อาการปวดหลัง แบบนี้เป็นอะไรนะ?

wawacalyn

หัดอ่านหัดเขียน (10)
เด็กใหม่ (0)
เด็กใหม่ (0)
POST:7
เมื่อ เมื่อวาน 10.15 น.

อาการปวดหลังส่วนกลางเป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยและอาจเกิดได้ในทุกช่วงวัย ตั้งแต่วัยทำงาน วัยรุ่น ไปจนถึงผู้สูงอายุ แม้ว่าอาการปวดหลังอาจดูเป็นปัญหาทั่วไปที่สามารถรักษาได้ง่าย แต่หากไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม อาการปวดหลังก็อาจรุนแรงขึ้นและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้อย่างมาก อาการปวดหลังนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ และในบางครั้งอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่รุนแรง เพื่อให้สามารถจัดการอาการปวดหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำความเข้าใจสาเหตุ ข้อควรระวัง และวิธีการรักษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ

 

อาการปวดหลังเกิดจากอะไร

อาการปวดหลังสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ปัจจัยภายนอก เช่น การนั่งในท่าที่ไม่ถูกต้อง การยกของหนัก จนถึงปัจจัยภายในร่างกาย เช่น โรคหรือภาวะที่ส่งผลต่อกระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อรอบ ๆ ข้างล่างนี้เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่ทำให้เกิดอาการปวดหลัง

 

1. การใช้ร่างกายที่ไม่เหมาะสม

การนั่งทำงานหรืออยู่ในท่าที่ไม่ถูกต้อง การนั่งไขว่ห้าง หรือการยกของหนักโดยไม่ใช้กล้ามเนื้อขา เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้กล้ามเนื้อหลังตึงเครียดและเกิดการปวด หากทำซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน อาจส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังเรื้อรังได้

 

2. การบาดเจ็บและอุบัติเหตุ

อุบัติเหตุที่กระทบต่อกระดูกสันหลังหรือกล้ามเนื้อหลัง เช่น การหกล้ม การเกิดแรงกระแทกที่หลัง หรือการบิดตัวอย่างรวดเร็ว อาจทำให้กระดูกสันหลังหรือกล้ามเนื้อเสียหายและเกิดอาการปวดรุนแรงได้

 

3. ภาวะกล้ามเนื้ออักเสบ

การใช้งานกล้ามเนื้อมากเกินไป เช่น การยกของหนักบ่อย ๆ หรือการออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้อหลังมากเกินไป อาจทำให้กล้ามเนื้อเกิดการอักเสบและมีอาการปวด

 

4. โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท

หมอนรองกระดูกสันหลังที่เกิดการเคลื่อนตัวจนไปกดทับเส้นประสาท ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดที่หลังและปวดลามไปยังขา ภาวะนี้พบได้บ่อยในผู้ที่ทำงานที่ต้องยกของหนักเป็นประจำ

 

5. กระดูกสันหลังเสื่อมสภาพ

เมื่ออายุมากขึ้น กระดูกสันหลังและหมอนรองกระดูกจะเริ่มเสื่อมลง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดเรื้อรังได้ นอกจากนี้ ภาวะกระดูกพรุนและการเสื่อมของข้อต่อกระดูกสันหลังยังเป็นสาเหตุที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ

 

6. ภาวะการอักเสบของกระดูกและข้อต่อ

ภาวะการอักเสบเช่น โรคข้ออักเสบ หรือโรคกระดูกสันหลังอักเสบติดเชื้อ ก็สามารถทำให้เกิดอาการปวดหลังและทำให้ร่างกายมีความยืดหยุ่นน้อยลง

 

 

ข้อควรระวังไม่ให้เกิดอาการปวดหลัง

การป้องกันอาการปวดหลังสามารถทำได้ด้วยการปฏิบัติตามข้อควรระวังเหล่านี้

 

1. นั่งในท่าที่ถูกต้อง

 เวลานั่งทำงานควรนั่งหลังตรง ไหล่ผ่อนคลาย และใช้เก้าอี้ที่รองรับหลังส่วนล่างได้ดี ปรับความสูงของเก้าอี้ให้ขาเหยียดตรงและเท้าราบไปกับพื้น หลีกเลี่ยงการนั่งไขว่ห้างหรือนั่งเอียง

 

2. หลีกเลี่ยงการยกของหนักอย่างผิดวิธี

 หากจำเป็นต้องยกของหนัก ควรใช้เทคนิคการยกที่ถูกต้อง โดยการงอเข่าและยกของด้วยกล้ามเนื้อขา ไม่ควรใช้กล้ามเนื้อหลังในการยก เพราะอาจทำให้หลังเคล็ดได้

