การตลาดออนไลน์ (Online Marketing) มีช่องทางอะไรบ้าง
Online Marketing หรือการตลาดออนไลน์ เป็นศาสตร์การตลาดรูปแบบใหม่ ที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะพฤติกรรมการเสพสื่อต่าง ๆ ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา จากดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ เปลี่ยนเป็นเล่นอินเทอร์เน็ต ทั้งจากคอมพิวเตอร์ หรือสมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ หรือไปจนถึงผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็ก ต่างก็เล็งเห็นถึงความสำคัญของการตลาดออนไลน์
กลยุทธ์การตลาดออนไลน์มีความกว้างขวาง และไม่มีรูปแบบที่ตายตัว ทำให้ช่องทางในการทำการตลาดออนไลน์ มีอยู่หลากหลายช่องทาง สำหรับคนที่กำลังสนใจอยากลองทำการตลาดออนไลน์ มาดูกันว่า แท้จริงแล้วมันคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร และมีช่องทางอะไรบ้างในการทำการตลาดออนไลน์
การตลาดออนไลน์ (Online Marketing) คืออะไร
การตลาด คือ การเผยแพร่สาสน์ที่ทางแบรนด์ต้องการจะสื่อสารกับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลผลิตภัณฑ์ ราคาผลิตภัณฑ์ โปรโมชันของผลิตภัณฑ์ที่เราเตรียมไว้ ดังนั้นการตลาดออนไลน์ หรือ Online Marketing คือ การใช้ช่องทางออนไลน์ เช่น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย และช่องทางอื่น ๆ ในการเผยแพร่เนื้อหาที่แบรนด์อยากทำการนำเสนอ เพื่อสร้างการรับรู้ให้ลูกค้า และนำไปสู่การสร้างยอดขาย
การตลาดออนไลน์ สำคัญกับธุรกิจอย่างไร
อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า การเสพสื่อของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปเสพสื่อทางออนไลน์มากขึ้น ดังนั้นหากแบรนด์ที่ยังไม่ปรับตัว ก็อาจเสียโอกาสที่จะได้ลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ เพื่อให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นว่า การตลาดออนไลน์สำคัญกับธุรกิจอย่างไร เรามาดูกันเป็นข้อ ๆ ถึงความสำคัญของการตลาดออนไลน์
1. มีช่องทางมากมายให้เลือก
ช่องทางการตลาดออนไลน์ มีอยู่ด้วยกันหลายทาง เช่น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย อีเมล และอื่น ๆ เราสามารถ เลือกช่องทางออนไลน์ที่เหมาะสม ให้กับสินค้า บริการ ของธุรกิจเราได้
2. สร้างผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ต่างกับ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ และป้ายประกาศต่าง ๆ เราไม่สามารถเลือกผู้เข้าชมสื่อของเราได้ ในขณะที่สื่อของการตลาดออนไลน์นั้นสามารถเลือก กลุ่มผู้บริโภคที่เราอยากให้เห็นสื่อของเราได้ เลือกวางสื่อของเราไปไว้ในกลุ่มคนที่มีโอกาสจะมาเป็นลูกค้าของเรา
เพราะต่อให้ทำสื่อออกมาได้ดีแค่ไหน แต่ถ้าสินค้า บริการของเราไม่ได้ตอบโจทย์ ก็ไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีได้ ดังนั้นการใช้ช่องทางการตลาดออนไลน์ จะการันตีผลลัพธ์ที่ดีกว่าได้
3. ไม่ต้องใช้งบประมาณแพง ผู้ประกอบการทุกระดับเข้าถึงได้
