AI คืออะไร เครื่องมือช่วยการทำงานให้ง่ายขึ้น
ในโลกแห่งเทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ทำให้มีข้อมูลดาต้ามากมายที่ถูกนำมาพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาการมาของเทคโนโลยีที่เป็นที่พูดถึงมากที่สุดนั่นคือ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งหลาย ๆ คนที่ตื่นตัวนั้นได้ติดตามข่าวสารจากแหล่งแวดวงไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี แวดวงธุรกิจ หรือ สื่อบันเทิง ที่มีข่าวว่า AI คือระบบคอมพิวเตอร์ที่เริ่มมีบทบาทและได้ถูกนำมาใช้งานเพื่อช่วยในการทำงานให้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ด้วยการมาของ AI ทำให้ใครหลาย ๆ คนเริ่มกังวลว่าความสามารถของเจ้าปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ในด้านต่าง ๆ นั้นจะเริ่มมีบทบาทมากกว่ามนุษย์หรือไม่ จะมีการมานำมาทดแทนแรงงานมนุษย์และอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนเปลี่ยนครั้งใหญ่ในการทำงานและอาจมีการตกงานของมนุษย์แรงงานเกิดขึ้น ซึ่งต้องบอกว่าแท้จริงนั้น AI เป็นเรื่องใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด แต่เราอาจคิดว่าไม่ใช่ AI ไม่ว่าจะเป็น ระบบนำทาง ระบบสั่งงานด้วยท่าทาง หรือ เสียง ระบบที่แนะนำสื่อให้เรารับชม เทคโนโลยีเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในความสามารถของปัญญาประดิษฐ์หรือ AI และด้วยข้อมูลที่มหาศาลและเทคโนโลยีที่ก้าวไกลทำให้ AI เริ่มมีความสามารถมากขึ้นและนำไปใช้งานได้หลากหลายขึ้น
โดยในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักถึงเนื้อแท้ของปัญญาประดิษฐ์หรือ AI คืออะไร มีหลักการทำงานอย่างไร สามารถนำ AI ไปใช้งานอะไรได้บ้าง และตัวอย่างการนำ AI มาเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน
AI คืออะไร? มีที่มาจากอะไร
ความหมายของคำว่า AI ( Artificial Intelligence) หรือภาษาไทยที่เรียกว่า ปัญญาประดิษฐ์ นั้นมีคนนิยามไว้หลายความหมาย ซึ่งโดยมีความหมายว่า “AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ คือ ระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถแสดงพฤติกรรมที่โดยปกติแล้วต้องการความสามารถในการคิด วิเคราะห์ และการรับรู้ของมนุษย์” หรือ “ AI คือ ศาสตร์ของการทำให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้เหมือนกับมนุษย์” ซึ่งสำหรับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทยเรานี้ให้ความหมายของ AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ว่า “เทคโนโลยีการสร้างความสามารถให้แก้เครื่องจักรและคอมพิวเตอร์ ด้วยอัลกอริทึมและกลุ่มเครื่องมือทางสถิติ เพื่อสร้างซอฟต์แวร์ทรงปัญญา ที่สามารถเลียนแบบความสามารถของมนุษย์ที่ซับซ้อนได้เช่น จดจำ แยกแยะ ให้เหตุผล ตัดสินใจ คาดการณ์ สื่อสารกับมนุษย์ รวมไปถึงการเรียนรู้ด้วยตนเอง
ซึ่งจากการสรุปความหมายต่าง ๆ ที่ตีความหมายให้กับ AI หรือปัญญาประดิษฐ์จะสรุปความหมายได้ว่า
AI คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีฟังก์ชันการทำงานที่สามารถทำงานได้เหมือนมนุษย์ และสามารถเลียนแบบการทำกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ เช่น การเรียนรู้ การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้นั่นเอง
ซึ่งความสามารถเหล่านี้ทำให้มนุษย์สามารถนำ AI มาช่วยประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆที่ต้องใช้เวลา เนื่องจาก AI คือโปรแกรมประเภทหนึ่งของคอมพิวเตอร์ซึ่งมีการประมวลผลที่รวดเร็วกว่ามนุษย์มาก แต่ข้อด้อยที่ AI ในปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้นั่นคือยังไม่มีเทคโนโลยีทางด้านประสาทสัมผัสสำหรับ AI ที่ให้ผลเทียบเท่ากับประสาทสัมผัสของมนุษย์นั่นเอง
หลักการทำงานของ AI ที่เราควรรู้จัก
การทำงานของ AI คือการทำงานโดยการรับข้อมูล จากนั้นนำไปวิเคราะห์ข้อมูล และประมวลผลเพื่อให้ได้เอาต์พุตหรือผลงานกลับมา ซึ่งการรับข้อมูลและการได้ข้อมูลนั้นขึ้นอยู่กับประเภทของ AI ชนิดนั้นอย่างเช่นการใช้ คำพูด ใช้ข้อความ หรือเสียง โดยสำหรับโปรแกรม AI นั้นจะมีหลักการทำงานดังนี้ คือ
การเรียนรู้ (Learning)
เป็นโมเดลทางคอมพิวเตอร์ที่ให้โปรแกรมที่เราต้องการนั้นมีความสามารถในการเรียนรู้ โดยการนำข้อมูลที่มีและหลักการมาป้อนให้กับ AI ไม่ว่าจะเป็น Big data หรือการนำโครงข่ายประสาทเทียมที่เหมือนเป็นเซลล์จำลองของสมองมนุษย์เพื่อให้โปรแกรมมาการเรียนรู้ที่ซับซ้อนและปรับปรุงความแม่นยำของมนุษย์ที่ได้นำข้อมูลมาป้อน
การแก้ไขข้อผิดพลาด (Self-correction)
มีการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดหรือข้อมูลที่ไม่ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ โดยมีการเรียนรู้และประมวลผลคำตอบใหม่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างไปจากผลลัพธ์เดิม
ใช้เหตุผล (Reasoning)
หลักการใช้เหตุผลของ AI คือเป็นโปรแกรมการตัดสินใจเลือกตามอัลกอริทึมต่าง ๆเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตรงตามความต้องการโดยใช้เหตุผลทางตรรกะไม่ว่าจะเป็นตามกฎเกณฑ์ที่ผู้เขียนได้ป้อนไว้ ความน่าจะเป็น การวิเคราะห์สถานการณ์และการเรียนรู้ของ AI
การมีความคิดสร้างสรรค์ (Creativity)
การสร้างความคิดเชิงสร้างสรรค์ของ AI คือการใช้ข้อมูลจากหลายๆด้านอย่างเครือข่ายประสาทเทียม การเรียนรู้จากผลงานตัวอย่าง อ้างอิงจากกฏการสร้าง เทคนิคต่าง ๆ จากข้อมูลที่เคยถูกป้อนนำมาประกอบเพื่อสร้างไอเดียหรือผลงานใหม่ ๆ ขึ้นมาได้
การทำงานร่วมกับมนุษย์ (Human-AI Collapboration)
หลักการนี้สำหรับความต้องการพัฒนาระบบของ AI คือเพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะให้ความสำคัญกับการสื่อสารระหว่างมนุษย์และ AI อาจเป็นการใช้ระบบตอบสนองเชิงภาษาหรือที่เรียกกันว่า NLP (Natural Language Processing) และการใช้สัญญาณทางร่างกาย (Biometric Signals) เพื่อให้ AI มีความเข้าใจและตอบสนองต่อพฤติกรรมของมนุษย์ได้อย่างถูกต้อง
เราสามารถนำ AI ไปใช้งานกับอะไรได้บ้าง?
AI คือหนึ่งเทคโนโลยีสำคัญที่เข้ามามีบทบาทแทบทุกกลุ่มอุตสาหกรรมและการใช้ชีวิตประจำวันที่อยู่ในยุคดิจิตอล ทำให้มนุษย์มีความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น มีความปลอดภัย และข้อมูลที่ได้รับแม่นยำยิ่งขึ้น โดยเราจะยกตัวอย่างการนำ AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์ไปใช้งานเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดขึ้นดังนี้คือ
- ด้านธุรกิจ - หนึ่งในความสามารถที่เรียกได้ว่ามีประสิทธิภาพมากของ AI คือ การคาดการณ์ความต้องการของลูกค้า เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ และให้ผลลัพธ์ว่าลูกค้ามีแนวโน้มและมีความต้องการสิ่งใด และนำข้อมูลนั้นนำไปใช้ทำการตลาดหรือการขายต่อตัวอย่างเช่นการแสดงโฆษณาความความสนใจของลูกค้าแต่ละบุคคลหรือการวิเคราะห์ความปลอดภัยในการรับประกัน
- ด้านอุตสาหกรรมการผลิต - ทุกคนอาจเคยได้ยินคำว่า Smart Factory ที่ใช้เครื่องจักร AI เป็นแรงงานเช่น การขนส่ง การจัดวางสินค้า ตลอดจนวิเคราะห์คลังสินค้า ซึ่งจากการรวมบรวมข้อมูลได้ผลลัพธ์ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างมาก
- ด้านเกษตรกรรม - บทบาทสำคัญของ AI คือลดการใช้แรงงานมนุษย์ในการเกษตรซึ่งเป็นการนำเครื่่องมือหรือเครื่องจักรที่มีโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์หรือ AI มาช่วยทำงานที่ต้องทำซ้ำเป็นประจำ เช่นการรดน้ำให้ตรงเวลา ให้ปุ๋ย เพื่อลดการผิดพลาดของมนุษย์หรือ human error และยังสามารถใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ถึงสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เช่น ความชื้น สารอาหาร ความเป็นกรด-ด่างของดิน เป็นต้น
ทำไมผู้คนส่วนใหญ่จึงกังวลว่า AI จะมาแทนที่มนุษย์ ?
ในปัจจุบันที่การเพิ่มของความนิยมในการใช้ AI คือความสามารถที่ประมวลผลได้รวดเร็วกว่ามนุษย์อย่างมาก และมีความแม่นยำสูง จึงทำให้ใคร ๆ หลายคนกังวลเกี่ยวกับการนำ AI มาเป็นการใช้แทนแรงงานในตลาด ซึ่งแน่นอนว่าเป็นความจริงในปัจจุบันนั้นการนำ AI มาใช้เกี่ยวกับงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ หรือการวิเคราะห์ที่ต้องการความรวดเร็วและแม่นยำ นั้น AI เริ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำงานได้โดยไม่ต้องหยุดพัก อีกทั้งยังลด human error ต่าง ๆ เช่นการขาดงาน สุขภาพร่างกาย รวมไปถึงอารมณ์ที่มีผลต่อการทำงาน แต่ในอีกแง่หนึ่งนั้นสิ่งที่ AI ยังไม่สามารถมาทดแทนความสามารถของมนุษย์นั่นคือ การใช้เหตุผลที่ซับซ้อนเกินกว่า AI จะเข้าใจ การตัดสินใจที่ต้องใช้หลาย ๆ เหตุผลและประสบการณ์ ความคิดสร้างสรรค์ ที่มนุษย์สามารถคิดไอเดียใหม่ได้ตลอดเวลา สัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต รวมไปถึงประสาทสัมผัสต่าง ๆ เช่นการดมกลิ่น หรือ การชิม AI นั้นยังไม่มีเทคโนโลยีไหนสามารถทดแทนได้ ดังนั้น การมาของ AI คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลกเลยทีเดียว
ตัวอย่างของการ AI ไปใช้งานในชีวิตประจำวัน
- ระบบ Face ID - หากใครใช้สมาร์ทโฟนในสมัยนี้นอกจากการแสกนนิ้วแล้วอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่กำลังเข้ามาทดแทนนั่นคือ FACE ID หรือการแสกนใบหน้านั่นเองโดยหน้าที่ของ AI คือการบันทึกข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ของใบหน้าเพื่อเปรียบเทียบในตอนเราสแกนหน้าเพื่อช่วยในการปลอมแปลงลายนิ้วมือและปกป้องข้อมูลส่วนตัว ทำให้มีผู้ใช้งานที่ลดทะเบียนไว้เท่านั้นจึง
- ระบบสั่งงานด้วยเสียง - หน้าที่ของ AI นั้นคือการนำเสียงที่ได้รับเข้ามานั้นมาวิเคราะห์ถึงความต้องการด้วยการแปลประโยคต่าง ๆจากนั้นจึงดึงข้อมูลที่เจ้าของเสียงต้องการไปในคำสั่งต่อไปเช่น การเสิร์ชหาบางอย่างโดยไม่ต้องพิม การใช้งานร่วมกับ IOT ในการเปิดปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าเป็นต้น
- ระบบนำทาง - เป็นที่คุ้นกันดีกับการใช้ระบบนำทางหรือ GPS นั่นเอง โดย AI คือโปรแกรมที่ระบุตำแหน่งของเราและปลายทางและทำการค้นหาเส้นทางตามการตั้งค่าเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เส้นทางที่ปลอดภัย แม่นยำ และรวดเร็วที่สุด ซึ่งทำให้สะดวกสบายอย่างมากสำหรับคนขับรถหรือต้องคอยดูทางนั่นเอง
สรุป Ai คือเทคโนโลยีที่ไม่ควรมองข้าม
AI (Artificial Intelligence) หรือ ปัญญาประดิษฐ์คือระบบคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลที่รวดเร็ว และแม่นยำ ช่วยในการทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันให้สะดวกขึ้นได้อย่างมาก ทำให้ AI คือสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราอย่างที่เราคิดอีกต่อไป หากใครสนใจในการนำระบบ AI มาช่วยการทำธุรกิจหรือการใช้ชีวิตประจำวันนั้นเป็นตัวเลือกที่ดีเพื่อให้คุณทันต่อเทคโนโลยีโลกนั่นเอง
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้