาณ 2-3 คน อย่างน้อยๆ ก็คงไม่รู้สึกเป็นส่วนเกินน่ะนะ U_U

            เราเกลี้ยกล่อมปลายฝนอยู่สักพักเธอก็ตอบตกลง เราเลยรีบมุ่งหน้ามาที่บ้านของขวัญทันที แต่พอมาถึงพวกนั้นกลับยังมาไม่ถึงซะนี่ มัวแต่ขับรถกินลมกันอยู่รึไงเนี่ย -_-

            “แกเฝ้ายัยหัวขโมยนี่ไว้เลยนะ”  จุนฮยองกระซิบเบาๆ ขณะที่พาปลายฝนเข้ามาในห้องรับแขกของบ้าน

            “แล้วแกจะไปไหน”

            “ไปหาของมาให้พวกแกกินไง”

            “เหอะ ทำตัวยังกะบ้านตัวเองนะแก”

            “แน่นอนบ้านแฟนฉันนี่หว่า ไปๆ ไปเฝ้าไว้”  จุนฮยองบอกแล้วรีบเดินตามของขวัญไปที่ห้องครัว ดูพวกมันสิมีแฟนแล้วก็ลืมเพื่อน ผมมักจะโดนทิ้งแบบนี้เป็นประจำเลย น่าสงสารไหมล่ะ...

            ผมเดินเข้ามานั่งในห้องรับแขกบ้าง แต่น่าแปลกที่ปลายฝนไม่มีท่าทีตื่นตกใจกับความอลังการงานสร้างของบ้านนี้ เธอนั่งอยู่บนโซฟาแล้วทำตัวชิลๆ เหมือนกับว่าที่นี่มันคือบ้านของเธอยังงั้นแหละ

            “พวกนายมีอะไรจะถามฉันหรอ”  อยู่ๆ เธอก็ถามขึ้นมา

            “ไว้เดี๋ยวพวกเรามากันครบก่อนแล้วกันเธอจะได้ตอบทีเดียว จะได้ไม่เหนื่อย”

            “แล้วเพื่อนนายไปไหนกันหมดล่ะ” 

            “พวกมันมัวแต่ติดแฟ!...เอ่อ...ติด...รถ...รถติดน่ะ อีกสักพักคงถึง”  ผมรู้ว่ามันงี่เง่ามากที่ผมพูดไปเมื่อกี๊ โอ้ย!! นี่ผมเกือบขายเพื่อนตัวเองแล้วนะเนี่ย ปลายฝนหรี่ตาลงนิดหน่อยอย่างสงสัยก่อนจะพยักหน้ารับนิดหน่อยแล้วก็เงียบกันไปอีกครั้ง โว้ย! เมื่อไหร่พวกแกจะมา

 

            [Plaifon : Talk]

            ฉันนั่งรอกับกีกวังในห้องรับแขกสักพัก พวกเขาก็เข้ามาครบทีมรวมทั้งหมด 13 คน ตอนนี้พวกเขากำลังจ้องฉันจนตาไม่กระพริบ กลัวฉันจะขโมยของอีกรึไงจ้องซะขนาดนั้น >.<

            “เมื่อเช้า...เธอมากับใครรึเปล่า”  ดูจุนเป็นคนยิ่งคำถามแรกมาให้ฉัน

            “เปล่า ฉันไปคนเดียว...ฉันกะว่าจะเอา...ไอ้นี่ไปคืน”  ฉันพูดแล้วล้วงเอาต่างหูของจุนฮยองขึ้นมา

            “เฮ้ย! นั่นมัน!..”  จุนฮยองชี้มาที่ต่างหูในมือฉัน

            “ของนาย”  ฉันต่อประโยคให้เขา

            “ว่าแล้วเชียว เธอต้องเป็นคนเอาไปแน่”  จุนฮยองพูดพร้อมกับเข้ามาเอาต่างหูคืนไป

            “ฉันไม่ได้ตั้งใจเอาไปนะ มันติดมากับ...กับของที่ฉันเอาออกมาจากห้องนั้นต่างหาก ฉันเพิ่งเห็นตอนที่จะเอาของไปทิ้งนี่เอง” 

            “แล้วเธอพยายามเข้าห้องบีสท์ทำไม”  เภตราถามเปลี่ยนเรื่อง

            “เฮ้อ...เพื่อความอยู่รอดไงล่ะ...”  ฉันบอก ก่อนจะเริ่มเล่าอัตชีวประวัติของตัวเองให้พวกเขาฟังแต่เล่าไม่ได้ละเอียดมากเท่าไหร่ เล่าแค่พอคร่าวๆ ว่าฉันหนีออกจากบ้านแล้วติดต่อกลับบ้านไม่ได้เลยต้องมาทำงานกับยัยเจ๊ยอซู บลาๆๆๆ

            “เพราะอย่างนั้น เธอก็เลยต้องขโมยของของบีสท์ไปให้ยัยเจ๊คนนั้นขายหรอ”  เฝ้าฝันสรุป

            “ใช่ นี่ก็เหลือเวลาอีก 3 วันเอง ฉันเลยต้องรีบหน่อย”

            “ทำเป็นตีหน้าเศร้า โกหกรึเปล่าก็ไม่รู้”  ฮยอนซึงพูด พอฉันโกหกเนี่ยเชื่อกันจังนะพวกนายเนี่ย -*-!

            “นายก็เงียบๆ หน่อยสิจับผิดเขาอยู่ได้ เขาอุตส่าห์เล่าให้ฟัง”  ณัชหันไปว่าฮยอนซึง

            “คร้าบๆ”  ฮยอนซึงรับคำอย่างว่าง่าย ก่อนที่เฝ้าฝันจะถามต่อ

            “แล้วทำไมเธอไม่พยายามติดต่อกลับบ้านล่ะ สู้ชีวิตทำไมอยู่ที่นี่” 

            เอ่อ...คำถามโลกแตกเลยคำถามนี้ U_U สรุปว่าฉันต้องเล่าให้ฟังจริงๆ หรอว่าฉันเป้นลูกสาวมาเฟียเมื่อไทยเนี่ย

            “คือ...ฉันโดนกีดกันจาก...พวกไม่หวังดีน่ะ ฉันเลยติดต่อที่บ้านไม่ได้เลย” 

            “พวกไม่หวังดี พูดให้เคลียร์หน่อยสิ ฉันงง”  ของขวัญเริ่มขึ้นเสียงนิดหน่อย

            “เฮ้อ...”  ฉันถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วหลับตาลง ถ้าเกิดพวกเขารู้ พวกเขาจะกลัวฉันไหมนะ เรื่องนี้นอกจากซังมิก็ไม่มีใครรู้อีกเลย แม้กระทั่งลุงป้าที่ฉันพักด้วยก็ยังไม่รู้ แต่ตอนนี้สงสัยฉันคงต้องเล่าทั้งหมดสินะ...

            “ฉันเป็นลูกสาวของโชอุนซู...ฉันหนีมาเกาหลีก็เพราะรู้ว่าพ่อตัวเองเป็นมาเฟีย...ฉันรับไม่ได้”  ฉันเล่า ทั้งห้องนิ่งเงียบไปทันที ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกเลย แม้กระทั่งฮยอนซึงที่คอยจิกกัดฉันตลอด

            “พอหนีมาได้สักพักเริ่มเบื่อ จะติดต่อกลับบ้านก็ไม่ได้เพราะว่าโดนแก๊งของอุนเซตามติดตลอดเวลา...ถ้าเกิดฉันติดต่อกลับบ้านลูกน้องของอุนเซก็จะมาถึงตัวฉันก่อนที่ฉันจะวางหูโทรศัพท์ซะอีก ฉันเลยไม่กล้าจะติดต่อกลับไปอีก ฉันลองติดต่อทุกวิถีทางแล้วแต่...มันก็ไม่มีประโยชน์”  ฉันเล่าไปมองเท้าตัวเองไป ฉันไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมองใครเลย เพราะว่าเรื่องนี้มันเป็นความผิดของฉันเต็มๆ พวกเขาคงกำลังด่าฉันในใจว่า สมควรโดนแบบนี้แล้ว!

            “แล้วเธออยากกลับบ้านไหม? ฉันช่วยเธอได้นะ”  อยู่ๆ ของขวัญก็พูดขึ้น ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองก็แทบจะไม่เชื่อสายตา เธอกำลังยิ้มให้ฉัน...เธอไม่ได้แอบด่าฉันอยู่หรอกหรอ T^T

            “ยังไง”

            “ก็ใช้เส้นสายนิดหน่อย แถมอีกฝ่ายเป็นอุนเซด้วยแล้วยิ่งง่ายใหญ่ หมอนั่นไม่กล้ายุ่งกับพ่อฉันอยู่แล้ว”

            “อย่าบอกนะว่าพ่อเธอก็เป็นมาเฟียเหมือนกันน่ะ =_=”

            “เปล่า แค่เป็นคนกว้างขวางมากๆ เท่านั้นเอง ^^”

            “อ๋อ”

            “แต่ถึงจะติดต่อไปได้แล้ว เธอก็ต้องระวังไว้ด้วยเพราะจากที่ฉันฟังเธอเล่ามาเหมือนว่าคนของพ่อเธอมีคนเป็นหนอนบ่อนไส้ส่งข่าวให้อุนเซอยู่นะ”

            “ไม่มีทางหรอก ส่วนมากก็ทำงานกับพ่อฉันมาสิบๆ ปีแล้ว ไม่มีใครทำแบบนั้นหรอก”

            “ถ้าไม่ใช่ พวกมันคงฝังชิปไว้ในตัวเธอแล้วล่ะ ถึงรู้ความเคลื่อนไหวใกล้ชิดอินไซต์ขนาดนี้”

            เอ่อ...เพ้อเจ้อไปใหญ่ละ =_=

            “เอาเป็นว่าฉันจะช่วยเธอเพื่อขอบคุณที่เธอยังมีน้ำใจไม่เอาต่างหูของจุนฮยองไปขายแล้วกัน”

            “เฮ้ย! จะขอบคุณยัยหัวขโมยนี่ทำไมกันล่ะขวัญ”  จุนฮยองโอดครวญอย่างขัดใจ

            “อ้าว! มันเป็นของรักของนายไม่ใช่หรอ ได้คืนมาก็ดีเท่าไหร่แล้ว หรือว่านายไม่ดีใจที่ได้คืน”  ของขวัญถามหน้าหงิก ฉันเลยนึกขึ้นมาได้ว่าต่างหูอีกข้างของจุนฮยองอาจจะอยู่กับของขวัญรึเปล่า...

            แว๊บ!

            อยู่ๆ ก็มีแสงสะท้อนสีเงินจากหูของขวัญมาให้เห็น...นั่นไงล่ะต่างหูแบบเดียวกับจุนฮยองเป๊ะ! คิดไม่ผิดจริงๆ ว่าแล้วว่า 2 คนนี้ไม่ใช่เพื่อนธรรมดาแน่ -_+!

            “งั้น...ฉันจะรับเธอไว้ทำงานด้วยแล้วกัน”  อยู่ๆ กีกวังก็พูดขึ้นมา ทำให้เพื่อนๆ ของเขาร้องออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

            “เฮ้ย! ฉันว่าไม่ดีมั้ง”  ฮยอนซึงค้านขึ้นมาคนแรก

            “ฉันว่าน่าจะดีนะ ยังไงปลายฝนก็ต้องหลบทั้งแก๊งมาเฟีย แก๊งทวงหนี้ แล้วไหนจะแฟนคลับพวกเราอีกคงตามตัวคนในข่าวแทบพริกแผ่นดินแน่ ฉันว่าให้เขาหลบอยู่กับพวกเราน่าจะปลอดภัยที่สุด”

            “นั่นสิ ป้าโบซอกก็จะลาออกแล้วด้วย ห้องเราต้องรกจนไม่มีที่จะซุกหัวเข้าไปนอนแน่ถ้าไม่มีใครมาทำความสะอาด”  โยซอบเริ่มเห็นด้วยกับความคิดของกีกวัง