ไม่ใช่เพียงแค่สร้างประสิทธิภาพที่ดี การตลาดออนไลน์ ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณสูงเหมือนการโฆษณาทางทีวี หนังสือพิมพ์ หรือลงป้ายบิลบอร์ด ทำให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กสามารถทำการตลาดแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่ ๆ ได้ หากมีความคิดสร้างสรรค์ และกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่ดีพอ ก็มีสิทธิ์จะแซงหน้าคู่แข่งได้เลย
Online Marketing ต่างจาก Offline Marketing อย่างไร
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น เกี่ยวกับคุณสมบัติของ การตลาดออนไลน์ เรามาดูความแตกต่างระหว่าง Online Marketing และ Offline Marketing หรือที่เรียกอีกชื่อว่า Traditional Marketing กัน
1. ผลลัพธ์จากสื่อชนิดนั้น หรือการดูจำนวนผู้ชมของเรา
Offline Marketing : ไม่สามารถดูจำนวนผู้เข้าชมได้
Online Marketing : การตลาดออนไลน์ สามารถทราบจำนวนผู้เข้าชมสื่อของเรา เป็นตัวเลขที่ชัดเจนแม่นยำ
2. พื้นที่ในการนำเสนอสินค้า บริการ
Offline Marketing : มีพื้นที่ และเวลาในการนำเสนอที่ค่อนข้างจำกัด เช่น พื้นที่บนป้ายประกาศ หรือเวลาโฆษณาในโทรทัศน์
Online Marketing : การตลาดออนไลน์ไม่จำกัด เรื่องพื้นที่ และเวลาในการนำเสนอ เราสามารถนำเสนอข้อมูล สินค้า บริการ ได้อย่างครบถ้วน ไม่ขาดตกบกพร่อง เปิดกว้างให้สามารถใส่ความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่
3. งบประมาณที่ต้องใช้
Offline Marketing : แม้จะมีคนเห็นได้มาก แต่ต้องใช้งบประมาณที่เยอะ ทำให้มีเพียงผู้ประกอบการธุรกิจรายใหญ่ ๆ เท่านั้น ที่สามารถเข้าถึงได้
Online Marketing : งบประมาณสำหรับช่องทางการตลาดออนไลน์ถือว่าน้อยมาก ทำให้ผู้ประกอบการรายเล็ก ๆ สามารถเข้าถึงช่องทางเหล่านี้ได้
7 ช่องทางในการทำการตลาดออนไลน์
จะเห็นได้ว่าการทำการตลาดออนไลน์มีข้อดีมากมาย ที่ควรค่าให้ผู้ประกอบการหันมาลองใช้ดู ทีนี้เรามาดูกันว่าช่องทางการตลาดออนไลน์นั้นมีอะไรบ้าง โดยเราสามารถแบ่งได้ออกเป็น 7 อย่าง มีรายละเอียด ดังนี้
1. SEM (Search Engine Marketing)
ในโลกออนไลน์นั้น ผู้ใช้มีเป้าหมายในการค้นหาข้อมูล หาคำตอบให้กับปัญหาทุกปัญหาที่เราเจอในชีวิตประจำวัน การใช้ Search Engine ค้นหาข้อมูลจึงเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับผู้ใช้อินเทอร์เน็ต
การทำ SEM หรือ Search Engine Marketing เป็นการใช้ประโยชน์จาก Search Engine อย่าง Google ในการเพิ่มการมองเห็น สร้างการรับรู้ ให้กับผลิตภัณฑ์ของเรา ซึ่งอาจจะลงในเว็บไซต์ หรือบทความที่เตรียมไว้ ซึ่งทางเราสามารถทำให้เว็บไซต์ หรือบทความที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ของเราสามารถติดอันดับต้น ๆ ของ Google ได้ ช่องทาง SEM ก็เป็นช่องทางที่จะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีได้อย่างแน่นอน
2. SMM (Social Media Marketing)
โซเชียล มีเดีย เป็นสิ่งที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเข้ามาใช้กันเป็นจำนวนมาก ความนิยมของโซเชียล มีเดีย สามารถเห็นได้จากมันมีอยู่ด้วยกันหลาย platform มาก เช่น Facebook, Instagram, Twitter และ TikTok
การทำ SMM หรือ Social Media Marketing เป็นการทำการตลาดออนไลน์บนช่องทางโซเชียล มีเดีย ต่าง ๆ ซึ่งหากเราสามารถจับทางได้ว่า กลุ่มเป้าหมายของเรา นิยมเล่น โซเชียล มีเดีย ตัวไหน และเราสามารถเข้าไปทำการตลาดในช่องทางนั้นได้ เราก็สามารถผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพจากช่องทาง โซเชียล มีเดีย ได้
