โบท็อก คืออะไร ดีจริงหรือไม่ ทำไมคนถึงฮิตไปฉีดกัน!?
ทำไมเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายก็นิยมไปฉีดโบท็อกซ์กัน แล้วโบท็อกซ์ มันคืออะไร จริงหรือไม่ที่ว่ากันว่า มันช่วยลดริ้วรอยได้อย่างเห็นผล แถมใช้เวลาไม่นาน แต่มีเสียงเล่าบอกว่า การฉีดนั้น มันอันตราย ไม่ควรฉีด แล้วสรุปว่า มันดีหรือไม่ วันนี้ เรามาคำตอบมาฝาก
แล้วโบท็อกซ์คืออะไร!?
โบท็อกซ์ (Botox) เป็นนวัตกรรมที่นิยมใช้สำหรับเสริมความงาม ด้วยการลดริ้วรอย ยกกระชับหน้า และลำคอ รวมถึงลดขนาดของกล้ามเนื้อบริเวณต่าง ๆ เช่น น่อง กราม เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบัน การฉีดโบท็อกซ์ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง เพราะเป็นการตอบโจทย์ผู้ที่รักสวยรักงามได้อย่างรวดเร็วทันใจ โดยเห็นผลภายใน 3 - 7 วัน
ซึ่ง “โบท็อกซ์” เป็นชื่อทางการค้าของสาร “โบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ” (Botulinum toxin A) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่สร้างจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium botulinum) ถ้าหากได้รับในปริมาณที่มากเกินไป จะทำให้อาหารเป็นพิษ หรือเกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง แต่ถ้าได้รับในปริมาณน้อย ๆ อย่างพอเหมาะ จะช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวอันเป็นผลดีกับวงการแพทย์
โดยในสมัยก่อน วงการแพทย์ใช้สารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ เพื่อรักษาทางตา เช่น อาการตาเหล่ (Strabismus) หนังตากระตุก (Blepharospasm) โดยเมื่อฉีดเข้าไปในบริเวณที่มีปัญหาแล้ว พบว่า สารนี้ช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวจากการหดเกร็ง และเมื่อผ่านไปสักพัก แพทย์ก็สังเกตเห็นว่า ริ้วรอยบริเวณหางตาจางลง จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่แพทย์นำสารนี้มาใช้ในการเสริมความงาม สำหรับลดริ้วรอย
ในปัจจุบัน สารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ ที่ใช้ในประเทศไทยผลิตจาก 2 บริษัท คือ โบท็อกซ์ (BOTOX®) และดีสพอร์ต (Dysport®) จะเห็นว่า ที่เราเรียกกันว่า “โบท็อกซ์” นั้น เป็นชื่อยี่ห้อของสารจากประเทศอเมริกา แต่ทุกคนเรียกกันจนติดปาก เป็นที่เข้าใจว่า โบท็อกซ์ คือ ชื่อผลิตภัณฑ์เพื่อฉีดลดริ้วรอย
มันมีดีอะไร ทำไมเราต้องฉีดโบท็อกซ์?
คำถามต่อมาคือ แล้วโบท็อก ดียังไง ทำไมเราถึงต้องฉีดโบท็อกซ์ อย่างที่ทราบเบื้องต้นว่า โบท็อกซ์ช่วยรักษาริ้วรอยบนใบหน้า ลดรอยเหี่ยวย่นหน้าผาก หางตา ลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ต่าง ๆ ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์มากขึ้น ซ้ำยังใช้รักษาโรคบางอย่างได้อีกด้วย เราลองมาดูข้อดีของการฉีดโบท็อกซ์กันทีละข้อดีกว่า
