ทำความรู้จักประเภทของ “ตู้เย็น” และวิธีการเลือกซื้อ
ในอดีตการถนอมอาหารให้สามารถอยู่ได้นานขึ้นมีด้วยกันหลากหลายวิธี เช่น การหมักดอง การบ่ม การแช่แข็ง ซึ่งปัจจุบันก็มีเทคโนโลยีที่ช่วยยืดระยะเวลาของอาหารและสามารถคงความสดใหม่ของวัตถุดิบได้ โดยการใช้ตู้เย็นเข้ามาเป็นตัวช่วย ไม่ว่าจะเป็นการแช่ฟรีสอาหาร หรือนวัตกรรมที่ช่วยคงความชุ่มชื้นภายในวัตถุดิบที่จะนำมาประกอบอาหารอีกที เพื่อให้คุณได้ผัก ผลไม้ หรือเนื้อสัตว์เหมือนถูกซื้อมาจากตลาดอีกครั้ง ตู้เย็น (refrigerator) จึงเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในครัวเรือนที่ทุกบ้านขาดไม่ได้เลย
ประเภทของตู้เย็น
ก่อนที่เราจะตัดสินใจเลือกซื้อตู้เย็นสักหลังมาใช้ ควรรู้ว่าเราต้องการตู้เย็นแบบไหน หรือพื้นที่ภายในบ้าน หรือจำนวนสมาชิกในครอบครัวของเราเหมาะสมกับตู้เย็นแบบไหนบ้าง เพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินและช่วยให้เราเลือกตู้เย็นที่พอดีกับเราเองมากที่สุด
1. ตู้เย็นแบบประตูเดียว
ตู้เย็น 1 ประตู เป็นตู้เย็นที่มีประตูหน้าเพียงบานเดียว มีความจุปานกลาง มีขนาดใหญ่กว่าตู้เย็นมินิบาร์ประมาณสามเท่า สามารถแช่อาหารจำพวกอาหารแช่แข็งได้แต่ไม่มาก เนื่องจากช่องฟรีสมีขนาดเล็ก ภายในยังมีลิ้นชักสำหรับเก็บของสดจำพวกผักและผลไม้ได้ในบางรุ่น เหมาะกับครอบครัวที่มีจำนวนสมาชิกประมาณ 1-2 คน ข้อดีคือทำความสะอาดง่าย เนื่องจากมีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายสะดวกและไม่กินพื้นที่ภายในบ้าน ข้อเสียของตู้เย็น 1 ประตูคือ ช่องแช่เย็นมักมีน้ำแข็งเกาะได้ง่าย กลิ่นอาหารจะปะปนกันหมด
2. ตู้เย็นแบบสองประตู
ตู้เย็น 2 ประตู เป็นตู้เย็นที่มีประตูสองบานทั้งด้านบนกับด้านล่าง แยกออกเป็น 2 ประเภทคือ ตู้เย็นสองประตูแบบช่องแช่แข็งด้านบน และตู้เย็นสองประตูแบบช่องแช่แข็งด้านล่าง ตู้เย็นขนาดนี้ได้รับความนิยมมากกว่าตู้เย็นประเภทอื่นๆ เนื่องจากมีให้เลือกหลากหลายขนาด มีตั้งแต่ 6 คิว เป็นต้นไปจนถึง 15 คิวเลยทีเดียว ภายในตู้เย็นแบ่งเป็นสัดส่วนระหว่างช่องแช่แข็งกับช่องแช่อาหารหรือวัตถุดิบสดอย่างชัดเจน เหมาะกับครอบครัวที่มีจำนวนสมาชิกประมาณ 2-4 คน ข้อดีคือ กลิ่นของอาหารแช่แข็งกับอาหารสดจะไม่ปะปนกันเท่าตู้เย็น 1 ประตู