3. Content Marketing
Content Marketing เป็นการสร้าง Content บนช่องทางออนไลน์ ทั้งรูปแบบของบทความ หรือรูปภาพ เราจะใช้สิ่งเหล่านี้ ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ของเราได้ ทั้งสรรพคุณ คุณสมบัติ ราคา และโปรโมชันส่งเสริมการขาย การทำ Content Marketing ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ความทันกระแส เพื่อสร้าง Content ที่น่าสนใจ ดึงดูดลูกค้าให้เข้าหาเรา
4. Video Marketing
Video Marketing คล้าย ๆ กับการทำ Content Marketing คือ การนำเสนอผลิตภัณฑ์ของเรา ลงในช่องทางออนไลน์ แต่ทำออกมาในรูปแบบของวีดีโอ ภาพเคลื่อนไหว เปิดโอกาสให้ใส่ลูกเล่น เพิ่มความน่าสนใจให้สื่อโฆษณา
5. Influencer Marketing
Influencer Marketing ก็เป็นอีกช่องทางที่มีประสิทธิภาพสำหรับคนไทย คนไทยให้ความสนใจ และมีแนวโน้มที่จะฟังความเห็น ของผู้ที่มีชื่อเสียง และผู้ที่เขาชื่นชอบ
การทำ Influencer Marketing เป็นการนำบุคคลที่มีชื่อเสียง มีความน่าเชื่อถือ ที่จะสามารถโน้มน้าวใจคนได้ มาช่วยสร้างการรับรู้ให้กับผลิตภัณฑ์ของเรา ซึ่งนอกจากมีชื่อเสียงแล้ว ต้องมีความสอดคล้องไปกับผลิตภัณฑืที่ขายด้วย ยกตัวอย่างเช่น ให้ดาราที่ดูดี แต่งตัวเก่ง มาช่วยรีวิวเสื้อผ้า
6. Affiliate Marketing
Affiliate Marketing เป็นการใช้ช่องทางออนไลน์ของผู้อื่น ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบริษัท มาช่วยขายผลิตภัณฑ์ให้กับเรา อาจจะดูใกล้เคียงกับ Influencer Marketing แต่ Influencer Marketing จะใช้คนที่มีชื่อเสียง มารีวิวสินค้า ช่วยโน้มน้าว เพิ่มความน่าเชื่อถือ จ่ายค่าตอบแทนเป็นงาน ๆ ไป แต่ Affiliate Marketing จะเป็นการใช้ช่องทางของคนกลุ่มนั้น ในการช่วยขาย ซึ่งจะมีค่าตอบแทนในรูปแบบของส่วนแบ่ง ตามที่ตกลงกัน
7. Email Marketing
Email หรือ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เป็นสิ่งที่หลายหน่วยงานยังต้องใช้อยู่ ดังนั้นการนำเสนอสินค้า บริการ ผ่านทาง Email ก็เป็นช่องทางการทำตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ แต่การเลือกผู้รับนั้น เราควรทำการคัดกรองก่อนว่า ผลิตภัณฑ์ของเรามีความจำเป็นต่อหน่วยงานนั้น ๆ หรือไม่
ขั้นตอนการทำการตลาดออนไลน์
ไม่ว่าจะเราจะเลือกช่องทางการตลาดออนไลน์แบบไหนก็ตาม สิ่งที่สำคัญคือ เราต้องมีการเตรียมพร้อมทำการบ้าน ให้ดีเสียก่อน โดยเราจะมาดูกันว่าขั้นตอนในการทำตลาดออนไลน์ ให้มีประสิทธิภาพ ควรทำอย่างไรบ้าง
1. ทำ Market Research
ก่อนวางกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ เราต้องมีข้อมูลให้มากพอเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลลูกค้า กลุ่มเป้าหมาย ข้อมูลของคู่แข่ง กระแสของตลาด เทรนด์ความนิยมของช่วงนั้น ยิ่งมีข้อมูลแน่นเท่าไหร่ ก็จะช่วยให้เราสามารถสร้างกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพได้มากเท่านั้น
2. ตั้งเป้าหมาย หรือ KPI
การทำธุรกิจต้องมีเป้าหมาย การทำตลาดออนไลน์ก็เช่นกัน เราต้องมีการตั้ง KPI หรือเป้าหมายที่ชัดเจน เพื่อให้เราสามารถโฟกัสการทำงานได้ ไม่ว่าจะเป็น ใน 1 ปี ต้องมียอดขายเท่าไหร่ มีผู้ติดตามในโซเชียล มีเดียเท่าไหร่ ต้องมีคนเข้าเว็บไซต์ของเรากี่คน
3. วางกลยุทธ์การตลาดออนไลน์
เมื่อมีข้อมูลเพียงพอ มีการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน ถัดมา เราจะมาเริ่มการวางกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ เราจะต้องทำการเลือกช่องทางในการทำการตลาดออนไลน์ ว่าจะใช้ช่องทางไหนให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด จะทำคอนเทนต์ออกมาในรูปแบบไหน โดยการวางกลยุทธ์ต่าง ๆ นั้น ต้องอ้างอิงจากข้อมูลที่มี หากวางกลยุทธ์โดยไม่อิงจากข้อมูลที่เตรียมมา ก็อาจทำให้กลยุทธ์นั้น มีจุดบกพร่อง และไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้
4. สร้างคอนเทนต์
เป็นขั้นตอนที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ต้องคอยติดตามเทรนด์ กระแสต่าง ๆ ว่าคนกำลังให้ความสนใจกับอะไร เพื่อเราจะได้นำมาประยุกต์ใช้กับคอนเทนต์ที่เรากำลังจะสร้าง
5. ทำการลงโฆษณา
เมื่อคอนเทนต์ของเราพร้อมแล้ว ถัดมาคือ การลงโฆษณา ถ้าสำหรับ โซเชียล มีเดีย ก็อาจมีการบูสต์ หรือการจ่ายเงินเพิ่ม เพื่อเพิ่มการมองเห็นให้กับคอนเทนต์ของเรา เพราะช่องทางออนไลน์ เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบคนไหนก็เข้าถึงได้ เพื่อสร้างข้อได้เปรียบ การบูสต์คอนเทนต์ของเราก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เช่นกัน
6. คอยติดตามผล
ขณะที่โฆษณาของเราได้ทำการปล่อยไปแล้ว การคอยติดตามดูอย่างใกล้ชิด คอยดูความคิดเห็นของผู้ชม ดูว่าผลลัพธ์ของมันกำลังไปแนวทางที่ถูกต้องหรือไม่ หากพบว่ามีข้อผิดพลาด ให้รีบแก้ไขทันที
7. ประเมินวัดผล หา Key Learning สำหรับครั้งถัดไป
หลังจากครบกำหนดกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่วางไว้แล้ว เราต้องทำการประเมินวัดผลในทุก ๆ ด้าน ดูผลลัพธ์ของเราว่าทำได้ถึง KPI ที่ตั้งไว้หรือเปล่า หา Key Learning หรือการหาจุดที่ดี เพื่อคงไว้ หรือพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น และจุดบกพร่องที่ควรแก้ไข ไม่ให้มีซ้ำสอง โดยข้อมูลเหล่านี้ จะถูกนำไปใช้อ้างอิงในการทำกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ครั้งต่อไป
เครื่องมือในการทำการตลาดออนไลน์
ในการทำการตลาดออนไลน์ ข้อมูลที่แม่นยำเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก การตรวจสอบดูข้อมูล ดูผลลัพธ์ของแผนการตลาดออนไลน์ของเรา ก็มีตัวช่วยที่จะช่วยให้เราทำงานได้ง่ายมากยิ่งขึ้น มันเป็นส่วนหนึ่งในการทำตลาดออนไลน์ แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เช่นกัน ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 ตัว ดังนี้
Google Analytics (GA)
ช่องทางการเข้าถึงเว็บไซต์ที่เราทำไว้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Search Engine อย่าง Google มีคนเข้าใช้เป็นจำนวนมาก ดังนั้น Google Analytics ซึ่งเป็นเครื่องมือที่พัฒนาโดย Google ที่จะช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์สามารถเก็บข้อมูลของผู้เข้าเว็บไซต์ เพื่อนำไปวิเคราะห์ พัฒนาสร้างแผนการตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพได้มากขึ้น
Facebook Business Suite