            “ฉันว่าให้ปลายฝนทำงานที่หอระหว่างรอพ่อมารับก็ดีเหมือนกันนะ ยังไงปลายฝนไม่มีทางขโมยของอีกแน่ๆ เขาเป็นลูกสาวมาเฟียออกขนาดนั้นที่บ้านคงมีฐานะพอตัว ที่เขาทำไปเพราะความจำเป็นเท่านั้นเอง”  เภตราออกความเห็นบ้าง

            “ให้พักอยู่กับฉันไปพลางๆ ก่อนก็ได้ ยังไงฉันก็ไปหอพวกนายบ่อยๆ อยู่แล้ว”  ของขวัญเสริม

            “อืมงั้น ให้เธอมาทำความสะอาดห้องฉันได้เหมือนเดิม ส่วนเรื่องกล้องไม่ต้องห่วงเธอได้คืนแน่”  ดูจุนสรุป

            ฉันนึกว่าเล่าไปแล้วพวกเขาจะกลัวและเกลียดฉันซะอีกที่เป็นลูกสาวมาเฟีย แต่พวกเขากลับไม่กลัวแถมกลับช่วยเหลือฉันมากขึ้นอีกต่างหาก คงเพราะของขวัญก็เป็นลูกผู้มีอิทธิพลเหมือนกันสินะพวกเขาก็เลยชิน  

            ...ขอบคุณนะ เพื่อนใหม่ของฉัน

 

            ฉันได้พักอยู่ที่บ้านของขวัญตามที่เขาบอก และไปทำความสะอาดห้องบีสท์วันเว้นวัน (หรือตามแต่ของขวัญจะพาไป =_=) แล้วฉันก็ได้โทรหาพ่อสมใจอยาก แต่พ่อบอกว่าช่วงนี้พ่ออยู่ในอันตรายยังไปไหนมาไหนลำบากเลยจะส่งคนของพ่อที่อยู่เกาหลีมาคุ้มกันก่อน ถึงจะห่วงพ่อจับใจแต่ฟังแบบนี้ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อยอย่างน้อยพ่อก็รู้ว่าฉันยังมีชีวิตอยู่และอยู่ส่วนไหนของเกาหลีและอย่างน้อยฉันก็รู้ว่าพ่อกับแม่ยังสบายดี แค่นี้ก็พอแล้ว...

            แล้วนอกจากเรื่องทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว ฉันยังมารู้ความลับของบีสท์อีกข้อ นั่นคือ...พวกเขามีแฟนกันหมดแล้ววววว >[ ]<! และไม่ใช่ใครที่ไหน ก็พวกยัยลัสตี้ข้างห้องนั่นเอง มิน่าวันนั้นกีกวังถึงพูดจาแปลกๆ ท่าทางของแต่ละคนเวลาคุยกันก็แปลกๆ อีกต่างหาก ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง

            แต่เพราะบุญคุณของพวกเขาค้ำคอฉันอยู่ ฉันเลยไม่สามารถป่าวประกาศให้โลกได้รู้ว่า

          ‘BEAST มีแฟนแล้วววว!!!!’

            “นี่เธอเหม่ออีกแล้วนะ ชอบเหม่อแบบนี้ตลอดเลยหรอ”  กีกวังถามขณะผลักรถเข็มเดินไปข้างหน้า 

            “ก็ ช่วงนี้ก็บ่อยอยู่นะ”

            “เหม่อบ่อยๆ มันอันตรายนะ ระวังด้วยล่ะ”  กีกวังพูด ถึงแม้ว่าเขาจะใส่หมวกกับแว่นกันแดดอำพรางตัว แต่ฉันก็สัมผัสได้ถึงความห่วงใยของเขา

            อ่อนโยนแบบนี้เสมอเลยนะนายเนี่ย ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกจนถึงตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม ขนาดรู้ว่าฉันโกหกเขาไว้ตั้งมากมายแต่เขาก็ไม่ว่าอะไรฉันสักคำ มีแต่จุนฮยองกับฮยอนซึงนั่นแหละตัวดี จิกกัดฉันอยู่ได้ทั้งวัน -_-*

            ตอนนี้ฉันกับกีกวังมาเดินซื้อของที่ซุปเปอร์ใกล้ๆ กับหอนี่แหละค่ะ ของในตู้เย็นหมดเกลี้ยงเลยไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขากินอะไรกัน =_= แล้วก็อย่าถามว่าทำไมมากัน 2 คน เพราะคำตอบก็อย่างที่พวกคุณๆ รู้กัน...พวกเขาเอาแต่คลุกอยู่กับแฟนน่ะเซ่!! คิดแล้วมันแค้น หลอกลวงผู้บริโภคชัดๆ -*-

            “เอาอะไรบ้างอ่ะ” 

            “แล้วพวกนายชอบกินอะไรกันก็ซื้อไว้เลย เอาไปเยอะๆ เลยนะ จะได้ไม่ต้องมาซื้อบ่อยๆ”  ฉันบอก แล้วมองซ้ายมองขวาเผื่อว่าจะมีพวกชุดดำกำลังจับตามองพวกเราอยู่

            “ไม่มีอะไรหรอกน่า ไหนว่าคนของพ่อเธอจะมาคุ้มกันแล้วไง”

            “แค่ ‘จะ’ นี่นา ตอนนี้ยังไม่มาสักหน่อย”

            Let it go, let it go...~

            เสียงริงโทนที่ไม่ดังมาประมาณชาติหนึ่งได้ ตอนนี้มันกำลังดังและสั่นอย่างบ้าคลั่งในกระเป๋าของฉัน ฉันค้นหามันอยู่แป๊บหนึ่งก่อนจะหยิบมันออกมา

            ...ซังมิหรอ?

            “ฮัลโหล”  ฉันกดรับสาย กีกวังก็เลยเข็นรถเข็นออกไปดูของบนชั้นข้างหน้ารอ

            [ปลายฝน แกอยู่ไหนเนี่ย]

            “ฉันมาซื้อของ ทำไมหรอ”

            [ก็ฉันห่วงแกน่ะสิ หายไปกับกีกวังวันนั้นแกก็ขาดการติดต่อไปเลย ฉันก็นึกว่าแกจะเป็นอะไรไปซะแล้ว]

            “โทษทีนะ พอดียุ่งๆ ก็เลยไม่ได้โทรไปบอก แล้วทางนั้นเป็นไงบ้าง ยัยเจ๊ยอซูเคลื่อนไหวอะไรรึเปล่า”

            [ที่ฉันโทรมาก็เรื่องนี้ด้วยแหละ ตอนนี้กล้องแกเริ่มไม่ปลอดภัยแล้วนะ ยัยเจ๊เปิดประมูลผ่านเน็ตไปแล้วทั้งกล้องพร้อมเลนส์ ได้ข่าวว่าได้ราคาสูงมาก]

            “เฮ้ย! ได้ไง เหลือเวลาอีกตั้ง...เอ่อ...วันนี้วันสุดท้ายแล้วนี่ T^T”  ฉันมัวแต่ยุ่งเรื่องติกต่อพ่อจนลืมไปเลยว่ากล้องตัวเองกำลังจะกลายเป็นของคนอื่นอยู่แล้ว ดูจุนนะดูจุน ไหนว่าไม่ต้องห่วงเรื่องกล้องไง ไม่เห็นทำไรสักอย่างเลย

            [ทางเดียวที่กล้องแกจะรอดก็คือเอาของของบีสท์มา...]  ซังมิเตือนสติฉัน ฉันจะทำแบบนั้นได้ยังไง เขาเป็นผู้มีพระคุณของฉันนะ!

            “เฮ้อ...ฉันคิดว่าคงถึงเวลาปล่อยวางแล้วล่ะ”

            [แกหมายความว่าไง?]

            “ฉันจะลาออก”

            [เฮ้ย! แกได้งานทำแล้วหรอถึงจะลาออก คิดดีๆ นะเว้ยแก]

            “ฉันคิดดีแล้ว ในเมื่อฉันไม่มีทางเลือกอะไรเลยแบบนี้ ก็มีแค่ทางนี้ทางเดียวนั่นแหละ”

            [แล้วแกจะทำยังไงต่อไปล่ะ ไปขอทำงานเก็บกวาดห้องให้บีสท์ต่อหรอ เขาต้องไม่โอเคแน่]

            “พวกเขารับฉันเข้าทำงานด้วยตัวเองต่างหาก”

            [จริงอ่ะ! โคตรโชคดีอ่ะปลายฝน] เสียงซังมิดูสดใสขึ้นมาทันตา

            “อืม โชคดีมากเลย”

            [แล้วเมื่อคืนเขาว่าไงบ้างอ่ะ เล่าให้ฟังหน่อย ทำไมได้ไปทำงานให้เขาได้]

            “เอ่อ...แล้วค่อยคุยกันนะซังมิ ฉันถือของหนักมากเลยอ่ะ”

            โกหก =_=

            [โอเค ตอนเย็นโทรมานะ]

            “จ้า แค่นี้นะ”  ฉันบอกแล้วกดตัดสายทันที ฉันเกรงใจกีกวังอ่ะเขายืนดูของในแผนกของใช้เด็กอ่อนนานมาก จนจะกลายเป็นพ่อคนอยู่แล้ว -_-;

            “คุยเสร็จแล้วหรอ”  กีกวังถามเมื่อฉันเดินเข้ามาหา

            “อืม คอยนานไหม”  ฉันก็ถามไปงั้นแหละ เพราะว่าฉันรู้ว่ามันนานมาก U_U

            “ไม่นี่”  กีกวังตอบ 

            “อ้อ! เมื่อกี๊มีเด็กคนหนึ่งเอานี่มาคืนให้ ของเธอรึเปล่า”  กีกวังยื่นกุญแจ 1 ดอกพร้อมพวงกุญแจรูปคิดตี้คืนมาให้ฉัน นี่มันกุญแจห้องพักบีสท์นี่นา

            “ทำไมไปอยู่กับเด็กได้ล่ะ”  ฉันรับมันมาอย่างงงๆ

            “เขาบอกว่า ‘พี่สาวคนนั้นเขาทำหล่นไว้’ แล้วก็วิ่งไปเลย”  กีกวังพูดเลียนเสียงเด็กพร้อมกับชี้ไปที่ตำแหน่งที่ฉันยืนเมื่อครู่ สงสัยตอนที่ฉันล้วงหามือถือเมื่อกี๊แน่เลย

            “ดีนะที่เด็กเป็นคนเก็บได้”  ฉันเก็บมันไว้ในกระเป๋าตามเดิม ก่อนจะพากีกวังเดินออกมาจากแผนกเด็กอ่อนไปเลือกของใช้ของเขาสักที

            “เฮ้ย!”  ฉันรีบเอาหน้าซุกไว้กับแผ่นหลังของกีกวังทันที เพราะฉันเห็นซอลทังกำลังเดินมาทางนี้...ทำไมมันรู้เร็วขนาดนี้นะว่าฉันอยู่ที่นี่

            “เธอเป็นอะไร”  กีกวังกระซิบถามฉันเบาๆ

            “คนของอุนเซมันรู้แล้วว่าฉันอยู่ที่นี่” 

            “แก๊งมาเฟีย ศัตรูพ่อเธอน่ะหรอ”

            “ใช่ๆ”

            “คนไหน ที่กำลังเดินเลี้ยวมานี่น่ะหรอ” 

            “ใช่ ทำไงดี มันต้องจำฉันได้แน่เลย >_<!”

            อยู่ๆ กีกวังก็หันมาหาฉันจากที่ก่อนหน้านี้ฉันซุกอยู่กับแผ่นหลังของเขา ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าฉันกำลังซุกอยู่ที่อกของเขาแทน >///< กีกวังค่อยๆ แกะผมที่ฉันจุกเป็นหางม้าให้ปล่อยสยายลงแล้วใช้นิ้วมือสางผมของฉันอย่างเบามือและปัดๆ มาบังหน้าให้ฉัน และสุดท้ายเขาก็....

            กอดฉัน O/////O

 

 

 

 

*********************************

Ch.5 ตามมาติดๆ จ้า

ฝากติดตามต่อด้วยนะคะ ^_^

*********************************

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.2 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา