อาการนอนกรนเกิดจากอะไร รักษาอย่างไรให้หาย
อาการนอนกรนเกิดจากอะไร รักษาอย่างไรให้หาย
อาการนอนกรนเกิดจากอะไร รักษาอย่างไรให้หาย
ทำความเข้าใจ อาการนอนกรน คืออะไร สาเหตุ ผลกระทบที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ พร้อมแนะนำวิธีรักษา เพื่อคุณภาพการนอนที่ดีขึ้น
หลายคนอาจมองว่า “อาการนอนกรน” เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย หรือเป็นแค่ความน่ารำคาญที่รบกวนคนรอบข้างเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว อาการนอนกรนสามารถเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงภาวะผิดปกติของระบบทางเดินหายใจที่ร้ายแรงได้ โดยเฉพาะหากเกิดร่วมกับอาการหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea - OSA) ซึ่งเป็นภาวะที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวอย่างรุนแรง
บทความนี้จะพาไปรู้จักกับอาการนอนกรนในทุกแง่มุม ทั้งสาเหตุ ผลกระทบ แนวทางสังเกตอาการ และทางเลือกในการรักษาอย่างครอบคลุม
รู้จักอาการนอนกรนคืออะไร
อาการนอนกรน คือ เสียงผิดปกติที่เกิดขึ้นขณะนอนหลับ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการสั่นของเนื้อเยื่อในทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ลิ้นไก่ เพดานอ่อน หรือโคนลิ้น เมื่ออากาศผ่านทางเดินหายใจที่แคบลง จะเกิดแรงเสียดทานที่ทำให้เนื้อเยื่อสั่นสะเทือน จนเกิดเป็นเสียงกรนในระหว่างที่เรานอนหลับ
บางคนอาจมีเสียงกรนที่ดังเป็นระยะ และบางคนกรนตลอดคืน ซึ่งลักษณะและระดับความรุนแรงของเสียงกรนนั้น อาจสะท้อนถึงระดับของปัญหาที่ซ่อนอยู่ในร่างกาย
สาเหตุของการนอนกรน
สาเหตุของอาการนอนกรนมีความหลากหลาย โดยสามารถแบ่งได้เป็นหลายปัจจัย ดังนี้
1. โครงสร้างของร่างกาย
- ลิ้นไก่หรือเพดานอ่อนยาวผิดปกติ ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนมากขึ้น
- คางสั้น ขากรรไกรเล็ก ส่งผลให้ลิ้นตกไปขวางทางเดินหายใจ
- ต่อมทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์โต ซึ่งไปเบียดทางเดินหายใจ
- โพรงจมูกแคบ หรือมีเนื้องอกในจมูก ทำให้หายใจทางจมูกได้ไม่สะดวก
2. น้ำหนักตัวเกิน
ไขมันที่สะสมบริเวณลำคอสามารถกดทับทางเดินหายใจ จนทำให้เกิดการกรนได้ง่าย อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
3. ท่านอน
การนอนหงายทำให้ลิ้นและเนื้อเยื่ออ่อนในลำคอตกไปอุดกั้นทางเดินหายใจ การนอนตะแคงจึงเป็นทางเลือกที่ช่วยลดอาการกรนได้ในหลายกรณี
4. การใช้สารกดประสาท
แอลกอฮอล์ ยานอนหลับ หรือยาคลายเครียด ทำให้กล้ามเนื้อทางเดินหายใจหย่อนลงกว่าปกติ เพิ่มโอกาสการเกิดเสียงกรน
5. ปัญหาทางเดินหายใจ
คนที่มีอาการภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ หรือจมูกอุดตันเรื้อรัง จะต้องหายใจทางปากมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการสั่นของเนื้อเยื่อในลำคอได้ง่าย
6. อายุที่มากขึ้น
เมื่ออายุมาก กล้ามเนื้อในลำคอจะหย่อนตัวตามธรรมชาติ ทำให้เกิดอาการนอนกรนมากขึ้นโดยเฉพาะในผู้สูงอายุ
7. กรรมพันธุ์
หากคนในครอบครัวมีประวัตินอนกรนหรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ก็มีโอกาสที่เราจะได้รับอิทธิพลจากพันธุกรรมนี้เช่นกัน
ผลกระทบจากอาการนอนกรน
แม้อาการนอนกรนอาจดูไม่อันตรายในระยะแรก แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจส่งผลเสียต่อทั้งสุขภาพกายและใจ รวมถึงคุณภาพชีวิตโดยรวม
อาการนอนกรนส่งผลด้านร่างกาย
- เสี่ยงต่อภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายและเพิ่มโอกาสเป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และหลอดเลือดสมอง
- การนอนหลับที่ไม่มีคุณภาพอาจส่งผลต่อระบบเผาผลาญ ทำให้มีแนวโน้มเป็นโรคเบาหวานหรือโรคอ้วน
- มีอาการปวดศีรษะหลังตื่นนอน ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และรู้สึกเหนื่อยง่าย
อาการนอนกรนส่งผลด้านอารมณ์และจิตใจ
- รู้สึกหงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน เครียดง่าย
- สมาธิลดลง และส่งผลต่อความจำในระยะสั้น
- เสี่ยงภาวะซึมเศร้าเรื้อรังหากนอนหลับไม่เพียงพอเป็นเวลานาน
อาการนอนกรนส่งผลด้านความสัมพันธ์และความปลอดภัย
- สร้างปัญหาให้กับคู่รักหรือคนในครอบครัวจากเสียงกรนที่รบกวนการนอน
- เพิ่มความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุจากการหลับใน โดยเฉพาะเมื่อต้องขับรถหรืองานที่ต้องใช้สมาธิสูง
ใครเสี่ยงเกิดอาการนอนกรนบ้าง
1. ผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน
- ไขมันที่สะสมบริเวณรอบลำคอทำให้ช่องทางเดินหายใจแคบลง ส่งผลให้หายใจได้ลำบากมากขึ้นขณะนอนหลับและเกิดอาการนอนกรน
- มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA) ซึ่งเป็นภาวะอันตรายที่อาจทำให้ต้องตื่นกลางดึกหลายครั้งโดยไม่รู้ตัว
2. เพศชาย
- ผู้ชายมีแนวโน้มเกิดอาการนอนกรนมากกว่าผู้หญิง เนื่องจากลักษณะทางกายภาพ เช่น โครงสร้างของทางเดินหายใจที่แคบกว่า และกล้ามเนื้อคอที่หนากว่า
- ฮอร์โมนเพศหญิง (เอสโตรเจน) ช่วยให้กล้ามเนื้อทางเดินหายใจยืดหยุ่นได้ดี จึงลดโอกาสเกิดอาการนอนกรนในผู้หญิง
3. ผู้สูงอายุ
- เมื่ออายุมากขึ้น กล้ามเนื้อบริเวณลำคอจะหย่อนลงตามวัย ทำให้เกิดการสั่นของเนื้อเยื่อได้ง่ายขึ้น และเกิดอาการนอนกรน
- โอกาสเกิดอาการนอนกรนเรื้อรัง จะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนหลังอายุ 40 ปีขึ้นไป
4. ผู้ที่มีโครงสร้างทางเดินหายใจผิดปกติ
- เช่น เพดานปากหรือลิ้นไก่ยาวผิดปกติ
- ขากรรไกรเล็ก คางสั้น หรือลิ้นมีลักษณะใหญ่
- ต่อมทอนซิลและอะดีนอยด์โตจนเบียดทางเดินหายใจ
5. ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับจมูก
- มีอาการคัดจมูกเรื้อรังจากโรคภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ หรือเยื่อบุโพรงจมูกบวม
- กระดูกดั้งจมูกคด หรือมีเนื้องอกในโพรงจมูก
- ทำให้ต้องหายใจทางปาก ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงของการสั่นสะเทือนในช่องคอ
6. ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้ยากดประสาท
- แอลกอฮอล์ ยานอนหลับ หรือยาคลายกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อในลำคอหย่อนตัวกว่าปกติ
- เสี่ยงต่อการปิดกั้นทางเดินหายใจมากขึ้นขณะนอนหลับ
7. ผู้ที่สูบบุหรี่
- ควันบุหรี่ทำให้เยื่อบุโพรงจมูกและลำคออักเสบเรื้อรัง
- ส่งผลให้เนื้อเยื่อบวม ทางเดินหายใจตีบ และเกิดเสียงกรนจากแรงต้านของอากาศ
8. ผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (OSA)
- เป็นภาวะที่เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจเป็นช่วงๆ
- ทำให้เกิดเสียงกรนสลับกับการหยุดหายใจ และตื่นขึ้นมาหายใจเฮือกโดยไม่รู้ตัว
9. ผู้ที่ชอบนอนหงาย
- ท่านอนหงายทำให้แรงโน้มถ่วงดึงลิ้นและเพดานอ่อนให้ตกลงมาขวางทางเดินหายใจ
- จึงมีโอกาสเกิดการกรนได้ง่ายกว่าท่านอนตะแคง
10. ผู้ที่อดนอนหรือนอนน้อย
- การพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้กล้ามเนื้อในลำคออ่อนแรง และเพิ่มโอกาสเกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ ส่งผลให้เกิดอาการนอนกรน
วิธีสังเกตว่าตัวเองนอนกรนหรือไม่
แม้ว่าเราจะไม่ได้ยินเสียงกรนของตัวเองในขณะนอนหลับ แต่เราสามารถสังเกตอาการนอนกรนได้จากอาการต่าง ๆ เช่น
- ง่วงมากผิดปกติในช่วงกลางวัน
- ตื่นนอนแล้วไม่สดชื่น ปวดหัว หรือคอแห้ง
- มีคนใกล้ตัวบอกว่ามีเสียงกรนหรือหยุดหายใจเป็นช่วงๆ
- ใช้แอปพลิเคชันช่วยวิเคราะห์เสียงกรน เช่น SnoreLab หรือ Sleep Cycle
หากอาการนอนกรนรุนแรง ควรพิจารณาตรวจ Sleep Test เพื่อวินิจฉัยภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
ทางเลือกในการรักษาอาการนอนกรน
1. ปรับพฤติกรรมการนอน
- เปลี่ยนท่านอนเป็นตะแคง
- ใช้หมอนที่รองรับศีรษะและคอได้เหมาะสม
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ก่อนนอน
2. ลดน้ำหนัก
ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อช่วยให้แรงกดทับจากไขมันบริเวณลำคอลดลง และอาการนอนกรนลดลงตามไปด้วย
3. ออกกำลังกายกล้ามเนื้อช่องปาก
- เป่าลูกโป่ง
- ดันลิ้นกับเพดานปาก
- ออกเสียง “อา-เอ-อี-โอ-อู” วันละหลายรอบ
4. ใช้อุปกรณ์ช่วย
- แถบติดจมูก หรือ nasal strips
- อุปกรณ์ดันขากรรไกรล่างเพื่อให้ลิ้นไม่ตกไปอุดทางเดินหายใจ
5. รักษาอาการแพ้และคัดจมูก
- ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ
- หลีกเลี่ยงฝุ่น ควัน และสารก่อภูมิแพ้
6. นวัตกรรม Snore Laser
การใช้เลเซอร์พลังงานต่ำกระชับเนื้อเยื่อในลำคอ ช่วยลดแรงสั่นของลิ้นไก่โดยไม่ต้องผ่าตัด เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการใช้เครื่อง CPAP หรือไม่สามารถใช้ได้อย่างต่อเนื่อง
สรุป อาการนอนกรนไม่ใช่เรื่องเล็ก
แม้ว่าหลายคนจะคิดว่าอาการนอนกรนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ความจริงแล้วมันอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพที่ใหญ่กว่า หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการกรนเป็นประจำ ควรเริ่มจากการสังเกตตัวเองและปรับพฤติกรรม พร้อมเข้ารับคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแนวทางรักษาให้ตรงจุด
การใส่ใจเรื่องการนอนในวันนี้ อาจช่วยให้คุณมีสุขภาพที่ดีขึ้นในระยะยาว และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
https://board.postjung.com/1617811
https://pr.postjung.com/1617811
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=gaopannakub&month=19-05-2025&group=2&gblog=59
https://www.bloggang.com/m/mainblog.php?id=gaopannakub&month=19-05-2025&group=2&gblog=59
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้