เนื่องจากมีการแยกพื้นที่สำหรับเก็บอาหารแต่ละประเภทโดยเฉพาะ ประหยัดไฟมากกว่า และไม่ต้องกังวลเรื่องอุณภูมิที่ไม่คงที่หากมีการเปิด-ปิดประตูบ่อยๆ ข้อเสียคือ ราคาตู้เย็นที่สูงกว่าตู้เย็นประตูเดียวและตู้เย็นมินิบาร์ และการติดตั้งจำเป็นต้องวัดขนาดพื้นที่ก่อนเสมอ เนื่องจากตู้เย็น 2 ประตูมีความสูงและขนาดที่ใหญ่กว่าตู้เย็นปกติ
3. ตู้เย็นแบบมินิบาร์
ตู้เย็นมินิบาร์ เป็นตู้เย็นเล็กที่มีความสูงเพียงแค่เข่าเท่านั้น มีขนาดความจุไม่มาก เหมาะกับการแช่เครื่องดื่ม ขนม หรืออาหารไม่มาก สามารถเห็นได้ตามที่พักหรือโรงแรม ไม่เหมาะกับการแช่อาหารสด เนื่องจากความเย็นไม่เพียงพอ อาจทำให้วัตถุดิบเน่าเสียได้ไวกว่าตู้เย็นชนิดอื่นๆ อีกทั้งช่องแช่แข็งมีขนาดเล็กมาก จึงไม่เหมาะกับการแช่เนื้อสัตว์ด้วย ส่วนใหญ่มีขนาดอยู่ที่ 1-3 คิว ตู้เย็นมินิบาร์มีข้อดีคือ มีขนาดเล็กสามารถใช้คนยกเพียงแค่หนึ่งคนก็ได้ เคลื่อนย้ายสะดวก ประหยัดพื้นที่ในการติดตั้ง แถมใช้ไฟน้อยอีกด้วย ข้อเสียคือ แช่ของได้น้อย ส่วนใหญ่เหมาะกับการแช่พวกน้ำ เครื่องสำอาง สกินแคร์ ไอศกรีมมากกว่า และไม่สามารถคงประสิทธิภาพของอาหารได้ดีเท่าตู้เย็นแบบอื่นๆ
4. ตู้เย็นมัลติดอร์
ตู้เย็น Multi Door เป็นตู้เย็นที่มีหลายประตู ส่วนใหญ่มีมากกว่าสามบานขึ้นไป เปิด-ปิดซ้ายขวาได้ ด้านล่างมีช่องแช่อาหารสดเช่น ผักหรือผลไม้ และช่องแช่แข็งโดยเฉพาะ ภายในสามารถจุของได้จำนวนมาก มีจุดเด่นที่ดีไซน์หรูหราทันสมัยมีฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลาย เช่น สามารถทำน้ำแข็งได้ สามารถกดน้ำดื่มจากประตูที่ตู้เย็นได้ทันที บางรุ่นมีระบบสั่งการด้วยเสียงหรือสมาร์ทโฟนอีกด้วย มีข้อดีที่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สามารถเป็นอุปกรณ์แต่งบ้านภายในตัว เพราะมีดีไซน์ที่สวยงามหรูหรา ช่วยให้บ้านดูมีสไตล์มากขึ้น สามารถความจุอาหารได้จำนวนมาก มีฟีเจอร์การใช้งานที่หลากหลาย ข้อเสียคือ กินไฟ เนื่องจากตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ใช้กำลังไฟในการทำความเย็นเยอะ และใช้พื้นที่ในการติดตั้งค่อนข้างมาก แถมราคาตู้เย็น Multi Door ยังแพงมากเช่นกัน
5. ตู้เย็นไซด์บายไซด์