 

3. การออกกำลังกายเป็นประจำ

การออกกำลังกายที่เน้นกล้ามเนื้อบริเวณแกนกลางลำตัวและหลัง เช่น การเล่นโยคะ การว่ายน้ำ และการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องและหลัง จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและป้องกันอาการปวดหลัง

 

4. การยืนและเดินอย่างถูกต้อง

ควรยืนตรงและไม่โค้งหลังเมื่อยืนหรือเดิน หลีกเลี่ยงการยืนในท่าเดียวกันเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนักและเกิดอาการปวดได้

 

5. หลีกเลี่ยงการนอนในท่าที่ไม่ถูกต้อง

ท่านอนที่เหมาะสมคือการนอนหงายและใช้หมอนรองขาเล็ก ๆ ใต้เข่า เพื่อช่วยให้กระดูกสันหลังอยู่ในท่าที่เป็นธรรมชาติ หรือนอนตะแคงโดยให้ขาทั้งสองข้างงอเล็กน้อย จะช่วยลดแรงกดที่หลัง

 

แนวทางรักษาอาการปวดหลัง

การรักษาอาการปวดหลังมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวด ดังนี้

 

1. การพักผ่อนและประคบเย็นหรือร้อน

ในระยะแรกที่มีอาการปวด แนะนำให้พักผ่อนและหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่กระทบกระเทือนต่อหลัง การใช้แผ่นประคบเย็นในช่วง 48 ชั่วโมงแรกจะช่วยลดการอักเสบ และหลังจากนั้นการประคบร้อนจะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายมากขึ้น

 

2. การใช้ยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบ

ในกรณีที่อาการปวดรุนแรง การใช้ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล หรือยาแก้อักเสบชนิดไม่มี
สเตียรอยด์ (NSAIDs) สามารถช่วยบรรเทาอาการได้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา

 

3. การทำกายภาพบำบัด

กายภาพบำบัดช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและเพิ่มความยืดหยุ่น โดยนักกายภาพบำบัดอาจแนะนำท่าบริหารเฉพาะที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย เช่น การยืดเหยียดกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้อง การออกกำลังกายเสริมความแข็งแรง

 

4. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดอาการปวดหลัง เช่น การนั่งทำงานในท่าที่ถูกต้อง การหลีกเลี่ยงการยกของหนัก การลดน้ำหนักเพื่อไม่ให้หลังรับแรงกดมากเกินไป และการออกกำลังกายเป็นประจำ

 

5. การฉีดยาระงับการอักเสบ (Steroid Injection)

ในกรณีที่การรักษาเบื้องต้นไม่สามารถบรรเทาอาการได้ แพทย์อาจแนะนำให้ฉีดยาสเตียรอยด์เข้าสู่บริเวณที่ปวด เพื่อช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวดได้

 

6. การผ่าตัด

การผ่าตัดจะใช้ในกรณีที่รุนแรงและเป็นปัญหาถาวร เช่น หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ซึ่งไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบเก่า โดยแพทย์จะพิจารณาตามสภาพร่างกายและความจำเป็น

อาการปวดหลังส่วนกลางเป็นปัญหาที่อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิต หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง การป้องกันอาการปวดหลังสามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การนั่งและยืนในท่าที่ถูกต้อง การออกกำลังกายเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ และการพักผ่อนที่เพียงพอ หากอาการปวดหลังมีความรุนแรงหรือเป็นปัญหาเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม

 

สัมผัสประสบการณ์ Blumed 

บลู เมดิแคร์ เจเเปน (Blue Medicare Japan) หรือ BluMed ดำเนินการโดย บริษัท บลู แอสซิสแท็นซ จำกัด ก่อตั้งขึ้นภายใต้แนวคิดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการจัดการท่องเที่ยวเพื่อมุ่งเน้นในการป้องกันการดูแลสุขภาพ ชะลอการเจ็บป่วย รวมไปถึงการรักษาโรคแก่ผู้รับบริการทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

 

BluMed ได้ร่วมมือกับคลินิกทางการแพทย์ที่ญี่ปุ่น ในการให้คำปรึกษาและจัดการความเจ็บปวดอย่างเหมาะสม ตามอาการของแต่ละบุคคล สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่

 

เบอร์โทรศัพท์ : 02-661-7686

Website : blumedth.com

Line official : @blumed

แก้ไขครั้งที่ 2 โดย wawacalyn เมื่อเมื่อวาน 10.19 น.

โพสตอบ

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา