รวมเทคนิคการสร้างแบรนด์ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดในธุรกิจ
รวมเทคนิคการสร้างแบรนด์ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดในธุรกิจ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการจะตัดสินใจริเริ่มคิดจะทำ การสร้างแบรนด์ เป็นอีกหนึ่งสนามที่มีการแข่งขันดุเดือดสูงขึ้นในทุก ๆ ปี เนื่องจากหลาย ๆ คนคิดว่าการสร้างแบรนด์สินค้านั้นง่าย แต่หารู้ไม่ว่านั่นคือเพียงด้านแรกของการทำธุรกิจเท่านั้น! โดยในบทความนี้เราจะพาคุณมาทำความรู้จักกับตัวอย่างการสร้างแบรนด์ที่ได้ประสิทธิภาพมากที่สุด
การสร้างแบรนด์ คืออะไร ยุ่งยากหรือไม่?
การสร้างแบรนด์ (Branding) คือ กระบวนการที่ผสมผสานองค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อสร้างความรู้สึก ค่านิยม และความเชื่อถือในใจของกลุ่มเป้าหมาย แบรนด์ไม่เพียงแค่เป็นโลโก้หรือชื่อ แต่เป็นสิ่งที่กำหนดคุณค่าและบุคลิกของธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์จากการสร้างแบรนด์สินค้าให้กับตัวผู้บริโภคนั่นเอง
โดยการสร้างแบรนด์ที่ดี จำเป็นจะต้องมีการกำหนดเป้าหมายของแบรนด์ เช่น วิเคราะห์ตลาด กำหนดตัวตนและค่านิยมของแบรนด์ สร้างประสบการณ์ลูกค้า และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความรู้สึกและความเชื่อถือในแบรนด์ของคุณ เนื่องจากการมีวิธีการสร้างแบรนด์ที่ดีจะสามารถช่วยให้ธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ของคุณมีเอกลักษณ์และคุณค่าที่แข็งแกร่งในตลาดแข็งแรง อีกทั้งยังช่วยให้คุณมีโอกาสประสบความสำเร็จในระยะยาว
การสร้างแบรนด์ที่ดีเป็นอย่างไรบ้าง สำหรับนำไปปรับใช้ในธุรกิจ
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ น่าจะเห็นภาพคร่าว ๆ กันแล้วว่าการสร้างแบรนด์คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร โดยการวางแผนทำ Branding นั้น ถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยเพิ่มโอกาสที่จะทำให้ธุรกิจหรือแบรนด์เติบโตมากยิ่งขึ้น ทางเราจึงรวบรวม 6 ขั้นตอนการสร้างแบรนด์สินค้า ที่เป็นประโยชน์ต่อเจ้าของธุรกิจทุกท่านมาไว้ในบทความนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการเริ่มประกอบธุรกิจให้เติบโตยิ่งขึ้น
1. กำหนดเป้าหมายของแบรนด์ (Brand Purpose)
กำหนดเป้าหมายของแบรนด์ (Brand Purpose) เป็นขั้นตอนสำคัญในการสร้างแบรนด์ที่มีความหมายและเชื่อถือได้ เป้าหมายของแบรนด์มีหน้าที่ช่วยให้แบรนด์ของคุณมีเป้าหมายมุ่งมั่นที่ชัดเจนในการดำเนินธุรกิจและแบรนด์ต่อไป โดยการทำธุรกิจหรือแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จนั้น สามารถศึกษาตัวอย่างการสร้างแบรนด์จากเคสต่าง ๆ เพื่อมาปรับแก้ไขภายในธุรกิจหรือแบรนด์คุณได้
2. วางตำแหน่งสินค้าของแบรนด์ (Positioning)
วางตำแหน่งสินค้าของแบรนด์ (Positioning) เป็นขั้นตอนที่จะช่วยเข้าใกล้ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น การวางตำแหน่งสินค้าช่วยให้แบรนด์ของคุณเด่นออกไปในตลาดที่แข่งขันอย่างดี และทำให้ลูกค้าเห็นว่าการสร้างแบรนด์สินค้าหรือบริการของคุณมีคุณค่าและความแตกต่างจากคู่แข่งอื่น ๆ
3. สร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ (Brand Differentiation)
สร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ (Brand Differentiation) เป็นขั้นตอนการสร้างแบรนด์ที่สามารถช่วยเพิ่มความเป็นเอกลักษณ์และคุณค่าให้กับแบรนด์ของคุณในตลาดและทำให้คุณมีความสำเร็จจากการสร้างแบรนด์ในธุรกิจของคุณ
4. สร้างตัวตนของแบรนด์ (Brand Identity)
สร้างตัวตนของแบรนด์ (Brand Identity) เป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง โดยจำเป็นต้องอาศัยการสร้างตราสินค้าเพื่อสื่อถึงค่านิยมและคุณค่าของแบรนด์ของคุณอย่างชัดเจน โดยการสร้างความรู้สึกและความตั้งใจในใจของลูกค้าในทุก ๆ ปฏิสัมพันธ์ที่พวกเขามีกับแบรนด์ของคุณ
5. สร้างความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์ (Brand Trust)
สร้างความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์ (Brand Trust) ด้วยความน่าเชื่อถือเป็นรากฐานของความเชื่อมั่นในแบรนด์ การสร้างความเชื่อถือและความสัมพันธ์ที่แข็งแรงกับลูกค้า ทำตามคำสัญญาและเสมอจริงในทุกด้านของธุรกิจของคุณ ก็จะช่วยให้แบรนด์หรือธุรกิจดำเนินต่อไปได้ง่ายมากขึ้น
6. การทำความดีของแบรนด์ (Brand Beneficence)
การทำความดีของแบรนด์ (Brand Beneficence) โดยการให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่ลูกค้าได้รับจากการเข้ามาสัมผัสกับแบรนด์หรือธุรกิจของคุณ ทั้งในร้านค้าหรือออนไลน์ ต้องมีความสะดวกสบายและน่าสนใจ จะช่วยให้คุณสร้างฐานลูกค้าจากการสร้างแบรนด์ได้อย่างยั่งยืน
สรุป
จะเห็นได้ว่าแต่ละด้านของการสร้างแบรนด์นั้น ต่างต้องใช้ระยะเวลาและแรงกายแรงใจเป็นอย่างมาก นอกจากจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีทางการตลาด ขั้นตอนการสร้างแบรนด์ และเทคนิคเสริมต่าง ๆ ที่จะต้องลองผิดลองถูกเองด้วย เนื่องจากการสร้างแบรนด์หรือธุรกิจให้ได้ผลนั้น ใช่ว่าทุกคนจะสามารถประสบความสำเร็จจากการสร้างตราสินค้าเลยในครั้งเดียว ทุกธุรกิจต่างต้องพบกับความล้มเหลวอยู่เป็นประจำ อยู่ที่ว่าธุรกิจไหนเก่งกว่าที่จะนำมาปรับแก้ไขนั่นเอง
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้