- โบท็อกซ์ช่วยกระชับกรอบหน้า ทำให้ใบหน้ากลับมาตึงกระชับ หรือถ้าฉีดบริเวณกรามก็จะทำให้กล้ามเนื้อกรามมีขนาดเล็กลง รูปหน้าเรียวลง เหมาะกับคนที่ต้องการปรับรูปหน้าแบบไม่ให้หน้าเปลี่ยนไปมาก ยังเหมือนเดิมแต่สวยขึ้น
- โบท็อกซ์ช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้า ทั้งบริเวณหางตา หว่างคิ้ว และหน้าผาก ด้วยริ้วรอยพวกนี้เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อบนใบหน้า เมื่อฉีดโบท็อกซ์เข้าไปในบริเวณที่ต้องการรักษา กล้ามเนื้อก็จะคลายตัว ริ้วรอยจะเริ่มลดลงและหายไปในระยะเวลา 1 - 2 สัปดาห์ และคงสภาพอยู่ได้ 4 - 6 เดือน
- ฉีดโบท็อกซ์ที่บริเวณน่อง กล้ามเนื้อจะเล็กลงได้ตามต้องการ ทำให้ขาดูเรียว
จากข้อดีข้างต้นเป็นเหตุผลที่ว่า คนที่มีปัญหาเหล่านี้ควรจะฉีดโบท็อกซ์เพื่อเสริมความงาม แต่คนที่ปัญหาทางสุขภาพเอง ก็สามารถใช้ได้เช่นกัน ซึ่งทาง USFDA ซึ่งเป็นองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาได้ให้การรับรองในการใช้โบท็อกซ์สำหรับการรักษาอีกด้วย เช่น
- ภาวะความผิดปกติที่เกิดจากการทำงานมากเกินของกล้ามเนื้อ เช่น ตาเข (Strabismus) หนังตากระตุก (Blepharospasm) กล้ามเนื้อคอเกร็งตัว (Cervical dystonia) เป็นต้น
- การปวดศีรษะแบบไมเกรน (Migrain) หรือ การปวดศีรษะจากความเครียด (Tension)
- ภาวะกล้ามเนื้อหลังอักเสบเรื้อรัง (Myofascial pain)
- ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis) เพื่อลดเหงื่อ โดยจะช่วยให้กล้ามเนื้อรอบ ๆ ต่อมเหงื่อทำงานน้อยลง การบีบรัดของต่อมเหงื่อก็ทำงานน้อยลง เมื่อเหงื่อออกน้อยลง กลิ่นตัวก็จะลดลงตามไปด้วย
จากข้อดีที่กล่าวมา จึงสรุปได้ว่า การฉีดโบท็อกซ์นั้น ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมความงามที่จะทำให้คุณมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูอ่อนเยาว์และสดใสขึ้น แต่ยังช่วยรักษาโรคภัย อาการเจ็บป่วยที่คุณเป็นอยู่ให้ดีขึ้นอีกด้วย
อีกทั้งโบท็อกซ์เป็นกระบวนการที่ง่าย ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องดมยาสลบ และใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที เมื่อเทียบกับการผ่าตัดศัลยกรรมดึงหน้าลดริ้วรอย เช่น facelifts ซึ่งอาจใช้เวลา 3 - 4 ชั่วโมงในการผ่าตัด และต้องใช้เวลาพักฟื้นอีกหลายสัปดาห์ จะเห็นได้ว่า การฉีดโบท็อกซ์นั้น สามารถเรียกได้ว่า เป็น Lunch time beauty หรือ “ทำสวยตอนพักกลางวัน” ก็ยังได้
โบท็อกซ์ทำงานอย่างไรกัน
จากที่เราอธิบายว่า โบท็อก คือ สารสกัดโปรตีนจากธรรมชาติที่เราฉีดเข้าสู่ร่างกายของเราในบริเวณที่มีปัญหา โดยมีฤทธิ์ช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว ซึ่งเราสามารถอธิบายกระบวนการทำงานของโบท็อกซ์ได้ง่าย ๆ ดังนี้
เมื่อเราฉีดโบท็อกซ์เข้าสู่บริเวณที่ต้องการรักษาแล้ว โบท็อกซ์จะออกฤทธิ์ไปจับตัวกับปลายเส้นประสาทที่เชื่อมต่อกับส่วนปลายของเซลล์ประสาท ทำให้เซลล์ประสาทไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาท Acetylcholine ได้ ให้กล้ามเนื้อไม่สามารถหดตัวได้ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อนั่นเอง และหลังฉีดโบท็อกซ์ยังสามารถแสดงสีหน้าต่างๆ ได้ตามปกติ ไม่ว่าจะยิ้ม หัวเราะหรือขมวดคิ้ว แต่ริ้วรอยที่มักเกิดจากการแสดงอารมณ์เหล่านี้จะลดลงไป
โบท็อกซ์เป็นโปรตีนน้ำใส ๆ เมื่อฉีดเข้าสู่บริเวณกล้ามเนื้อจะแยกเป็น 2 ส่วน คือ
- ส่วนที่ถูกดูดซึมเข้าไปเก็บไว้ในเซลล์ประสาท เป็นส่วนที่จะออกฤทธิ์ และถ้าส่วนนี้มีความเข้มข้นสูงก็จะทำให้โบท็อกซ์อยู่ได้นานขึ้น โดยมันจะไปรบกวนการทำงานของระบบประสาท มีผลทำให้มัดกล้ามเนื้อทำงานลดลงชั่วคราว ผิวหนังก็จะตึงขึ้น ไม่เกิดรอยพับ
- ส่วนที่ถูกดูดซึม ส่วนนี้ จะปลิวไปตามกระแสเลือดในระยะเวลาไม่เกิน 1 ชม. หลังฉีด และถูกขับออกไปโดยไม่ส่งผลต่อเซลล์อื่นในร่างกาย
นอกจากการฉีดโบท็อกซ์เข้าไปที่กล้ามเนื้อแล้ว ยังมีเทคนิคการฉีดที่เรียกว่า Microbotox technique ซึ่งเป็นการฉีดเข้าที่ผิวหนัง จะช่วยให้ผิวหนังตึงกระชับ ผิวที่หย่อนคล้อยดูยกขึ้น รูขุมขนเล็กลง และลดความมันของใบหน้าด้วย ทั้งนี้ โบท็อกซ์จะเริ่มออกฤทธิ์ใน 2 – 3 วัน ออกฤทธิ์เต็มที่ เมื่อประมาณ 7 - 14 วัน และฤทธิ์ของมันจะค่อย ๆ สูญสลายไปในระยะเวลา 4 - 6 เดือน
การรักษาด้วยโบทูลินั่ม ท็อกซินนั้น ถ้าเป็นการรักษาโดยแพทย์ที่มีความรู้ความชำนาญ เพื่อการรักษาโรคหรือภาวะที่มีข้อบ่งชี้ ให้แก่ผู้ป่วยที่ไม่มีข้อห้ามในการใช้และเป็นผู้ป่วยที่สามารถดูแลและปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้อง ก็จัดว่าเป็นการรักษาที่ได้ผลดีและปลอดภัย อาจมีผลข้างเคียงที่เกิดชั่วคราวได้แต่ไม่ร้ายแรง
โบท็อกซ์สามารถนำมาฉีดในกล้ามเนื้อได้หลายจุด แต่บริเวณที่คนนิยมฉีด คือ ใบหน้า ฉีดเพื่อลดริ้วรอยและปรับรูปหน้าตามบริเวณต่าง ๆ ได้แก่ ลดกราม ลดริ้วรอย รักแร้ ลดเหงื่อ ปีกจมูก ยกหางตา ลิฟหน้า หน้าผาก ยกมุมปาก ตีนกา น่อง คิ้ว กระชับรูขุมขน ลดโหนกแก้ม แขน รักษาไมเกรน และรักษาออฟฟิศซินโดรม
แต่ก็ใช่ว่า ทุกคนจะสามารถฉีดโบท็อกซ์ได้ เพราะก็มีกลุ่มคนที่มีอาการเหล่านี้ ห้ามฉีดไว้อยู่ ได้แก่
- มีความผิดปกติทางกล้ามเนื้อและระบบประสาท เพราะอาจจะมีอาการแย่ลงได้ เช่น โรค Myasthenia gravis หรือ โรค Amyotrophic lateral sclerosis เป็นต้น
- กำลังตั้งครรภ์ / อยู่ในระหว่างให้นมบุตร แม้ไม่เคยมีรายงานถึงอันตรายที่เกิดขึ้นแก่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ แต่เนื่องจากไม่มีข้อมูลเพียงพอว่าปลอดภัยจึงควรหลีกเลี่ยงการรักษา
โบท็อกซ์อยู่ได้นานแค่ไหนกัน!?
เมื่อเห็นข้อดีต่าง ๆ ของโบท็อกซ์กันไปแล้ว หลายคนคงจะสงสัยว่า ฉีดโบท็อกกี่วันเห็นผล หรือ โบท็อกซ์สามารถคงสภาพได้นานแค่ไหน ซึ่งโดยทั่วไป เราใช้เวลาฉีดประมาณ 30 นาที และสามารถเห็นผลลัพธ์หลังการฉีดได้ภายใน 2 – 3 วัน สำหรับริ้วรอยตื้น ๆ และรอยลึกจะเริ่มเห็นผลประมาณ 7–14 วัน
หลังการฉีด ผลลัพธ์จะอยู่ได้นาน 6 – 8 เดือน หลังจากนั้น กล้ามเนื้อจะค่อย ๆ กลับมาหดตัวได้เหมือนเดิม เนื่องจากฤทธิ์ที่ไม่ถาวรนั่นเอง จึงทำให้ผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาซ้ำ หากต้องการคงสภาพของผลการรักษา โดยอาจจะต้องฉีดใหม่ในระยะเวลา 4 - 6 เดือน
นอกจากนี้ เราอาจจะเลือกเพิ่มระยะเวลาได้จากยี่ห้อของโบท็อกซ์อีกด้วย เพราะในปัจจุบัน มีโบท็อกซ์หลายยี่ห้อจากหลายประเทศ ดังนี้
- Botox Allergan (อเมริกา) เห็นผลลัพธ์ภายใน 2-3 วัน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 6-8 เดือน
- Dysport (อังกฤษ) เห็นผลลัพธ์ภายใน 2-3 วัน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 3-4 เดือน
- Xeomin (เยอรมัน) เห็นผลลัพธ์ภายใน 2-3 วัน ผลลัพธ์อยู่ได้นานถึง 8 เดือน – 1 ปี
- Nabota (เกาหลี) เห็นผลลัพธ์ภายใน 4-5 วัน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 3-4 เดือน
- Botulax (เกาหลี) เห็นผลลัพธ์ภายใน 4-5 วัน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 3-4 เดือน
- Aestox (เกาหลี) เห็นผลลัพธ์ภายใน 4-5 วัน ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 3-4 เดือน
สุดท้ายนี้ ก็ขึ้นอยู่กับบริเวณและการทำงานของกล้ามเนื้อที่ต้องการรักษาด้วย สำหรับกรณีที่เกิดภูมิต้านทานขึ้น อาจจะทำให้ฤทธิ์สั้นลงและอาจต้องใช้ปริมาณยาที่เพิ่มขึ้นในการรักษา
โบท็อกมีผลข้างเคียงหรือเปล่า?
“ฉีดโบท๊อกอันตรายไหม” คำถามยอดฮิตที่ทุกคนมักสงสัย ด้วยโบท็อกซ์เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ เป็นสารที่มีคุณสมบัติสมบูรณ์แบบในตัวเองอยู่แล้ว แต่ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นอาจจะมีสาเหตุมาจากความชำนาญของแพทย์ที่ฉีด (หรือผู้ที่ฉีดไม่ใช่แพทย์) มาตรฐานของยาที่ฉีด (ยานั้นไม่ได้รับมาตรฐานหรือเป็นของปลอม) และการดูแลตัวเองของคนไข้หลังจากที่ฉีดไป
แต่ทั้งนี้ โบท็อกซ์เอง ก็มีผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนี้
- หน้าแข็ง ไร้อารมณ์ เป็นหุ่นยนต์
- หน้าผากตกและตึง
- หน้าเลิ่กลั่ก หางคิ้วกระดก
- หนังตาตก
- ผิวช้ำ หน้าชา
- มีอาการของโรคโบทูลิซึม (BOTULISM) เช่น ฉีดที่หน้าแต่เกิดอาการอ่อนแรงที่แขน-ขา มองเห็นภาพซ้อนหรือมองไม่ชัด เสียงหาย หายใจลำบาก หายใจถี่ ความสามารถในการอั้นปัสสาวะลดลง เป็นต้น
- ใบหน้าบางส่วนเป็นอัมพาต
- ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด
- เจ็บที่ใบหน้า ปวดศีรษะ ผิวเห่อแดง วิงเวียนศีรษะ อาเจียน
สรุป
โบท็อก คือ สารสกัดโปรตีนจากธรรมชาติที่นำมาใช้ในวงการเสริมความงาม เพื่อใช้ลดริ้วรอย ยกกระชับหน้า และลำคอ ลดขนาดของกล้ามเนื้อบริเวณต่าง ๆ รวมถึงรักษาบางโรคอีกด้วย ซึ่งใช้เวลาฉีดโบท็อกซ์เพียงแค่ 30 นาที สามารถเห็นผลได้เร็วในระยะเวลาไม่กี่วัน และอยู่ได้นานหลายเดือน แต่ทั้งนี้ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้