ตู้เย็น Side by Side เป็นตู้เย็น 2 ประตูที่มีขนาดใหญ่ ประตูสามารถเปิด-ปิดได้ทั้งด้านซ้ายและขวา มีขนาดเริ่มต้นที่ 15 - 25 คิว เหมาะกับครอบครัวที่มีจำนวนสมาชิกประมาณ 3 คนขึ้นไป ภายในตู้เย็นมีชั้นสำหรับแช่อาหารหลายชั้น ข้างประตูยังมีที่สำหรับแช่เครื่องดื่ม หรือใส่วัตถุดิบชิ้นเล็กๆ เช่น เครื่องปรุง ไข่ไก่ ในบางรุ่นยังมีฟังก์ชันการใช้งานที่เพิ่มเข้ามา เช่น มีเครื่องทำน้ำแข็งอัตโนมัติ ข้อดีคือ สะดวกต่อการใช้งาน ประตูตู้เย็นกินพื้นที่ไม่มาก จุของได้เยอะ เหมาะสำหรับร้านอาหารหรือร้านเบเกอรี่ที่ต้องการให้อุณหภูมิและความเย็นของตู้เย็นคงที่ สามารถกระจายความเย็นได้อย่างทั่วถึง ช่วยยืดอายุของอาหารได้ยาวนานยิ่งขึ้น มีข้อเสียคือ เปลืองพื้นที่ภายในห้องครัวเนื่องจากมีขนาดใหญ่น้ำหนักเยอะ และค่อนข้างเปลืองไฟอีกด้วย
วิธีเลือกขนาดตู้เย็นที่เหมาะสมกับการใช้งาน
มาดูวิธีการเลือกขนาดตู้เย็นให้เหมาะกับการนำไปใช้งานภายในบ้างกัน ก่อนอื่นต้องรู้ว่าหน่วย “คิว” ของตู้เย็นคืออะไร? หน่วยคิว (Cubic foot) ใช้เรียกขนาดของตู้เย็นตามความจุที่เป็นลิตร การเลือกขนาดของตู้เย็นขึ้นอยู่กับความเหมาะสมที่จะนำไปใช้งาน เช่น เพียงพอกับสมาชิกภายในบ้านไหม? ใช้ตู้เย็นแช่อาหารในปริมาณที่มากหรือไม่? หรือว่าใช้ช่องแช่แข็งบ่อยกว่าช่องธรรมดาหรือป่าว? ความกว้าง ความยาว ความสูงเหมาะกับพื้นที่ภายในบ้านไหม? การเลือกขนาดให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานสามารถคำนวณได้จากจำนวนคิวของตู้เย็นนั่นเอง
ขนาดของตู้เย็นมากกว่า 2.5 คิว
เหมาะกับครอบครัวที่มีจำนวนสมาชิกตั้งแต่ 1-2 คน เนื่องจากความจุของตู้เย็นไม่ได้มากหรือน้อยจนเกินไป แถมตู้เย็นขนาดนี้ยังประหยัดไฟกว่าตู้เย็นที่มีขนาดคิวที่มากกว่าด้วย
ขนาดของตู้เย็น 12-18 คิว
เหมาะกับครอบครัวที่มีจำนวนสมาชิกตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป เนื่องจากเป็นตู้เย็นขนาดกลางถึงใหญ่ จึงเหมาะกับครอบครัวที่มีสมาชิกค่อนข้างมาก เพื่อให้ทุกคนภายในบ้านสามารถใช้งานได้อย่างทั่วถึง
ขนาดของตู้เย็นมากกว่า 15 คิว
เหมาะกับครอบครัวที่มีจำนวนสมาชิกตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป เนื่องจากต้องประกอบอาหารครั้งละเยอะๆ จึงควรใช้ตู้เย็นที่มีขนาดใหญ่ เพื่อให้เพียงพอต่อการแช่อาหารทั้งสุกและดิบในแต่ละสัปดาห์ได้
ฟังก์ชันเสริมของตู้เย็นในปัจจุบันมีอะไรบ้าง?
ปัจจุบันเทคโนโลยีของตู้เย็นที่ออกใหม่ มักมีฟังก์ชันพิเศษอื่นๆ เพิ่มเติมเข้ามาตลอด ยกตัวอย่างเช่น
- ฟังกชันเครื่องทำน้ำแข็งอัตโนมัติ ที่สะดวกสบาย ไม่ต้องไปซื้อน้ำแข็งจากตลาดอีกต่อไป เพียงแค่เติมน้ำในช่องทำน้ำแข็ง แล้วรอให้เครื่องผลิตน้ำแข็งก้อนสักพักก็ได้ทานแล้ว ง่าย ประหยัดเวลา และรวดเร็วกว่าเดิมขึ้นมาก
- ดิจิตอลทัชสกรีน ตู้เย็นหลายรุ่นปัจจุบันมีระบบสัมผัสหน้าจอเพื่อใช้งานหรือควบคุมการทำงานของตู้เย็นได้ เช่น ปรับอุณหภูมิ สั่งการละลายน้ำแข็งภายในช่องฟรีสได้ ดูของที่อยู่ภายในตู้เย็น ในบางรุ่นสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน เพื่อสั่งการผ่านแอปพลิเคชั่นได้อีกด้วย
- เทคโนโลยีการถนอมอาหารที่ดีกว่าเดิม เพื่อถนอมอาหารหรือยืดอายุของวัตถุดิบให้สดใหม่อยู่ตลอด และยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ในตู้เย็นหลายยี่ห้อจึงมีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมา อย่างเช่น AeroFlow ที่ช่วยกระจายลมเย็นเพื่อโอบล้อมอาหาร ช่วยรักษาคุณภาพอาหารให้น่ากินอยู่เสมอ , เทคโนโลยี HarvestFresh ที่ใช้แสงในการคงคุณค่าของวิตามินในผักหรือผลไม้ และเทคโนโลยี NeoFrost ที่ช่วยลดกลิ่นอับปะปนกันภายในตู้เย็น
- ระบบสั่งการผ่านเสียง ที่สามารถใช้งานผ่านคลื่นเสียง ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของบ้านก็สามารถสั่งให้ตู้เย็นทำงานตามที่เราต้องการได้ในทันที
- ฟังก์ชันกดน้ำดื่มที่หน้าตู้เย็น เป็นฟีเจอร์ที่ถูกคิดค้นขึ้นมาแรกๆ เลย เพื่อตอบโจทย์ของคนที่อยากได้ทั้งตู้เย็นและเครื่องกดน้ำดื่มควบคู่กัน ฟังก์ชันนี้จึงทำให้คุณไม่ต้องเปิดปิดตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำอีกต่อไป ช่วยลดค่าไฟ แถมยังสามารถเลือกอุณหภูมิน้ำเย็นหรือน้ำร้อนได้อีกด้วย
- ฟังก์ชันเปิดปิดตู้เย็นอัตโนมัติเพียงแค่สัมผัส โดยไม่ต้องใช้แรงดึงประตูอีกต่อไป
สรุปการซื้อตู้เย็นให้เหมาะกับเรา
ปัจจุบันไม่ว่าจะบ้านไหนๆ ก็ต้องมีเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านอย่างตู้เย็น เป็นส่วนหนึ่งในการดำรงชีวิต การเลือกตู้เย็นให้ตอบโจทย์กับการใช้งานของเรา จึงต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายอย่าง หลายองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็น ขนาด พื้นที่ใช้สอย ฟังก์ชันการทำงาน ราคา รวมถึงความเพียงพอต่อจำนวนสมาชิกในบ้าน เพื่อให้เราได้ตู้เย็นที่ถูกใจตรงกับความต้องการมากที่สุด เนื่องจากตู้เย็นเป็นอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนบ่อยๆ สามารถใช้งานได้ยาวนานหลายสิบปี ดังนั้นเราจึงควรเลือกตู้เย็นที่มีความเหมาะสมของเรามากที่สุด
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้