วิธีรักษา และดูแลตนเองให้ห่างไกลจากโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นมาจากไขมัน และเนื้อเยื่อสะสมในผนังของหลอดเลือด ทำให้เยื่อบุผนังหลอดเลือดชั้นในตำแหน่งนั้นหนาตัวขึ้น ทำให้หลอดเลือดมีการตีบแคบลง ทำให้เลือดซึ่งนำออกซิเจนไหลผ่านได้น้อยลง ส่งผลให้เลือดไหลไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ไม่เพียงพอ จนเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และเกิดอาการอื่นๆ ตามมา อย่างอาการเจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก บริเวณอกข้างซ้ายหรือกลางอก เหมือนมีคนมากดทับ ถือเป็นอาการหลักของหลอดเลือดหัวใจตีบ บางรายมีอาการรุนแรงถึงขั้นอาจหมดสติ หรือหัวใจหยุดเต้น หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบเข้ามาพบแพทย์เพื่อตรวจและรักษาโดยด่วน ซึ่งในปัจจุบันการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป เพราะด้วยมีเครื่องมือที่ทันสมัย ทำให้ง่ายต่อการรักษามากขึ้น ทั้งนี้ในการรักษาสามารถทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์
วิธีรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
- การใช้ยามีหลายกลุ่มยาที่ใช้ในการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
- ยาลดความดันโลหิต: ช่วยลดการหดตัวของหลอดเลือดและลดการทำงานของหัวใจ เช่น ยาเอสเอ็นไอ
- ยาลดคอเลสเตอรอล: ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด เช่น สเตติน
- ยาลดการจับตัวของเม็ดเลือด: ช่วยลดความหนืดและความเสี่ยงของการเกิดโรคลิ่มเลือด รวมถึงยาแอสไปริน
- ยาต้านเกร็งหลอดเลือด: ช่วยลดการเกร็งของหลอดเลือด เช่น ยาโปรนาซา
- การผ่าตัด: ในบางกรณีที่ภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบรุนแรงมาก หรือไม่สามารถควบคุมด้วยการใช้ยาได้ การผ่าตัดอาจจำเป็น เช่น การทำบายพาสหลอดเลือดหัวใจ
- การทำการบายพาสหลอดเลือดหัวใจ: เป็นกระบวนการที่ใช้ท่อต้านน้ำตาลที่มีลวดโปร่งเข้าไปในหลอดเลือดเพื่อขยายหลอดเลือดที่ถูกตีบ
- การวางติดตั้งสเตนท์: หลังจากการทำการบายพาส สเตนท์อาจถูกวางเข้าไปในหลอดเลือดเพื่อช่วยรักษาความเป็นผู้ตีบของหลอดเลือด
- การฝังเข็มสะสมเม็ดเลือด: เป็นกระบวนการที่ใช้ในกรณีที่หลอดเลือดตีบรุนแรงมาก โดยการฝังเข็มเพื่อสร้างการไหลของเลือดที่เพียงพอสำหรับหัวใจ
- การฟื้นฟูสุขภาพหัวใจ: หลังจากการรักษาอาจจำเป็นต้องมีการฝึกออกกำลังกายและการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตที่สุขภาพดี เพื่อเสริมสร้างสุขภาพหัวใจให้แข็งแรงมากขึ้น
ซึ่งเราสามารถป้องกันการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ด้วยการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตในประจำวันได้ด้วยการ ทานผัก ผลไม้เป็นประจำ,ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่,ไม่สูบบุหรี่,ออกกำลังกายสม่ำเสมอ,งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์,ทำจิตใจให้สดชื่น อย่าเครียดบ่อย ควรตรวจวัดความดันเลือด เจาะเลือดหลังงดอาหารและเครื่องดื่มมากกว่า 12 ชม. ถ้าเป็นผู้ชายที่มีรอบเอวมากกว่า 90 ซม. และผู้หญิงที่มีรอบเอวมากกว่า 80 ซม. เพื่อตรวจหาระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ เอชดีแอล และน้ำตาลในเลือด ทั้งนี้โรคหลอดเลือดหัวใจ ถือเป็นอีกหนึ่งภัยอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม หรือละเลย หากพบความผิดปกติควรรีบไปตรวจร่างกายเพื่อที่จะได้ทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที
สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.nonthavej.co.th/heart-disease.php
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้