Facebook เป็น Social Media ยอดนิยมที่มีคนใช้มาก มันมีฟังก์ชันการสร้างเพจเชิงธุรกิจ ซึ่ง Facebook Business Suite เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราสามารถดูข้อมูลเชิงลึกของเพจเราได้ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนการเข้าถึงของเพจ ของแต่ละคอนเทนต์ เวลาที่คนนิยมเข้ามาในเพจ ผลลัพธ์จากการบูสต์คอนเทนต์ เราสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้น เพื่อนำไปสร้างกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ให้ดียิ่งขึ้น
ขอบคุณรูปภาพจาก https://play.google.com/store/apps/details?id=com.facebook.pages.app&hl=th&gl=US&pli=1
KPI ของการทำการตลาดออนไลน์
การตั้งเป้าหมายคือสิ่งที่สำคัญมากสำหรับการทำการตลาด โดยเราจะมาดูกันว่า การตั้งเป้าหมาย หรือตั้ง KPI ของการทำตลาดออนไลน์ มีเกณฑ์อะไรบ้าง ที่มักจะนำมาใช้กัน
- จำนวนคอนเทนต์ที่ลง
- Clickthrough Rates หรือ จำนวนที่คลิกเข้ามาดูโฆษณาของเรา
- Conversion Rate หรือ จำนวนเปอร์เซ็นต์การกระทำของผู้ชมที่มีต่อสื่อของเรา เช่น มีคนเข้ามาดูเว็บไซต์ 100 คน แต่มี 10 คนที่ให้ความสนใจ ติดต่อสอบถามเข้ามา จะคิดเป็น 10%
- Traffic on Social Media หรือจำนวนคนที่เข้ามาดูเพจ หรือ Social Media ของเรา
- Website Traffic : จำนวนคนที่เข้ามาดูเว็บไซต์ของเรา
ตัวอย่างการทำการตลาดออนไลน์
ถ้าพูดถึงการตลาดออนไลน์นั้น เราจะสามารถเห็นตัวอย่างได้มากมาย ยกตัวอย่าง เช่น ของเล่นสุดโด่งดัง อย่างเลโก้ ที่ใคร ๆ ก็ต้องรู้จักกับ Lego’s Rebuild the World Campaign ที่มีการปล่อยวีดีโอ ในช่องทางต่าง ๆ โดย concept คือการสร้างโลกของคุณเอง ด้วยตัวต่อเลโก้ ซึ่งช่วยดึงดูดความสนใจให้แก่ผู้ชม และสร้างเป็นยอดขายที่มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ขอบคุณรุปภาพจาก https://blog.hubspot.com/marketing/what-is-digital-marketing#examples
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการทำการตลาดออนไลน์
1. เว็บไซต์จำเป็นต่อการทำการตลาดออนไลน์หรือไม่
จำเป็น เว็บไซต์ก็เปรียบเสมือนหน้าร้านขนาดใหญ่ ที่มีการโชว์ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของเรา รวบรวมข้อมูลที่ผู้บริโภคอยากทราบ นอกจากนี้เรายังสามารถรวบรวมข้อมูลผ่านทาง Google Analytics เป็นอีกข้อมูลอ้างอิง ในการวางแผนกลยุทธ์การตลาดออนไลน์
2. การทำการตลาดออนไลน์ สามารถเพิ่มยอดขายได้มาก-น้อยแค่ไหน
เพิ่มได้อย่างมาก ไม่ใช่เพียงแค่พฤติกรรมการเสพสื่อของคนเท่านั้นที่เปลี่ยนไป แต่พฤติกรรมในการจับจ่ายซื้อสินค้าก็เปลี่ยนไปเช่นกัน คนเริ่มนิยมการช็อปปิ้งออนไลน์มากขึ้น ดังนั้นช่องทางการตลาดออนไลน์ไม่ใช่เพียงแค่โปรโมทผลิตภัณฑ์ สร้างการรับรู้ให้แบรนด์ แต่เป็นอีกช่องทางในการขาย เพื่อเพิ่มยอดขายได้อีกด้วย
ข้อสรุป
การตลาดออนไลน์ เป็นศาสตร์ที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก จะเห็นได้ว่าสถานศึกษามากมาย ต่างก็มีวิชาเรียนการตลาดออนไลน์เพิ่มกันเข้ามา ดังนั้นผู้ประกอบการทุก ๆ คน ที่อยากประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจควรให้ความสำคัญ และอย่ามองข้ามการทำการตลาดออนไลน์เป็นอันขาด เพราะการเพิกเฉยนั้น อาจทำให้เราถูกคู่แข่งนำหน้าไปโดยไม่รู้ตัว
โพสตอบ
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเโพสตอบได้