รู้ก่อนใช้ยาคุมฉุกเฉิน ป้องกันการตั้งครรภ์จากสถานการณ์ฉุกเฉิน
ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เมื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นหรือวิธีการคุมกำเนิดเกิดล้มเหลว ยาคุมฉุกเฉินจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ การกินยาคุมฉุกเฉินเป็นวิธีคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินที่ใช้หลังจากมีเพศสัมพันธ์แล้ว หากใช้อย่างถูกวิธีและรวดเร็วหลังมีเพศสัมพันธ์ ยาคุมฉุกเฉินจะช่วยลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับยาคุมฉุกเฉิน ทั้งในด้านกลไกการออกฤทธิ์ ประสิทธิภาพ วิธีการใช้ ข้อควรระวัง รวมถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจใช้หรือต้องการทราบเพิ่มเติม
ยาคุมฉุกเฉินคืออะไร
ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่ายาคุมฉุกเฉินคืออะไร ยาคุมฉุกเฉิน (Emergency Contraceptive Pills หรือ ECP) เป็นยาที่ใช้เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์หลังจากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใช้วิธีคุมกำเนิดหรือวิธีคุมกำเนิดล้มเหลว เช่น ถุงยางอนามัยรั่ว เป็นต้น
โดยยาคุมฉุกเฉินจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก ๆ ด้วยกัน ได้แก่
- ยาคุมฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนเดียว ที่จะประกอบไปด้วยฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Levonorgestrel) เพียงอย่างเดียว ซึ่งจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์อยู่ที่ 75-85%
- ยาคุมฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนรวม ที่จะประกอบไปด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจน (Ethinyl estradiol) กับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Levonorgestrel) ซึ่งจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์อยู่ที่ 85-95%
นอกจากนี้ยังมียาคุมฉุกเฉินแบบ 1 เม็ด หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ยา Ulipristal ซึ่งเป็นยาคุมฉุกเฉินแบบเม็ดเดียวที่ไม่มีฮอร์โมนโดยมีส่วนประกอบหลักคือ Ulipristal Acetate โดยวิธีกินยาคุมฉุกเฉินชนิด 1 เม็ดจะต้องกินภายใน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ในการป้องกันการตั้งครรภ์สูงถึง 98%
กลไกการออกฤทธิ์ของยาคุมฉุกเฉิน
สำหรับกลไกการทำงานของยาคุมฉุกเฉินจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ขั้นตอน ในขั้นตอนแรกจะเป็นการยับยั้งการตกไข่โดยฮอร์โมนในยาคุมฉุกเฉินจะไปรบกวนการตกไข่ของผู้หญิง ทำให้ไม่มีไข่ตกมาสำหรับการปฏิสนธิ กับอีกขั้นตอนหนึ่งฮอร์โมนจากยาคุมฉุกเฉินจะไปเปลี่ยนแปลงเยื่อบุโพรงมดลูก ส่งผลให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้นทำให้ไม่เหมาะกับการฝังตัวของไข่ที่ผสมแล้ว
โดยกลไกการทำงานของยาคุมฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนรวมจะมีความพิเศษกว่ายาคุมฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนเดียวคือ จะมีฮอร์โมนเอสโตรเจนไปช่วยทำให้มูกบริเวณปากมดลูกหนาขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้อสุจิสามารถเคลื่อนตัวเข้าสู่โพรงมดลูกได้ยากยิ่งขึ้น
ยาคุมฉุกเฉินควรใช้เมื่อไร?
ยาคุมฉุกเฉินควรใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉินเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นวิธีคุมกำเนิดประจำ โดยสถานการณ์ที่เหมาะสมในการใช้ยาคุมฉุกเฉิน ได้แก่
- เมื่อมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใช้วิธีคุมกำเนิดใด ๆ เช่น ลืมทานยาคุมกำเนิด, ถุงยางอนามัยรั่ว หรือหลุดออกจากร่างกาย
- เมื่อถูกข่มขืนหรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สมัครใจ
- กรณีที่วิธีคุมกำเนิดล้มเหลว เช่น ทานยาคุมกำเนิดใกล้หมดอายุ, ทานเม็ดยาคุมกำเนิดสลับกันไปมา, แผ่นยาฝังคุมกำเนิดหลุดออก เป็นต้น
- คำนวณระยะปลอดภัยผิดพลาด
สิ่งสำคัญคือ ต้องรับประทานยาคุมฉุกเฉินให้เร็วที่สุดหลังจากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน โดยให้รับประทานภายใน 72 ชั่วโมงหรือ 3 วันหลังมีเพศสัมพันธ์ ยิ่งรวดเร็วเท่าใด ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ก็จะยิ่งสูงขึ้น
วิธีการกินยาคุมฉุกเฉินที่ถูกต้อง ควรปฏิบัติอย่างไร
อย่างที่ได้ทราบไปแล้วว่ายาคุมฉุกเฉินมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ดีหากรับประทานถูกวิธีและทันเวลา แต่ก็ไม่ใช่วิธีคุมกำเนิดแบบปกติควรใช้ยาคุมฉุกเฉินในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น โดยวิธีการกินยาคุมฉุกเฉินที่ถูกต้อง ควรปฏิบัติตามนี้
- ควรอ่านคำแนะนำบนฉลากยาอย่างละเอียดก่อนใช้ โดยควรตรวจสอบชนิดของยา วันหมดอายุ และปริมาณยาที่ต้องทาน
- ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาคุมฉุกเฉิน โดยควรแจ้งประวัติการใช้ยา โรคประจำตัว และประวัติแพ้ยา เพื่อให้แพทย์หรือเภสัชประเมินความเสี่ยงและให้คำแนะนำที่เหมาะสม
- ทานยาตามเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด
- หากเป็นยาคุมฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนเดียว: ควรทานภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ โดยทานยาเม็ดแรกภายใน 24 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ และทานยาเม็ดที่สอง 12 ชั่วโมงหลังจากทานยาเม็ดแรก
- หากเป็นยาคุมฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนรวม: ควรทานภายใน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ โดยทานยาเม็ดแรกภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ และทานยาเม็ดที่สอง 12 ชั่วโมงหลังจากทานยาเม็ดแรก
- แนะนำให้ดื่มน้ำหลังทานยาให้เพียงพอ โดยควรดื่มประมาณ 1 แก้วหลังทานยาคุมฉุกเฉิน
- สังเกตอาการหลังกินยาคุมฉุกเฉิน โดยหากมีอาการอาเจียนภายใน 1 ชั่วโมงหลังทานยา ให้ทานยาซ้ำอีกครั้ง
- ทำการจดบันทึกวันที่ทานยา เพื่อติดตามการมาของประจำเดือน
- หากประจำเดือนไม่มาภายใน 3-4 สัปดาห์หลังจากทานยาคุมฉุกเฉิน แนะนำให้ทำการตรวจการตั้งครรภ์
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการใช้ยาคุมฉุกเฉิน
หลังจากที่ได้ทราบเกี่ยวกับกลไกการทำงานและวิธีกินยาคุมฉุกเฉินที่ถูกต้องกันไปแล้ว เนื่องจากยาคุมฉุกเฉินเป็นยาที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมน จึงอาจมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้จากการที่ร่างกายได้รับฮอร์โมนที่สูงผิดปกติ โดยอาการหลังกินยาคุมฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้นได้สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มดังนี้
- ผลข้างเคียงที่อาจพบได้บ่อย ซึ่งจะประกอบไปด้วยอาการเหล่านี้ คลื่นไส้, อาเจียน, เวียนศีรษะ, ปวดท้อง, คัดตึงบริเวณเต้านม, ประจำเดือนมาผิดปกติ, ท้องเสีย
- ผลข้างเคียงที่พบได้น้อยแต่มีอาการรุนแรง ซึ่งจะประกอบไปด้วยอาการเหล่านี้ มีลิ่มเลือด, หัวใจเต้นผิดจังหวะ, ความดันโลหิตสูง, ปวดศีรษะรุนแรง, ตาเหลือง, ผื่นคัน, หายใจลำบาก, มีอาการลมพิษ, หน้าบวม
*สำหรับผลข้างเคียงยาคุมฉุกเฉินชนิด 1 เม็ดจะเกิดขึ้นน้อยกว่ายาคุมฉุกเฉินชนิดฮอร์โมน เนื่องจากไม่มีฮอร์โมนเป็นส่วนประกอบ
นอกจากนี้ยาคุมฉุกเฉินยังมีผลข้างเคียงที่อาจรบกวนประสิทธิภาพของยาตัวอื่น ๆ และอาจเพิ่มความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนจากโรคประจำตัว ดังนั้นจึงควรแจ้งประวัติการใช้ยา โรคประจำตัว และประวัติการแพ้ยา ให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบทุกครั้งก่อนใช้ยาคุมฉุกเฉิน
ข้อควรทราบเกี่ยวกับการใช้ยาคุมฉุกเฉิน
ก่อนใช้งานหรือกินยาคุมฉุกเฉินต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ถึงแม้ว่ายาคุมฉุกเฉินจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์สูงแต่ก็ไม่สามารถป้องกันได้ 100% โดยประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์จะอยู่ที่ 75-95% ขึ้นอยู่กับระยะเวลาและวิธีการรับประทานยาที่ถูกต้องร่วมด้วย
โดยข้อจำกัดในการใช้ยาคุมฉุกเฉินจะมีดังนี้
- ยาคุมฉุกเฉินไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
- ไม่ควรใช้ยาคุมฉุกเฉินแทนยาคุมกำเนิดแบบปกติ
- การกินยาคุมฉุกเฉินไม่ควรเกิน 2 ครั้งใน 1 เดือน
ดังนั้นหากมีความต้องการที่จะคุมกำเนิด ควรใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่น ๆ ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์สูงอย่าง การทานยาเม็ดคุมกำเนิดแบบรายเดือน การใช้ถุงยางอนามัย หรือการใช้แผ่นแปะคุมกำเนิดเป็นต้น ทั้งนี้ควรคำนึงไว้เสมอว่าไม่มีวิธีคุมกำเนิดใดที่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100%
ข้อสรุปเกี่ยวกับยาคุมฉุกเฉิน
ยาคุมฉุกเฉินเป็นวิธีการคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินที่ใช้หลังจากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน หรือเมื่อวิธีคุมกำเนิดประจำล้มเหลว มีจุดประสงค์เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ขึ้นอยู่กับชนิดของยา ระยะเวลาและวิธีการใช้ที่ถูกต้อง โดยยาคุมฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนและยาคุมฉุกเฉินชนิดไม่ใช้ฮอร์โมนจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์อยู่ที่ 75-95% และประมาณ 98% ตามลำดับ ซึ่งควรทานยาภายใน 72-120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์
ทั้งนี้ถึงแม้ว่ายาคุมฉุกเฉินจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์สูง แต่ก็ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ นอกจากนี้ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเพื่อประเมินความเสี่ยงและลดการเกิดโรคแทรกซ้อนได้
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้